วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Lawson เริ่มให้บริการร้านสะดวกซื้อไร้แคชเชียร์แบบเดียวกับ Amazon Go

Lawson เครือร้านสะดวกซื้อชื่อดังของญี่ปุ่นเตรียมเปิด Lawson Go ร้านสะดวกซื้อแบบไม่มีพนักงานคิดเงิน โดยใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับ Amazon Go

ที่ว่าใช้เทคโนโลยีเดียวกันนี้หมายถึงการใช้ระบบ computer vision ในการตรวจสอบการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าภายในร้าน โดยในการใช้บริการลูกค้าจะต้องติดตั้งแอป Lawson Go ในสมาร์ทโฟนและผูกบัญขีบัตรเครดิตกับแอป เมื่อเดินเข้าไปภายในร้านก็เปิดแอปเพื่อสร้างรหัส QR แล้วนำไปสแกนตรงทางเข้าร้าน หลังจากนั้นก็เพียงแต่เดินเลือกซื้อสินค้าภายในร้านแล้วเดินออกจากร้านได้เลย

ร้าน Lawson Go ให้บริการแบบไม่มีแคชเชียร์

ระบบ computer vision และเซ็นเซอร์วัดน้ำหนักสินค้าบนชั้นวางจะทำงานร่วมกันเพื่อตรวจสอบว่าลูกค้าผู้ใช้บริการแต่ละคนได้เลือกซื้อหยิบสินค้าอะไรไปบ้าง เมื่อลูกค้าคนดังกล่าวเดินออกจากร้านระบบก็จะรวมข้อมูลสินค้าทั้งหมดเพื่อคิดเงินโดยการตัดเงินผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับแอป Lawson Go ไว้ โดยใบเสร็จค่าสินค้าจะถูกส่งไปยังลูกค้าผ่านทางแอป

แอป Lawson Go ที่ใช้ยืนยันตัวตนโดยสร้างรหัส QR ไปสแกนที่ทางเข้าร้าน และเป็นช่องทางรับใบเสร็จดิจิทัลค่าสินค้า

Lawson Go เปิดให้บริการสาขาแรกที่อาคาร Mitsubishi Shokuhin ใน Tokyo เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ภายในร้านจะยังมีพนักงานทำงานอยู่ แต่จะทำหน้าที่หลักเพื่อเติมสินค้าและดูแลความเรียบร้อยภายในร้านเท่านั้นโดยไม่ได้ให้บริการคิดเงิน Lawson ระบุว่าในอนาคตจะขยายสาขา Lawson Go และจะเพิ่มเคาน์เตอร์คิดเงินด้วยตนเองเป็นทางเลือกการจ่ายเงินค่าสินค้าให้แก่ผู้มาใช้บริการอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2565

Cloudflare เลิกใช้ Elasticsearch เก็บ log หันไปใช้ ClickHouse แทน

Cloudflare รายงานถึงการเปลี่ยนฐานข้อมูลสำหรับเก็บ log จากเดิมที่ใช้ Elasticsearch หันมาใช้ฐานข้อมูลแบบคอลัมน์ ClickHouse หลังจากพบข้อจำกัดของ Elasticsearch หลายอย่าง ได้แก่
  • Mapping Explosion: เนื่องจากข้อมูล log มักมีฟิลด์เปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ แต่ Elasticsearch พยายาม index ทุกฟิลด์แยกจากกัน ทำให้เมื่อถังข้อมูลมีฟิลด์จำนวนมากเข้าก็จะกินหน่วยความจำมาก ทางแก้ปัญหาของ Elasticsearch คือจำกัดฟิลด์ที่ใช้งานแต่ก็จะทำให้ไม่สามารถค้นหาฟิลด์ที่ไม่ได้ระบุไว้
  • Multi-tenancy: ตอนนี้ Elasticsearch ไม่สามารถจำกัดจำนวนเอกสารที่ผู้ใช้ต้องสแกนในการคิวรีแต่ละครั้ง ส่งผลให้ผู้ใช้คนใดคนหนึ่งส่งคำสั่งคิวรีหนักๆ ก็จะทำทั้งคลัสเตอร์ช้าไปได้
  • การจัดการยาก: หากคลัสเตอร์ Elasticsearch ทำงานผิดพลาดจนกลายเป็น degrade แล้วกระบวนการกู้คืนจะใช้เวลานาน การ index ฐานข้อมูลใหม่กินเวลานาน และกระบวนการย้ายข้อมูลจากฐานข้อมูล hot ไป cold กระทบประสิทธิภาพคลัสเตอร์
  • การจัดการหน่วยความจำจาวา: เนื่องจาก Elasticsearch ใช้จาวาจึงมีช่วงเวลาที่ garbage collector ทำงาน ทำให้เสียประสิทธิภาพในช่วงนั้น ทาง Cloudflare พยายามเปลี่ยนตัว garbage collector แล้วแต่ก็ไม่ดีขึ้นนัก

การเปลี่ยนไปใช้ ClickHouse ได้เปรียบหลายอย่าง เช่น การเพิ่ม index ในฟิลด์ใดๆ สามารถทำได้ทันที, ตัวฐานข้อมูลบีบอัดเป็นค่าเริ่มต้นและคอนฟิกแยกกระบวนการบีบอัดรายฟิลด์ได้, และการขยายคลัสเตอร์ได้ประสิทธิภาพตามขนาดคลัสเตอร์ที่ขยาย (linearly scalable)

ในบทความนี้ Cloudflare ยังแนะนำถึงการใช้ ClickHouse ว่าควรเลือกรูปแบบการเก็บข้อมูลว่าจากเก็บแยกฟิลด์แบบ SQL ปกติที่ต้อง ALTER TABLE ทุกครั้งเพื่อเพิ่มฟิลด์ หรือจะใช้ JSON เพื่อเก็บฟิลด์ที่ไม่แน่นอน แต่มีข้อจำกัดว่าไม่ควรมีข้อมูลเกิน 1,000 ฟิลด์ สำหรับ Cloudflare ที่มีฟิลด์จำนวนมากก็เลือกเก็บข้อมูลเป็น array ของฟิลด์อื่นๆ ทั้งหมด

ผลที่ได้จากการเปลี่ยนไช้ ClickHouse ทำให้ Cloudflare ลดการใช้ซีพียูและหน่วยความจำจากการเขียนลง 8 เท่า ขนาดข้อมูลลดลง 10 เท่า ทำให้ Cloudflare สามารถเก็บข้อมูลเต็มรูปแบบไม่ต้อง sampling บางส่วน, และการคิวรีเกือบทั้งหมดประสิทธิภาพดีขึ้นมาก

แม้จะชม ClickHouse ค่อนข้างมากแต่ทาง Cloudflare ก็ระบุว่า Elasticsearch เป็นตัวค้นหาแบบ full text ที่ดี และการใช้งานของแต่ละที่ก็อาจจะต่างกันจึงควรพิจารณาการใช้งานจริงด้วย

ที่มา: Blognone

O.MG Cable สาย USB แฮคได้ที่ทำให้ทุกคนต้องระวังการเสียบมั่วซั่ว

เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับแฮคเกอร์ในปัจจุบันนี้ มีความก้าวหน้าไปมากจนถึงขนาดที่หลายอย่างดูเผินๆ ก็เหมือนเป็นข้าวของเครื่องใช้ธรรมดาที่ไม่น่าจะมีฟังก์ชันอันตรายแอบแฝง แต่สาย USB ที่ชื่อ O.MG Cable นี้อาจต้องทำให้เปลี่ยนความคิดใหม่และระวังมากขึ้นก่อนจะคว้าสาย USB ของใครมาเสียบคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ

O.MG Cable คือสาย USB ที่ผลิตด้วยมือซึ่งดูหน้าตาธรรมดาแทบไม่ต่างจากสายชาร์จหรือสายถ่ายโอนข้อมูลทั่วไป แต่ความไม่ธรรมดาของมันคือสิ่งที่แฝงอยู่ภายในซึ่งมีทั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์, การเชื่อมต่อ USB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่ทำได้ทั้งรับส่งข้อมูลที่มันแฮคได้ไปยังเซิร์ฟเวอร์และรับคำสั่งโจมตีจากเซิร์ฟเวอร์มาก็ได้ โดยร่นนี้เป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดจากสายที่ผลิตออกมาเมื่อปีก่อน เพิ่มความสามารถในการรับข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์เพื่อการโจมตี (จากแต่เดิมที่ทำได้เพียงดักจับข้อมูล)

หน้าตาสาย O.MG Cable กับเว็บที่ใช้งานคู่กับมัน

สิ่งที่มันทำได้ไม่เพียงแต่การดักจับอ่านข้อมูลการใช้แป้นพิมพ์ แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือมันทำการโจมตีแบบ keystroke injection ได้ด้วย ว่าง่ายๆ คือผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลผ่านทาง Wi-Fi ไปให้สาย O.MG Cable เพื่อหลอกให้อุปกรณ์ที่มันเสียบอยู่กับสายนั้นเข้าใจว่ามีข้อมูลถูกคีย์ส่งมาจริง และการโจมตีนี้ยังทำกับอุปกรณ์ที่อยู่ในโซน air gap ได้ด้วย (อุปกรณ์ที่โดน air gap หรืออยู่ในโซน air gap หมายถึงอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นในช่องทางใดเลย ซึ่งเป็นวิธีการออกแบบระบบเครือข่ายที่ใช้กับอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมาก เพื่อยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ให้กับอุปกรณ์นั้น)

ภาพเอกซเรย์แสดงให้เห็นว่ามีอะไรอยู่ในสาย O.MG Cable

ตัวสาย O.MG Cable นั้นมีทั้งแบบหัว Lightning, micro USB และ USB-C โดยมีแบ่งขายเป็น 3 รุ่น คือ Basic, Plus และ Elite ซึ่งราคารุ่น Elite ที่แพงที่สุดนั้นตั้งไว้ที่เส้นละ 179.99 เหรียญ ทั้งนี้ MG ซึ่งเป็นผู้พัฒนาสาย O.MG Cable นี้บอกว่าอุปกรณ์แฮคที่มีอยู่ในก่อนในท้องตลาดที่ทำงานได้ระดับเดียวกันนี้ปกติขายกันอยู่ที่ราคาราวๆ 20,000 เหรียญ

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

PyTorch รองรับ Apple Silicon เต็มตัว ฝึกปัญญาประดิษฐ์เร็วขึ้น 6-8 เท่า

PyTorch เฟรมเวิร์คปัญญาประดิษฐ์ประกาศเตรียมรองรับ API กราฟิก Metal ใน macOS ทำให้สามารถเร่งความเร็วด้วย Apple Silicon ได้เต็มรูปแบบ ทำให้การรันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ทั้งการฝึกโมเดลและการใช้งานโมเดลประสิทธิภาพดีขึ้นมาก การฝึกโมเดลเร็วขึ้น 6-8 เท่า ขณะที่การรันโมเดลประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า 20 เท่าตัวในบางกรณี

การเร่งความเร็วใช้ Metal Performance Shaders (MPS) มาทำงานเบื้องหลัง ความได้เปรียบสำคัญของ Apple Silicon คือ unified memory ที่ใช้หน่วยความจำรวมกันทั้งกราฟิกและซีพียู ทำให้ไม่เสียเวลาโอนข้อมูลไปมา และสามารถประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่บนวงจรกราฟิกได้

เริ่มใช้งานได้ใน PyTorch 1.12 หรือหากต้องการทดสอบเลยก็สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่น nightly มาใช้งานได้เลย

ที่มา: Blognone

แย่งตัวกันหนัก ไมโครซอฟท์ขึ้นเงินเดือนพนักงานทั่วโลก เพิ่มงบประมาณเงินเดือนให้ 2 เท่า

Satya Nadella ส่งอีเมลภายในถึงพนักงานไมโครซอฟท์ ระบุว่าเพิ่มงบประมาณสำหรับขึ้นเงินเดือนพนักงานเป็นเกือบ 2 เท่าตัว หลังเจอสถานการณ์ว่าบริษัทไอทีแย่งตัวพนักงานกันเพิ่มขึ้น

Nadella ให้ข้อมูลว่าการเพิ่มเงินเดือนจะอิงตามฝีมือและผลงาน (merit-based) ซึ่งแตกต่างกันตามแต่ละประเทศ โดยไมโครซอฟท์จะเน้นการขึ้นเงินเดือนให้ประเทศที่มีความต้องการพนักงานสูง และเน้นเพิ่มให้พนักงานระดับล่าง-กลาง (early to mid-career) เป็นหลัก

ส่วนพนักงานระดับอาวุโส จะเพิ่มโควต้าการแจกหุ้นพนักงานในสัดส่วนที่มากขึ้นด้วย

เมื่อต้นปีนี้เราเห็นข่าว Amazon ปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานใหม่ และ Apple เองก็ต้องแจกหุ้นพนักงานเพิ่ม เพื่อดึงตัวพนักงาน แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานไอทียังมีการแข่งขันที่สูงมาก


ที่มา: Blognone

แก้ปัญหาอ่านแชทไม่ทัน กูเกิลใช้ AI ช่วยสรุปประเด็นให้ใน Google Chat/Spaces

หลายคนอาจเคยประสบปัญหาข้อความแชทเยอะเกินไปจนอ่านไม่ไหว แต่จะไม่อ่านก็ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องงาน

กูเกิลแก้ปัญหานี้ด้วยการให้ machine learning อ่านแชททั้งหมดให้เรา และสรุปเป็น summary สั้นๆ ประมาณ 2-3 บรรทัด ที่ด้านบนของข้อความแชท เพื่อให้เราอ่านก่อนเป็นไอเดียว่าคนอื่นคุยเรื่องอะไรกัน

ฟีเจอร์นี้ใช้เอนจินสรุปข้อความตัวเดียวกับ Google Docs ใช้มาก่อนหน้านี้ และจะใช้ได้กับบริการแชทองค์กร Google Chat กับ Google Spaces


 

ที่มา: Blognone

Flutter 3 มาแล้ว รองรับ macOS, Linux เต็มรูปแบบ

กูเกิลปล่อย Flutter 3 ในงาน Google I/O โดยมีฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ macOS และลินุกซ์เต็มรูปแบบ ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ Firebase และประสิทธิภาพบน Apple Silicon

ก่อนหน้านี้ Flutter รองรับ iOS, Android, Web, และ Windows มาก่อนแล้ว การรองรับ macOS และลินุกซ์ ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้เต็มรูปแบบ โดยรองรับทั้งอินพุตของระบบ, กระบวนการพัฒนาแอป, ฟีเจอร์ accessibility ของแพลตฟอร์ม, และการรองรับภาษานานาชาติ สำหรับบน macOS นั้นรองรับ Universal Binary ให้รันได้เต็มประสิทธิภาพทั้งเครื่องที่ใช้ซีพียูอินเทลและ Apple Silicon ขณะที่บนลินุกซ์เป็นการร่วมมือกับ Canonical

อินเทอร์เฟซแบบ Material Design 3 แทบจะสมบูรณ์แล้วในเวอร์ชั่นนี้ รองรับการปรับเปลี่ยนสีตามระบบ และปรับปรุง component ต่างๆ ส่วนบริการ Firebase ของกูเกิลเองนั้นจะรองรับ Flutter เต็มรูปแบบ โค้ดสำหรับเชื่อม Flutter และ Firebase จะอยู่ใน repository หลักของ Firebase

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565

Java 18 ออกแล้ว เปลี่ยนมาใช้ UTF-8 เป็นดีฟอลต์

Oracle ออก Java 18 ตามรอบการออกทุก 6 เดือน โดยเวอร์ชันนี้ไม่ได้เป็น LTS เหมือนกับ Java 17 ที่มีระยะซัพพอร์ตนาน 8 ปี ส่วน LTS ตัวหน้าคือ Java 21 ที่จะออกในเดือนกันยายน 2023

ของใหม่ใน Java 18 ได้แก่

  • เปลี่ยนค่าดีฟอลต์ของรหัสอักขระมาเป็น UTF-8 จากของเดิมที่ขึ้นกับค่าดีฟอลต์ของ OS ส่งผลให้ Java จัดการอักขระเหมือนกันเสมอบนทุกสภาพแวดล้อม (คือเป็น UTF-8 หมด ไม่ต้องเสี่ยงว่าจะเจอความผิดพลาดจากชุดอักขระที่ต่างกัน)
  • เปลี่ยนระบบการแปลง Hostname เป็น IP จากของเดิมที่พึ่งพา resolver ของ OS มาเป็น API ตัวใหม่ที่ให้ผลเหมือนกันบนทุกแพลตฟอร์ม
  • เพิ่ม simple web server เว็บเซิร์ฟเวอร์แบบง่ายๆ ที่รันได้แต่ static file สำหรับใช้ทดสอบแบบเร็วๆ โดยไม่ต้องติดตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์เอง
  • พรีวิวฟีเจอร์ Vector API สำหรับการประมวลแบบขนาน (เวกเตอร์), พรีวิว Foreign Function เปิด API ให้กับภาษาโปรแกรมอื่นนอก Java รันไทม์

จำนวนฟีเจอร์ของ Java แต่ละรุ่น หลังเปลี่ยนมาใช้ระบบการออกรุ่นทุก 6 เดือน

ที่มา: Blognone

Zoom ออกฟีเจอร์ "อวตาร" ประชุมออนไลน์แบบ Metaverse

Zoom เปิดตัวฟีเจอร์ "อวตาร" (avatar) ลักษณะเดียวกับที่เราเห็นจากโปรแกรมวิดีโอคอลล์อื่นๆ อย่าง Facebook Messenger, Google Duo นั่นคือให้เราแปลงกายเป็นตัวการ์ตูนหรือคาแรกเตอร์ ที่ใช้การดักจับความเคลื่อนไหวของใบหน้ามาขยับตัวอวตารตาม

วิธีการใช้งานจะอยู่ตำแหน่งเดียวกับเมนู Virtual Background ของ Zoom โดนเพิ่มแท็บชื่อ Avatars เข้ามา

Zoom บอกว่าเพิ่มฟีเจอร์อวตารเข้ามาให้สนุกๆ กันเวลาประชุมออนไลน์ หรือถ้าใครที่ไม่อยากโชว์หน้าขึ้นกล้อง แต่อยากแสดงการขยับของร่างกาย ก็อาจเลือกใช้อวตารแทนได้

เมื่อปลายปีที่แล้ว คู่แข่ง Microsoft Teams เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกันชื่อ Mesh ซึ่งระบุว่าจะเริ่มใช้งานภายในไตรมาส 1 เช่นกัน

ที่มา: Blognone

Mercedes-Benz โชว์ระบบขับขี่อัตโนมัติ Level-3 และจอดรถอัตโนมัติ Level-4

Mercedes-Benz ออกมาโชว์เทคโนโลยีด้านการขับขี่อัตโนมัติหลายอย่าง โดยเทคโนโลยีของ Mercedes-Benz พัฒนาอยู่บนระบบปฏิบัติการสำหรับรถยนต์ชื่อ Mercedes-Benz Operating System (MB.OS) ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง โดยเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่นำมาโชว์ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ (SAE Level) ตามนิยามของ SAE International ที่เราคุ้นชื่อกันเวลาเห็นข่าวรถยนต์ไร้คนขับ
  • SAE-Level 2 ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น Active Distance Assist รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า, Active Lane Keeping Assist บังคับรถให้อยู่ในเลนเดิม
  • SAE-Level 3 ฟีเจอร์ขับขี่อัตโนมัติบนสภาพถนนเฉพาะ (แบบเดียวกับ Tesla Autopilot) ที่ Mercedes-Benz บอกว่าระบบ Drive Pilot ของตัวเองผ่านการทดสอบระดับนานาชาติเป็นรายแรก และได้รับอนุญาตให้ใช้บนทางด่วนของเยอรมนีแล้ว ตอนนี้กำลังขออนุมัติใช้งานในสหรัฐ เทคโนโลยีของ Mercedes-Benz ใช้ทั้งกล้องและ LiDAR ช่วยกันตรวจจับสภาพรอบรถ
  • SAE-Level 4 ฟีเจอร์นี่นำมาโชว์คือ Intelligent Park Pilot สามารถจอดรถยนต์ให้อัตโนมัติ ในลานจอดรถที่มีอุปกรณ์ของ Bosch


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565

นักวิจัยมหาวิทยาลัย John Hopkins ใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดหมูสำเร็จ ได้ผลดีกว่ามนุษย์ผ่าเอง

มหาวิทยาลัย John Hopkins ประสบความสำเร็จในการใช้หุ่นยนต์ ผ่าตัดต่อลำไส้หมูสำเร็จ 4 ตัว โดยไม่มีมนุษย์ช่วย และระบุว่าผลของการผ่าตัดออกมาดีกว่าการใช้มนุษย์เป็นผู้ผ่า และเป็นก้าวสำคัญในการใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดมนุษย์ในอนาคต

หุ่น Smart Tissue Autonomous Robot หรือ STAR หุ่นยนต์ผ่าตัดที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย John Hopkins ทำการต่อลำไส้หมูสำเร็จ ในการผ่าตัด anastomosis ที่มีความซับซ้อนกว่าการผ่าตัดแบบอื่น เพราะอาจมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และหุ่นยนต์ต้องพร้อมปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือ

STAR มีกล้องเอนโดสโคปแบบพิเศษ และทำการผ่าตัดโดยใช้อัลกอริทึ่มที่อิงจากระบบ machine learning ที่พัฒนาโดยศาสตรจารย์ Jin Kang แห่ง ม. John Hopkins และนักศึกษา และเป็นหุ่นผ่าตัดตัวแรกที่สามารถ วางแผน ปรับแผน และทำการผ่าตัดได้ โดยแทบจะไม่ต้องใช้มนุษย์ช่วย


นอกจากศาสตราจารย์ Jin Kang แล้ว ในทีมค้นคว้าของ ม. John Hopkins ยังประกอบไปด้วย Justin D. Opfermann, Michael Kam, Shuwen Wei และ Simon Leonard รวมไปถึง Michael H. Hsieh แห่งโรงพยาบาลเด็กแห่งชาติของสหรัฐฯ ถือได้ว่าเป็นการร่วมมือกันของผู้เชี่ยวชาญหลายแขนง และแม้จะต้องพัฒนาอีกมากก่อนทำการผ่าตัดในมนุษย์ แต่ก็ถือได้ว่าก็เป็นเสี้ยวหนึ่งของอนาคตที่ใกล้เป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา: Blognone

Android Automotive เปิดรับแอพหมวดนำทาง, จอดรถ, ชาร์จไฟ จากนักพัฒนาภายนอก

กูเกิลมีระบบปฏิบัติการ Android Automotive OS (AAOS) สำหรับหน้าจอแสดงข้อมูลในรถยนต์มาได้สักพักใหญ่ๆ (เป็นคนละอย่างกับ Android Auto ที่ประมวลผลในมือถือแล้วยิงภาพขึ้นจอรถยนต์)

เดิมที Android Automotive รองรับเฉพาะแอพบางประเภท เช่น ฟังเพลง แชท ล่าสุดกูเกิลประกาศเปิดแพลตฟอร์ม Automotive รองรับแอพประเภทใหม่ๆ คือ นำทาง, จอดรถ และชาร์จไฟรถ

ตัวอย่างแอพกลุ่มนี้ที่เปิดให้บริการแล้วคือ Sygic, Flitmeister (นำทาง), Spothero, Parkwhiz (จอดรถ) และ ChargePoint, PlugShare (ชาร์จไฟ) นักพัฒนารายอื่นที่สนใจต้องใช้ Car App Library เวอร์ชันใหม่ 1.2 Beta

กูเกิลยังประกาศว่าแอพหมวดอื่นที่จะเพิ่มมาในอนาคตคือ แอพกลุ่มเรียกรถ (ride hailing) อย่าง Lyft ที่ใช้ได้กับ Android Auto แล้ว และแอพกลุ่มแนะนำสถานที่ (points of interest) ที่ระบุชื่อแล้วคือ MochiMochi, Fuelio, Prezzi Benzina, NAVITIME JAPAN


ที่มา: Blognone

Philips Hue ออกหลอดไฟอัจฉริยะสำหรับใช้งานนอกบ้านใหม่ 4 รุ่น

Signify บริษัทที่ถือแบรนด์ Philips Hue เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มหลอดไฟอัจฉริยะ โดยเป็นหลอดไฟติดผนังสำหรับใช้งานภายนอกทั้งหมด 3 รุ่น และหลอดไฟใช้กับทางเดินในสวนอีก 1 รุ่น

สินค้าชิ้นแรกคือ Inara ไฟติดผนังด้านนอก พร้อมตัวหลอดไฟวินเทจแบบเส้นเล็กๆ ลักษณะเหมือนหลอดไฟเอดิสัน โดยตัว Inara ไม่สามารถปรับสีของแสงได้เหมือนหลอดไฟ Philips Hue ตัวอื่นๆ แต่ยังคงสามารถสั่งหรี่แสงผ่านแอป, รีโมท หรือสั่งการด้วยเสียงได้เหมือน Hue รุ่นอื่นๆ


ถัดไปคือ Lucca หลอดไฟติดผนังด้านนอก ลักษณะโค้งมนพร้อมมีแถบคาดสีดำ โดยตัว Lucca มีให้เลือกทั้งสีขาวหรือเปลี่ยนสีได้ เหมาะกับการใช้ในพื้นที่ระเบียงหรือเฉลียง


สุดท้ายสำหรับกลุ่มหลอดไฟติดผนังคือ Resonate หลอดไฟติดผนังส่องสว่างขึ้นบนและลงล่างดีไซน์มินิมอล มีสีขาวและแบบเปลี่ยนสีได้ เน้นสร้างสีสันไฮไลต์สถาปัตยกรรมของสถานที่


ส่วนหลอดไฟอีกรุ่นคือ Calla เป็นหลอดไฟบนเสาสแตนเลสความสูง 25 เซนติเมตร เน้นใช้งานเป็นแสงทางเดินในสวนหรือจะใช้เป็นแสงฉากหลังของต้นไม้ดอกไม้ในสวนก็ได้ ตัวหลอดไฟใช้เทคโนโลยี Low-volt จึงติดตั้งและขยายออกไปได้ง่ายเพียงต่อสายเข้ากับ Philips Hue Low-volt


นอกจากนี้ Signify เตรียมอัพเดตแอป Philips Hue ใหม่ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยจะเพิ่มเอฟเฟคแสงเทียนและเตาผิงเพื่สสร้างอารมณ์โรแมนติคสำหรับดินเนอร์หรืออารมณ์ผ่อนคลาย (ใช้งานได้เฉพาะหลอดไฟ Philips Hue บางรุ่นเท่านั้น)


ที่มา: Blognone