วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

Docker Enterprise Edition ออกเวอร์ชัน 2.0 รองรับ Kubernetes

บริษัท Docker Inc. เปิดตัว Docker Enterprise Edition 2.0 ถือเป็นเวอร์ชันสองต่อจาก Docker EE 1.0 ในปีที่แล้ว

ความแตกต่างสำคัญของ Docker EE กับ Docker รุ่นฟรี (Community Edition) คือบริการซัพพอร์ต, การรับรอง (certified) และฟีเจอร์ชั้นสูงอย่างระบบสแกนความปลอดภัย

ของใหม่ใน Docker EE 2.0 ได้แก่ รองรับ Kubernetes นอกเหนือจาก Swarm, ปรับระบบจัดการคลัสเตอร์ให้ใช้ง่ายขึ้น, รองรับ Layer 7 routing and load balancing (เฉพาะ Swarm), ระบบความปลอดภัย กำหนด policy เจาะจงเฉพาะอิมเมจที่ผ่านการรับรอง เป็นต้น


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

บัตรเครดิตในสหรัฐ ยกเลิกการเซ็นสลิปเมื่อรูดบัตร มีผลแล้ววันนี้

ผู้ให้บริการบัตรเครดิต 4 รายใหญ่ในสหรัฐคือ Visa, Mastercard, American Express, Discover ประกาศนโยบายยกเลิก "การเซ็นสลิป" กับการรูดบัตรในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เริ่มมีผลในวันที่ 13 เมษายน (เมื่อวานนี้)

ก่อนหน้านี้ บัตรเครดิตบางรายยกเลิกการเซ็นสลิปมาก่อนแล้ว แต่เฉพาะธุรกรรมที่จำนวนไม่มากนัก (ในบ้านเราก็เริ่มทำบ้างพอสมควรแล้ว) แต่ภายใต้นโยบายใหม่ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะไม่บังคับให้ลูกค้าต้องเซ็นสลิป รวมถึงร้านค้าไม่จำเป็นต้องเก็บสลิปที่เซ็นแล้ว แต่สุดท้ายการตัดสินใจขึ้นกับร้านค้าแต่ละราย ว่าจะยังต้องการลายเซ็นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การยกเลิกลายเซ็นในสหรัฐ ไม่ได้บังคับให้เปลี่ยนมาใช้ระบบกด PIN เหมือนกับในยุโรป (เสียบบัตร+กดรหัสเพื่อยืนยันตัวตน) ทำให้อาจมีข้อกังวลด้านความปลอดภัยในการรูดบัตรเช่นกัน


ที่มา: Blognone

เปิดตัว JPEG XS มาตรฐานไฟล์รูปภาพแบบใหม่สำหรับ Virtual Reality, Drone และรถยนต์ไร้คนขับ

Joint Photographic Experts Group (JPEG) ได้ออกมาประกาศเปิดตัว JPEG XS ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับไฟล์รูปภาพที่รองรับภาพขนาดใหญ่คุณภาพสูงได้ สำหรับใช้ใน Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR), Drone, ภาพถ่ายจากอวกาศ, ภาพยนตร์ และรถยนต์ไร้คนขับ


JPEG XS นี้ใช้กระบวนการการบีบอัดไฟล์แบบใหม่ที่ขนาดอาจจะไม่เล็กเท่าเดิม แต่ก็ใช้พลังงานน้อยลงและยังได้คุณภาพภาพที่สูงมากอยู่ เพื่อให้สามารถส่งผ่านระบบโครงข่ายอย่าง 5G และ Wi-Fi ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปกติแล้ว JPEG นั้นจะสามารถบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลงได้ประมาณ 10 เท่า แต่ JPEG XS นี้จะบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลงได้ประมาณ 6 เท่าเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ของ JPEG XS นี้แทบจะไม่ต่างจากภาพต้นฉบับเลย

JPEG XS นี้จะยังคงเป็น Open Source เช่นเดิม และเชื่อว่าในอนาคตก็อาจกลายเป็นอีกมาตรฐานไฟล์ภาพแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมได้

ที่มา: TechTalk

Apple กลายเป็นบริษัทที่ใช้พลังงานหมุนเวียนได้ครอบคลุม 100%

ตอนนี้ Apple กลายเป็นบริษัทที่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ครอบคลุมถึง 100% แล้วในส่วนธุรกิจ เช่น ร้านสาขา ออฟฟิศ ดาต้าเซนเตอร์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในอีก 43 ประเทศ เช่น อเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และอินเดีย เป็นต้น

 
จากคำกล่าวของ Apple พวกเขาให้สัญญาที่จะสู้กับภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและสร้างสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ด้วยการสร้างโปรเจ็คการใช้งานพลังงานหมุนเวียนขึ้นมาหลายโครงการเพื่อตอบโจทย์นี้ เช่น แผงโซล่าร์เซลล์ ฟาร์มพลังงานลม เทคโนโลยีแก๊สชีวภาพและระบบสร้าง Micro-hydro  รวมถึงเทคโนโลยีในการกักเก็บพลังงานอีกด้วย

โดยตอนนี้ Apple มีโปรเจ็คพลังงานหมุนเวียนถึง 25 โครงการซึ่งผลิตพลังงานได้กว่า 626 เมกะวัตต์ ตัวอย่างเช่น Headquarter ใหม่ใน Cupertino รัฐแคลิฟอร์เนีย มีการใช้แผงโซลาเซลล์บนดาดฟ้าถึงที่ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 17 เมกะวัตต์ ตามรูปด้านบน

ที่มา: TechTalk

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

Tesla Model 3 รุ่นจำหน่ายจริงราคาเริ่ม 1.16 ล้านบาท พวงมาลัยขวารอ ปี 2019

Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ เผยสเปคและราคาเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงในต่างประเทศอย่างเป็นทางการ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard เริ่มต้น 1.16 ล้านบาท กับ Long Range ราคา 1.46 ล้านบาท ส่วนพวงมาลัยขวาจะเริ่มต้นผลิตในปี 2019


Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ รถไฟฟ้าระดับเริ่มต้น (Entry Level) หรือพูดง่ายๆ ว่าราคาจ่ายได้สบายกว่า Tesla Model S ในเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงที่หลายคนรอคอยนั้นได้รับการเผยโฉมรวมถึงรายละเอียดทางเทคนิคอย่างเป็นทางการแล้ว และถึงแม้ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะดูล้ำเข้ากับยุคสมัยแต่ Tesla ก็ขอย้ำแล้วย้ำอีกว่า Tesla Model 3 ไม่ใช่รถรุ่นใหม่ที่ไฮเทคกว่าที่เคยมี หนำซ้ำยังธรรมดา เล็ก เรียบง่าย และด้อยกว่า Tesla Model S ในทุกด้าน เพื่อให้มีราคาจำหน่ายที่ถูกลงเท่านั้น

แต่เราเชื่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่ก็รับรู้อยู่แล้วว่า Tesla Model 3 ปี 2018 นั้นถูกวางตำแหน่งไว้อย่างไร และไม่ว่า Tesla จะย้ำแค่ไหนก็ไม่น่าทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่พลีชีพจองไปแล้วล้มเลิกความตั้งใจที่จะครอบครอง Tesla Model 3 หรือหันไปซื้อ Tesla Model S ได้มากกว่านี้แน่นอน (อย่างน้อยก็ตอนนี้) เพราะจัดว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ดูดีและมีความคล้ายกับ Tesla Model S มาก แต่ราคาไม่แพงจนเกินไปนัก (สำหรับรถไฟฟ้าและไม่บวกรายการที่เป็นออปชั่น) โดย Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard ราคาเริ่มต้น 35,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.16 ล้านบาท) และ Long Range ราคาเริ่มต้น 44,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.46 ล้านบาท)


สำหรับดีไซน์ภายนอกของ Tesla Model 3 ปี 2018 เวอร์ชั่นผลิตจริงก็ไม่ต่างไปจากภาพก่อนหน้าที่เห็นกันจนชินตานัก ซึ่งหลายคนอาจเผลอคิดไปว่าต่างประเทศมีขับกันเกลื่อนแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ล็อตแรกเพิ่งออกจากสายการผลิตเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2560 และผู้บริหารรวมถึงพนักงานของ Tesla ก็ได้ไปใช้ก่อน ส่วนฝั่งลูกค้านอกจริงๆ ส่งมอบไปได้แค่ 30 คัน เมื่อ 28 กรกฎาคม 2560 จากยอดจองจำนวนมหาศาล

ขณะที่ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จำนวน 100 คัน มีกำหนดส่งมอบได้อีกทีเดือนสิงหาคม และจะเพิ่มเป็น 1,500 คัน ในเดือนกันยายน ทั้งนี้หลังจากเดือนธันวาคม 2560 เป็นต้นไป ถึงจะผลิตได้เต็มกำลังสูงสุดที่ทำได้ อยู่ที่ประมาณ 5,000 คัน/สัปดาห์ ส่วนมิติตัวถังของ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ นั้นก็ไม่ได้เล็กมาก เพราะยาว 4,673 มม. กว้างถึง 1,932 มม. (ยังไม่รวมกระจกมองข้างด้วยซ้ำ) สูง 1,442 มม. ฐานล้อยาว 2,875 มม. และหนัก 1,603 กก. ในรุ่นย่อย Standard ส่วนรุ่นย่อย Long Range หนัก 1,730 กก. มีสีตัวถังมีเพียงสีดำเท่านั้นที่ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หากต้องการสีอื่น เช่น สีเงิน ซิลเวอร์ เมทัลลิก, สีเงิน มิดไนท์ ซิลเวอร์ เมทัลลิก, สีน้ำเงิน ดีพ บลู เมทัลลิก, สีขาวมุก มัลติ-โค๊ต และสีแดง มัลติ-โค๊ต ต้องจ่ายเพิ่ม 1,000 ดอลลาร์ (3.3 หมื่นบาท) เช่นเดียวกับล้ออัลลอยหากขนาดมาตรฐาน 18 นิ้ว ยังเล็กไปต้องการเพิ่มเป็นขนาด 19 นิ้ว ก็จ่ายอีก 1,500 ดอลลาร์ (50,000 บาท)


ทางด้านภายในก็ค่อนข้างเรียบง่ายและแผงหน้าปัดมีเพียงจอแสดงผลขนาด 15 นิ้ว ซึ่งใหญ่มากติดตั้งอยู่บริเวณตรงกลางสำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวรถรวมถึงแผนที่และระบบนำทาง กับพวงมาลัยทรง 3 ก้าน โดยรวมๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ดูฟุ่มเฟือยหรือหรูหรามากมายนัก เบาะก็เป็นเบาะผ้า ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาตรฐานมีเพียง ระบบที่รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้ง Wi-Fi และ LTE, กุญแจ Keyless และความคุมระบบปรับอากาศได้ผ่านแอพพลิเคชั่น (บนสมาร์ทโฟน), ระบบการสั่งงานอุปกรณ์ด้วยเสียง, ระบบปรับอากาศแบบ 2 โซน (Dual Zone Climate Control) และกล้องมองหลัง เป็นต้น

ส่วนที่เหลือเป็นออปชั่นในพรีเมียมแพ็กเกจ ราคา 5,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.67 แสนบาท ก็จะได้ ระบบอุ่นเบาะ, แถบประดับลายไม้แบบโชว์ผิว (open pore wood decor), เบาะและแผงประตูหุ้มหนัง, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง, พวงมาลัยและกระจกมองข้างปรับไฟฟ้าที่สามารถบันทึกตำแหน่งของผู้ขับขี่ได้, ระบบเครื่องเสียงพรีเมียมรอบทิศทาง, หลังคากระจกที่กันแสงยูวีและอินฟาเรด, กระจกมองข้างที่ลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ พับไฟฟ้า และทำความร้อนเพื่อละลายหิมะหรือหยดน้ำได้, ไฟตัดหมอกแบบ LED รวมไปถึงคอนโซลกลางที่มีฝาปิดและช่องวางสมาร์ทโฟน


Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลประมาณ 354 กม. ในรุ่นย่อย Standard และเกือบ 500 กม. ในรุ่นย่อย Long Range ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. นั้นทำได้อยู่ประมาณ 5.1-5.6 วินาที แม้ว่าจะไม่หวือหวาแล้วในยุคนี้แต่ก็ถือว่าเร็วเหลือเฝือ นอกจากนี้ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสำหรับ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ที่ระบุไว้มีแค่ ถุงลมนิรภัย 8 จุด, ระบบเบรก ABS, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติและหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า, ระบบควบคุมการทรงตัว (Electronic Stability) รวมถึงระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) เป็นต้น

ทั้งนี้หากต้องการระบบขับขี่อัตโนมัติ Autopilot ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 5,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ 1.7 แสนบาท ซึ่งช่วยให้ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ เปลี่ยนช่องทางการจราจรและถอยจอดรถได้อัตโนมัติ (แบบ Tesla Model S) รวมไปถึงสามารถดาวน์โหลดความสามารถใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต นอกจากนี้ Tesla ยังยืนยันว่า Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะรองรับระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบได้ แต่อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดประมาณ 3,000 ดอลลาร์ หรือราว 1 แสนบาท


ข่าวร้ายนิดๆ ก็คือหาก Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ใส่ออปชั่นมาเต็มพิกัดก็จะไม่ได้เป็นรถไฟฟ้าที่ถูกนัก และที่ร้ายยิ่งกว่าคือ Tesla Model 3 รุ่นพวงมาลัยขวาจะเริ่มผลิตกันในปี 2019 ใครที่ยังแอบหวังว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสก็คงต้องนอนรอกันไปยาวๆ เพราะขนาดพวงมาลัยซ้ายถ้าจองตอนนี้ยังต้องรอขั้นต่ำ 1 ปี เลยทีเดียว


ที่มา: K@POOK!

Docker อายุครบ 5 ปี มีผู้ใช้งานโหลด Container ไป 37,000 ล้านครั้งแล้ว

Docker เทคโนโลยีที่ทำให้ Container ก้าวสู่การเป็น Mainstream ในทุกวันนี้ได้อายุครบ 5 ปีในเดือนมีนาคม 2018 นี้แล้ว พร้อมเผยสถิติการใช้งานและประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

  • เริ่มมีลูกค้า Docker EE แบบจ่ายเงินใช้แล้วมากกว่า 450 องค์กร
  • มีการโหลด Container ไปใช้งานมากกว่า 37,000 ล้านครั้ง
  • มีตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ Docker ประกาศอยู่บน LinkedIn มากกว่า 15,000 ตำแหน่ง
  • มี Application ที่ถูกทำ Dockerize แล้ว 3.5 ล้าน Application
  • มี Docker User Group มากกว่า 200 กลุ่มที่ยัง Active อยู่ทั่วโลก
  • ร่วมก่อตั้ง Open Container Initiative (OCI)
  • มอบโครงการ containerd และ Notary ให้กับ Cloud Native Computing Foundation (CNCF)
สำหรับอนาคต Docker เองก็จะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานในฝั่งองค์กรให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมุมของ Security, Automation, Networking, Storage และอื่นๆ

ที่มา: TechTalk

แพตช์ล่าสุดของ Spring Framework อุดช่องโหว่ระดับวิกฤติด้วย ควรเร่งอัพเดต

แพตช์ของ Spring Framework 4.3.14 และ 5.0.4 ออกมาตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา แต่วันนี้ทาง Pivotal ก็ประกาศเพิ่มเติมว่าแพตช์ชุดนี้แก้ช่องโหว่ 3 รายการ โดยมีรายการหนึ่งเป็นช่องโหว่ระดับวิกฤติ เปิดทางให้แฮกเกอร์ส่งโค้ดเข้ามารันได้

ช่องโหว่ CVE-2018-1270 เปิดทางให้แฮกเกอร์ยิงข้อความที่สร้างเฉพาะเข้ามาในโมดูล spring-messaging หากมีกระบวนการยืนยันตัวคน เช่น Spring Security ก็จะจำกัดผู้โจมตีลงไปได้

อีกช่องโหว่ เป็นช่องโหว่ระดับสูง CVE-2018-1271 เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถอ่านไฟล์ได้เกินกว่าที่กำหนดไว้

โครงการที่ใช้ Spring Framework ควรเร่งอัพเดตโดยเร็ว


ที่มา: Blognone

ไมโครซอฟท์เปิดคอร์สวิชา AI ที่ใช้สอนพนักงาน ให้คนทั่วไปเรียนฟรีออนไลน์

ไมโครซอฟท์ประกาศนำคอร์สชุด Microsoft Professional Program for Artificial Intelligence ที่ใช้สอนพนักงานของตัวเองเรื่อง AI และ data มาให้คนทั่วไปเรียนฟรีๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต

คอร์สชุดนี้มีทั้งหมด 10 หัวข้อย่อย เช่น การเขียน Python เพื่อจัดการกับข้อมูล, คณิตศาสตร์และสถิติ ไปจนถึง machine learning และ deep learning แต่ละหัวข้อต้องใช้เวลาเรียน 8-16 ชั่วโมง และถ้าเรียนครบทั้งหมด รวมถึงทำโปรเจคต์ส่งครบ ก็จะได้ใบรับรอง Microsoft Professional Program Certificate in Artificial Intelligence ไว้ยืนยันความสามารถด้วย

การเรียนจะผ่านระบบของ edX ที่ไมโครซอฟท์เป็นพาร์ทเนอร์อยู่แล้ว ที่ผ่านมามีพนักงานของไมโครซอฟท์จบคอร์สนี้ไปแล้วมากกว่า 1,200 คน รายละเอียดของคอร์สดูได้จาก Microsoft Academy


 
ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ให้บริการเป็นรถแท็กซี VIP

BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีน (ทำความรู้จักกับ BYD เพิ่มเติมได้ที่บทความนี้) ได้เยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วยการนำรถยนต์ BYD มาให้บริการรถแท็กซี่จากการนำเข้าของบริษัท Rizen Energy ในฐานะผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

รถยนต์ที่ถูกนำเข้ามาให้บริการแท็กซี่คือ BYD e6 รถไฟฟ้าซีดาน 5 ประตูแบบ Full Electric และถูกวางตัวเป็นแท็กซี่พรีเมียม ทำให้อาจมีการคิดราคาสูงกว่าปกติ โดยรถยนต์ไฟฟ้าชุดแรกจะเริ่มวิ่งให้บริการเร็วๆ นี้ ขณะที่ BYD มีแผนจะนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาในไทยอีกราว 1,000 คันภายใน 2019

BYD e6 และรถไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ของ BYD ถูกนำมาจัดแสดงที่งานมอเตอร์โชว์ที่กำลังจัดอยู่ตอนนี้ด้วย


ที่มา: Blognone