วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

รอคอยกันมานาน LINE เปิด API ให้ร้านค้าเชื่อมต่อแอพได้ แชทได้ และกำลังจะมีบ็อต!

ประกาศสำคัญของงานแถลงข่าว LINE คือการเปิด LINE Business Platform ให้คนอื่นเข้ามาใช้งานได้มากขึ้น (สักที!) รายละเอียดของการเปิดแพลตฟอร์มแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เปิดให้ Web Service, เปิดให้ SME, เปิดให้นักพัฒนา รายละเอียดมีดังนี้ครับ

1. Web Service

ที่ผ่านมา LINE Platform เปิดให้เฉพาะบริการในเครือของ LINE เองเท่านั้น เช่น LINE News, LINE Live, LINE Part Time Jobs แต่ตอนนี้บริษัทพร้อมเปิด Platform ให้กับเว็บเซอร์วิสนอกบริษัทแล้ว


เว็บเซอร์วิสที่มาเชื่อมต่อจะเรียกว่า Official Web Apps สามารถเข้าถึงฟีเจอร์มาตรฐานของ Platform เช่น ระบบล็อกอิน, ระบบจ่ายเงิน LINE Pay, ระบบสะสมแต้ม, LINE Business Connect API


ผู้ใช้ LINE จะสามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้จากแอพ LINE โดยตรง ไม่ต้องลำบากสร้างบัญชีล็อกอินใหม่ สามารถกรอกข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกไว้ใน Profile+ ได้อัตโนมัติ การใช้งาน Web Apps ยังสามารถสะสมแต้ม LINE Points ได้ด้วย


เป้าหมายของ LINE ก็ชัดเจนว่าอยากให้คนมาใช้บริการ Web Apps บน LINE Platform แทนการใช้แอพแบบเนทีฟของระบบปฏิบัติการนั้นๆ รายการฟีเจอร์ก็ใกล้เคียงกัน มีระบบข้อความแจ้งเตือนแบบพุช (Push) แต่สะดวกกว่าตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องอัพเดต และไม่ต้องติดตั้งแอพลงในเครื่อง


Web Apps บน LINE Platform ยังถูกค้นพบ (Discovery) ได้ง่ายจากช่องทางต่างๆ เช่น การแชร์ ค้นหา แนะนำ


ลูกค้า LINE ภาคธุรกิจที่มี Official Account อยู่แล้ว สามารถซื้อบริการ Official Web Apps ในราคาเดือนละ 20,000 เยน (ประมาณ 6,300 บาท) ใช้งาน API ได้ไม่จำกัด แต่จำกัดจำนวนเพื่อนที่ 100,000 คน

ตัวบริการจะเปิดในช่วงฤดูร้อนกลางปีนี้ ตอนนี้มีพาร์ทเนอร์ในญี่ปุ่นแสดงความสนใจแล้ว 45 บริษัท


2. SME Partnership Program

หัวข้อแรกเป็นฟีเจอร์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีเงินซื้อ Official Account ส่วนธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ที่ใช้ LINE@ ก็ได้ฟีเจอร์ใหม่ด้วยเช่นกัน ภายใต้ชื่อ SME Partnership Program ที่ช่วยให้ธุรกิจใกล้ชิดกับผู้ใช้มากขึ้น


ฟีเจอร์ใหม่มีหลายอย่าง เริ่มจาก Account Page ที่มีระบบปลั๊กอิน เลือกได้ว่าจะแสดงผลข้อมูลอะไรในหน้า Account


Chat API เปิดให้ภาคธุรกิจที่มีระบบส่งข้อความหลังบ้าน สามารถเชื่อมต่อกับระบบแชทของ LINE@ ได้ ตัวอย่างการใช้งาน เช่น จองโต๊ะร้านอาหารผ่านการแชทใน LINE หรือ สอบถามข้อมูลสินค้าทาง LINE


ฟีเจอร์เหล่านี้จะเริ่มเปิดบริการในเดือนเมษายน 2016

3. Developers

ฟีเจอร์ส่วนนี้เปิดสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ สิ่งที่น่าสนใจคือ LINE กำลังจะมี Chat Bot ครับ เปิด API ให้เราสามารถเชื่อมระบบ CRM หรือ IoT เข้ามาแชทได้

Chat Bot API และ Chat Bot Store เริ่มทดสอบระบบในเดือนเมษายนนี้ และเปิดใช้งานจริงช่วงกลางปี


ฟีเจอร์สำคัญอีกอย่างคือ เปิดระบบ Beacon ให้ LINE สามารถรับรู้ข้อมูลจากสถานที่ได้ ร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้า สามารถโปรโมทส่วนลดหรือกิจกรรมต่างๆ เมื่อผู้ใช้ LINE เดินเข้ามาในรัศมีของ Beacon (Bluetooth LE) บริการจะเริ่มทดสอบในเดือนพฤษภาคม


ฟีเจอร์อย่างที่สามคือ Chat AI ระบบบ็อตแบบปัญญาประดิษฐ์ (เหมือนกับ Facebook M) รูปแบบคือเปิดให้ปลั๊กอินภายนอกเข้ามาเชื่อมต่อได้ แปลว่าในอนาคต LINE จะฉลาดเข้าขั้น "ถามอะไรตอบได้" สามารถคุยกันได้เหมือนมนุษย์

บริการตัวนี้ต้องรอนานหน่อย เปิดปลายปีโน่นเลย


ในภาพรวมก็คือ หลังจากที่เรียกร้องกันมานาน ในที่สุด LINE ก็จะทำตัวเองเป็นแพลตฟอร์มกับเขาบ้างแล้ว (เหมือนกับที่ Facebook, Google ทำอยู่) ภาคธุรกิจจะสามารถสร้างแอพมาเชื่อมต่อ มาแชทคุยกับลูกค้าได้โดยตรง ผ่าน API ที่ LINE เตรียมไว้ให้เรานั่นเอง

กำหนดการของฟีเจอร์ต่างๆ ที่มาไม่พร้อมกัน


ที่มา: Blognone

Nike เปิดตัวรองเท้ารุ่นใหม่ สุดล้ำ! ผูกเชือกรองเท้าเองได้

“Nike” แบรนด์รองเท้ากีฬาชื่อดังอีกแบรนด์หนึ่ง ที่โดนใจทั้งวัยรุ่นวัยไม่รุ่นทั้งหลาย ซึ่งปกติ Nike ก็มักจะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับอุปกรณ์กีฬาเสมอมา ล่าสุดก็ได้เปิดตัวรองเท้าสุดล้ำ ที่มีระบบผูกเชือกรองเท้าได้เอง เหมือนในหนังดัง Back to the future เป๊ะ! จะล้ำแค่ไหน ตามไปดูกัน!!




วันนี้ที่งาน Nike Innovation ได้มีการเปิดตัว HyperAdapt 1.0 รองเท้าเทรนนิ่งที่สามารถผูกเชือกรองเท้าเองได้อัตโนมัติ ซึ่งทาง Nike เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า “Adaptive lacing” นอกจากจะผูกเชือกรองเท้าได้เองแล้ว ยังสามารถปรับระดับเชือกว่าจะให้รัดมากหรือน้อยแค่ไหนได้ด้วย

เมื่อผู้ใช้สวมรองเท้าเข้าไป เซ็นเซอร์ที่อยู่ภายในรองเท้าจะทำงานทันที และทำการผูกเชือกรองเท้าให้เราเองโดยอัตโนมัติ หากรู้สึกว่ามันแน่นเกินไปหรือหลวมเกินไป เราก็สามารถปรับระดับการรัดของเชือกรองเท้าได้จากปุ่มสองปุ่มที่อยู่ด้าน ข้างรองเท้า

ใครอยากได้รองเท้ารุ่น HyperAdapt 1.0 ก็อดใจรอกันอีกนิด เพราะ Nike จะวางจำหน่ายรองเท้ารุ่นนี้ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ปลายปี 2016 นี้ โดยมีให้เลือกซื้อด้วยกัน 3 สี ตามรูปด้านบนจ้ะ


ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชมภาพสำนักงานแห่งใหม่ของกูเกิลที่เมือง Mountain View เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสุดๆ

ไม่ใช่แอปเปิลเพียงเจ้าเดียวที่กำลังสร้างสำนักงานแห่งใหม่อยู่นะครับ ขณะนี้กูเกิลก็กำลังจะเริ่มสร้างส่วนต่อขยายของสำนักงานใหญ่ "Googleplex" ที่เมือง Mountain View เช่นกัน โดยกูเกิลมีที่ว่างอยู่ด้านข้างสำนักงานเดิม ตอนนี้ปล่อยรูปเรนเดอร์ออกมาแล้ว

สำนักงานแห่งใหม่นี้ใช้ชื่อโปรเจ็คว่า Charleston East เนื่องจากตั้งอยู่ริมถนน Charleston ไปทางทิศตะวันออก จะเรียกว่าอาคารก็คงไม่เต็มปากนัก เพราะสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจะถูกครอบอยู่ด้วย "เต็นท์" ขนาดมหึมา (ภาษาอังกฤษเรียก canopy) ด้านในเป็นอาคารสองชั้นดีไซน์โมเดิร์น ประกอบด้วยผนังกระจกมากมาย สาเหตุที่สร้างเตี้ยเพียงสองชั้นเพราะต้องการรักษาทัศนียภาพที่สวยงามของ เมือง ดูไกลๆ จากภายนอกเห็นเพียงหลังคาเต็นท์อยู่ลิบๆ เท่านั้น

โปรเจ็คนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 600,000 ตารางฟุต (ราว 55,700 ตารางเมตร) ภายในอาคารมีการตกแต่งด้วยต้นไม้เป็นพื้นที่รวมถึง 45,000 ตารางฟุต (ราว 4,180 ตารางเมตร) และมีพื้นที่ทางเดินสาธารณะถึง 18,500 ตารางฟุต (1,720 ตารางเมตร)

สำนักงานแห่งนี้จะเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกที่กูเกิลสร้างเอง โดยอาคารที่ใช้อยู่ปัจจุบันเป็นอาคารที่เช่าหรือรับต่อมาจากเจ้าของเก่าทั้งหมด ผู้รับผิดชอบการออกแบบคือกลุ่มบริษัท Bjarke Ingels Group (BIG) และ Heatherwick Studio

ไฟล์แบบแปลนของโปรเจ็คนี้ก็เปิดให้สาธารณชนสามารถดาวน์โหลดไปดูได้ ใครสนใจด้านการออกแบบและสถาปัตยกรรมควรดูอย่างยิ่งครับ (ไฟล์ใหญ่ เปิดช้าหน่อยนะครับ เวอร์ชันเดือนกุมภาพันธ์ 2016)


ที่มา: Blognone

Joule กำไลข้อมือคาเฟอีน ส่งผ่านคาเฟอีนเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง

นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่ง ที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับมนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ ที่ต้องพึ่งกาแฟเพื่อให้ตาสว่างในยามเช้า เพราะเจ้ากำไลอันนี้ ไม่ใช่กำไลข้อมือธรรมดา แต่เป็นกำไลข้อมือที่มีแผ่นแปะคาเฟอีนอยู่ภายใน ทำให้เราสามารถรับสารคาเฟอีนผ่านผิวหนังได้โดยไม่ต้องพึ่งการดื่มกาแฟอีกต่อไป


หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่า ทำไมจะต้องมาใช้กำไลคาเฟอีนอะไรนี่ให้ยุ่งยากด้วย ดื่มกาแฟไม่ง่ายกว่าหรือ? อันที่จริงแล้วการรับสารคาเฟอีนผ่านผิวหนังโดยตรงนี้ มีข้อดีหลายประการ อาทิเช่นไม่ทำให้ฟันเป็นคราบกาแฟ ไม่ทำให้มีกลิ่นปาก และสารคาเฟอีนที่เข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนังจะค่อยๆ เข้าไปในร่างกายในปริมาณคงที่ ทำให้ไม่เกิดผลกระทบกับร่างกายแบบฉับพลัน เช่น อาการใจสั่น มือสั่น จากการบริโภคคาเฟอีนในรูปของเครื่องดื่มปกติ

แผ่นแปะคาเฟอีนที่อยู่ภายในกำไลนี้ จะทำงานเหมือนกับแผ่นแปะนิโคตินสำหรับเลิกบุหรี่ สารคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกระฉับกระเฉง จะเข้าสู่กระแสเลือดผ่านผิวหนัง ออกฤทธิ์ได้ยาวนานถึง 4 ชั่วโมง โดยที่แผ่นแปะคาเฟอีน 1 แผ่นจะมีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 65 มิลลิกรัม พอๆ กับการดื่มกาแฟ 1 แก้ว

กำไลคาเฟอีนนี้อยู่ในช่วงระดมทุนบนเว็บไซต์ IndieGoGo สินค้าจะพร้อมส่งในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ส่วนราคาจะมีหลายแพ๊คเกจ ถ้าเป็นแบบ Starter Kit คือมีกำไล 1 อัน และแผ่นแปะอีก 30 แผ่นจะอยู่ที่ 29$ รวมค่าจัดส่งทั่วโลก (ประมาณ 1 พันบาท) หากใครสนใจลองเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ IndieGoGo ค่ะ

ที่มา: ARiP

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Apple ยืนกราน ! ปฏิเสธคำร้องจาก FBI ให้พัฒนา iOS รุ่นพิเศษ

สืบเนื่องจากเหตุกราดยิงที่  San Bernardino ในเขตของรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2015 จนมีผู้เสียชีวิตถึง 14 ราย ซึ่งหนึ่งในหลักฐานที่ FBI รวบรวมได้เป็น iPhone ที่ถูกใส่รหัสผ่านไว้ ทำให้ FBI ร้องขอต่อศาลในสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้ Apple พัฒนาระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นพิเศษ เพื่อให้ทางการสหรัฐฯ สามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมจาก iPhone ที่ถูกล็อคไว้ แต่คำร้องดังกล่าวถูก Apple ปฏิเสธ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ iOS ทั่วโลก


จากจดหมายของ Tim Cook ซีอีโอ Apple ที่ยื่นเรื่องปฏิเสธคำขอจาก FBI และศาลในสหรัฐฯ ในการพัฒนาระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นพิเศษ เพื่อให้หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ สามารถข้าถึงข้อมูลภายในได้ โดยระบุชัดเจนว่าด้วยคำสั่งที่ Apple ได้รับนับเป็นขั้นตอนที่คุกคามความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกค้าทั่วโลก อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ Apple ซึ่งเราไม่เห็นด้วย ที่ผ่านมา Apple เคารพในความเป็นมืออาชีพของ FBI และเชื่อในความตั้งใจที่ดี และ Apple ได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนทั้งที่อยู่ในอำนาจของเรา และดำเนินการตามกฎหมายที่จะช่วยให้ FBI สามารถเข้าถึงข้อมูลภายใน iPhone ของผู้ก่อการร้ายได้ แต่สิ่งที่ Apple ได้รับการร้องขอกลับมีความอันตรายเกินไป

นอกจากนี้ Tim Cook ยังชี้ให้เห็นว่า หากวิธีในการเข้าถึงข้อมูลหรือวิธีหลีกเลี่ยงการใส่รหัสผ่านถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ หรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้อย่างเสรี และการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าเครื่องมือที่ร้องขอต่อ Apple จะถูกนำมาใช้ในคดีนี้เพียงคดีเดียว แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้

ทางด้าน Sundar Pichai ซีอีโอ Google ได้ออกมาทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ในเชิงสนับสนุน Tim Cook ว่าการบังคับให้บริษัทเปิดระบบที่ช่วยให้เกิดการเข้าถึงข้อมูล อาจทำให้ผู้ใช้ขาดความเป็นส่วนตัว ซึ่ง Google ทราบดีว่าการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานความมั่นคง เพื่อปกป้องประชาชนให้รอดพ้นจากอาชญากรรมและการก่อการร้าย โดย Google ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยต่อการเก็บข้อมูล และเรายังให้การบังคับใช้กฎหมายสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ หากอยู่ภายใต้คำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นขัดแย้งกับสิ่งที่บริษัทกำหนด ซึ่งการช่วยให้เกิดการเข้าถึงอุปกรณ์และข้อมูลข้อมูล นับเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง

ที่มา: ARiP

Google หยุดให้บริการ Picasa มีผล 1 พ.ค. 2016

เก่าไป ใหม่มา !! เป็นประโยคที่อาจใช้ได้กับเหตุการณ์ที่ Google หยุดให้บริการ Picasa โปรแกรมจัดการรูปภาพที่ให้บริการฟรี มาตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งการยกเลิกบริการจะมีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2016 เป็นต้นไป โดย Google จะผลักดันให้เกิดการใช้งาน Google Photos แทนมากขึ้น


Google ชี้แจงถึงสาเหตุของการปิดบริการ Picasa ว่า นับตั้งแต่เปิดให้บริการจัดเก็บภาพ มีการพูดถึงเสมอเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของการให้บริการ ซึ่งหลังจาก Google ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงตัดสินใจที่จะยุติบริการ Picasa โดยแผนการถัดไป คือ การมุ่งเน้น Google Photos บริการจัดเก็บรูปภาพเพียงบริการเดียวและจะทำให้ Google สามารถสร้างประสบกาณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้ ไม่ว่าจะการทำงานบนสมาร์ทโฟนหรือพีซีเดสก์ทอป

การหยุดให้บริการ Picasa จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2016 นี้เป็นต้นไป แต่ก่อนหน้านั้น Google จะเริ่มหยุดอัพเดทบริการ Picasa ในพีซีเดสก์ทอป ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2016 เป็นต้นไป

สำหรับผู้ที่ยังไม่ต้องการหันไปใช้บริการ Google Photos หลังการหยุดให้บริการ Picasa จะยังสามารถเข้าถึงบริการได้ผ่านหน้าเว็บได้ เพื่อการดาวน์โหลดหรือลบภาพที่มีอยู่เดิมในอัลบั้มของ Picasa ได้ แต่จะไม่สามารถอัปโหลดภาพเพิ่มเติมได้

ที่มา: ARiP