วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Microsoft เปิดตัว New Surface Pro 2017 แบตอึด 13.5 ชั่วโมง รองรับ LTE

Microsoft เปิดตัว New Surface Pro อย่างเป็นทางการที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เป็นการอัพเกรดประสิทธิภาพของการใช้งานให้ดีขึ้น เริ่มวางขายในบางประเทศ 15 มิถุนายนนี้


ดีไซน์ภายนอกของ New Surface Pro ยังแทบเหมือนเดิมกับ Surface Pro 4 มีการพัฒนา kickstand ให้สามารถพับได้มากถึง 165 องศา มากกว่า Surface Pro 4 ที่พับได้ 150 องศา หน้าจอทัชสกรีน PixelSense ขนาด 12.3 นิ้ว ใช้ซีพียู Intel 7th Gen Kaby Lake มีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Core m3-7Y30, Core i5-7300U (Core m3 กับ Core i5 ใช้กราฟิกการ์ด Intel HD graphics 620) และ Core i7-7660U (ใช้กราฟิกการ์ด Intel Iris Plus Graphics 640) ซึ่งไม่มีพัดลมระบายความร้อน เพื่อให้การทำงานเงียบ แต่สามารถระบายความร้อนได้ดีที่สุด ขณะเดียวกันซีพียูที่ใช้ใน New Surface Pro ยังได้รับปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานให้ดียิ่งขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ช่วยสนับสนุนแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้นานถึง 13.5 ชั่วโมง ดีเพิ่มขึ้นถึง 50%


แรมมีให้เลือกตั้งแต่ 4GB / 8GB และ 16GB 1866MHz LPDDR3, หน่วยความจำ SSD มีตั้งแต่ 128GB / 256GB / 512GB และ 1TB, รองรับการใช้ซิมการ์ดหรือ eSIM สำหรับใช้งาน LTE, พอร์ตที่ให้มาด้วย ได้แก่ USB Type-A, Mini DisplayPort, Headset jack, Surface Connect และ microSDXC card reader ยังไม่เลือกใช้ USB Type-C


อุปกรณ์คู่ใจอย่าง Surface Pen มีการปรับปรุงใหม่เช่นกัน ตอบสนองต่อการสัมผัสบนหน้าจอทัชสกรีน PixelSense ได้ดีขึ้น รองรับแรงกดที่ระดับ 4,096 มากขึ้นจากรุ่นเดิมที่รองรับแรงกด 1,024 ขณะเดียวกัน New Surface Pro 2017 ยังรองรับ Surface Dial อุปกรณ์แบบเดียวที่ใช้ร่วมกับ Surface Studio ได้อีกด้วย


ส่วน Type Cover หรือคีย์บอร์ด มาพร้อมดีไซน์แบบ New Alcantara มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีแดง, สีม่วง, สีน้ำเงิน และสีดำ

New Surface Pro 2017 จะเริ่มวางขายใน 26 ประเทศ ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ ซึ่งในรายชื่อยังไม่มีประเทศไทย ราคาเริ่มต้น 799 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28,000 บาท


ที่มา: ARiP

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใหญ่กว่านี้มีอีกไหม ไมโครซอฟท์ย้ายซอร์สโค้ด Windows ทั้งหมด 300GB มาอยู่บน Git


ไมโครซอฟท์เผยว่าย้ายซอร์สโค้ด Windows ทั้งหมดจากระบบ Source Depot ของตัวเอง มาสู่ Git เรียบร้อยแล้ว ส่งให้ไมโครซอฟท์มี git repository ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในทันที
  • จำนวนไฟล์ 3.5 ล้านไฟล์
  • ขนาดรวม 300GB
  • จำนวนทีมงาน 4,000 คน (ปัจจุบันย้ายมาแล้ว 3,500 คน)
  • จำนวนกิ่ง 440 branch
  • git push เฉลี่ย 8,421 ครั้งต่อวัน
  • pull request 2,500 ครั้งต่อวัน
  • การนำซอร์สโค้ดออกมาคอมไพล์ นับเป็นจำนวน 1,760 build ต่อวัน
กระบวนการย้ายระบบของไมโครซอฟท์เริ่มในเดือนมีนาคม โดยพนักงานกลุ่มแรก 2,000 คนจากทีม Windows OneCore ใช้งาน Source Depot ในวันศุกร์ เมื่อกลับมาเช้าวันจันทร์ก็เจอกับระบบใหม่ที่เป็น Git แทน

เบื้องหลังการย้ายระบบครั้งนี้ ไมโครซอฟท์เตรียมตัวไว้ค่อนข้างดี ปัญหาจึงน้อย แต่ด้วยขนาดของ repository ใหญ่ระดับนี้จึงมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพอยู่บ้างในสัปดาห์แรก

ไมโครซอฟท์เคยประกาศไปแล้วว่าต้องสร้างระบบ Git Virtual File System ขึ้นมาเพื่อรองรับสเกลงานระดับนี้ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาของ Git ลงจากหลัก 30 นาทีถึงหลายชั่วโมง ลงมาอยู่ระดับน้อยกว่า 20 วินาทีได้สำเร็จ

ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Google เปิดขายไวท์บอร์ดอัจฉริยะ Jamboard แล้ว ราคา 4,999 ดอลล่าร์

เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว Google ได้เปิดตัวไวท์บอร์ดอัจฉริยะอย่าง Jamboard ออกมา ล่าสุดได้ขายอย่างเป็นทางการแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาอยู่ที่ 4,999 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 175,000 บาท

ฟีเจอร์การใช้งานมีตามเปิดตัวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนวกเข้ากับ G Suite, ขีดเขียนลงบอร์ดแล้วแปลงเป็นภาพบนจอ, ใช้งาน Hangouts ได้ทันทีและสามารถเชื่อมต่อกับแอพบน iOS และ Android เพื่อร่วมใช้งานบอร์ดได้

สเปคของ Jamboard คร่าวๆ คือ จอ 4K ขนาด 55 นิ้ว รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 16 จุดและนำเข้าข้อมูลแม่นยำถึง 1 มิลลิเมตร, มีส่วนประมวลเป็น Nvidia Jetson TX1 ฝังอยู่ในเครื่อง, Wi-Fi 802.11ac, NFC, Google Cast, HDMI 2 พอร์ท, USB Type-C, USB 3.0 2 พอร์ทและ Gigabit Ethernet

ตอนนี้เปิดให้ผู้ใช้ G Suite ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาสามารถสั่งซื้อ Jambaord ได้แล้วผ่านทาง https://cloud.withgoogle.com/hardware/ มี 3 สีได้แก่ obalt blue, carmine red และ graphite grey อุปกรณ์ประกอบไปด้วยปากกาสไตลัส 2 อัน, แปรงลบกระดานและที่ยึดผนัง หากต้องการขาตั้งจอต้องซื้อแยกในราคา 1,199 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 42,000 บาท นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมในการดูแลหลังการขายรายปีเพิ่มเติมอีกด้วย



ที่มา: Blognone

7-11 ยุคใหม่ ไม่มีพนักงาน เงินสดไม่ใช้ บัตรไม่ต้อง ใช้ฝ่ามืออย่างเดียว

ที่ประเทศเกาหลีใต้ นำร่องเปิด 7-11 โฉมใหม่ ที่ไม่ต้องมีพนักงาน ไม่ต้องใช้เงินสด, บัตร หรือแม้กระทั่ง E-Payment เพื่อชำระเงิน ใช้แค่ฝ่ามือเท่านั้น



ร้านสะดวกซื้อโฉมใหม่นี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง Lotte Card, Lotte Data Communication และ 7-11 เปิดให้บริการ 7-11 ในแบบ “Smart Convenience Store” แห่งแรกภายใน Lotte World Tower ประเทศเกาหลีใต้ โดยภายในร้านมีระบบการชำระเงินแบบใหม่ด้วย “BioPay” เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์สำหรับตรวจสอบลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้ด้วยฝ่ามือ เรียกว่า “HandPay” โดยไม่ต้องพึ่งเงินสด, บัตรเครดิต หรือระบบ E-Payment ผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งการใช้ฝ่ามือสำหรับการชำระค่าสินค้าและบริการ ลูกค้าจำเป็นต้องลงทะเบียนเชื่อมโยงข้อมูลกับ Lotte Card เพื่อใช้ในการระบุตัวตนเมื่อเข้ามาภายใน 7-11 ไปจนถึงการชำระค่าสินค้าและบริการ
เทคโนโลยีอื่นๆ ภายในร้านยังประกอบไปด้วย เครื่องสแกนสินค้าแบบ 360 องศา เพื่อระบุราคา, เซนเซอร์สำหรับเปิดตู้แช่อัตโนมัติเมื่อลูกค้าอยู่ใกล้, มีเทคโนโลยีสแกนหลอดเลือดในกรณีจำหน่ายบุหรี่ เพื่อเป็นการป้องกันเยาวชนที่จะเข้ามาซื้อบุหรี่ และ Smart CCTV ที่ช่วยป้องกันความปลอดภัยระดับพิเศษ

สำหรับเทคโนโลยีภายใน 7-11 โฉมใหม่ ดำเนินการด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่ง Jung Seung-in ประธานของ Korea Seven เปิดเผยว่า 7-Eleven Signature นับเป็นร้านสะดวกซื้อระดับพรีเมียมที่ใช้ระบบไอทีอันทันสมัย เป็นการตอบโจทย์ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และจะเป็นสัญลักษณ์ด้านนวัตกรรมการจำหน่ายสินค้าของเกาหลีใต้

ที่มา: ARiP

กูเกิลแถลงความสำเร็จ AMP มีเว็บเพจใช้งานแล้ว 2 พันล้านเพจ, โหลดเร็วขึ้น 2 เท่า

กูเกิลแถลงความสำเร็จของโครงการ AMP ว่ามีเว็บเพจที่ใช้งาน AMP แล้วเกิน 2 พันล้านเพจ ถ้าคิดตามจำนวนโดเมนคือ 900,000 โดเมน

กูเกิลยังประกาศรายชื่อพันธมิตรร่วมใช้งาน AMP อีกมาก ฝั่งเอเชียมี Tencent Qzone, Weibo, Aliexpress, Rakuten และเว็บสายอีคอมเมิร์ซอีกหลายรายทั่วโลกก็เริ่มใช้ AMP กันแล้ว

นอกจากนี้ กูเกิลยังประกาศความสำเร็จในเชิงเทคนิคว่า การเรียกเพจ AMP จากหน้า Google Search เร็วกว่าการเรียกเพจ HTML ปกติถึง 2 เท่า ด้วยเทคนิคหลายอย่าง เช่น Google AMP Cache, การเรนเดอร์เพจไว้ล่วงหน้าที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์, เทคนิคการลดขนาดไฟล์ และอัลกอริทึมการบีบอัดแบบใหม่ Brotli
ที่มา: Blognone