วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นเตือน "บิตคอยน์ตอนนี้เป็นการเก็งกำไรล้วนๆ"

Haruhiko Kuroda ผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น เตือนความเสี่ยงของตลาดบิตคอยน์ระหว่างแถลงข่าวการประชุมนโยบายทางการเงินในวันนี้

Kuroda ระบุว่าสถานะการณ์ราคาของบิตคอยน์ตอนนี้ "ผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย" (undoubtedly abnormal) และแทนที่มันจะทำหน้าที่ในการชำระเงิน ตอนนี้การใช้บิตคอยน์กลายเป็น "การเก็งกำไรล้วนๆ"

การเตือนของ Kuroda น่าจะมีผลต่อตลาดบิตคอยน์มากกว่าการเตือนจากธนาคารกลางอื่นๆ เพราะตอนนี้การซื้อขายเงินดิจิตอลประมาณ 42% เป็นการซื้อขายโดยบริษัทในญี่ปุ่น

จุดเริ่มต้นของช่วงขาขึ้นของราคาเงินดิจิตอลโดยเฉพาะบิตคอยน์ในปีนี้ ก็มาจากการแก้กฎหมายการกำกับดูแลธนาคารของญี่ปุ่น ที่ส่งผลให้บริษัทซื้อขายสามารถเปิดให้บริการได้โดยมีการกำกับดูแล


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ธนาคารแห่งประเทศไทย อนุมัติอีก 3 ธนาคารใช้ PromptPay QR: กรุงศรี, TMB และ ธนชาต


ล่าสุดในสัปดาห์นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย อนุญาตธนาคารให้บริการ PromptPay QR เป็นการทั่วไปอีก 3 รายคือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย และธนาคารธนชาต รวมกับรายเดิมแล้วเป็น 8 ธนาคาร

ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าพิจารณาอนุญาตจากปัจจัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารความเสี่ยง การคุ้มครองผู้บริโภคและความปลอดภัย รวมทั้งการเตรียมสาขาและ call center ของธนาคารเพื่อสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ


ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พบข้อผิดพลาดบน macOS High Sierra แค่พิมพ์ root ก็เข้าถึงระบบ admin ได้

จากการเปิดเผยของ Lemi Ergin เปิดเผยช่องโหว่บน macOS High Sierra ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถพิมพ์ root โดยไม่จำเป็นต้องใส่รหัสผ่าน เข้าถึงระบบ admin ได้ แถมไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยใดๆ 


ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นผู้ใช้สามารถพบได้เมื่อเข้าสู่ System Preferences > Choose Users & Groups > คลิก the lock to make changes > พิมพ์ root ลงใน username โดยไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่าน จากนั้นคลิกปลดล็อค เท่านี้ก็เป็นการให้สิทธิ์ในระดับ admin ได้แล้ว ซึ่งการดำเนินการในลักษณะนี้ทำให้เข้าถึงบัญชีของผู้เป็นเจ้าของเครื่อง Mac และยังเป็นการให้สิทธิ์ในการเข้าถึงแม้จะล็อคหน้าจออยู่ก็ตาม

ข้อผิดพลาดในครั้งนี้มีรายงานเกิดขึ้นกับ macOS High Sierra เวอร์ชัน 10.13.1 และ 10.13.2 beta โดยทางเว็บไซต์ macrumors ได้แนะวิธีแก้ไขเบื้องต้นไว้ใน ลิงค์นี้ เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ก่อนที่ Apple จะปล่อยแพตช์อัพเดทเพื่ออุดช่องโหว่ดังกล่าว ซึ่ง Apple ได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว

ที่มา: ARiP

มาตรฐานใหม่ HDMI 2.1 รองรับการแสดงผล 10K และ Dynamic HDR

ปัจจุบันช่องต่อ HDMI ที่ถูกใช้อยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือคอมพิวเตอร์จัดอยู่ภายใต้มาตรฐาน 2.0 ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ HDMI 2.1 จะทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยคุณสมบัติของมาตรฐานใหม่แบ่งออกเป็นดังนี้ 


HDMI 2.1 เป็น HDMI แบบ High Speed รองรับแบนด์วิดท์ที่ 48Gbps สนับสนุนคอนเทนต์ประเภทวีดีโอที่มีคุณสมบัติของการแสดงผลความละเอียดสูงแบบไม่มีการบีบอัด ได้แก่ วีดีโอความละเอียด 8K HDR, รองรับสัญญาณภาพที่มีความละเอียดสูงและ Refresh Rate ที่เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 8K 60Hz และ 4K 120Hz ช่วยให้การรับชมวีดีโอราบรื่น นอกจากนี้ยังรองรับความละเอียดสูงสุดที่ 10K ที่ 50Hz, 60Hz, 100Hz และ 120Hz

Dynamic HDR เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการแสดงผลที่ HDMI 2.1 รองรับ ช่วยให้วีดีโอสามารถแสดงความสว่าง, ความคมชัด และรายละเอียดสีของภาพได้ดียิ่งขึ้น

ด้านระบบเสียงมีการรองรับฟีเจอร์ eARC สนับสนุนรูปแบบของเสียงที่ทันสมัย ให้คุณภาพเสียงในระดับสูงสุด นอกจากนี้ยังสนับสนุน Variable Refresh Rate (VRR) ฟีเจอร์ที่ช่วยให้การแสดงภาพของเกมเป็นอย่างราบรื่นต่อเนื่องเป็นธรรมชาติ และให้ความละเอียดได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ข้อดีที่สำคัญของ HDMI 2.1 จะสามารถใช้ร่วมกับ HDMI 2.0 ได้ด้วย

ที่มา: ARiP

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เผยโฉม Tesla Roadster รถสปอร์ตพลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ เร็วขึ้นและวิ่งได้นานขึ้น

เปิดตัว Tesla Roadster (2020) รถสปอร์ตพลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ มาพร้อมความเร็วสูงสุด 400 กม. ต่อชั่วโมง วิ่งได้ 1,000 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง


ที่สุดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้ายุคใหม่ หลังเปิดตัว Tesla Semi รถบรรทุกไฟฟ้าไปแล้ว ทางเฮีย Elon Musk ก็มีเซอร์ไพรส์ช่วงท้ายงานอีกคือ Tesla Roadster (2020) รถสปอร์ตพลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ มาพร้อมความเร็ว 250 ไมล์หรือประมาณ 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถเร่งเครื่องได้ 0 – 60 ไมล์ หรือ 0 – 100 กิโลเมตรต่อชม. ต่อ 1.9 วินาที และสามารถวิ่งได้ไกลสุดประมาณ 1,000 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง !!


Tesla Roadster (2020) เป็นรถสปอร์ต 4 ที่นั่ง มาพร้อมมอเตอร์กำลังสูง 3 ตัว แบ่งเป็นล้อหน้า 1 ตัว และล้อหลัง 2 ตัว มีแรงบิดสูงสุดถึง 10,000 นิวตัน ทำให้มีความเร็วไม่แพ้รถสปอร์ตที่ใช้พลังงานจากน้ำมันกันเลย


ท้ายนี้ ตัวรถมีกำหนดราคาที่ 200,000 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,600,000 บาท เปิดให้สั่งจองแล้ววันนี้ แต่กำหนดส่งมอบเริ่มช่วงปี 2020 หรืออีก 2 ปีข้างหน้านี้เลยครับ

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Pentaho ออกเวอร์ชัน 8.0 ปรับปรุงการทำงาน Business Intelligence ร่วมกับ Big Data

Pentaho ซอฟต์แวร์ด้านวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ business intelligence ชื่อดัง (ปัจจุบันเป็นบริษัทลูกของ Hitachi Vantara) ออกเวอร์ชันใหม่ 8.0 โดยเน้นไปที่ฟีเจอร์ด้าน Big Data
  • ปรับปรุงการสตรีมข้อมูล โดยทำงานร่วมกับ Apache Spark และ Apache Kafka
  • รองรับ Knox Gateway สำหรับการยืนยันตัวตนผู้ใช้ Hadoop
  • ปรับปรุงการจัดสรรทรัพยากรสำหรับประมวลผลข้อมูล สามารถกระจายโหลดไปยังเครื่องที่เป็น worker ได้
  • รองรับฟอร์แมคข้อมูล Apache Avro และ Apache Parquet ในตัว
  • ปรับปรุงการกรองข้อมูลให้ละเอียดขึ้น

ที่มา: Blognone

Firefox Quantum ออกแล้ว UI ยกเครื่องใหม่หมด พร้อมเอนจินใหม่ที่เร็วกว่าเดิม

Firefox 57 หรือ Firefox Quantum ซึ่งเป็น Firefox รุ่นปรับปรุงที่ Mozilla จะขอทวงบัลลังก์เบราว์เซอร์ด้วยการปรับปรุงทั้งเอนจินใหม่และหน้าตาแบบใหม่

Firefox Quantum นั้นถูกปรับปรุงเอนจินใหม่ เป็นผลจากโครงการ Quantum ซึ่งเป็นการยกเครื่องเอนจินใหม่ทั้งหมด เพื่อนำมาแทนเอนจิน Gecko ที่ใช้อยู่เดิม เขียนด้วยภาษา Rust โดย Mozilla เริ่มพัฒนาเอนจินตัวใหม่นี้มาตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างการประมวลผลแบบขนานบนซีพียูหลายตัว, การใช้จีพียูเข้ามาช่วยประมวลผล ผลลัพธ์คือ เร็วขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า (วัด benchmark ด้วย Speedometer 2.0)

ส่วนถัดไปคือหน้าตาแบบใหม่ เป็นผลมาจากโครงการ Photon ที่มีลูกเล่นต่างๆ ให้กับ UI มากยิ่งขึ้น ทำให้ดูมีชีวิตชีวา, ช่อง URL แบบใหม่ที่รวมช่องค้นหาเข้าด้วยกัน โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดของ Photon ได้ที่ Photon Design System 

นอกจากนี้ Mozilla ยังจะเปลี่ยนเครื่องมือสำหรับค้นหาหลักบน Firefox จากที่ใช้ Yahoo! มาตั้งแต่ปี 2014 ตอนนี้ในประเทศสหรัฐฯ, แคนาดา, ฮ่องกง และไต้หวัน จะเปลี่ยนกลับมาเป็น Google แล้ว ซึ่งนอกจาก Google ก็ยังมี Yandex เป็นเครื่องมือค้นหาหลักในรัสเซีย, ตุรกี, เบลารุส และคาซัคสถาน ส่วน Baidu เป็นเครื่องมือค้นหาหลักในจีน

สุดท้าย คือ Firefox ได้เปลี่ยนโลโก้ใหม่ด้วย ซึ่งเป็นไปตามสมัยนิยมคือใช้สีที่สว่างขึ้น และลดรายละเอียดลง

Firefox Quantum สามาถเข้าไปได้ที่หน้าเว็บ Mozilla เพื่อดาวน์โหลดได้แล้วสำหรับ Windows, Mac และ Linux ส่วนผู้ที่มี Firefox อยู่แล้วสามารถอัพเดตได้เช่นกัน


ที่มา: Blognone

Lucasfilm รับรองหุ่น R4-P17 จาก Star Wars ที่ถูกสร้างจากบอร์ด Arduino

เราเห็นแฟนๆ หรือ geek ภาพยนตร์ชุด Star Wars พยายามสร้างหุ่นยนต์ที่ปรากฎในหนัง โดยเฉพาะหุ่น Astromech มาอย่างต่อเนื่อง และเคสนี้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในการสร้างที่เหมือนจริงมากที่สุด เมื่อ Alejandro Clavijo และ และ Jeronimo Clavijo สองพ่อลูกจากสเปนสามารถสร้างหุ่น R4-P17 ขึ้นมาได้สำเร็จจากบอร์ด Arduino

คนส่วนใหญ่อาจจะคุ้นกับหุ่น R2-D2 หุ่น Astromech ประจำตระกูลสกายวอล์คเกอร์ ตรงกันข้ามกับ R4-P17 ที่คนอาจจะรู้จักน้อยกว่า แต่ก็โผล่ออกมาในฐานะหุ่นคู่กายของ Obi-Wan Kenobi ในเอพพิโสด 2 และ 3 โดยหุ่นที่สองพ่อลูก Clavijo สร้างนั้นทำมาจากอะลูมิเนียมและไม้ ใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการสร้าง ก่อนจะได้รับการรับรองจาก Lucasfilm ทำให้สามารถนำไปโชว์ตัวในงานอีเวนท์ต่างๆ ของ Star Wars ได้

หุ่น R4-P17 ถูกควบคุมโดยจอยสติ๊ก สามารถเคลื่อนไหวและส่งเสียงร้องได้ค่อนข้างเหมือนกับในภาพยนตร์ สามารถชมคลิปได้ท้ายข่าว


ที่มา: Blognone

K Plus Shop เชื่อมระบบ PromptPay แล้ว เป็นเลข PromptPay แรกที่ไม่ใช่เบอร์โทรและเลขบัตรประชาชน

วันนี้หลังธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศอนุญาตการจ่ายเงินผ่าน QR ผมได้ทดสอบจ่ายเงินเข้าไปยัง QR ของร้านค้าที่ใช้ K Plus Shop หลังจากที่เคยทดสอบตั้งแต่การเปิดตัวแรกๆ พบว่าตอนนี้สามารถจ่ายเงินผ่าน PromptPay ธนาคารอื่นได้แล้ว (ทดสอบจาก SCB)

จุดสำคัญที่สุดคือ K Plus Shop เป็น e-Wallet เจ้าเดียวในตอนนี้ที่เชื่อมต่อ PromptPay ด้วย e-Wallet ID ที่ไม่ใช่หมายเลขโทรศัพท์หรือบัตรประชาชน ตัวอย่างเช่นร้าน Gamew Bear มีหมายเลข e-Wallet ID เป็น 0040-00000-136838 สามารถใช้โอนผ่าน QR หรือผ่านเมนูโอน PromptPay ก็ได้

ผมทดสอบผู้ให้บริการ e-Wallet ที่เชื่อมต่อกับ PromptPay ก่อนหน้านี้ ได้แก่ mPay, True Money, BluePay, และ DeepPocket ทั้งหมดใช้หมายเลขโทรศัพท์เป็นส่วนหนึ่งของ e-Wallet ID ทั้งหมด ทำให้กระบวนการรับเงินต้องเปิดเผยหมายเลขโทรศัพท์ไปในตัว ขณะที่ตัวเลือก PromptPay อื่นมีเพียงหมายเลขโทรศัพท์, หมายเลขบัตรประชาชน, และในกรณีธุรกิจสามารถใช้เลข 13 หลักของบริษัทได้แต่ก็ยุ่งยากสำหรับคนทั่วไป


ที่มา: Blognone

MARS หูฟังแปลภาษาแบบเรียลไทม์ คว้ารางวัล Best of Innovations จากงาน CES 2018

MARS เป็นหูฟังแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ที่รองรับ Clova AI ที่ได้รับรางวัล Best of Innovations ในประเภทหูฟัง จากงาน CES 2018 ซึ่งจัดขึ้นที่นิวยอร์ก ซึ่งถือเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภค ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการอันทรงเกียรติ ทั้งนักออกแบบ และวิศวกร ในอุตสาหกรรมต่างๆ


หูฟังสเตอริโอไร้สายบลูทูธ MARS ได้รับการพัฒนาร่วมกันระหว่าง LINE Corporation เจ้าของและผู้ดำเนินการแอปพลิเคชัน LINE Messenger รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ กับ NAVER Corporation ซึ่งเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของประเทศเกาหลี โดย MARS เป็นหูฟังแบบอินเอียร์ที่รวบรวมฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ รวมถึงการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ การทำงานร่วมกับ Clova AI และการป้องกันเสียงรบกวนที่เหนือชั้นเพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งานจะดีเยี่ยมแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง

MARS รองรับการแปลได้ทั้งหมด 10 ภาษา ได้แก่ เกาหลี อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน สเปน ฝรั่งเศส เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ MARS ยังแตกต่างจากหูฟังแปลภาษาอื่นๆ เพราะ MARS ใช้ชุดหูฟังเพียงชุดเดียว เพื่อเชื่อมต่อกับการแปลแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริม

MARS ยังมีระบบป้องกันเสียงรบกวนโดยอัตโนมัติเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก และให้การจดจำเสียงได้ชัดเจนแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีสียงรบกวน และด้วยการวางไมโครโฟนไว้ข้างในหูฟัง ทำให้สามารถรับเสียงของผู้ใช้โดยตรงผ่านช่องหู ป้องกันเสียงภายนอก ช่วยให้การฟังชัดเจนยิ่งขึ้น แม้ในสถานที่ที่มีเสียงดัง เช่นคอนเสิร์ต หรือบนถนนที่วุ่นวาย


นอกจากนี้ MARS ยังเชื่อมต่อกับชีวิตประจำวันด้วย Clova ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ได้รับการพัฒนาร่วมกันระหว่าง LINE และ NAVER ซึ่งจากการทำงานของ Clova นี้เอง ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับการสตรีมมิ่งเพลงตรวจสอบสภาพอากาศ และควบคุมอุปกรณ์ IoT ได้โดยใช้คำสั่งเสียงง่ายๆ ที่สร้างขึ้นจากข้อมูล และเนื้อหาดิจิทัลที่กว้างขวางของ LINE Clova ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI แบบเดียวที่พัฒนาขึ้นจากพื้นฐานสำหรับผู้ใช้ในเอเชีย

MARS ยังเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ LINE ได้พัฒนาขึ้น เช่นลำโพงสมาร์ทโฟนของ Clova WAVE รวมทั้งความร่วมมือกับผู้มีบทบาทสำคัญของอุตสาหกรรมในเอเชียอย่าง Toyota, Yamaha, Sony Mobile, LG, Takara Tomy และ Family Mart โดยความมุ่งมั่นในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Clova AI นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เชิงรุกของ LINE ต่อทิศทางของผู้บริโภคที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

MARS มีกำหนดจะเปิดตัวในช่วงต้นปี พ.ศ. 2561 โดยจะมีวางจำหน่ายในเกาหลีก่อน โดยหลังจากนั้นจะเริ่มออกวางจำหน่ายในญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ต่อไป

ที่มา: ARiP

Alibaba กวาดยอดขายออนไลน์ 25.3 พันล้านเหรียญ ในวันเดียว

Alibaba ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจ e-commerce ของจีน จัดมหกรรม “Singles’ Day” หรือวันคนโสด ลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ส่งท้ายปี เมื่อวันที่ 11 เดือน 11 ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับท่วมท้น พร้อมสร้างสถิติยอดขายครั้งใหม่ให้กับ Alibaba


ยอดขายสินค้าออนไลน์ใน Alibaba ในวัน Singles’ Day มีมูลค่าถึง 25.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40% นอกจากนี้ข้อมูลจาก Alibaba ยังเปิดเผยว่าในระยะเวลาเพียง 13 ชั่วโมงที่ให้ลูกค้าได้ช้อปสินค้าออนไลน์ สามารถสร้างยอดขายไปได้ถึง 18 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 5 แสนล้านบาท นับเป็นสถิติใหม่ของมหกรรม Singles’ Day ในปีนี้

ในมหกรรม Singles’ Day ของ Alibaba เป็นการนำเสนอส่วนลดสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่ ของใช้ในครัวเรือน, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงเสื้อผ้าและอุปกรณ์เสริมความงาม ซึ่งจากสถิติใหม่ของ Alibaba ในปีนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความนิยมของลูกค้าที่หันมาซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น อันเนื่องมาจากสินค้าที่มีราคาถูก การใช้บริการและการชำระเงินทำได้สะดวกมากขึ้นผ่านสมาร์ทโฟน


ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ครบรอบ 8 ปีภาษา Go ภาษาแห่งคลาวด์

กูเกิลเปิดตัวภาษา Go มาตั้งแต่ 8 ปีที่แล้วจากการรวมตัวทีมงานมือเก๋า เช่น Rob Pike, Ken Thompson, Russ Cox, และ Robert Griesemer วันนี้เมื่อครบรอบ 8 ปีทางโครงการก็ประกาศฉลองความสำเร็จของโครงการที่ทำได้ในเวลาอันสั้น

นับตั้งแต่เปิดตัว 8 ปีที่แล้ว ภาษา Go ได้รับความสนใจสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าดัชนีความสนใจตาม Google Trends แสดงให้เห็นว่าอัตราความสนใจยังเติบโตแบบ exponential โดยตอนนี้มันเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมอันดับ 9 ใน GitHub แซงหน้าภาษา C เป็นภาษาที่นักพัฒนาชอบเป็นอันดับ 5 จากการสำรวจของ StackOverflow

ทางโครงการยกตัวอย่างโครงการสำคัญที่พัฒนาด้วย Go ได้แก่ Moby (โครงการโอเพนซอร์สต้นน้ำของ Docker ที่เป็นสินค้าของบริษัท), Kubernetes ระบบจัดการคอนเทนเนอร์, Hugo ซอฟต์แวร์สร้างเว็บแบบ static, Prometheus ซอฟต์แวร์มอนิเตอร์และแจ้งเตือน, Grafana ระบบ dashboard ดูแลระบบ, Lantern ระบบทะลุการบล็อคเว็บ, Syncthing ซอฟต์แวร์ซิงก์ไฟล์ข้ามเครื่อง, Keybase บริการจัดการความปลอดภัยผ่านโครงการการเข้ารหัส, Fzf ซอฟต์แวร์ฟิลเตอร์ข้อมูล

ทางโครงการขอบคุณผู้มีส่วนร่วมพัฒนา 1,680 คนตลอด 8 ปีรวมกว่า 50,000 commit พร้อมกับเตือนว่าตอนนี้ทางโครงการอยู่ระหว่างการออกแบบ Go 2

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

IBM ออก Cloud Private ซอฟต์แวร์ช่วยย้ายแอพพลิเคชันองค์กรยุคเก่ามาขึ้นคลาวด์

อุปสรรคสำคัญของระบบไอทีในยุคคลาวด์ คือแอพพลิเคชันองค์กรยุคเก่า (legacy) ที่ยังต้องรันบนสถาปัตยกรรมเดิมต่อไปเรื่อยๆ และไม่คุ้มแก่การแก้ไข

IBM ในฐานะบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ที่มีแอพพลิเคชันยุคเก่าๆ อยู่มาก จึงออกซอฟต์แวร์ IBM Cloud Private เพื่อให้นำแอพพลิเคชันเหล่านั้นมารันบนสถาปัตยกรรมยุคใหม่ได้ง่ายขึ้น (Application Modernization)

แนวคิดหลักของมันคือการนำแอพพลิเคชันเดิมๆ มารันใน container (รองรับทั้ง Docker และ Cloud Foundry Warden) แล้วบริหารจัดการด้วย Kubernetes อีกทีหนึ่ง เพื่อให้แอพพลิเคชันสามารถรันบนคลาวด์ได้ทั้ง public cloud และ private cloud ขององค์กรเอง

ตัว IBM Cloud Private เป็นโอเพนซอร์ส เปิดโค้ดบน GitHub แต่ IBM ก็ยังมีเวอร์ชันเชิงพาณิชย์ ที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ของบริษัทเองอย่าง WebSphere และ DB2 เวอร์ชันที่ปรับแต่งสำหรับ container ด้วย

นอกจากการย้ายแอพพลิเคชันมาอยู่ใน container แล้ว ในชุด Cloud Private ยังมีฟีเจอร์ด้านบริหารจัดการ ความปลอดภัย และ DevOps เข้ามาให้ด้วย


ที่มา: Blognone

สรุปราคา iPhone 8 กับ iPhone X เลือกซื้อได้ตามใจชอบ

Apple ประกาศราคา iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X สำหรับวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย เห็นราคาแล้วถึงกับน้ำตาซึม …. 


เริ่มที่ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ราคามีดังนี้

– iPhone 8 ความจุ 64GB ราคา 28,500 บาท (เครื่องเปล่า)
– iPhone 8 ความจุ 256GB ราคา 34,500 บาท (เครื่องเปล่า)
– iPhone 8 Plus ความจุ 64GB ราคา 32,500 บาท (เครื่องเปล่า)
– iPhone 8 Plus ความจุ 256GB ราคา 38,500 บาท (เครื่องเปล่า)


สำหรับ iPhone X ที่ยังไม่มีกำหนดที่แน่ชัดว่าจะเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อไหร่ ได้ประกาศราคาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนี้

– iPhone X ความจุ 64GB ราคา 40,500 บาท (เครื่องเปล่า)
– iPhone X ความจุ 256GB ราคา 46,500 บาท (เครื่องเปล่า)

นอกจากนี้ AIS, Truemove-H และ Dtac ได้เปิดให้ผู้สนใจสามารถสั่งจอง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ล่วงหน้าได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 นี้ หรือรอสั่งซื้อออนไลน์ได้ทาง Apple Store Online ก็ได้ตามที่สะดวกครับ

ทั้งนี้ราคาทั้งหมดอ้างอิงจากเว็บไซต์ Apple.com/th

ที่มา: ARiP

Edge แครชระหว่างสาธิต Azure พนักงานไมโครซอฟท์ต้องลง Chrome กลางงาน

ในงาน Microsoft Ignite เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ช่วงบรรยายหัวข้อ "Migrating your applications, data, and workloads to Microsoft Azure" มีเหตุสะดุดเล็กน้อยเมื่อ Edge ทีใช้สาธิตกลับแครชจนนำเสนอต่อไม่ได้ และผู้บรรยายต้องตัดสินใจดาวน์โหลดโครมมาติดตั้งเพื่อนำเสนอต่อไป

กระบวนการติดตั้งใช้เวลารวมสามนาที และวิดีโอการบรรยายก็อัพโหลดขึ้น YouTube ของไมโครซอฟท์เองโดยไม่ได้ตัดช่วงติดตั้งออกแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี ผู้บรรยายดาวน์โหลด Chrome ผ่าน Edge และหาลิงก์ดาวน์โหลดด้วย Bing


ที่มา: Blognone

ยุคของหุ่นยนต์ใกล้มาถึง! โซเฟีย หุ่นยนต์ตัวแรก ได้สิทธิ์พลเมืองในซาอุดิอาระเบีย

ซาอุดิอาระเบีย เป็นประเทศแรกที่ให้สิทธิ์พลเมืองกับหุ่นยนต์เพศหญิง ที่มีชื่อว่า “โซเฟีย” นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์โลกที่หุ่นยนต์ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมืองของประเทศ


ภายในงาน Future Investment Initiative ที่จัดขึ้นในกรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการประกาศให้โซเฟีย เป็นหุ่นยนต์เพศหญิงตัวแรกที่ได้รับสัญชาติและเป็นพลเมืองของซาอุดิอาระเบีย พร้อมกันนี้โซเฟียยังได้รับโอกาสให้ปรากฏตัวบนเวทีและกล่าวขอบคุณว่า “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจในความแตกต่างนี้ … และนี่เป็นประวัติศาสตร์ของหุ่นยนต์ตัวแรกของโลกที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมือง” (ดูคลิปได้ที่ท้ายข่าวครับ)

โซเฟีย เป็นหุ่นยนต์เพศหญิงที่เกิดจากการพัฒนาโดย Hanson Robotics ซึ่งผู้ผลิตหุ่นยนต์รายนี้ระบุว่า โซเฟีย และหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ ในอนาคตจะเข้ามามีส่วนช่วยเหลือผู้สูงอายุภายในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงการเป็นผู้ช่วยตามสถานที่สาธารณะและในกิจกรรมต่างๆ

สำหรับหุ่นยนต์โซเฟีย ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทุนขนาดใหญ่ของประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่มีชื่อว่า “NEOM” ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อเนรมิตมหานครแห่งใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 ประเทศรอบทะเลแดง คือ ซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน และอียิปต์ เป็นการพัฒนาเมืองแห่งอนาคตที่ใช้พลังงานหมุนเวียน, การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนบริการสาธารณะ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ดำเนินการทั้งหมด


ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Apple บอกความต้องการ iPhone X "สูงเกินกว่าอธิบายได้"

แอปเปิลเริ่มเปิดให้จอง iPhone X ในประเทศที่วางจำหน่ายไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเริ่มส่งมอบในวันที่ 3 พฤศจิกายน ซึ่งผู้ที่จองหลายคนพบว่าสินค้าเริ่มหมดอย่างรวดเร็ว ต้องรอสินค้าถึงราว 5-6 สัปดาห์

ตัวแทนของแอปเปิลระบุว่า จากกระแสตอบรับเบื้องต้นนั้น ความต้องการ iPhone X สูงเกินกว่าจะอธิบายได้ (off the charts) โดยแอปเปิลกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์แห่งนวัตกรรมนี้ จะส่งถึงมือลูกค้าทุกคนที่ต้องการได้รวดเร็วมากที่สุด

ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์หลายรายให้ความเห็นว่า แม้ความต้องการ iPhone X จะสูง แต่แอปเปิลก็จะประสบปัญหาการผลิตให้ทันความต้องการ โดยเฉพาะจากปัญหาชิ้นส่วนกล้อง TrueDepth ที่ใช้ในการปลดล็อกด้วยใบหน้า
 

ที่มา: Blognone

Warren Buffett ชี้ Bitcoin เป็นฟองสบู่ขนานแท้ ไม่ใช่สินทรัพย์ที่สร้างมูลค่า

ถึงคราว Warren Buffett มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ออกมาวิจารณ์ Bitcoin และเงิน cryptocurrency บ้าง โดยเขาพูดเรื่องนี้กับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายแห่งเมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม

Buffett บอกว่า Bitcoin เป็น "ฟองสบู่ขนานแท้" (real bubble) เราไม่สามารถประเมินมูลค่าของ Bitcoin ได้ตรงๆ เพราะตัวมันไม่ใช่สินทรัพย์ที่สร้างคุณค่า (value-producing asset) เขาไม่สามารถบอกได้ว่าค่าเงิน Bitcoin จะขึ้นไปถึงเท่าไร แต่บอกได้ว่าคนตื่นเต้นไปกับมูลค่าของมัน และนักลงทุนใน Wall Street ก็ตอบรับเรื่องนี้

เขายังพูดถึงรถยนต์ไร้คนขับ ว่าน่าจะมีส่วนแบ่งตลาด 10% ได้ในปี 2030 โดยเหตุผลหลักในการผลักดันคือรถยนต์ไร้คนขับ ปลอดภัยกว่ารถยนต์แบบมีคนขับ


ที่มา: Blognone

Walmart ทดลองใช้หุ่นยนต์เช็คสินค้าบนชั้นวาง บอกไม่ได้มาแทนคน แต่มาช่วยงาน

การใช้หุ่นยนต์ตรวจสอบสินค้าบนชั้นวางในร้านค้าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยังไม่ได้แพร่ขยายมากจนเห็นได้ทั่วไป ล่าสุด Walmart ขยายสาขาการใช้หุ่นยนต์เช็คสินค้าบนชั้นวางใน 50 สาขาในสหรัฐฯแล้ว

หุ่นยนต์ที่ใช้เป็นของบริษัท Bossa Nova Robotics รูปร่างทรงสี่เหลี่ยม สูงประมาณเอว มีปล่องสูงขึ้นไปเหนือศรีษะซึ่งเป็นความสูลที่พอดีกับชั้นสินค้า มีล้อเลื่อน กล้องและจอมอนิเตอร์ตรงส่วนบน ทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวเองไปตามชั้นสินค้า ดูปริมาณสินค้า ตรวจสอบว่ามีสินค้าใดขาดหายไป หรือแม้แต่สามารถตรวจจับการหายไปของสลากสินค้าได้ด้วย โดยระบบจะส่งสถานะสินค้าไปยังแอพพลิเคชั่นเรียลไทม์

Walmart ระบุว่าหุ่นยนต์พวกนี้ไม่ได้มาแทนที่คน แต่จะมาช่วยเป็นกำลังหนุน พนักงานจะได้ไม่ต้องตรวจสอบสินค้าทุกชิ้นด้วยตัวเอง ซึ่งใช้เวลามาก



ที่มา: Blognone

ไมโครซอฟท์เปิดตัว Sonar เครื่องมือสแกนประสิทธิภาพ-มาตรฐาน-ความปลอดภัยของเว็บไซต์

ไมโครซอฟท์เปิดตัว Sonar เครื่องมือช่วยสแกนประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และมาตรฐานของเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้นักพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ของตัวเองได้ดีขึ้น
 
Sonar เป็นเว็บแอพที่จะสแกน URL ตามที่ระบุ และให้คะแนนใน 5 หัวข้อ ได้แก่ การรองรับคนพิการ (accessibility), ความเข้ากันได้ (interoperability), ประสิทธิภาพ (performance), ฟีเจอร์ progressive web app (PWA) และความปลอดภัย (security) พร้อมบอกรายละเอียดว่าควรปรับปรุงเว็บไซต์อย่างไรบ้าง
 
โครงการ Sonar เป็นโอเพนซอร์ส และไมโครซอฟท์ก็บริจาคโค้ดให้มูลนิธิ JS Foundation เป็นผู้ดูแลแทนแล้ว มันยังสามารถทำงานแบบคอมมานด์ไลน์ และทำงานบนเครื่องโลคัล (สำหรับทดสอบเว็บที่ยังไม่ออนไลน์) ได้ด้วย ไมโครซอฟท์ยังสัญญาว่าจะออกปลั๊กอินสำหรับ Visual Studio Code และพัฒนาฟีเจอร์อื่นๆ เข้ามาอีก
 
 
ที่มา: Blognone

Hoversurf Scorpion พาหนะสุดล้ำสำหรับตำรวจดูไบ

ดูไบ เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น Smart City และกำลังก้าวสู่ความเป็น “เมืองแห่งอนาคต” ซึ่งหลายคนที่ติดตามข่าวสารด้านเทคโนโลยีของดูไบจะเห็นว่ามีการพัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำเพื่อมาสนับสนุนงานในอาชีพต่างๆ โดยตำรวจถือเป็นหนึ่งอาชีพที่ดูไบให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และมีการพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยสำหรับการทำหน้าที่ให้มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย


ล่าสุดในงาน Gitex Technology Week Conference ได้มีการนำเสนอต้นแบบยาพาหนะสุดล้ำสำหรับตำรวจดูไบ มีชื่อเรียกว่า “Hoversurf Scorpion” มีที่นั่งคล้ายกับการขี่มอเตอร์ไซค์ มี 4 ใบพัด เพื่อทำให้เหาะได้ สามารถบินในระดับความสูงถึง 5 เมตร ใช้ความเร็วได้สูงสุด 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รองรับน้ำหนักได้ถึง 300 กิโลกรัม ใช้งานได้นานต่อเนื่องนานสูงสุด 25 นาที


จุดประสงค์สำคัญของ Hoversurf Scorpion คือการเป็นยาพาหนะสำหรับตำรวจดูไบ ไว้ใช้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ฉุกเฉินและต้องเผชิญกับสภาวะการจราจรที่ติดขัด ซึ่งยาพาหนะดังกล่าวจะช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงจุดเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Cruise บริษัทรถยนต์ไร้คนขับของ GM เตรียมทดสอบลงถนนจริงในแมนฮัตตัน

สตาร์ตอัพรถยนต์ไร้คนขับ Cruise Automation บริษัทลูกของค่ายรถยักษ์ใหญ่ General Motors (GM) เตรียมทดสอบรถยนต์ไร้คนขับในรัฐนิวยอร์กช่วงต้นปี 2018

การทดสอบรถยนต์ไร้คนขับในสหรัฐ ขึ้นกับกฎระเบียบของแต่ละรัฐที่แตกต่างกัน ก่อนหน้านี้ Audi เคยทดสอบรถยนต์ในนิวยอร์กไปในเดือนมิถุนายน แต่กรณีของ Cruise ถือเป็นบริษัทแรกที่ได้ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับในย่านแมนฮัตตันของนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นย่านที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของระบบทุนนิยมโลกด้วย

การทดสอบจะยังมีวิศวกรของ Cruise นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับตลอดเวลา ตอนนี้ทีมงาน Cruise เริ่มการสร้างแผนที่ของพื้นที่ทดสอบแล้ว


ที่มา: Blognone

สงคราม Container ได้ข้อยุติ Docker ยอมซัพพอร์ต Kubernetes แล้ว

สงครามครั้งสำคัญของวงการ container ในเรื่องการจัดการคลัสเตอร์ (orchestration) ระหว่างค่าย Docker ที่มี Swarm เป็นอาวุธ กับ Kubernetes ที่ริเริ่มโดยกูเกิล แต่มีพันธมิตรร่วมสนับสนุนเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดในงาน DockerCon EU ทางฝั่ง Docker ก็ต้านกระแสไม่ไหว ประกาศซัพพอร์ต Kubernetes เป็นอีกหนึ่งทางเลือกนอกเหนือจาก Swarm แล้ว โดยจะรองรับทั้งเวอร์ชัน Community Edition และ Enterprise Edition

Docker บอกว่ามีเสียงเรียกร้องจากผู้ใช้จำนวนมากที่อยากใช้ Kubernetes และบริษัทก็มองว่าต้องการสร้างทางเลือกให้กับผู้ใช้ ส่วน Swarm ก็จะยังเดินหน้าต่อไปในฐานะทางเลือกอีกทางหนึ่ง

ตอนนี้สถานะของการซัพพอร์ต Kubernetes ยังเป็นรุ่นเบต้า และจะเริ่มผนวกเข้ามาอย่างเป็นทางการใน Docker เวอร์ชันหน้า


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ชื่อนี้ที่คุ้นเคย! Nokia 3310 (3G) ให้คุณเป็นเจ้าของได้อีกครั้ง

Nokia ภายใต้การดูแลของบริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล เผยโฉมฟีเจอร์โฟนในตำนานที่ทุกคนรอคอย Nokia 3310 3G กับลุคใหม่ สีสันสดใส มาพร้อม UI ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนธีมได้ตามไลฟ์สไตล์ และความต้องการของตัวเอง เป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิคกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว Nokia 3310 เปิดให้ใช้งานระบบ 3G ในหลายประเทศ ทั่วโลก และแน่นอนว่า ยังคงมีเกมงูให้แฟนๆ Nokia เช่นเคย


Nokia 3310 3G รองรับการเชื่อมต่อระบบ 3G มาพร้อม UI แบบที่คุ้นเคยซึ่งได้รับการพัฒนาศักยภาพโดยผู้เชี่ยวชาญให้มีความทันสมัยมากขึ้น ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนสีและปรับแต่งตำแหน่งไอคอนได้ในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง การโทรและส่งข้อความใช้งานง่าย ด้วยฟังก์ชั่นที่ทุกคนคุ้นแคย สามารถอวดความคลาสสิคสไตล์โนเกียได้อย่างลงตัวในยุคมิลเลเนียน พร้อมเกมงูสุดฮิตตลอดกาลที่ให้คุณสนุกและเพลิดเพลิน


มร.ซานดีฟ กุพทา ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาค บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า “ท่ามกลางโลกที่โดดเด่นด้วยการแข่งขันของสมาร์ทโฟน การเปิดตัว Nokia 3310 ในครั้งนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ทางเทคโลยีการสื่อสารอีกครั้งหนึ่ง เป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยี และความคลาสสิคของโทรศัพท์ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คน แฟนๆ ทั่วโลกต่างถามหาโทรศัพท์ในตำนานเครื่องนี้ในรูปแบบที่รองรับ 3G ซึ่งทางเรารับฟัง จึงเป็นที่มาของการกลับมาของ Nokia 3310 3G”

การพัฒนาดีไซน์ที่คุ้นเคย พร้อมกับสีสันใหม่ๆ

 

Nokia 3310 3G ยังคงรูปแบบของความคลาสสิคด้วยรูปทรงและสีสันหลากหลาย โดยมี 4 สีให้เลือก ได้แก่ สีเหลือง สีแดง สีฟ้า และสีเทาดำ ตัวเครื่องทำจากวัสดุผิวด้าน และมีแป้นพิมพ์สีเงิน ที่ได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อทำให้การใช้งานดียิ่งขึ้น Nokia 3310 3G มีช่องว่างระหว่างปุ่มทำให้คุณสามารถโทรศัพท์ ส่งข้อความและทวีตได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

 

บทพิสูจน์ 3G เชื่อมต่อโลกแห่งอนาคต

 

การเชื่อมต่อข้อมูลได้ในระบบ 3G ทำให้โทรศัพท์ในตำนานเครื่องนี้เป็นที่นิยมของแฟนๆ ทั่วโลกมากขึ้น Nokia 3310 3G รองรับการสนทนาได้สูงสุด 6.5 ชั่วโมง รวมถึงสามารถสแตนด์บายได้ยาวนานถึง 27 วัน ทำให้คุณมั่นใจได้ว่า คุณจะไม่พลาดการติดต่ออย่างแน่นอน

 

เชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้ง่ายๆ

 

ความสามารถของ Nokia 3310 3G เพื่อตอบรับกับยุคดิจิทัล สามารถเล่น Facebook และ Twitter ได้ในตัว

Nokia 3310 3G พร้อมวางจำหน่ายกลางเดือนตุลาคม 2560 ในราคา 1,790 บาท ที่ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือทั่วประเทศ


ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คุยกับไทยพาณิชย์ เปิดดูสถาปัตยกรรมเบื้องหลัง SCB Easy ที่เขียนใหม่ในเวลา 10 เดือน

ข่าวที่สร้างกระแสฮือฮาให้วงการธนาคารในรอบเดือนที่ผ่านมา คือการเปิดตัวแอพ SCB Easy เวอร์ชันใหม่ ที่มีจุดขายคือปรับหน้าตาโฉมใหม่ และการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มแบบไม่ต้องใช้บัตร

แต่ในงานแถลงข่าวเปิดตัวแอพ SCB Easy ทางธนาคารไทยพาณิชย์ไม่ได้พูดแต่เรื่องตัวแอพอย่างเดียว เพราะพูดถึง "สถาปัตยกรรม" ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ระบบฝั่งเซิร์ฟเวอร์ตัวนี้ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมด และใช้แนวทางแบบ microservices ที่กำลังได้รับความนิยมในบริษัทไอทีสมัยใหม่ (แนวทางนี้เอามาจาก Netflix)

ทาง Blognone จึงไม่พลาดโอกาสที่จะขอสัมภาษณ์ SCB ในเรื่องนี้ และเราได้คุยกับคุณธนา โพธิกำจร Head of Digital Banking ผู้ที่ขึ้นเวทีพรีเซนต์สถาปัตยกรรมนี้ในงานแถลงข่าวนั่นเอง


สถาปัตยกรรมเดิมของ SCB Easy ใช้มานาน 15 ปี!!

 

คุณธนา เริ่มจากเล่าว่าตัวสถาปัตยกรรมเบื้องหลังเว็บไซต์ SCB Easy ซึ่งเป็น internet banking รายแรกๆ ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2001-2002 โดยเริ่มจากการเป็น web frontend ที่เขียนด้วย ASP

ที่ผ่านมา 15 ปี ระบบตัวนี้ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงใหญ่เลย มีแต่โมกันแล้วโมกันอีก (บวกด้วยอัพเกรดเป็น ASP.NET เท่านั้น) แถมตัวมันเองใช้โครงสร้างแบบ monolithic การแก้ไขอะไรก็ตามจึงเป็นเรื่องยากมาก

พอช่วงหลัง ธนาคารออนไลน์เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ปริมาณทราฟฟิกคนเข้าเว็บก็เยอะขึ้น โดยเฉพาะช่วงสิ้นเดือน ระบบเริ่มรองรับไม่ไหวและมี downtime บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนในทีมก็มองว่าการจูนระบบเดิมให้รองรับปริมาณทราฟฟิกใหม่ เริ่มเป็นไปไม่ได้แล้ว จึงมองถึงการเขียนใหม่

การเขียนใหม่ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้วนี้เอง มาถึงตอนนี้ใช้เวลาเพียง 10 เดือนเท่านั้น เรียกว่าเป็นภารกิจที่ท้าทายมาก ในการสร้างระบบ backend ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้


SCB Easy Platform ตามแนวทางเดียวกับ Netflix

 

โจทย์ของการออกแบบ SCB Easy Platform ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า "ความเรียบง่าย" ทีมงานต้องการให้มันสะอาดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ส่วนปรัชญาข้ออื่นที่นำมาใช้ก็คือ "microservices" ที่แยกบริการย่อยๆ ออกจากกัน เพื่อให้แก้ไขได้เฉพาะส่วนโดยไม่กระทบส่วนอื่น และรองรับการขยายตัวของทราฟฟิกการใช้งานในอนาคต

ต้นแบบของ SCB Easy Platform มาจากสถาปัตยกรรมของ Netflix ที่เปิดซอร์สต่อสาธารณะ ซึ่งหลายองค์กรก็นำแนวทางของ Netflix มาใช้เช่นกัน

คุณธนา บอกว่าเนื่องจากเป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่หมด และมีต้นแบบที่ใช้งานได้ดีอยู่แล้ว จึงพยายามยึดแนวทางให้สถาปัตยกรรม "สวย" ที่สุดเอาไว้ตั้งแต่แรก


จาก Frontend เข้าสู่ระบบภายใน

 

ฝั่งของ frontend ใช้เทคโนโลยี Experience API ของบริษัท Backbase ที่ธนาคารทั่วโลกใช้กันสำหรับเป็น Frontend Content Management ส่วนตัวไคลเอนต์ก็เขียนขึ้นเอง มีทั้งเว็บและแอพ

บทเรียนของ SCB ในการสร้างแอพ SCB Easy คือต้องหาความสมดุลระหว่างการเขียนแอพแบบเนทีฟ และการใช้ webview เข้าช่วย จากประสบการณ์คือเนทีฟดีกว่าเว็บมาก เพราะการทำเว็บให้เนียนสวยเท่าเนทีฟเป็นเรื่องยากกว่ามาก แต่การใช้เนทีฟก็มีข้อเสียคือทำให้แอพมีขนาดบวมขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเรายัดทุกอย่างลงไป ดังนั้นอะไรที่ใช้ไม่บ่อยนัก นานๆ ใช้ที สร้างเป็นเว็บดีกว่า

เรื่อง UI ของแอพที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ เรื่องนี้แยกเป็น 2 แนวทางตั้งแต่ช่วงการออกแบบแล้ว คนที่ใช้ฟีเจอร์ทำธุรกรรมบ่อยๆ จะรู้สึกว่ารกไปหน่อย ทีม UX เองก็อยากให้ลูกค้าทำคำสั่งในแอพให้เสร็จเร็วๆ แต่ก็สวนทางกับยุทธศาสตร์ของธนาคารที่อยากเป็นมากกว่าธนาคาร คำถามในเชิงการออกแบบคือจะหาจุดสมดุลอย่างไร

เสียงตอบรับหลังแอพออกไปแล้วคือกลุ่ม power user บ่นว่าใช้งานยากขึ้น แต่ที่ผิดคาดคือกลุ่มลูกค้าทั่วไปกลับชอบ เพราะเกิดความสนใจ เข้าไปดูได้มากขึ้นว่าแอพของธนาคารทำอะไรได้เยอะกว่าที่คิดมากด้วย


API Gateway เปิดการเชื่อมต่อสู่ภายนอก

 

แพลตฟอร์มตัวนี้มี API Gateway เพื่อให้ระบบ backend สามารถสื่อสารกับ frontend ใดๆ ก็ได้ รวมถึงการเชื่อมต่อจากพาร์ทเนอร์ หรือสตาร์ตอัพสายฟินเทค เข้ามาเรียกใช้ API ได้ด้วย

SCB ให้ความสำคัญกับการเปิด API มาก สังเกตได้จากแอพ SCB Easy ตัวใหม่ใช้การออกแบบแนว tile ที่มีไอคอนเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ เพื่อเปิดให้พาร์ทเนอร์สามารถเข้ามานำเสนอบริการของตัวเองต่อลูกค้าของ SCB Easy จำนวน 4-5 ล้านคนได้จากตัวแอพเลย

ตอนนี้ frontend ของ SCB เองก็จะเรียกข้อมูลต่างๆ ในฝั่ง backend ผ่าน public API กันอย่างเสมอภาค ทัดเทียมกับแอพภายนอกที่มาเชื่อมต่อ ไม่มีท่าพิเศษให้กับแอพของ SCB โดยเฉพาะ เพื่อสร้างฐานตัว API ให้มั่นคงสำหรับอนาคตเมื่อเปิดการเชื่อมต่อให้คนนอก


Hyper-scalable รองรับการขยายตัวในอนาคต

 

ฝั่งของตัวระบบหลัก ที่ออกแบบเป็น microservices ตามแนวทางสมัยใหม่ ก็มีโจทย์ว่าทำอย่างไรจะรองรับการขยายตัวแบบ hyperscale ในอนาคตได้

ตรงนี้ทีม SCB ใช้โซลูชันของ Netflix สองตัวคือ Edge Service ที่เอาไว้กระจายงาน (ใช้ Zuul) ส่วนการจัดการโครงสร้างพื้นฐานใช้ Eureka สำหรับ provisioning และ load balancing

บทเรียนของ SCB พบว่าการออกแบบ microservice ดูแลง่ายจริง แต่กินทรัพยากรเยอะ ดังนั้นจะต้องเตรียมจำนวนเครื่องไว้ให้ดี โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด SCB ดูแลโฮสต์เอง ไม่ได้อยู่บนคลาวด์ โดยใช้คลาวด์เฉพาะงานส่วน dev/testing environment เท่านั้น

ส่วนงานอื่นๆ อย่างการทำ logging ใช้ Elasticsearch และการมอนิเตอร์การใช้งานใช้ Firebase ของกูเกิล โดยระวังเรื่องการไม่ส่งข้อมูลที่ระบุตัวลูกค้าออกไปยังกูเกิล เพราะระวังเรื่องการกำกับดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทย


Intelligence ส่วนงานวิเคราะห์ข้อมูล

 

อีกส่วนที่ SCB ให้ความสำคัญคือการวิเคราะห์ข้อมูล เรื่องนี้เป็นนโยบายที่มาจากซีอีโอโดยตรง ว่าอยากให้ธนาคารมีวัฒนธรรมที่ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล (data-driven culture) ปัญหาในเชิงเทคนิคคือธนาคารมีระบบไอทีหลากหลาย ข้อมูลเก็บอยู่คนละที่

ทางออกจึงเป็นแนวคิด data lake คือเทข้อมูลทั้งหมดมาเก็บรวมกันตรงกลาง โซลูชันที่ใช้ก็เป็น Hadoop ตามมาตรฐานของวงการ (ใช้ของ Cloudera) จากนั้นก็ใส่ตัววิเคราะห์ข้อมูลเข้ามาอีกหลายตัว เช่น Splunk

ส่วนเป้าหมายของการวิเคราะห์ข้อมูล อย่างในแอพ SCB Easy ควรจะวิเคราะห์และพยากรณ์ได้ว่า ลูกค้าจะอยากทำอะไรเป็นลำดับต่อไป เราควรนำเสนอให้ลูกค้าได้เลย ไม่ใช่ว่าให้ลูกค้าต้องมานั่งหาเอง ตอนนี้ก็เริ่มทดสอบฟีเจอร์นี้เป็นการภายในบ้างแล้ว


กระบวนการทำงานก็สำคัญไม่แพ้กัน

 

นอกจากเรื่องสถาปัตยกรรมแล้ว การทำงานของคนในทีมก็สำคัญไม่แพ้กัน ตอนแรกทาง SCB อยากทำ agile เหมือนคนอื่นๆ แต่พบว่าโครงการนี้ใหญ่มาก เพราะต้องเขียนระบบใหม่หมด ในเวลาที่สั้นมากคือ 10 เดือน การเปลี่ยนวิธีทำงานพร้อมกับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ คงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ช่วงแรกๆ ของโครงการก็นำ agile เข้ามาใช้งาน ทีมงานก็เครียดกันมาก เพราะต้องเปลี่ยนวิธีทำงาน พร้อมกับโจทย์ว่าต้องทำให้เร็ว ผลคือมีแต่คนอยากจะออกจากโครงการ มีคนร้องไห้ มีคนลาออก ทางทีมบริหารจึงต้องยอมถอยกันมาสักหน่อย โดยนำหลักการหรือวิธีการบางอย่างของ agile มาใช้งาน แต่ไม่ใช้ทั้งหมด

SCB เลือกใช้บริษัทภายนอกหลายรายเข้ามาช่วยพัฒนา แต่แนวทางการจ้างงานแบบเก่าที่จ้างเป็นโครงการใหญ่ๆ ตาม requirement ก็ใช้ไม่ได้แล้วอีกเหมือนกัน เพราะโครงการซอฟต์แวร์ยุคใหม่ requirement เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องปรับตัวกันเร็วมาก ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการจ้างมาเป็นแบบตามวันทำงาน (man-day) แทน


บทเรียนของฝ่ายไอทีในธนาคารใหญ่

 

คุณธนา เล่าว่าปัจจุบันธนาคารเปลี่ยนมุมมองต่อไอทีไปมาก จุดเปลี่ยนสำคัญคือผู้บริหารระดับสูงต้องเข้าใจความต้องการของฝ่ายไอทีด้วย ที่ผ่านมา ธนาคารทำแต่โครงการเล็กๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแกนหลักขององค์กร คนอื่นที่อยู่นอกฝ่ายไอทีจึงไม่เห็นผลกระทบมากนัก การลองทำอะไรใหม่ๆ เล็กๆ ไปเรื่อยๆ มันจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร

รอบนี้เป็นการทำโครงการใหญ่มาก มันเกิดผลกระทบสูงมากที่คนมองเห็นและจับต้องได้ ทีมงานเองก็จำเป็นต้องปรับตัว หาคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาเสริมกับทีมงานเดิมๆ เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลง

บทเรียนของทีม SCB Digital มีด้วยกัน 3 ข้อคือ
  • ต้องให้ผู้ใหญ่เข้าใจก่อน ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว เพราะผู้บริหารทุกองค์กรรู้แล้วว่าต้องลงทุนด้านไอที
  • ให้ทำโครงการใหญ่ๆ ที่เห็นผลกระทบสูงเลย
  • เอาคนใหม่เข้ามาเยอะๆ สร้างเลือดใหม่ที่มีวิธีคิดแบบใหม่ อย่าพยายามเปลี่ยนองค์กรด้วยการเปลี่ยนคนชุดเดิม ต้องหาคนใหม่เข้ามาเสริมทีมด้วย
ส่วนคนไอทีแบบไหนที่ SCB ต้องการ ก็เป็นคนที่พร้อมเปิดใจรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะ SCB มีฐานเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ลองเล่นเยอะมาก บวกกับมีลูกค้าขนาดใหญ่ระดับหลายสิบล้านคน ซึ่งมีองค์กรไม่กี่แห่งในไทยที่มีลูกค้าระดับนี้ ดังนั้นการเข้ามาใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ รองรับลูกค้าจำนวนมากขนาดนี้ จึงเป็นปัจจัยที่ดึงดูดคนเข้ามาได้ เพราะมันท้าทายนั่นเอง

ที่มา: Blognone

AIS เปิดตัว "mPay พร้อมเพย์" โอนเงินพร้อมเพย์และจ่ายเงินผ่าน QR Code

ช่วงนี้เราเห็นข่าวผู้ให้บริการ mobile wallet หลายเจ้าเริ่มรองรับการจ่ายเงินผ่าน QR Code เช่น TrueMoney ที่จับมือกับ SCB หรือ BluePay, DeepPocket จับมือกับธนชาต

บริการ mobile wallet รายล่าสุดที่เปิดตัวคือ mPay ของ AIS ที่ประกาศรองรับ PromptPay QR เช่นกัน โดยเรียกว่า “mPAY พร้อมเพย์” สถานะตอนนี้คือให้บริการแบบทดสอบร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และจะเริ่มเปิดบริการทั่วประเทศในวันที่ 16 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป

ผู้ใช้แอพ mPay ต้องยืนยันการเปิดบริการ mPay พร้อมเพย์ ด้วยการแสดงบัตรประชาชนที่ AIS Shop ทุกสาขา แล้วสามารถใช้งานได้แล้ววันนี้ (เฉพาะกับร้านค้าที่ได้รับอนุมัติให้ใช้งาน ร้านค้าอื่นๆ รอ 16 ต.ค.)


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

Ford จับมือ Lyft นำรถยนต์ไร้คนขับไปให้บริการ Ride-Hailing

Ford ประกาศเป็นพาร์ทเนอร์กับ Lyft ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Ride-Hailing ผ่านรถยนต์ไร้คนขับร่วมกัน ซึ่งในอนาคตเราจะได้เห็นรถไร้คนขับของ Ford มาวิ่งให้บริการผ่าน Lyft

อย่างไรก็ตามโจทย์ของทั้งสองบริษัทที่จะต้องแก้ร่วมกันก่อน คือการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของพาร์ทเนอร์, ควรนำรถไร้คนขับไปให้บริการ Ride-Hailing ที่เมืองไหนก่อนและโครงสร้างพื้นฐานแบบไหนที่จำเป็น สำหรับการให้บริการและดูแลรถไร้คนขับ ให้พร้อมสำหรับการให้บริการ

Ford ระบุด้วยว่าเบื้องต้นจะทดสอบอินเทอร์เฟสของแพลตฟอร์มตัวเอง ด้วยการนำรถ Ford ที่มีคนขับไปให้บริการก่อน ขณะเดียวกันก็มีแผนจะนำรถไร้คนขับไปวิ่งทดสอบผ่านบริการของ Lyft ด้วย แต่ก็ยืนยันว่าจะไม่ให้บริการจริงๆ จนกว่าจะมั่นใจเรื่องความปลอดภัย


ที่มา: Blognone

Intel เปิดตัว 8th Gen Intel Core สำหรับฝั่ง Desktop PC อย่างเป็นทางการ

หลังโชว์ฝั่งโน๊ตบุ๊คมาพักใหญ่ ในที่สุด Intel ก็เปิดตัว 8th Gen Intel Core ฝั่ง Desktop PC อย่างเป็นทางการแล้ว รอบนี้เน้นประสิทธิภาพในการเล่นเกมมากขึ้น


สู่ยุค Gen 8th และแล้ว Intel ก็เปิดตัว 8th Gen Intel Core Processor หรือ Coffee Lake สำหรับฝั่ง Desktop PC อย่างเป็นทางการ ในรอบนี้ก็เน้นประสิทธิภาพในการเล่นเกมมากขึ้น ด้วยการประมวลผล Frame Rate เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 25% การแสดงผลระดับ 4K กับการทำ Live Stream (Mega-Tasking) ดีขึ้นถึง 45% และสุดท้ายการเพิ่มจำนวน Core และ Threads ที่มากกว่าเดิมด้วย


8th Gen Intel Core Processor ยังใช้ชิปขนาด 14 นาโนเมตรเหมือนเคย แต่ที่น่าสนใจคือ จำนวน Core และ Threads ที่เพิ่มขึ้น และการรองรับ Intel Smart Cache ที่ใช้ร่วมกับแรม DDR4-2666MHz บนชิปเซต เมนบอร์ด Z370


สำหรับจำนวน Core และ Threads ที่เป็นไฮไลท์เด็ดเลยนั้น เอาแค่ตัวเริ่มต้นอย่าง Intel Core i3 ก็ได้ 4 Core/4 Threads เข้าไปแล้ว ส่วน Intel Core i7 รุ่นท็อปสุด ก็จัดเต็มที่ 6 Core/12 Threads กันเลย (ไม่ต้องซื้อ X-series แล้ว ฮ่าๆ) และชื่อของมันคือ i7-8700K ชิปซีพียูสำหรับเล่นเกมที่ดีที่สุดของ Intel


นอกจาก Core ที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว 8th Gen Intel ก็ยังมี Frame Rate เร็วกว่ารุ่นท็อปของตัว 7th Gen Intel 25% โดยวัดจากเกม Gears of War 4 ที่เล่นได้ลื่นๆ ถึง 195 FPS กันเลย กับมีประสิทธิภาพ Mega-Tasking ได้มากกว่าเดิม 45% บันทึกวิดีโอพร้อมอัพโหลดไฮไลท์สำคัญๆ บนออนไลน์ โดยเทสกับเกม PUBG นี้เอง


สำหรับราคา 8th Gen Intel Core Processor แต่ละรุ่น ทาง Intel ก็ประกาศออกมาแล้วตามนี้
  • Intel Core i7-8700K (6 Core/12 Threads) ราคา 359 เหรียญฯ หรือประมาณ 12,000 บาท
  • Intel Core i7-8700 (6 Core/12 Threads) ราคา 303 เหรียญฯ หรือประมาณ 10,000 บาท
  • Intel Core i5-8600K (6 Core/6 Threads) ราคา 257 เหรียญฯ หรือประมาณ 8,500 บาท
  • Intel Core i5-8400 (6 Core/6 Threads) ราคา 182 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,000 บาท
  • Intel Core i3-8350K (4 Core/4 Threads) ราคา 168 เหรียญฯ หรือประมาณ 5,600 บาท
  • Intel Core i3-8100 (4 Core/4 Threads) ราคา 117 เหรียญฯ หรือประมาณ 3,900 บาท
ส่วนวันวางจำหน่าย จะเริ่มภายในวันที่ 5 ตุลาคม เร็วๆ นี้ ส่วนใครอยากดูสไลด์ข้อมูลเต็มๆ ดูต่อได้ที่นี้เลยครับ 8th Gen Intel Core Overview (PDF)

ที่มา: ARiP