วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

Mozilla ออกคู่มือแนะนำแอพประชุมออนไลน์ที่ไว้ใจได้: Zoom ผ่านเกณฑ์, Discord สอบตก

มาถึงตอนนี้ทุกคนคงใช้แอพประชุมออนไลน์กันหมดแล้ว โดยมีผู้เล่นในตลาดมากมายทั้งบริษัทเล็กใหญ่ ซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งที่ดังขึ้นมาในช่วงโรคระบาดคือ Zoom แต่ดังได้ไม่นานก็มีข่าวด้านลบเกี่ยวกับความปลอดภัยของแอพนี้เข้ามาหลายเรื่อง ซึ่ง Zoom ก็ได้รีบจัดการกับประเด็นดังกล่าวและร่วมมือกับหลายบริษัทในการยกเครื่องความปลอดภัย

นอกจากนี้ก็มี Microsoft Teams ที่ตัวเลขผู้ใช้ก้าวกระโดดเช่นกัน โดยการใช้งานประชุมออนไลน์เพิ่มขึ้น 200% ในเวลาเพียงครึ่งเดือน หรือซอฟต์แวร์ตัวอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นกันถ้วนหน้า เช่น Google Meet, BlueJeans, Cisco Webex ฯลฯ

ด้าน Mozilla ผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ Firefox ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวสูงก็มีคู่มือชื่อ *Privacy Not Included อยู่ โดยรีวิวสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งโฟกัสกับประเด็นด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ให้ผู้ใช้ได้ทราบว่าสินค้าที่เราสนใจหรือใช้งานอยู่นั้นปลอดภัยเพียงใด

ภาพโดย Mozilla
ล่าสุด Mozilla ได้รีวิวแอพประชุมออนไลน์หลายยี่ห้อในตลาดว่าเชื่อถือได้หรือไม่ มีประเด็นใดที่น่าเป็นห่วงสำหรับการใช้งาน โดย Zoom ที่มีข่าวด้านลบเยอะกลับทำคะแนนได้ 5 เต็ม ซึ่ง Mozilla เปิดเผยว่าใช้ Zoom อยู่เช่นกัน และ Zoom ออกอัพเดตความปลอดภัยถี่มากในช่วงนี้ รวมถึงใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนในการเข้าประชุม อีกทั้งยังระบุว่า Zoom มีความพยายามแก้ไขประเด็นต่างๆ อย่างหนัก

แอพตัวอื่นที่ได้ 5 คะแนนเต็มก็มากันครบทุกเจ้าใหญ่ๆ เช่น Microsoft Teams, Google Meet, Cisco Webex, BlueJeans, Skype ฯลฯ โดยผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของ Mozilla คือเข้ารหัสการเชื่อมต่อ, มีอัพเดตความปลอดภัย, ใช้รหัสผ่าน, มีโครงการจัดการช่องโหว่ และมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ดี

แอพชื่อดังที่สอบตกคือ Discord ที่นิยมในหมู่เกมเมอร์และช่วงหลังก็ขยายไปกลุ่มอื่นด้วย โดย Discord ไม่ผ่านเกณฑ์เรื่องรหัสผ่าน เพราะ Mozilla ทดลองใช้รหัส 111111 แล้วพบว่าไม่มีการป้องกันการใช้รหัสที่ไม่ปลอดภัย อีกทั้ง Discord ยังเป็นแพลตฟอร์มที่นิยมในการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องไม่ดี, การทำให้อับอาย, การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมอื่นๆ

นอกจากนี้แอพ Houseparty ที่ดังขึ้นมาช่วงนี้ก็สอบตกในเรื่องรหัสผ่านเช่นกัน

อ่านรีวิวแอพประชุมออนไลน์ทุกตัวได้ที่นี่

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563

SCB ประกาศ iOS ต่ำกว่า 10.3.4 และ Android ต่ำกว่า 6.0 จะใช้ SCB Easy ไม่ได้

ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมาประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป อุปกรณ์ที่รัน iOS เวอร์ชันที่ต่ำกว่า 10.3.4 และ Android ที่ต่ำกว่า 6.0 Marshmallow ลงไป รวมถึงเครื่องที่ผ่านการ Root และ Jailbreak จะไม่สามารถใช้งาน SCB Easy ได้แล้ว

นอกจากนี้แม้จะไม่สามารถใช้งานแอปได้ หากกรณีที่มีการทำรายการล่วงหน้าเอาไว้ในแอป คำสั่งดังกล่าวจะยังถูกดำเนินการต่อไปด้วย ขณะที่ประกาศนี้สอดคล้องกับประกาศของแบงค์ชาติเมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แอปโมบายล์ แบงค์กิ้ง


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2563

Google เตรียมเปิดตัวบัตรเดบิต เพื่อแข่งกับ Apple Card และ Huawei Card


แบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Apple ได้เปิดเปิดตัว Apple Card ไปเมื่อเดือนมีนาคม 2019 โดยเริ่มให้บริการเมื่อเดือนสิงหาคม 2019 ที่ผ่านมา และ Huawei ก็ได้เปิดตัวบัตรเครดิต Huawei Card ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุดเว็บไซต์ TechCrunch ได้รายงานว่า Google เตรียมจะเปิดตัวบัตรของตนเช่นกัน แต่ยังไม่ทราบชื่อบัตรอย่างเป็นทางการ

ในขณะที่ Apple Card เป็นบัตรเครดิตที่ได้ร่วมกับทาง Mastercard และ Goldman Sachs แต่บัตรของทาง Google นั้น จะเป็นบัตรเดบิตที่ร่วมกับธนาคารอื่น เช่น Stanford Federal Credit Union และ Citi เป็นต้น โดยเบื้องต้นจะเป็นบัตร Visa และจะขยายการชำระเงินในรูปแบบของบัตร Mastercard ต่อไป

อีกทั้งจะมีบัตรในรูปแบบดิจิทัลสำหรับชำระเงินผ่าน Bluetooth ด้วย


ทั้งนี้ ผู้ใช้บัตรของ Google จะสามารถตรวจสอบการธุรกรรมการเงินทั้งหมดจากแอป Google Pay, มีตัวเลือกให้ล็อกบัตรในกรณีที่บัตรถูกขโมยไปได้ และถ้าหากมีการเข้าถึงบัญชีโดยที่ผู้ใช้มิได้อนุญาต ผู้ใช้ก็สามารถล็อกการใช้งานได้ด้วยเช่นกัน


ในขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า Google จะเปิตดัวบัตรเดบิตของตนเมื่อไร


ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563

Raspberry Pi 4 ขายดีช่วงคนอยู่บ้าน ผู้ดูแลโครงการชี้คนซื้อไปใช้เป็นพีซีจริงๆ

Raspberry Pi Foundation มูลนิธิผู้พัฒนาคอมพิวเตอร์ Raspberry Pi รายงานยอดขายรวมเดือนมีนาคม ว่าอยู่ที่ 640,000 เครื่อง นับเป็นยอดขายรายเดือนสูงสุดอันดับสองนับแต่เริ่มโครงการมา โดย Eben Upton ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการระบุว่า คนซื้อนั้นนำไปใช้เป็นคอมพิวเตอร์ประจำวันจริงๆ

เขาระบุว่าช่วงเวลาที่หลายคนทำงานที่บ้านทำให้คอมพิวเตอร์ในบ้านไม่เพียงพอ จากเดิมที่หลายบ้านอาจจะมีคอมพิวเตอร์กลางบ้านไว้แบ่งกัน แต่เมื่อทุกคนต้องใช้งานพร้อมกันก็ต้องหาทางออกให้มีคอมพิวเตอร์พอใช้งาน

Upton ระบุว่ายอดขาย Raspberry Pi ฝั่งอุตสาหกรรมนั่นค่อนข้างคงที่ ขณะที่ Raspberry Pi เติบโตขึ้นจนต้องเร่งกำลังผลิตเต็มอัตรา (เขาเทียบว่าเหมือนบิดเร่งจากเบอร์ 4 ไปเบอร์ 10) และระบุว่ายอดขายนี้แสดงให้เห็นว่า Raspberry Pi เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ที่แม้จะเล่นเกมแรงๆ ไม่ได้แต่ก็เพียงพอสำหรับการเช็คอีเมลหรือทำงานเอกสาร


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2563

Qt Company พิจารณาปิดซอร์สเวอร์ชั่นใหม่นาน 12 เดือน, อาจทำให้โครงการถูก fork

Olaf Schmidt-Wischhöfer จาก KDE เล่าถึงสถานะการณ์ของ Qt ไลบรารี GUI ที่เป็นแกนกลางของระบบเดสก์ทอป KDE ว่าบริษัทกำลังพยายามเร่งรายได้ระยะสั้น โดยความเป็นไปได้หนึ่งคือการปิดเวอร์ชั่นล่าสุดทั้งหมดไม่ให้โลกโอเพนซอร์สใช้งานเป็นระยะเวลา 12 เดือน

Qt เป็นไลบรารีที่พัฒนาโดยบริษัท Trolltech และเคยขึ้นถึงสุดสูงสุดคือโนเกียซื้อบริษัทไป เพื่อพัฒนาโทรศัพท์ในระบบปฎิบัติการ MeeGo แต่ก็ล้มเหลวและขายบริษัทแยกออกมา โดยบริษัทพยายามหารายได้จากการขายซัพพอร์ตตัวไลบรารีและเครื่องมือออกแบบ GUI

ก่อนหน้านี้ Qt Company เคยปิดเวอร์ชั่นซัพพอร์ตระยะยาว (LTS) ให้สำหรับลูกค้าที่ซื้อไลเซนส์เท่านั้น การปิดซอร์สเวอร์ชั่นล่าสุดจะทำให้ชุมชนฝั่ง KDE ได้ใช้โค้ดที่แก้ปัญหาช้ากว่าปกติ และอาจจะกลายเป็นการบีบให้ KDE ต้อง fork โครงการออกมาทำเอง

Olaf ระบุว่าสาเหตุที่บริษัทมีแนวโน้มจะตัดสินใจเช่นนี้เพราะเศรษฐกิจที่แย่ลงอย่างรวดเร็วจากโรค COVID-19 ทำให้ต้องเร่งทำรายได้ในระยะสั้น


ที่มา: Blognone

Bootstrap ประกาศแผนยกเลิกการรองรับ IE ในเวอร์ชันใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว

Bootstrap ซึ่งเป็น UI Framework ยอดนิยม ประกาศแผนยกเลิกการรองรับ Internet Explorer ใน Bootstrap 5 ที่จะเปิดตัวออกมาในปีนี้

 
หนึ่งในผู้พัฒนา Bootstrap ได้ออกมากล่าวใน Github ว่ามีแผนจะยกเลิกการรองรับ Internet Explorer ทั้งเวอร์ชัน 10 และ 11 ใน Bootstrap 5 ที่กำลังจะมีการเปิดตัวเร็วๆ นี้ ซึ่งการประกาศในครั้งนี้เป็นหนึ่งใน Milestone ของทาง Bootstrap อยู่แล้ว และการยุติการรองรับ IE นั้นจะทำให้สามารถพัฒนาฟีเจอร์อื่นๆได้เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม Bootstrap 4 จะยังคงรองรับการใช้งาน IE ต่อไป ปัจจุบัน IE นั้นมีส่วนแบ่งในตลาด Web Browser อยู่ที่ประมาณ 1-2% เท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อาจจะกระทบลูกค้าองค์กรเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก Microsoft จะยังคงสนับสนุนการใช้งาน IE11 ไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025

จากการสำรวจของ W3Techs นั้น Bootstrap มีสัดส่วนการใช้งานอยู่ที่ 20.4% เมื่อเทียบกับจำนวนเว็บไซท์ทั้งหมด หรือมากกว่า 20 ล้านเว็บไซท์จากการสำรวจของ BuiltWith

ที่มา: TechTalk

ไม่หวั่นแม้ร้านตัดผมปิด Xiaomi Youpin วางจำหน่ายปัตตาเลียนชาร์จแบตได้!


ช่วงนี้ผู้เขียนก็หัวรุงรัง และคิดว่าใครหลายๆ คนก็คงเป็นไม่แพ้กัน เพราะร้านตัดผมต่างปิดกันหมดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อรับมือการแพร่ระบาดของ Covid-19 แต่ต่อไปนี้คงไม่ต้องกลัวปัญหาร้านตัดผมปิดอีกเพราะ Xiaomi Youpin ก็วางจำหน่ายปัตตาเลียนให้สั่งซื้อแล้วจ้า

ร้านค้า Xiaomi Youpin บน Lazada ได้วางจำหน่ายปัตตาเลียนในชื่อ Xiaomi Enchen Electric Hair Trimmer Clipper


คุณสมบัติ

  • ทำงานด้วยปุ่มปุ่มเดียว สามารถเลือกระดับความยาวผมที่ต้องการได้ ตั้งแต่ 0.7 ถึง 21 มม.
  • หัวตัดเป็นเซรามิก แข็งแรงกว่าสแตนเลสธรรมดา 1.6 เท่า หากใช้โหมดทำงานตัดผมที่เร็วขึ้น จะทำให้เสียงดังและความร้อนสะสมน้อยกว่าแบบสแตนเลส โดยมีเสียงจากการทำงานน้อยกว่า 55 เดซิเบล
  • ความเร็วการทำงานเริ่มต้นอยู่ที่ 4,800 รอบต่อนาที แต่หากเป็นโหมดเทอร์โบจะเร่งรอบการทำงานสูงสุด 5,800 รอบต่อนาที ทำให้ตัดผมที่หนาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
  • หัวตัดใช้เทคโนโลยี ESM (Energy Smart Manager) ป้องกันผมติดใบมีด
  • ด้วยการออกแบบ R Type Rounded Corner Processing หรือฐานปัตตาเลียนแบบโค้งมน ทำให้ไม่เกิดอันตราย ปลอดภัยทุกมุมขณะการใช้งาน
  • มีให้เลือกสองสี ขาว และ ดำ
ที่สำคัญคือปัตตาเลียน Xiaomi Enchen Electric Hair Trimmer Clipper ใช้พอร์ต USB-C สำหรับการจ่ายไฟเข้า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ชื่นชมมาก เพราะสามารถใช้ที่ชาร์จสมาร์ตโฟนชาร์จได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนไปมาหลายสายครับ

สำหรับราคานั้นวางจำหน่ายบน Lazada – Xiaomi Youpin อยู่ที่ 498 บาท เป็นสินค้าจัดส่งจากต่างประเทศ อาจจะต้องรอสักพัก แต่ทั้งนี้บน Lazada และ Shopee ก็มีอีกหลายร้านที่ขายด้วยเช่นเดียวกัน สามารถเลือกหาราคาที่ถูกที่สุดได้ด้วยตัวเองนะครับ
 
ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2563

เมืองซานฟรานซิสโกออกกฎ ห้ามเดลิเวอรีเก็บคอมมิชชันร้านอาหารเกิน 15%

ประเด็นเรื่องบริการส่งอาหารเดลิเวอรี คิดค่าคอมมิชชันหรือส่วนแบ่งรายได้ (GP) จากร้านอาหาร ไม่ได้มีเฉพาะในไทย บริการแบบเดียวกันในต่างประเทศก็มีโมเดลธุรกิจที่คิดค่าคอมมิชชัน 10-30% เช่นเดียวกัน (ตัวเลขของ Uber Eats คือ 25%)

ล่าสุด นายกเทศมนตรีนครซานฟรานซิสโก ออกมาประกาศบังคับไม่ให้บริการเดลิเวอรีเก็บค่าคอมมิชชันแพงกว่า 15% เพื่อไม่ให้กระทบรายได้ของร้านอาหาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ร้านอาหารต้องปิด และรายได้ส่วนใหญ่ของร้านมาจากการส่งเดลิเวอรีด้วย

ประกาศนี้มีผลในวันนี้ (13 เมษายน ตามเวลาสหรัฐ) และบังคับใช้ไปจนกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินจะสิ้นสุด ร้านอาหารกลับมาเปิดให้นั่งกินในร้านได้

ตัวอย่างบริการเดลิเวอรีในสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากประกาศนี้คือ Uber Eats, Postmates, Grubhub, DoorDash ซึ่งผู้ประกอบการบางรายอย่าง DoorDash ก็ออกมาประกาศลดค่าคอมมิชชันลงครึ่งหนึ่งไปก่อนแล้ว


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2563

AIS ตั้ง Robotic Lab พัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลไทยใช้งาน

AIS ประกาศตั้งศูนย์เฉพาะกิจ AIS Robotic Lab ดึงนักวิจัยมาพัฒนาหุ่นยนต์ด้านการแพทย์, ระบบ 5G Telemedicine, โซลูชันงานบริการทางการแพทย์ ร่วมกับโรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทย

 
ผลลัพธ์ของ AIS Robotic Lab จะขึ้นกับความต้องการของแต่ละโรงพยาบาล ตัวอย่างผลงานที่เสร็จแล้วคือ
  • หุ่นยนต์ Telemedicine ชื่อ Robot for Care ช่วยคัดกรองคนไข้ด้วยการวัดอุณหภูมิ thermoscan ตอนนี้พัฒนาเสร็จแล้ว 21 ตัว จะนำส่งให้โรงพยาบาล 20 แห่งใช้งาน
  • ระบบปรึกษาทางไกลด้วย video call
 ที่มา: Blognone

Nuro เริ่มทดสอบรถขนส่งไร้คนขับในแคลิฟอร์เนียแล้ว


ยานพาหนะขนส่งไร้คนขับของ Nuro ได้รับการอนุญาตจากแผนกยานยนต์ของแคลิฟอร์เนีย หรือที่เรียกโดยย่อว่า DMV ให้สามารถทดสอบรถยนต์ไร้คนขับสำหรับการขนส่งไร้คนขับได้อย่างเต็มที่แล้ว

สำหรับการทดสอบของรถยนต์ไร้คนขับ Nuro จะได้รับการอนุญาตให้ทดสอบได้ในพื้นที่บางส่วนของ Santa Clara และ San Mateo รวมถึงพื้นที่ใน Silicon Valley ได้แก่ Mountain View, Palo Alto และ Sunnyvale โดยเบื้องต้นบริษัทได้จัดส่งของให้ฟรีในบริษัทที่ Nuro เลือกไว้ในพื้นที่ Mountain View

บริษัท Nuro ได้ใบอนุญาตสำหรับทดสอบรถยนต์ส่งของไร้คนขับตั้งแต่ปี 2017 แต่เฉพาะสนามสำหรับทดลองรถเท่านั้น การทดสอบขนส่งรถจริงๆ เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น

Nuro นับเป็นบริษัทที่สองที่ได้รับการอนุญาตทดสอบรถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มตัวถัดจาก Waymo ค่ะ

ที่มา: Beartai

สิ่งที่ไทยควรเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยีสู้ Covid – 19 ของจีน


ในวันที่เริ่มมีการระบาดของ Coronavirus หรือ Covid – 19 ที่อู่ฮั่น จีนได้เร่งสร้างโรงพยาบาลภาคสนามขึ้นภายใน 10 วัน พร้อมกับขนเทคโนโลยีพร้อมกับทีมแพทย์เพื่อเตรียมรับมือกับผู้ป่วยจำนวนมาก

ปัจจุบัน ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างจับมือกันเพื่อต่อสู้กับ COVID-19 แต่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของจีนกำลังใช้ Robot และ Telemedicine และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาด และเป็นกำลังเสริมให้กับเจ้าหน้าที่ช่วยต่อสู้กับวิกฤตนี้

โดยในช่วงที่รัฐบาลจีนสั่งให้ทุกคนอยู่บ้าน จีนใช้โดรนสำรวจเพื่อดูคนที่แอบฝ่าฝืนกฎ พร้อมติดตั้งลำโพงขนาดใหญ่ เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ข่าวสาร

ในพื้นที่โรงพยาบาลสนามอู่ฮั่นมีการใช้หุ่นยนต์เพื่อลดภาระต่างๆ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหุ่นยนต์เพื่อคุยกับแพทย์ และหุ่นยนต์ส่งอาหารและยา หุ่นยนต์เพื่อความบันทเทิง รวมทั้งหุ่นยนต์ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ  โดยได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งจากบริษัท China Mobile และ CloudMinds

นอกจากนี้ จีนใช้อุปกรณ์ IoT อื่นๆ เพื่อคัดกรองผู้ป่วยผ่านเครื่องวัดอุณหภูมิที่เชื่อมต่อเครือข่าย 5G โดยเครื่องจะแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที หากพบคนที่มีอุณภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ

ด้านการรักษา ผู้ป่วยจะสวมสร้อยข้อมือและแหวนอัจฉริยะที่จะซิงค์กับแพลตฟอร์ม AI ของ CloudMinds เพื่อตรวจดูสัญญาณชีพ อุณหภูมิ อัตราการเต้นของหัวใจ และระดับออกซิเจนในเลือด เพื่อเฝ้าระวังและลดภาระให้กับพยาบาลที่ต้องคอยวัดสัญญาณต่างๆ ในแต่ละวัน

โรงพยาบาลภาคสนามเป็นหนึ่งในหลายแห่งในอู่ฮั่น ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ป่วย 20,000 รายหากโรงพยาบาลทั่วไปมีภาระหนัก สถานที่และหุ่นยนต์ก็อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมเพื่อรองรับผู้ป่วยที่จะเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จีนยังได้ใช้หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ที่นำเข้าจากบริษัทในเดนมาร์ค เมื่อเปิดเครื่อง หุ่นยนต์จะเดินไปยังสถานที่ที่ถูกตั้งค่าไว้อัติโนมัติ เพื่อฆ่า Covid – 19  สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ 99.9 เปอร์เซ็น ใช้งานได้ 2.5 ชั่วโมงหรือประมาณ 9-10 ห้อง มีเซนเซอร์ติดที่ตัวหุ่น หากพบเจอคนหุ่นจะหยุดทำงานทันที และจะทำงานต่อเมื่อคนไม่มีคนอยู่


Telemedicine ถูกหยิบใช้งานจริง ไม่ใช่แค่พูดถึง


Telemedicine นั้นเป็นเรื่องที่เราพูดกันมันหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรพัฒนามากขึ้น อาจเป็นเพราะไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา แต่เมื่อ Covid – 19 ระบาด มันบังคับโรงพยาบาลหลายที่ต้องปรับตัว

JD Health บริษัทย่อยของยักษ์ใหญ่ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของ JD.com ได้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบริการสุขภาพออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่านับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโคโรนาไวรัส

ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่ากฎของรัฐบาลกลางจะถูกยกเลิก เพื่อให้แพทย์จำนวนมากสามารถให้การดูแลผู้ป่วยผ่านวิดีโอแชทและวิธีการอื่นๆ ได้

โรงพยาบาล เช่น ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยในชิคาโก และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในวอชิงตันดีซี กำลังใช้ Telemedicine เพื่อช่วยคัดกรองผู้ป่วย Coronavirus

สำหรับไทย อาจจะยังมีเทคโนโลยีนี้ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ อย่างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ใช้หุ่นยนต์ปิ่นโตเพื่อช่วยส่งอาหารและยาให้กับผู้ป่วยในพื้นที่

ส่วน Telemedicine มีใช้งานอย่างจริงจังแค่โรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น อย่างบำรุงราษฐ์ และ กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ทำให้มีแค่คนบางกลุ่มที่พอมีฐานะพอจะเข้าถึงการรักษาได้

ต้องยอมรับว่าไทยมีการปรับตัวรับ Covid – 19 ได้ดีหากเทียบกับประเทศแถบยุโรป แต่น่าเสียดายที่การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือนับว่ามีน้อย ทั้งที่เรามีบุคคลากรด้านวิศวกรที่เก่งมากๆ

ที่มา: TechHub

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

Microsoft Edge มีส่วนแบ่งตลาดแซงหน้า Firefox ขึ้นเป็นเบราว์เซอร์อันดับ 2 แล้ว


Net Applications รายงานสถิติเว็บเบราว์เซอร์ประจำเดือนมีนาคม 2020 มีจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจคือ ส่วนแบ่งตลาดของ Microsoft Edge สามารถแซงหน้า Firefox ได้แล้ว ขึ้นมาเป็นเบราว์เซอร์อันดับสองของโลกเดสก์ท็อปแล้ว
  • เดือนกุมภาพันธ์ 2020 แชมป์เป็น Chrome แบบทิ้งห่างที่ 67.27% ตามด้วย Firefox 7.57% และ Edge 7.38%
  • เดือนมีนาคม 2020 Chrome ส่วนแบ่งเพิ่มอีกเล็กน้อยเป็น 68.50%, Edge แซงขึ้นมาที่ 7.59%, Firefox ตกลงไปเหลือ 7.19%
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Edge มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นคือ Edge ตัวใหม่พลัง Chromium ออกรุ่นเสถียร และไมโครซอฟท์ก็ทยอยปล่อยอัพเดตให้ผู้ใช้ Windows 10 กัน

ส่วนแบ่งตลาดเบราว์เซอร์บนอุปกรณ์พกพา Chrome ก็ทิ้งห่างที่ 63.67% อันดับสองคือ Safari 26.46%, Samsung Browser 4.23% ส่วน Firefox บนมือถือมีส่วนแบ่งแค่ 0.57% เท่านั้น

ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2563

[COVID-19] สตาร์ตอัพสหรัฐปลดพนักงานแล้วเกือบ 4,000 ราย, อาจต้องปิดตัวอีกมาก

สำนักข่าว CNBC รวบรวมข้อมูลสตาร์ตอัพในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จนต้องปลดพนักงาน พบว่ามีกว่า 40 บริษัทแล้ว ส่งผลกระทบต่อพนักงาน 3,800 คนที่ต้องตกงาน

สถานการณ์คนตกงานในสหรัฐอเมริกาล่าสุด มีคนตกงานมากกว่า 3.3 ล้านคนแล้ว และจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

นอกจากนี้ วงการนักลงทุน Venture Capital ก็เริ่มออกมาเตือนบรรดาสตาร์ตอัพแล้วว่า เงินทุนจะหายากมากขึ้น เราจึงจะได้เห็นการปิดกิจการของสตาร์ตอัพตามมาอีกระลอกใหญ่


ที่มา: Blognone

Ford ประกาศจะผลิตเครื่องช่วยหายใจอีก 50,000 เครื่องภายใน 100 วัน

Ford ประกาศจะผลิตเครื่องช่วยหายใจให้ได้ 50,000 เครื่องภายในระยะเวลา 100 วันนับตั้งแต่ 20 เมษายนเป็นต้นไป หลังเป็นพาร์ทเนอร์กับ GE Healthcare เพื่อนำเครื่องช่วยหายใจรุ่น GE/Airon โมเดล A-E มาผลิต โดย Ford ต้องรอการรับรองด้านกฎหมายในการเป็นผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจรุ่นดังกล่าวให้ GE

Ford ระบุว่าจะใช้โรงงานชิ้นส่วนในรัฐมิชิแกน ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตเครื่องช่วยหายใจได้ราว 30,000 เครื่องต่อเดือน โดย GE/Airon โมเดล A-E เป็นเครื่องช่วยหายใจที่ทำงานโดยอาศัยแรงดันลมทำให้ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการใช้งาน ทำให้สามารถใช้งานได้ทุกที่และค่อนข้างเหมาะสมสำหรับการใช้ในช่วงวิกฤติลักษณะนี้


ที่มา: Blognone