วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

Ford จับมือ Lyft นำรถยนต์ไร้คนขับไปให้บริการ Ride-Hailing

Ford ประกาศเป็นพาร์ทเนอร์กับ Lyft ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Ride-Hailing ผ่านรถยนต์ไร้คนขับร่วมกัน ซึ่งในอนาคตเราจะได้เห็นรถไร้คนขับของ Ford มาวิ่งให้บริการผ่าน Lyft

อย่างไรก็ตามโจทย์ของทั้งสองบริษัทที่จะต้องแก้ร่วมกันก่อน คือการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของพาร์ทเนอร์, ควรนำรถไร้คนขับไปให้บริการ Ride-Hailing ที่เมืองไหนก่อนและโครงสร้างพื้นฐานแบบไหนที่จำเป็น สำหรับการให้บริการและดูแลรถไร้คนขับ ให้พร้อมสำหรับการให้บริการ

Ford ระบุด้วยว่าเบื้องต้นจะทดสอบอินเทอร์เฟสของแพลตฟอร์มตัวเอง ด้วยการนำรถ Ford ที่มีคนขับไปให้บริการก่อน ขณะเดียวกันก็มีแผนจะนำรถไร้คนขับไปวิ่งทดสอบผ่านบริการของ Lyft ด้วย แต่ก็ยืนยันว่าจะไม่ให้บริการจริงๆ จนกว่าจะมั่นใจเรื่องความปลอดภัย


ที่มา: Blognone

Intel เปิดตัว 8th Gen Intel Core สำหรับฝั่ง Desktop PC อย่างเป็นทางการ

หลังโชว์ฝั่งโน๊ตบุ๊คมาพักใหญ่ ในที่สุด Intel ก็เปิดตัว 8th Gen Intel Core ฝั่ง Desktop PC อย่างเป็นทางการแล้ว รอบนี้เน้นประสิทธิภาพในการเล่นเกมมากขึ้น


สู่ยุค Gen 8th และแล้ว Intel ก็เปิดตัว 8th Gen Intel Core Processor หรือ Coffee Lake สำหรับฝั่ง Desktop PC อย่างเป็นทางการ ในรอบนี้ก็เน้นประสิทธิภาพในการเล่นเกมมากขึ้น ด้วยการประมวลผล Frame Rate เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 25% การแสดงผลระดับ 4K กับการทำ Live Stream (Mega-Tasking) ดีขึ้นถึง 45% และสุดท้ายการเพิ่มจำนวน Core และ Threads ที่มากกว่าเดิมด้วย


8th Gen Intel Core Processor ยังใช้ชิปขนาด 14 นาโนเมตรเหมือนเคย แต่ที่น่าสนใจคือ จำนวน Core และ Threads ที่เพิ่มขึ้น และการรองรับ Intel Smart Cache ที่ใช้ร่วมกับแรม DDR4-2666MHz บนชิปเซต เมนบอร์ด Z370


สำหรับจำนวน Core และ Threads ที่เป็นไฮไลท์เด็ดเลยนั้น เอาแค่ตัวเริ่มต้นอย่าง Intel Core i3 ก็ได้ 4 Core/4 Threads เข้าไปแล้ว ส่วน Intel Core i7 รุ่นท็อปสุด ก็จัดเต็มที่ 6 Core/12 Threads กันเลย (ไม่ต้องซื้อ X-series แล้ว ฮ่าๆ) และชื่อของมันคือ i7-8700K ชิปซีพียูสำหรับเล่นเกมที่ดีที่สุดของ Intel


นอกจาก Core ที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว 8th Gen Intel ก็ยังมี Frame Rate เร็วกว่ารุ่นท็อปของตัว 7th Gen Intel 25% โดยวัดจากเกม Gears of War 4 ที่เล่นได้ลื่นๆ ถึง 195 FPS กันเลย กับมีประสิทธิภาพ Mega-Tasking ได้มากกว่าเดิม 45% บันทึกวิดีโอพร้อมอัพโหลดไฮไลท์สำคัญๆ บนออนไลน์ โดยเทสกับเกม PUBG นี้เอง


สำหรับราคา 8th Gen Intel Core Processor แต่ละรุ่น ทาง Intel ก็ประกาศออกมาแล้วตามนี้
  • Intel Core i7-8700K (6 Core/12 Threads) ราคา 359 เหรียญฯ หรือประมาณ 12,000 บาท
  • Intel Core i7-8700 (6 Core/12 Threads) ราคา 303 เหรียญฯ หรือประมาณ 10,000 บาท
  • Intel Core i5-8600K (6 Core/6 Threads) ราคา 257 เหรียญฯ หรือประมาณ 8,500 บาท
  • Intel Core i5-8400 (6 Core/6 Threads) ราคา 182 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,000 บาท
  • Intel Core i3-8350K (4 Core/4 Threads) ราคา 168 เหรียญฯ หรือประมาณ 5,600 บาท
  • Intel Core i3-8100 (4 Core/4 Threads) ราคา 117 เหรียญฯ หรือประมาณ 3,900 บาท
ส่วนวันวางจำหน่าย จะเริ่มภายในวันที่ 5 ตุลาคม เร็วๆ นี้ ส่วนใครอยากดูสไลด์ข้อมูลเต็มๆ ดูต่อได้ที่นี้เลยครับ 8th Gen Intel Core Overview (PDF)

ที่มา: ARiP

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

Uber เปิดให้บริการในขอนแก่นแล้ว

Uber ประกาศให้บริการในจังหวัดขอนแก่นแล้ว โดยเปิดให้บริการทั้งรถยนต์ธรรมดา uberX และบริการเรียกรถยนต์อะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้ที่สุด uberFLASH ซึ่งกรณีของ uberFLASH นี้จะมีแท็กซี่เข้าร่วมด้วย

ในช่วงการเปิดให้บริการที่จังหวัดขอนแก่นนี้ Uber ได้ให้โปรโมชั่นส่วนลดโดยผู้ใช้สามารถใส่โค้ด KKCUBER ในแอพ Uber ได้ทันที ซึ่งจะมีส่วนลดให้ 50 บาทถึง 3 ครั้งสำหรับผู้ใช้ใหม่ที่ใช้บริการ uberX และ uberFLASH ในขอนแก่นเท่านั้น ซึ่งโปรโมชั่นสามารถใช้งานได้จนถึงสิ้นปีนี้

ส่วนผู้ที่ไม่ได้ใช้ Uber เป็นครั้งแรก ก็สามารถใช้วิธีชวนเพื่อให้ใช้ Uber โดยแชร์รหัสแนะนำซึ่งเมื่อเพื่อนลงทะเบียนครั้งแรกและใส่รหัสแนะนำ ฝ่ายผู้แนะนำก็จะได้ส่วนลด 50 บาทถึง 3 ครั้งด้วยเช่นกัน

อัตราค่าโดยสาร Uber ในขอนแก่นคิดดังนี้
  • ค่าโดยสารเริ่มต้น 20 บาท
  • ค่าโดยสารต่อกิโลเมตร 2 บาท
  • ค่าโดยสารต่อนาที 2 บาท
  • ค่าโดยสารขั้นต่ำ 40 บาท
  • ค่าธรรมเนียมยกเลิก 35 บาท โดยคิดเมื่อกดยกเลิกการเดินทางหลังกดเรียกรถแล้ว 5 นาที หรือพาร์ทเนอร์ไปถึงจุดนัดรับและไม่พบหรือไม่สามารถติดต่อผู้โดยสารได้หลังจากผ่านไปแล้ว 5 นาที

พื้นที่ให้บริการ Uber ในจังหวัดขอนแก่นเป็นไปตามแผนที่ด้านล่าง


ที่มา: Blognone

Java EE 8 ออกแล้ว ออราเคิลเตรียมออก Java EE 9 ตามมาในปีหน้า

นอกจาก Java SE 9 แล้ว ออราเคิลยังออก Java EE 8 มาพร้อมกัน (ทิ้งช่วงจาก Java EE 7 ที่ออกในปี 2013 นาน 4 ปีกว่า) ของใหม่ในรุ่นนี้ได้แก่
  • Java Servlet 4.0 API รองรับการเชื่อมต่อผ่าน HTTP/2
  • ปรับปรุงการรองรับ JSON หลายอย่าง เช่น JSON-B (JavaScript Object Notation Binding) และ JSON-P (JSON Processing API)
  • REST Reactive Client API ตัวใหม่, Security API ตัวใหม่
  • JavaServer Faces 2.3
  • รองรับฟีเจอร์และ API ใหม่ๆ ของ Java SE 8 (ที่ออกเมื่อสามปีก่อน)
ออราเคิลยังเตรียมจะออก Java EE 9 ตามมาทันทีในปีหน้า ส่วนตัวโครงการก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการยกให้ Eclipse Foundation ดูแล ตามที่เคยประกาศไว้

ที่มา: Blognone

Craig Federighi ตอบคำถาม Face ID ใน iPhone X ปลอดภัยและดีกว่า Touch ID หรือไม่?

ฟีเจอร์สำคัญที่ถูกพูดถึงอย่างมากใน iPhone X หนีไม่พ้น “Face ID” หรือสแกนใบหน้า ระบบรักษาความปลอดภัยแบบไบโอเมตริกซ์ แทนที่ Touch ID หรือสแกนลายนิ้วมือ ซึ่งเชื่อว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนมากสงสัยในการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ดังกล่าวว่าใช้ได้ผลดีและมีความปลอดภัยจริงหรือไม่? โดยงานนี้ Craig Federighi หนึ่งในทีมผู้บริหารคนสำคัญของ Apple ออกมาให้ข้อมูลต่อเรื่องนี้ด้วยตัวเองครับ 


โดย Craig Federighi ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากเว็บไซต์ TechCrunch ในประเด็น Face ID ใน iPhone X ซึ่งแอดมินขอสรุปให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ

1. “การสร้าง Face ID” สำหรับ Apple ได้มีการรวบรวมภาพหลายพันล้านภาพเพื่อสร้างชุดข้อมูลทางภูมิศาสตร์และชาติพันธุ์ ก่อนนำมาทดสอบและตรวจสอบความถูกต้องต่อการรับรู้ของระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถดึงภาพจากอินเทอร์เน็ตมาใช้ได้

2. การทดลอง Face ID ได้มีการใช้ใบหน้าจริงเพื่อการจดจำรายละเอียดที่มีความแม่นยำและความถี่สูงจากหลายๆ มุม และนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น

3. ลูกค้าที่ใช้ Face ID ขอยืนยันว่า Apple ไม่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลใบหน้าของลูกค้าแต่อย่างใด

4. Face ID มีคุณสมบัติที่ช่วยให้สามารถจดจำใบหน้าที่เปลี่ยนไปของลูกค้าได้ ไม่ว่าใบหน้านั้นจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ, ทรงผม, เครา หรือแม้กระทั่งการทำศัลยกรรม

5. Face ID จะมีรูปแบบการรักษาความปลอดภัยเช่นเดียว Touch ID ที่เรียกว่า Secure Enclave ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยภายในชิปประมวลผล ทำให้มีการจัดเก็บข้อมูลใบหน้า แต่จะใช้เพียงการแทนค่าทางคณิตศาสตร์เท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นจะทำวิศวกรรมย้อนกลับภาพใบหน้าที่แท้จริงของคุณจากข้อมูลที่จัดเก็บไว้

6. Apple ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ดังนั้นการเปิดโหมดรักษาความปลอดภัยจะอย่าง Face ID จะบังคับให้ใส่ Passcode ด้วย

7. “ปิดใช้งาน Face ID ยังไง?” ในสถานการณ์คับขัน เช่น โดนโจรปล้นและบังคับให้คุณส่งมอบไอโฟนให้ ซึ่งใน iPhone 8 / 8 Plus และ iPhone X เมื่อคุณกดค้างที่ปุ่มด้านข้างทั้งสองด้านไว้สักครู่ ระบบจะปิดการใช้งาน Face ID เป็นวิธีสั้นๆ ง่ายๆ ที่ทำให้โจรไม่สามารถใช้ Face ID หรือ Touch ID ปลดล็อคเครื่องของคุณได้

8. Face ID สามารถสแกนใบหน้าได้ แม้ในที่มืด


9. หากไม่มีการใช้ Face ID นาน 48 ชั่วโมง ระบบจะเริ่มต้นให้ผู้ใช้ใส่ Passcode ใหม่อีกครั้ง

10. หากมีความพยายามปลอมแปลง Face ID จำนวน 5 ครั้ง ระบบจะเริ่มต้นให้ใส่ Passcode แทน

11. นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่สามารถเข้าข้อมูลจาก Face ID ได้ แต่สามารถใช้โค้ดบางส่วนที่ Apple อนุญาตสำหรับใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่น ARKit

12. “การสวมใส่แว่นกันแดดไม่ใช่ปัญหา” เนื่องจาก Face ID มีอินฟาเรดที่สามารถส่องผ่านเลนส์แว่นได้ ทำให้สามารถสแกนใบหน้าได้แม้สวมแว่น

13. ในกรณี “คนตาบอด” จะใช้การจดจำใบหน้าเพียงอย่างเดียว แม้จะใช้งานได้ แต่ประสิทธิภาพของ Face ID จะลดลง

14. หากผู้ใช้ประกอบอาชีพศัลยแพทย์ หรือทำงานที่ต้องใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้า Face ID จะไม่สามารถใช้งานได้ แต่หากสวมหมวกหรือใส่ผ้าพันคอการทำงานของ Face ID ก็จะเป็นไปตามปกติ

15. หากไม่มีการป้อน Passcode นาน 6.5 วัน และไม่ได้ใช้ Face ID นาน 4 ชั่วโฒง ระบบ Face ID จะถูกปิดใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้ใส่ Passcode อีกครั้งหนึ่ง

16. ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการเช็คเวลาหรือดูการแจ้งเตือนเท่านั้น การจ้องที่หน้าจออาจเป็นการใช้ Face ID เพื่อปลดล็อคและเข้าสู่หน้าโฮม เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว Apple จึงแนะนำให้ผู้ใช้ swip หน้าจอขึ้นทันทีหลัง Face ID ทำงาน

17. ใช้ Face ID จำเป็นหรือไม่ ที่ต้องยก iPhone ขึ้นมาตรงหน้า? คำตอบ คือ ไม่จำเป็น เนื่องจากระบบ Face ID มีการจดจำรายละเอียดต่างๆ บนใบหน้าอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นไม่ว่าผู้ใช้จะมองผ่านมุมที่สูงหรือต่ำกว่าก็สามารถปลดล็อคหน้าจอได้


ที่มา: ARiP

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

C by GE Sol หลอดไฟอัจฉริยะพร้อม Alexa วางจำหน่ายแล้วที่ราคา 200 ดอลลาร์

หากใครยังจำได้ เมื่อปลายปีที่แล้ว GE เปิดตัวหลอดไฟพร้อม Alexa โดยตอนนี้ก็ถึงเวลาที่หลอดไฟอัจฉริยะจาก GE จะวางขายแล้ว

หลอดไฟนี้มีชื่อว่า C by GE Sol ถือเป็นหลอดไฟที่มีระบบผู้ช่วยส่วนตัว Alexa อยู่ภายในเป็นตัวแรกที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด ตัวโคมไฟเป็นหลอดไฟที่สามารถปรับเฉดสีขาวได้ ตั้งแต่โทนขาว (daylight) ไปจนถึงโทนเหลือง (warm) มีแถบสีน้ำเงินและแดงภายในวงแหวนของหลอดไฟ เพื่อเป็นการแสดงเวลาแทนเข็มสั้นและเข็มยาว และเมื่อเรียก Alexa ขึ้นมาจะมีเอฟเฟคแสดง

ตัวฐานของหลอดไฟนั้นเป็นไมโครโฟนและลำโพง เพื่อให้ผู้ใช้สั่ง Alexa ให้ทำงานได้ตามต้องการ โดย C by GE Sol สามารถสั่งคำสั่งของ Alexa ได้ทุกอย่างเหมือนกับ Amazon Echo บนตัวหลอดไฟมีปุ่มสำหรับปิดเสียง Alexa, เปิดหลอดไฟ, ปรับความดังของเสียง และปรับความสว่างของหลอดไฟ ซึ่งสิ่งที่เพิ่มมาจาก Alexa ปกติก็มีคำสั่งปรับไฟ เช่น ลดแสง, เพิ่มแสง, ปรับโทนแสง ฯลฯ

สำหรับราคาของหลอดไฟ C by GE Sol นี้อยู่ที่ 199.99 ดอลลาร์ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จากเว็บไซต์ C by GE 


ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

ก้าวสู่ปีที่ 11 ! Apple เปิดตัว iPhone X วิวัฒนาการอีกขั้นของไอโฟน

Apple เขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับตัวเองอีกครั้ง เปิดตัว iPhone X วิวัฒนาการอีกขั้นของไอโฟน พลิกโฉมทั้งดีไซน์ พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เปิดจอง 27 ตุลาคม ก่อนวางจำหน่าย 3 พฤศจิกายน นี้

iPhone X


เป็นชื่อที่สอดคล้องกับวาระการครบรอบ 10 ปีของ iPhone ตัวเครื่องด้านหน้าและด้านหลังเป็นกระจก กรอบทั้งสี่ด้านเป็นสแตนเลสสตีล จอแสดงผล OLED ขนาด 5.8 นิ้ว Super Retina display ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล (458ppi) พร้อมเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ True Tone สามารถแสดงผลแบบ HDR ได้ เพื่อการรับชมภาพยนตร์หรือซีรีส์ในแบบ Dolby Vision และ HDR10 ได้

 

iPhone X ไม่มีปุ่มโฮมอีกต่อไป


เป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดปุ่มโฮมแบบดั้งเดิมทิ้งไป หากผู้ใช้ต้องการกลับไปที่ home screen ให้กวาดหน้าจอจากด้านล่างขึ้นบน นอกจากยังทำให้ Touch ID หรือสแกนลายนิ้วมือหายไปอีกด้วย

 

Touch ID ไม่มีแล้ว ทดแทนด้วย Face ID

 


Face ID หรือเรียกง่ายๆ ว่า “สแกนใบหน้า” เกิดจากการผสมผสานของกล้องหน้า, เซนเซอร์ต่างๆ อาทิ Proximity sensor, Flood Illuminator, Ambient Light, Dot Projector พร้อมกันนี้ยังได้พัฒนา Neural engine ชิปขนาดเล็กแบบ Dual-core เพื่อให้การสแกนใบหน้าสามารถทำได้สมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งในที่มืดก็ตาม สามารถจดจำลักษณะใบหน้าของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะผู้ใช้จะเปลี่ยนการแต่งหน้า เปลี่ยนทรงผม หรือสวมใส่เครื่องประดับต่างๆ ซึ่ง Apple ระบุว่า Face ID มีโอกาสเพียง 1 ใน 1,000,000 ที่จะมีบุคคลอื่นปลดล็อคผ่าน Face ID ได้


คุณสมบัติของ Face ID นอกจากใช้ปลดล็อคเครื่องแทน Touch ID แล้ว ยังสามารถใช้ยืนยันตัวตนเพื่อชำระเงินผ่าน Apple Pay และแอพอื่นๆ ได้ด้วย

นอกจากนี้ Apple ยังได้พัฒนา “Animoji” เทคโนโลนีการติดตามใบหน้า ลูกเล่นที่ให้ผู้ใช้ได้เปลี่ยนใบหน้าเป็นตัวการ์ตูนสัตว์ต่างๆ ซึ่งคุณสมบัตินี้จะคอยทำตามการพูด การขยับใบหน้าได้แบบเรียลไทม์ สำหรับการสนทนาผ่าน iMessage

 

อัพเกรดกล้องหลังและกล้องหน้า

 


ทุกวันนี้กล้องถ่ายภาพไม่ได้แข่งกันที่ความละเอียดอีกต่อไป ซึ่งใน iPhone X ยังคงความละเอียดของกล้องหลังคู่ไว้ที่ 12 ล้านพิกเซล เพิ่มระบบกันสั่นเข้ามาไว้ทั้งสองเลนส์ (dual OIS) กล้องหลังตัวแรกใช้รูรับแสง f/1.8, กล้องหลังเลนส์ Telephoto ใช้รูรับแสง f/2.4, ลักษณะกล้องเป็นแนวตั้ง มีแฟลชแบบ Quad-LED True Tone พร้อม Slow Sync ให้ประสิทธิภาพดีขึ้น 2 เท่า ซึ่งใน Portrait mode มีการพัฒนาเพื่อรองรับการถ่ายภาพบุคคลให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการถ่ายในที่แสงน้อยด้วยโหมดที่เรียกว่า “Portrait Lighting” สามารถจัดแสงของภาพถ่ายให้เหมาะกับแสงธรรมชาติได้ รองรับการบันทึกวีดีโอที่ความละเอียด 4K@60fps


กล้องหน้าเป็นหนึ่งจุดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเช่นกัน มีเทคโนโลยีที่เรียกว่า “TrueDepth Camera” สามารถใช้ Portrait mode ได้เช่นเดียวกับกล้องหลัง ส่วนความละเอียดคงที่ 7 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.2 พร้อม Retina Flash

 

ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ แถมฉลาดมากขึ้น

 


ใน iPhone X มาพร้อมชิปประมวลผล A11 “Bionic” (ใช้ใน iPhone 8 และ 8 Plus ด้วย) แบบ Six-core, 64-bit เร็วขึ้นกว่าชิป A10 25% พร้อมมีระบบ Machine Learning ที่ช่วยการเรนเดอร์เกม, AR และการถ่ายภาพให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

 

แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม

 

ภายในงานเปิดตัว Apple เคลมว่า iPhone X มีแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานขึ้นกว่า iPhone 7 ถึง 2 ชั่วโมง

 

ถึงเวลาชาร์จไร้สาย

 

หลังจากกั๊กมานาน ในที่สุด iPhone X ก็สามารถรองรับ Wireless Charging หรือชาร์จไร้สายได้แล้ว และยังมาพร้อมอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า “AirPower” แท่นชาร์จที่สามารถใช้ทั้ง iPhone X, Apple Watch และ Apple EarPods ได้ในคราวเดียว

 

มาแค่ 2 ความจุ

 

ใน iPhone X มีให้เลือก 2 ความจุ คือ 64GB และ 256GB

 

มีให้เลือก 2 สี 

 

ตัวเครื่อง iPhone X มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Space Gray กับ Silver

 

ราคาและวันวางจำหน่าย

 

iPhone X จะเปิดตัวสั่งจองในวันที่ 27 ตุลาคม ก่อนจะเริ่มขายอย่างเป็นทางการในบางประเทศ 3 พฤศจิกายน ราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 33,000 บาท

คุณสมบัติอื่นๆ ได้แก่ กันน้ำ กันฝุ่นได้ (ไม่บอกมาตรฐานที่ใช้), ใช้ Bluetooth 5.0, ลำโพงแบบ Stereo, ปุ่มเรียกใช้ Siri ถูกย้ายมาอยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง เป็นต้น

ที่มา: ARiP

สู่ยุคประกันภัย 4.0 ! Roojai (รู้ใจ) ประกันภัยออนไลน์ เคียงข้างคุณ 24 ชั่วโมง

Roojai (รู้ใจ) ทางเลือกประกันภัยสำหรับผู้ใช้รถยนต์ในยุคดิจิทัล ง่าย ราคาไม่แพง เชื่อใจได้ พร้อมช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง


Roojai (รู้ใจ) ประกันภัยรถยนต์รายแรกที่รับรองเรื่องการคุ้มครอง “ซื้อประกันปุ๊บ คุ้มครองทันที” โดยขั้นตอนการสมัครใช้ประกันภัยรู้ใจ สามารถเข้าไปได้ที่ www.roojai.com โดยแต่ละขั้นตอนภายในระบบจะให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ พร้อมคำนวณค่าเบี้ยประกันให้อัตโนมัติ แต่หากผู้ใช้ยังไม่พอใจในเบี้ยประกันก็สามารถปรับเปลี่ยนได้เอง ซึ่งการชำระเงินค่าเบี้ยประกันสามารถชำระได้ผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต พร้อมโปรโมชั่นผ่อน 0% 10 เดือน โดยหลังจากการสมัครประกันภัยแล้วจะมีเจ้าหน้าที่จากรู้ใจโทรติดต่อเพื่อคอนเฟิร์มข้อมูลทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งเพื่อความถูกต้อง


หลังจากสมัครประกันภัยผ่าน www.roojai.com เรียบร้อยแล้ว การใช้บริการในกรณีเกิดอุบัติเหตุ, กรณีฉุกเฉิน หรือต้องการเคลมประกัน สามารถทำได้ผ่าน “Roojai Mobile App” ดาวน์โหลดฟรีผ่าน App Store สำหรับ iOS และ Play Store สำหรับ Android ซึ่ง Roojai Mobile App จะมีให้เลือกใช้งานต่างๆ ดังนี้

 

1. ตรวจสภาพรถออนไลน์ผ่านแอพได้ง่ายๆ

 


เพียงแค่นัดหมายวันเวลากับเจ้าหน้าที่ จากนั้นกดคลิกลิงค์ที่ได้รับทาง SMS เพื่อเริ่มตรวจสภาพรถผ่าน Video Call เสร็จเรียบร้อยก็รอรับกรมธรรม์ได้เลย

2. คุณสามารถเลือกแจ้งเหตุแบบ “แจ้งอุบัติเหตุรถยนต์” หรือ ”แจ้งรถเสียฉุกเฉิน” แอพจะทำการแชร์ตำแหน่งที่เกิดเหตุของคุณด้วยระบบ GPS ผ่าน Google Map และโทรหาสายด่วนอุบัติเหตุโดยอัตโนมัติ

3. เมื่อคุณยืนยันการแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุที่อยู่ใกล้ที่สุด จะเดินทางไปช่วยเหลือคุณทันที โดยในขณะที่รอ คุณสามารถมองเห็นตำแหน่งพร้อมความเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ของเจ้าหน้าที่ จนกว่าจะมาถึงที่เกิดเหตุ

4. กรณีต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม สามารถเลือกกดปุ่มโทรอัตโนมัติสายด่วนอุบัติเหตุ ผู้เชี่ยวชาญด้านสินไหมพร้อมให้ความช่วยเหลือและแนะนำขั้นตอนการเคลม ตลอด 24 ชั่วโมง

5. นอกจากนี้ สามารถศึกษาขั้นตอนวิธีแจ้งอุบัติเหตุ ขั้นตอนการเคลมง่ายๆ หลายช่องทาง แล้วจะเห็นว่าการเคลมประกันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ที่มา: ARiP

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

งานวิจัยชิ้นใหม่เผย AI สามารถระบุคนมีความชอบทางเพศเป็นเกย์ได้อย่างแม่นยำ ผ่านภาพใบหน้า

แม้เรื่องความชอบทางเพศ (sexual orientation) จะเป็นเรื่องส่วนบุคคล และในทางวิชาการสังคมศาสตร์ มีการถกเถียงกันอยู่เป็นระยะว่าเป็นเรื่องของสังคมสร้าง (social construction) หรือเรื่องทางชีววิทยา (biological determine) แต่งานวิจัยชิ้นล่าสุดที่กำลังจะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Journal of Personality and Social Psychology ชี้ให้เห็นว่าระบบประสาทเทียมระดับลึก (deep neural network) ที่ใช้เป็นฐานของระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบุว่าคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกความชอบทางเพศได้ โดยใช้เทคนิคการสแกนภายใบหน้าเพียงครั้งเดียว

งานวิจัยดังกล่าวนี้ดำเนินการโดย Yilun Wang และ Michal Kosinski จาก Graduate School of Business (เทียบเป็นไทยคือ บัณฑิตวิทยาลัยธุรกิจ) ของมหาวิทยาลัย Stanford โดยใช้ซอฟต์แวร์อย่าง Face++ เข้ามาช่วย และสแกนภาพใบหน้ากว่า 35,000 ภาพ จากนั้นจึงเข้าระบบอัลกอริทึมเพื่อจำแนกเพศ โดยพบว่าระบบสามารถจำแนกเพศระหว่างคนที่มีความชอบทางเพศเป็นเกย์กับคนที่มีความชอบทางเพศแบบดั้งเดิม (heterosexual) ได้อย่างแม่นยำในภาพเดียว มีค่าความแม่นยำที่ 81% สำหรับเพศชาย และ 71% ในเพศหญิง และเพิ่มขึ้นเป็น 91% และ 83% ในกรณีที่มีภาพของคนเดียวกันแต่จากมุมอื่นๆ เข้ามาเสริมเป็น 5 ภาพ

คณะผู้วิจัยระบุว่า การรับรู้เรื่องความชอบทางเพศของมนุษย์ (human perception) มีอยู่อย่างจำกัด และอาจเป็นการบ่งบอกถึงที่มาของเพศสภาพในแต่ละบุคคลนั้นได้ รวมไปถึงความเสี่ยงที่ระบบการรับรู้ใบหน้า (facial recognition) อาจสร้างปัญหาในความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะในเรื่องเพศด้วย

ร่างเปเปอร์มีให้ดาวน์โหลดแล้ว แต่ตัวเปเปอร์จริงอาจต้องรอผ่านการตรวจสอบ (peer-review) อีกระยะหนึ่งกว่าจะตีพิมพ์ได้ ใครสนใจไปกดอ่านได้


ที่มา: Blognone

Apple และ Microsoft นำทีมบริษัทไอที ต้าน ‘ทรัมป์’ หลังยกเลิกโครงการคุ้มครองผู้อพยพ

กลายประเด็นร้อนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกโครงการคุ้มครองผู้อพยพที่เป็นเด็กและเยาวชน ที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ แบบผิดกฎหมาย หรือ DACA ซึ่งคาดว่าการยกเลิกครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้อพยพกว่า 800,000 คนทั่วประเทศ (หรือเรียกบุคคลกลุ่มนี้ว่า “Dreamers”) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มพนักงานจำนวนมากในบริษัทไอทีด้วย


การประกาศยกเลิกโครงการ DACA ของโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อให้เกิดการต่อต้านจากบริษัทไอทีระดับโลกจำนวนมาก โดยเริ่มจาก Brad Smith ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ Microsoft ที่ออกมาแถลงคัดค้านการยกเลิกโครงการ DACA โดย Brad Smith ระบุว่าปัจจุบัน Microsoft มีการว่าจ้าง Dreamers จำนวน 39 คน เพื่อทำงานให้กับบริษัท และยืนยันจะอยู่เคียงข้างกับพนักงานเหล่านี้ พร้อมจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิให้กับ Dreamers หากสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ไม่สามารถหาข้อสรุปที่เป็นธรรมได้

จากนั้น Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft ได้ออกมาสนับสนุน Brad Smith ผ่าน linkedin ว่า ในการมีส่วนร่วมของพนักงานที่มีพรสวรรค์จากทั่วโลกมีผลต่อการดำเนินงานของบริษัทไปจนถึงเศรษฐกิจในวงกว้าง ที่ผ่านมา Microsoft ใส่ใจและสนับสนุนกลุ่ม Dreamers อย่างเต็มที่มาโดยตลอด พร้อมยอมรับในความหลากหลายและเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจของทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนหลอมรวมให้เป็นอเมริกาอย่างที่รู้จักเช่นทุกวันนี้

Tim Cook ซีอีโอ Apple ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านการยกเลิกโครงการ DACA เช่นกัน โดยระบุว่าปัจจุบัน Apple มี Dreamers ที่ทำงานอยู่ประมาณ 250 คน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้สมควรได้รับความเคารพอย่างเท่าเทียมกัน และยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างกับพนักงาน ซึ่ง Apple พร้อมที่จะทำงานร่วมกับสภาคองเกรส เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาด้านกฎหมายสำหรับการคุ้มครองกลุ่ม Dreamers ในสหรัฐฯ อย่างยั่งยืน

นอกจากบุคคลทั้ง 3 แล้ว ยังมี Sundar Pichai ซีอีโอ Google, Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook, Jeff Bezos ซีอีโอ Amazon รวมไปถึงผู้นำในอุตสหกรรมไอทีอีกจำนวนมาก ที่ออกมาคัดค้านการยกเลิกโครงการ DACA นอกจากนี้เหล่าผู้นำในอุตสหกรรมไอทีกว่า 300 คน ยังได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อแสดงจุดยืนที่มีต่อกลุ่ม Dreamers

สำหรับโครงการ DACA เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามา เป็นโครงการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในช่วงอายุระหว่าง 6-16 ปี ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย สามารถพักอาศัย ศึกษาเล่าเรียน และได้สิทธิในการทำงานในสหรัฐฯ ด้วย

แต่หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนึ่งในนโยบายในการบริหารประเทศ คือ  “อเมริกาต้องมาก่อน” ทั้งแรงงานและครอบครัวอเมริกันจะต้องได้รับสิทธิประโยชน์เป็นลำดับแรก ดังนั้นการยกเลิกโครงการ DACA นับเป็นความพยายามดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่โดนัล ทรัมป์ ประกาศไว้ เพื่อลดทอนกลุ่มเชื้อชาติอื่นที่เข้ามาอาศัยในสหรัฐฯ ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลลัพธ์ที่จะตามมากลับส่งผลกระทบต่อประชากรจำนวนมาก พร้อมก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในสังคมในสหรัฐฯ และอาจลุกลามไปถึงระบบเศรษฐกิจในอนาคตด้วย

ข้อเรียกร้องของบริษัทไอที ไปจนถึงกระแสต่อต้านจากผู้คนจำนวนมากในสหรัฐฯ จะมีผลต่อการตัดสินใจของสภาคองเกรสของสหรัฐ และนำมาซึ่งข้อสรุปที่เป็นธรรมได้หรือไม่ รวมไปถึงจะมีผลทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ ยอมถอยจากนโยบายนี้ได้หรือไม่ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งครับ

ที่มา: ARiP

Oracle ประกาศ เตรียมเปิดซอร์ส Oracle JDK ทั้งหมด 100% สู่ OpenJDK

นอกจากประเด็นเรื่องระบบการออกรุ่นแบบใหม่ของ Java SE ทาง Mark Reinhold หัวหน้าฝ่ายสถาปัตยกรรม Java ของ Oracle ก็ยังประกาศแผนการโอเพนซอร์ส Oracle JDK ทั้งหมดในอนาคตด้วย

ปัจจุบันตัว JDK (Java Development Kit) แยกเป็น 2 เวอร์ชันคือ OpenJDK ที่เป็นโอเพนซอร์ส และ Oracle JDK ที่เพิ่มฟีเจอร์เชิงพาณิชย์บางส่วน (เช่น Java Flight Recorder, Mission Control) เข้ามา โดย Oracle มีรายได้จากค่าซัพพอร์ตองค์กรที่ใช้งาน Oracle JDK ด้วย

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ Oracle จะทยอยเปิดซอร์สของฟีเจอร์ทั้งหมดใน Oracle JDK เข้าสู่โครงการ OpenJDK (เท่ากับว่าต่อไปจะมี JDK เวอร์ชันเดียวในตอนสุดท้าย) กำหนดการจะเริ่มหลังจาก Java 9 ออกในเดือนนี้ แต่ Oracle ก็ระบุว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะเปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดได้ครบ


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

ปูตินประกาศวิสัยทัศน์ "ใครที่เป็นผู้นำด้าน AI จะเป็นผู้นำโลกในอนาคต"

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ไปพูดให้นักเรียนรัสเซียฟังในหัวข้อ "โลกอนาคตเป็นของ AI" โดยเขาย้ำว่า AI คืออนาคต ไม่ใช่แค่ของรัสเซีย แต่เป็นอนาคตของมนุษยชาติ มันสร้างโอกาสมหาศาล แต่ก็อาจเป็นภัยที่พยากรณ์ได้ยากในปัจจุบัน ใครก็ตามที่เป็นผู้นำด้าน AI จะเป็นผู้นำโลกในอนาคต

เขายังบอกว่าเขาไม่อยากเห็นการผูกขาดการพัฒนา AI กับองค์กรเพียงไม่กี่แห่ง และถ้ารัสเซียเป็นผู้นำในเรื่องนี้ รัสเซียจะยินดีแบ่งปันความรู้แก่โลก เช่นเดียวกับที่รัสเซียเคยแบ่งปันความรู้ด้านนิวเคลียร์มาก่อน รัสเซียต้องรีบพัฒนาตัวเองในเรื่องนี้เพื่อไม่ให้เป็นชาติที่ล้าหลังหรือตกขบวนในอนาคต

เขายังพูดถึงวิทยาการด้าน cognitive science ที่เกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ร่วมกับศาสตร์ด้านอื่นๆ ว่ายังไปได้อีกไกลมากจนแทบไม่มีขอบเขต

การพูดของปูตินถูกถ่ายทอดไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ 160,000 แห่ง คาดว่ามีผู้ชมรวมมากกว่า 1 ล้านคน


ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

โอเพนซอร์สก็มา ไลบรารี promptpay-qr สำหรับสร้าง PromptPay QR ด้วยจาวาสคริปต์

คุณไท ปังสกุลยานนท์ เผยแพร่ไลบรารีโอเพนซอร์ส promptpay-qr เป็นไลบรารีสำหรับสร้าง PromptPay QR ด้วยจาวาสคริปต์

ตัวไลบรารีมีเพียงฟังก์ชั่นเดียวและสองอาร์กิวเมนต์ คือ generatePayload(idOrPhoneNo, { amount }) เพื่อสร้างสตริงสำหรับนำไปสร้าง QR อีกที

โครงการเผยแพร่อยู่บน GitHub มีทั้งเวอร์ชั่นเว็บสำหรับ firebase และ command line ติดตั้งผ่าน npm ได้ทันที


ที่มา: Blognone

ใช้งานเลยไม่ต้องรอ Digio เปิดเว็บสร้าง PromptPay QR

วันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดตัว PromptPay QR บริษัท Digio ผู้พัฒนาโซลูชั่นจุดรับจ่ายเงินก็เปิดเว็บสร้าง PromptPay QR ด้วยตัวเอง ทำให้ทุกคนสามารถสร้าง QR เพื่อรับเงินได้เลย

QR สามารถสร้างด้วยข้อมูลน้อยที่สุดคือหมายเลขพร้อมเพย์อย่างเดียว และเพิ่มข้อมูลอื่นๆ ตั้งแต่จำนวนเงิน ชื่อผู้รับ ไปจนถึงระบุประเภทร้านค้าได้ด้วย (ไม่แน่ใจว่าใช้งานตอนไหน?)

ผมทดสอบแล้วกับ PromptPay ที่ผูกกับ TMB ก็ใช้งานได้เช่นกัน ใครลองแล้วได้ผลอย่างไรลองมาเล่าสู่กันฟังได้ครับ


ข้อมูลเปิดเผย: ทาง Digio เป็นผู้สนับสนุน Blognone ด้วยการลงโฆษณาหางานใน Jobs Plus

ที่มา: Blognone