วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สมาคมธนาคารเปิดตัว MyPromptQR ให้ร้านค้าสแกน QR จากแอป แบบเดียวกับ LINE Pay

ที่งาน Bangkok FinTech Fair 2019 สมาคมธนาคารเปิดตัวบริการ MyPromptQR บริการจ่ายเงินผ่าน QR แบบร้านค้าเป็นผู้สแกน (business scan consumer - B scan C) ที่เป็นแนวทางของแอป e-wallet ส่วนมากทุกวันนี้ โดยก่อนหน้านี้บริการจ่ายเงินผ่านธนาคารของไทย เป็นบริการที่ผู้ใช้เป็นผู้สแกน QR ของร้านค้า (C scan B) ทั้งหมด

วิธีการคือ ลูกค้าซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อที่มีเครื่อง POS จากนั้นลูกค้าก็กด generate QR Code แบบ MyPromptQR จากแอพจ่ายเงินของตัวเอง เมื่อร้านค้าสแกนระบบก็จะตัดเงินตามราคาสินค้า โดย QR นั้นๆ จะสามารถใช้ได้ครั้งเดียวเหมือนกับรหัส OTP นอกจากนี้ร้านค้าจะไม่เห็นข้อมูลเลขบัญชีของลูกค้าด้วย ร้านค้าและผู้ให้บริการ e-wallet สามารถใส่ข้อมูลโปรโมชั่นส่วนลดเข้ามาใน MyPromptQR ได้


และในกรณีที่ร้านค้าคิดราคาสินค้าขาดหรือเกิน ลูกค้าก็สามารถนำ e-receipt ไปเทียบยืนยันได้ตามขั้นตอนปกติของการคืนสินค้า

นายยศ กิมสวัสดิ์ ประธานสำนักงานระบบการชำระเงิน สมาคมธนาคารไทย ระบุว่า ภายในไตรมาสสี่ปีนี้จะมีธนาคารใหญ่เข้าร่วมใช้ MyPromtQR 5 ราย และต้นปี 2020 จะมีธนาคารอีก 4 รายเข้าร่วม ด้าน e-wallet ก็มีฝั่ง JD Central, เดอะมอลล์, บิ๊กซีกำลังพัฒนาอยู่ และคาดหวังให้มี e-wallet มาเข้าร่วมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นายยศ ระบุเพิ่มเติมว่า มาตรฐานดของ MyPromptQR ใช้มาตรฐาน ISO20022 และกำลังอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารต่างประเทศให้มาเข้าร่วมมาตรฐานเดียวกัน เพื่อความเป็นไปได้ในอนาคตที่ร้านค้าต่างประเทศจะสามารถสแกนรับจ่ายผ่าน MyPromptQR ได้


ด้านรายละเอียดการให้บริการ MyPromptQR ของธนาคารพาณิชย์และภาคธุรกิจต่างๆ มีดังนี้
  • ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าในเดอะมอลล์ กรุ๊ป จะเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกที่ให้บริการรับชำระเงินด้วย MyPromptQR
  • เซ็นทรัล เจดี มันนี่ ผู้ให้บริการ Dolfin Wallet จะเปิดบริการชำระเงินด้วย QR code หรือ MyPromptQR ที่ร้านค้าในเครือเซ็นทรัลเร็วๆ นี้
  • บิ๊กซีเตรียมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2562 ทั่วประเทศกว่า 1,200 สาขา
  • ธนาคารกรุงไทย
  • ธนาคารกสิกรไทยจะเริ่มเปิดให้บริการประมาณเดือนกันยายนเป็นต้นไป
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เริ่มทดสอบ MyPromptQR ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2561 และพร้อมที่จะเปิดให้บริการ MyPromptQR ข้ามธนาคารในช่วงต้นไตรมาส 4 ปี 2562 เป็นต้นไป
  • ธนาคารกรุงเทพเตรียมเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีแผนให้บริการภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
  • ธนาคารธนชาต จะพร้อมให้บริการภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2562
  • ธนาคารยูโอบี จะพร้อมให้บริการบนช่องทางดิจิทัล ทั้ง UOB Mighty และ TMRW ภายในกุมภาพันธ์ 2563
  • ธนาคารออมสินจะเริ่มเปิดให้บริการแก่ลูกค้าในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562
  • ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยจะสนับสนุนการให้บริการภายในไตรมาสแรกปี 2563

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Intel “ชื่นชม” ความก้าวหน้าของ AMD : พร้อมเผยแผนพัฒนาชิประดับสูงเพื่อแข่งในตลาดโลก


เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2019 ที่่ผ่านมา ได้มีบทความโพสต์ภายในสำหรับพนักงานของ Intel เท่านั้น เรียกว่า Circuit News โดยมีหัวเรื่องว่า “โปรไฟล์การแข่งขันกับ AMD : เทียบกันเราไปไกลแค่ไหน, ทำไมพวกเขาถึงฟื้นกลับมา, ชิปใดที่เราจะชนะเขาได้”

บทความดังกล่าวมีรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในยุคหลังของ AMD และวิธีที่บริษัททำอย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และยิ่งกว่านั้นคือ Intel มองว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ของ AMD เป็นคู่แข่งสำคัญ


ด้วยกลยุทธิ์ใหม่ของ AMD ที่เปลี่ยนไปเน้นผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงระดับพรีเมียม สำหรับตลาดอุปกรณ์เดสก์ทอป, Data Center และ Server ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ AMD ได้เติบโตขึ้นอย่างมาก ซึ่งจากรายงานประจำปี 2018 ระบุว่า ได้มีการเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% โดยส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์ Ryzen ล่าสุดสำหรับเดสก์ทอป และ EPYC สำหรับองค์กร, ระบบ Cloud และ Data Center

AMD ได้สร้างความน่าสนใจในตลาดนักลงทุนด้วยหุ้นระดับ Best Performing Stock (หุ้นที่มีผลตอบแทนสูง) ของ S&P 500 เมื่อปี 2018 และราคาของหุ้นในปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นอีก

เหล่านี้ทำให้ AMD กลับมาฟื้นตัว และเตรียมแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก Intel ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2019 นี้ โดยจะเห็นได้จากงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายในงาน Computex และ E3 ที่ผ่านมา


ผู้เชี่ยวชาญจากทีมประสิทธิภาพ, การใช้พลังงาน และวิเคราะห์การแข่งขันของ Intel สรุปสิ่งที่ AMD จะส่งผลต่อ Intel เอาไว้ว้า
  • AMD ให้ CPU ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
  • AMD ได้ชนะในการให้บริการระบบ Cloud สาธารณะ
  • ผลิตภัณฑ์ Zen-core รุ่นใหม่ของ AMD รหัสชื่อ Rome และ Matisse จะทำให้เกิดการแข่งขันในอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์และเดสก์ทอปที่สูงขึ้น
  • AMD ใช้ประโยชน์จากกระบวนการผลิตชิประดับ 7 นาโนเมตรของ TSMC ทำให้ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมากกว่าเดิม
แต่ถึงกระนั้น Intel ก็ยังมีแนวคิดในกาพัฒนาที่จะมาแข่งขันกับ AMD โดยเน้นพัฒนาทั้ง 6 ด้าน คือ กระบวนการผลิต, สถาปัตยกรรม, หน่วยความจำ, การเชื่อมต่อระหว่างกัน, ความปลอดภัย และซอฟต์แวร์ เพื่อที่จะสามารถครองความเป็นผู้นำในตลาดระยะยาวได้


ซอฟต์แวร์ คือปัจจัยสำคัญมากในการพัฒนา โดยทาง Intel ได้ออกแบบซอฟต์แวร์ที่มีความฉลาดแตกต่างจาก AMD โดยให้สามารถรองรับได้ตั้งแต่ Linux Kernel (ส่วนประกอบหลักของระบบปฏิบัติการ Linux) ไปจนถึง Adobe Lightroom ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์อันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรม Intel ได้ และจะให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าแก่ผู้ใช้

อีกหนึ่งจุดแข็งในด้านซอฟต์แวร์ของ Intel คือ มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์มากถึง 15,000 คน ซึ่งมีจำหน่ายมากกว่าของทาง AMD


ไม่เพียงแค่นั้น ทีมงานของ Intel ยังเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่การแข่งขั้นด้านชิปเพียงอย่างเดียว แต่ Intel ยังมีฐานด้านธุรกิจที่กว้างกว่า ทั้งในอุปกรณ์มือถือ, เดสก์ทอป, เกมมิง, Wi-Fi, Thunderbolt, Turbo Boost 2.0 และเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมาย

รวมถึงยังมีโปรเจ็คต Athena ที่เน้นพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับแล็ปท็อปรุ่นใหม่ และฟีเจอร์ AI อย่าง Deep Learn Boost ที่สร้างความแตกต่างจาก AMD อย่างชัดเจน

ที่มา: Beartai

Huawei ร่วมกับ AIS ทดสอบ 5G บนสมาร์ทโฟนรุ่น Huawei Mate 20 X 5G

 
AIS ร่วมกับ Huawei ทดสอบทดลองการใช้งานโทรศัพท์ผ่านเครือข่าย 5G แบบ NSA (Non-Standalone) โดยประกอบไปด้วย การสนทนาทางโทรศัพท์ (5G Voice Call) ซึ่งคุณภาพเสียงได้ระดับ Ultra HD Voice พร้อมด้วยการทดลองสนทนาทางวิดีโอคอล (5G VDO Call) ด้วยภาพความละเอียดสูงระดับ 4K ซึ่งไม่สามารถทำได้บนเครือข่าย 4G ในปัจจุบัน


และที่สำคัญคือ การทดสอบการดาวน์โหลดและอัพโหลดข้อมูลด้วยระบบเครือข่ายเอไอเอส Next G+ (Next G+ Internet Speed Test) เป็นครั้งแรกในโลก ที่เกิดจากการผสมผสานสมรรถนะของเครือข่าย 5G แห่งอนาคตเข้ากับสุดยอดความเร็วจาก AIS SUPER WiFi โดยผลปรากฎว่าทำความเร็วการดาวน์โหลดได้ถึง 1,390 Mbps และอัพโหลดได้ถึง 474 Mbps ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดของเครือข่าย 5G ในประเทศไทย

สมาร์ทโฟน Huawei Mate 20 X 5G เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Mate 20 X รุ่นเดิม เพิ่มเติมความสามารถให้รองรับนวัตกรรมแห่งอนาคตได้อย่างเต็มที่ โดย Mate 20 X 5G จะมาพร้อมกับชิปโมเด็ม 5G ที่เร็วที่สุดในโลกในชื่อ “Balong 5000” ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่รองรับผลิตภัณฑ์ 5G ที่หลากหลายนอกเหนือจากสมาร์ทโฟนซึ่งรวมถึงอุปกรณ์บรอดแบนด์ในบ้าน อุปกรณ์ติดตั้งยานพาหนะ และโมดูล 5G ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ 5G ใหม่ล่าสุดในหลายๆ สถานการณ์


Balong 5000 สามารถดาวน์โหลดความเร็วได้สูงถึง 4.6 Gbps ในแถบความถี่ mmWave (คลื่นความถี่สูงที่ใช้เป็นคลื่นความถี่ขยายสำหรับ 5G), Balong 5000 สามารถรับความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 6.5 Gbps เร็วกว่าความเร็วสูงสุดของ LTE 4G ในตลาดปัจจุบันถึง 10 เท่า

พร้อมเป็นชิปเซ็ตตัวแรกของโลกที่รองรับสถาปัตยกรรมเครือข่าย (NSA) Non-standalone (NSA) สำหรับระบบการเชื่อมต่อปัจจุปัน และ Standalone (SA) 5G สำหรับเทคโนโลยีแห่งยุคอนาคต ไม่ว่าจะเป็น IoT, Big Data, Smart City และ Artificial Intelligence (AI)


สเปคของเครื่อง Huawei Mate 20 X 5G เพิ่มหน่วยความจำ (RAM) และความจุเพิ่มขึ้นจาก 6GB / 128GB ใน Mate 20 X เป็น 8GB / 256 GB ในรุ่น 5G ทั้งยังรองรับเทคโนโลยี SuperCharge 2.0 เพื่อการชาร์จแบตเตอรี่ที่เร็วยิ่งกว่าด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 40 วัตต์

ในฐานะผู้นำระดับโลก ทั้งในด้านนวัตกรรมเครือข่าย 5G และสมาร์ทโฟน หัวเว่ยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการทดสอบ และวางมาตรฐานสำหรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อผู้บริโภคชาวไทย ด้วยอุปกรณ์สมาร์ทโฟนระดับโลกอย่าง Huawei Mate 20 X 5G ที่เหนือกว่าด้วยที่สุดแห่งสมรรถนะจากชิปเซ็ต 5G ของหัวเว่ย และถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ผ่านการทดสอบเครือข่าย 5G ของเอไอเอสในประเทศไทยอีกด้วย

ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอสาธิตการทดสอบเครือข่าย 5G และ Next G+ ของเอไอเอส บนสมาร์ทโฟน Huawei Mate 20 X 5G ได้ที่นี่

ที่มา: MTHAI