วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Microsoft ออกแอป Office เวอร์ชันบนแว่น Meta Quest

ไมโครซอฟท์ออกแอปเพิ่มเติมบนแพลตฟอร์มแว่น Meta Quest จากวันก่อนเป็น Xbox Cloud Gaming โดยวันนี้เป็นโปรแกรมตระกูล Office

โดย Office ที่มีให้ใช้งานตอนนี้คือ 3 โปรแกรมหลัก Word, Excel และ PowerPoint รองรับแผนใช้งานแบบ basic ฉะนั้นจึงใช้งานได้ทุกคนรวมทั้งแผนฟรี ต้องล็อกอินเข้าบัญชีไมโครซอฟท์เพื่อใช้งาน และโปรแกรมทั้งหมดทำงานบนคลาวด์

Android Central ทดสอบการใช้งาน สามารถทำงานร่วมกับคีย์บอร์ดและเมาส์บลูทูธได้ด้วย จึงทำให้การใช้งานไม่ลำบากมากเกินไป ดูวิดีโอได้ท้ายข่าว

ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Apple Vision รุ่นลดสเปก อาจมีราคาอยู่ประมาณ 50,000 บาท

Apple เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่แบบ VR หรือ Apple Vision Pro ด้วยราคา 3,500 เหรียญ หรือประมาณ 127,000 บาท การตั้งชื่อก็ฟ้องว่านี่เป็นรุ่นท็อป (ไม่มี Max มั้ง) จึงเป็นไปได้ที่ Apple จะทำรุ่นสเปกรองลงมาออกมาจำหน่ายด้วย

มาร์ก เกอร์แมน (Mark Gurman) จาก Bloomberg รวมถึงข้อมูลจาก The Information บอกว่า Apple กำลังพัฒนา Apple Vision รุ่นรองลงมา เนื่องจากตัว Vision Pro สเปกจัดเต็ม ราคา 3,500 เหรียญนั้นก็ถือว่าสูงมาก ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงราคาระดับนี้ได้ง่ายนัก

เกอร์แมนบอกว่า Apple กำลังพัฒนา Apple Vision รุ่นราคาถูกลง ลดสเปกหลายๆ ส่วน เช่น ชิปประมวลผลระดับ iPhone แทนที่ชิปสำหรับ Mac ถอดฟีเจอร์ Eyesight ลดความละเอียดหน้าจอลง รวมถึงลดจำนวนเซนเซอร์ที่ใช้งานลงด้วย

สำหรับค่าตัวของ Apple Vision รุ่นราคาถูกลงมาจะอยู่ที่ 1,500-2,500 เหรียญ หรือรประมาณ 54,000-90,000 บาท ยังไม่มีการยืนยันราคาแน่ชัด

ที่มา: Beartai

ผู้บริหาร RISC-V International ชี้การจำกัดการเผยแพร่มาตรฐาน RISC-V จะขวางการพัฒนาเทคโนโลยีโลก


คาลิสตา เรดมอนด์ (Calista Redmond) ผู้บริหาร RISC-V International ซึ่งกำกับดูแลเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมชิปแบบโอเพนซอร์ส RISC-V ชี้ว่าความพยายามจำกัดการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว อาจชะลอการพัฒนาชิปที่ดีขึ้น และจะฉุดรั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก

ก่อนหน้านี้ สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกาดาหน้ากันออกมากดดันให้รัฐบาลออกมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ RISC-V เป็นฐาน เพื่อเตะสกัดการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน

สำหรับเทคโนโลยี RISC-V สามารถนำไปใช้ต่อยอดในการพัฒนาชิปสำหรับสมาร์ตโฟนหรือ AI ก็ได้ ซึ่งบริษัททั้งในจีนอย่าง Huawei และสหรัฐฯ อย่าง Qualcomm และ Google ก็หันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีนี้

ซึ่งเรดมอนด์อธิบายว่าทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย ต่างก็มีส่วนร่วมในการนำ RISC-V ไปต่อยอดในการพัฒนาเทคโนโลยีไม่น้อยไปกว่ากัน พร้อมย้ำว่ามาตรฐาน RISC-V ที่องค์กรเผยแพร่ไม่ใช่พิมพ์เขียวในการพัฒนาชิปที่สมบูรณ์ และไม่ได้มีการให้ข้อมูลกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่าอีกฝ่าย แต่ใครก็สามารถนำไปพัฒนาต่อได้โดยอิสระ

เรดมอนด์ชี้ว่าการจำกัดการใช้งาน RISC-V จะส่งผลในการลดทอนความสามารถในการเข้าสู่ตลาดโลกของผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และผู้มีความสามารถ อีกทั้ง การแบ่งแยกมาตรฐานทางเทคโนโลยีระหว่างประเทศอาจทำให้เกิดเทคโนโลยีที่ไม่สามารถนำมาใช้ร่วมกัน เป็นการปิดตลาด และสร้างภาระโดยไม่จำเป็น

เป้าหมายของ RISC-V คือการเปิดกว้างมาตรฐานเทคโนโลยีโดยไม่มีบริษัทใดครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

ที่มา: Beartai

เปิดตัว Meta Quest 3 จอชัดขึ้น ใช้ชิป Snapdragon XR2 Gen 2 ราคาเริ่มต้นเกือบ 20,000 บาท

Meta Quest 3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเป็นอุปกรณ์ mixed reality (MR) headset ที่ในครั้งนี้มีหน้าจอ (เลนส์) ที่บางเบาลง มีความละเอียด 2208 x 2064 พิกเซล อัตรารีเฟรช 90 Hz และโหมดทดลอง 120 Hz โดยให้มุมมอง 110 องศาในแกนนอน และ 96 องศาในแกนตั้ง

Meta Quest 3 ใช้เลนส์ดีไซน์แบบแพนเค้กที่บางลงจากเดิม 40% แต่น้ำหนักของ Quest 3 จะอยู่ที่ 515 กรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก Quest 2 เล็กน้อยประมาณ 12 กรัม

อุปกรณ์รุ่นนี้มาพร้อมตัวประมวลผลกราฟิกถึง 2 ตัว ได้แก่ชิป Snapdragon XR2 Gen 2 ของ Qualcomm คู่กับ DRAM 8GB นอกจากนี้ Quest 3 ยังติดตั้งกล้อง RGB มาถึง 2 ตัว และ depth projector ที่ให้ความละเอียดมากกว่าของ Quest 2 ถึง 10 เท่า

มีการติดตั้งลำโพงที่รองรับระบบ 3D spatial audio, สายรัดที่ปรับระยะได้, ตัวคอนโทรลเลอร์ Touch Plus พร้อม TruTouch haptics และผู้ใช้จะได้เซนเซอร์ติดตามการเคลื่อนไหวของมือจากกล้อง IR 4 ตัว

ทั้งนี้ Meta ระบุว่า Quest 3 จะสามารถใช้งานได้นานเฉลี่ย 2.2 ชั่วโมง ในขณะที่การชาร์จต้องใช้เวลา 2.3 ชั่วโมงถึงจะชาร์จจนเต็มได้

สำหรับราคาของ Meta Quest 3 นั้นอยู่ที่ 500 เหรียญ (ราว 18,300 บาท) สำหรับรุ่น 128GB และ 650 เหรียญ (ราว 23,800 บาท) สำหรับรุ่น 512GB

ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Microsoft Teams เปิดตัวฟีเจอร์ Town Halls จัดประชุมขนาดใหญ่ ผู้ฟังสูงสุด 20,000 คน

ไมโครซอฟท์เปิดตัวฟีเจอร์การประชุมขนาดใหญ่ Town Halls ให้กับ Microsoft Teams โดยจะมาแทนฟีเจอร์การประชุมของเดิม Teams Live Events ที่จะเลิกใช้งานในเดือนกันยายน 2024

Town Halls รองรับการประชุมแบบพร้อมหน้ากันทั้งบริษัท เข้าฟังได้สูงสุด 20,000 คน มีอีเวนต์แยกรันขนานกันได้สูงสุด 50 งาน, ระยะเวลาถ่ายทอดสดนานสูงสุด 30 ชั่วโมง

ฟีเจอร์อื่นๆ ถูกพัฒนามารองรับการประชุมขนาดใหญ่แบบครบถ้วน เช่น Green Room ห้องให้ผู้พูดเตรียมตัวกับผู้จัดงานก่อนขึ้นพูด, ระบบ Q&A ถามตอบ, การบันทึกวิดีโอ, การสื่อสารว่าจะมีงานถ่ายทอดผ่านอีเมล, ระบบเก็บสถิติและวิเคราะห์ผู้ชม เป็นต้น

Town Halls จะเริ่มเปิดใช้งานวันที่ 5 ตุลาคม 2023

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2566

ชิป U2 บน iPhone 15 Series ฟีเจอร์ค้นหาเพื่อนระยะทางไกลสุด 60 เมตร


หนึ่งในการอัปเกรดภายในของ iPhone 15 ทุกรุ่น คือการติดตั้งชิป Ultra-wide-band ตัวใหม่อย่าง U2 ทำให้การเชื่อมต่อ และค้นหาสิ่งของแม่นยำขึ้น โดย iPhone 15 มาพร้อมกับฟีเจอร์ค้นหาเพื่อน ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถค้นหาเพื่อนได้ระยะทางไกลสุดประมาณ 60 เมตร

ก่อนหน้านี้ชิป U1 เคยถูกติดตั้งบน iPhone และ AirTags อุปกรณ์ไว้สำหรับติดตามสิ่งของ จากการทดสอบฟีเจอร์ค้นหาของ AirTags สามารถทำระยะทางค้นหาได้สูงสุดเพียง 10-15 เมตรเท่านั้นในพื้นที่เปิดโล่งแจ้ง

ช่องยูทูป Teknófilo ได้โพสต์วิดีโอทดสอบฟีเจอร์ค้นหาเพื่อนแอป Find My บน iPhone 15 พบว่าชิป U2 สามารถทำระยะทางค้นหาได้แม่นยำขึ้นกว่าชิป U1 ได้ระยะทางไกลสูงสุดประมาณ 60 เมตรในพื้นที่เปิดโล่งแจ้ง ซึ่งระยะทางดังกล่าวก็มากกว่าการค้นหาสิ่งของของ AirTags สูงขึ้นกว่า 3 เท่า

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ผู้เชี่ยวชาญออกมาเปิดเผยเพราะอะไรใส่ Apple Vision Pro เวียนหัวน้อยกว่าแว่น VR อื่นๆ

หลังจากการเปิดตัวแว่นตา Apple Vision Pro ในงาน WWDC 2023 เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดมีผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเปิดเผยเพราะอะไรใส่ Apple Vision Pro แล้วไม่เวียนหัว

เดวิด รีด (David Reid) ศาสตราจารย์ด้าน AI และ Spatial Computing จากมหาวิทยาลัย Liverpool Hope ได้ออกมาเปิดเผยสาเหตุใส่ Apple Vision Pro แล้วไม่เวียนหัวกับทาง BBC ว่า ผมได้ทดลองเล่นแว่นตา VR มาหลากหลายรุ่นในท้องตลาด และตัวล่าสุด HoloLens 2 ผลทดลองใส่ทั้งหมดมีอาการเวียนหัวทั้งสิ้น

ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงหลังจากได้เข้าร่วมทดลองใส่ Apple Vision Pro แล้วไม่เวียนหัว ก็คือ การออกแบบฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อนทำให้ภาพภายในแว่นมีความสมจริง และเป็นธรรมชาติ โดยปัญหาหลักๆ ของการใส่แว่น VR คือ อาการเวียนหัวจากจุดศูนย์รวมสายตา และการปรับโฟกัส Vergence accommodation conflict (VAC) เมื่อปัญหาทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกันไม่สามารถปรับโฟกัสระยะทางของวัตถุแบบ 3 มิติได้ จะส่งผลให้เกิดความไม่สบายตา และปวดตา

โดยผลพวงของการออกแบบฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อนของ Apple Vision Pro คือ การเลือกใช้จอแสดงผลภาพพาเนลแบบ Micro OLED จำนวนสองจอแยกแต่ละข้างที่มีความละเอียดสูง 23 ล้านพิกเซลมากกว่าจอทีวี และในแต่ละจอมีรีเฟรชเรตสูง 90 Hz

อีกทั้งยังมีการใช้ชิปประมวลผลคู่ Apple Silicon M2 และชิปใหม่ล่าสุดอย่าง R1 ที่ทาง Apple ได้อธิบายไว้ว่า ชิปตัวนี้จะประมวลผลอินพุตภาพจากกล้องหน้าแว่น, เซนเซอร์ และไมโครโฟน ที่ช่วยสตรีมภาพไปยังหน้าจอภายใน 12 มิลลิวินาทีเพื่อการมองเห็นภาพภายนอกแบบเรียลไทม์

ที่มา: Beartai

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Amazon One ระบบจ่ายเงินด้วยฝ่ามือ เพิ่มระบบยืนยันอายุอัตโนมัติ สำหรับซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

บริการระบบจ่ายเงินด้วยฝ่ามือ Amazon One ประกาศเพิ่มคุณสมบัติใหม่ โดยนอกจากใช้จ่ายเงินได้แล้ว ยังสามารถใช้ยืนยันอายุของผู้ซื้อ สำหรับการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ด้วย จากเดิมในขั้นตอนนี้ผู้ซื้อต้องแสดงเอกสารที่ออกให้โดยหน่วยงานรัฐทุกครั้ง

โดย Amazon เพิ่มระบบยืนยันอายุใน Amazon One ผู้ใช้งานสามารถไปที่เว็บไซต์หรือคิออสก์ แล้วอัปโหลดภาพเอกสารยืนยันอายุของหน่วยงานรัฐ (ในอเมริกานิยมใช้ใบขับขี่) พร้อมกับเซลฟี่ใบหน้า ซึ่ง Amazon จะทำการตรวจสอบความถูกต้องเอกสาร แต่ไม่เก็บข้อมูลไว้ แล้วใช้เฉพาะภาพเซลฟี่ใบหน้านี้แสดงประกอบทุกครั้ง เมื่อสแกนฝ่ามือจ่ายเงินให้ร้านค้าเปรียบเทียบความถูกต้อง

Amazon จะเริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุของ Amazon One นี้ที่ SandLot Brewery บาร์หน้าสนามเบสบอล Coors Field ของทีม Colorado Rockies โดยหวังว่าจะช่วยลดขั้นตอนการซื้อ-ยืนยันอายุ ที่ทำให้แถวรอยาวนั่นเอง แล้วเตรียมขยายต่อไปยังสถานที่อื่นในอนาคต

ปัจจุบันระบบจ่ายเงินด้วยฝ่ามือ Amazon One มีให้ใช้งานใน Whole Foods Market, ร้าน Amazon Go และ Amazon Fresh ตลอดจนร้านค้าพาร์ตเนอร์อีกหลายแห่ง

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2566

คนขับรถเมล์ในซานฟรานซิสโกโวย รถไร้คนขับไม่เก่งอย่างที่โม้ ทำรถติด

Wired รายงานถึงการทดสอบรถแท็กซี่ไร้คนขับในเมืองซานฟรานซิสโก ที่เปิดให้บริษัทต่างๆ เข้ามาทดสอบรถไร้คนขับเต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องมีพนักงานอยู่หลังพวงมาลัยในกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปี 2021 ที่ผ่านมา แม้ว่าในกรณีทั่วๆ ไปจะทำงานได้ดี แต่เมื่อเกิดเหตุที่ต้องตัดสินใจนอกจากรูปแบบปกติขึ้นมาจริงๆ รถไร้คนขับก็ทำรถติดได้มากกว่าคนมาก

ทาง Wired ขอข้อมูลจาก Muni ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะของซานฟรานซิสโกที่เริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่ามีเกิดเหตุอย่างน้อย 12 ครั้งจนถึงต้นเดือนมีนาคมนี้ เหตุการณ์เช่น รถสวนกันในถนนที่พื้นที่ไม่พอให้สวนทาง ถ้าเป็นคนขับปกติก็สามารถตัดสินใจถอยรถหลีกทางได้ทันที แต่ Waymo ต้องเรียกผู้ช่วยมาขยับรถให้ ทาง Waymo เองพยายามบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย และผู้ช่วยก็ไปถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับบริษัทอื่นๆ ด้วย เช่น Cruise เองก็มีเหตุที่รถไม่ยอมขยับแม้จะไฟเขียวแล้ว

ที่ผ่านมาบริษัทรถไร้คนขับมีรายงานความปลอดภัยกันอย่างต่อเนื่อง สถิติแสดงให้เห็นว่ารถไร้คนขับนั้นปลอดภัยมาก และแทบไม่เคยชนโดยตัวรถเป็นฝ่ายผิดเลย แต่ในความเป็นจริง ความสามารถในการจัดการเหตุการณ์อื่นๆ นอกจากอุบัติเหตุถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ควรพิจารณานำรถไร้คนขับมาใช้งานจริง


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2566

Huawei เริ่มผลิตชิปเองได้แล้ว!

ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei จู้ จือจุน (Xu Zhijun) เผยข่าวดีว่าตอนนี้บริษัทประสบความสำเร็จในการผลิตชิปแล้ว โดยจะเริ่มต้นที่เทคโนโลยี 14nm ก่อนเป็นอันดับแรก

สื่อต่างประเทศรายงานว่า ทีมพัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ รวมถึงพาร์ตเนอร์ภายในประเทศ ได้ร่วมมือกันจนสามารถใช้งานเทคโนโลยีการผลิตชิปได้ ทีมพัฒนาได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ รวมถึงเปิดตัวเครื่องมือที่ชื่อว่า cloud-native schematic diagram สร้างเลย์เอาต์ PCB ความเร็วสูงและความไวสูง และยังมีการปรับปรุงเครื่องมือ CAD 2D/3D สำหรับการออกแบบโครงสร้างใหม่ด้วย

Huawei ได้พัฒนาทีมเครื่องมือ EDA ร่วมกับบริษัท EDA ท้องถิ่น เพื่อร่วมกันสร้างเครื่องมือ EDA ที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยี 14nm และสูงกว่า

จือจุนระบุว่าเครื่องมือสำหรับการผลิตชิประดับ 14nm และสูงกว่าจะได้รับการรับรองการใช้งานภายในปีนี้ ถือว่าเป็นการพัฒนาของ Huawei และบริษัทจีนที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2566

Agility Robotics เปิดตัว Digit หุ่นยนต์จำลองมนุษย์ เดิน 2 ขา รุ่นอัปเกรด

Agility Robotics เปิดตัว Digit หุ่นยนต์รุ่นล่าสุด ที่ได้อัปเกรดส่วนหัวเข้าไปพร้อมกับไฟ LED ที่เคลื่อนไหวได้ 1 คู่ จากตัวรุ่นเก่าที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2020 นั้นไม่มีส่วนหัว นี้ไม่ใช่การอัปเกรดให้มันคล้ายมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มเซนเซอร์และกล้องถ่ายทอดการมองเห็นเข้าไป และไว้บอกทิศทางที่หุ่นจะไป


Digit หุ่นยนต์จำลองการเดิน 2 ขาและมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับมนุษย์ มีส่วนสูงอยู่ที่ 175 ซม. หนัก 65 กก. สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 16 กก. ทำงานได้ถึง 16 ชม. เป็นหุ่นยนต์อเนกประสงค์ที่สร้างขึ้นเพื่อการทำงานโลจิสติกส์ และงานในอุตสาหกรรม สามารถขนย้ายสิ่งของ และจัดส่งสินค้าได้ด้วยการเคลื่อนไหวแบบมนุษย์ เดินไปข้างหน้า, ย้อนกลับ, เลี้ยวเข้าที่, เดินหมอบ, เดินขึ้นลงที่ชัน, และสามารถเดินข้ามขอบถนนหรือหินได้ กับเซนเซอร์อัจฉริยะ หยุดชั่วคราวเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง หมุนร่างกายเพื่อมองรอบๆ ใช้แขน, มือ, และเท้าในการทรงตัวเมื่อถูกชน หยิบของและวางสิ่งที่มีน้ำหนักต่างกันได้ พร้อมระบบชาร์จอัตโนมัติ เมื่อพลังงานไกล้หมดสามารถไปยังแท่นชาร์จอัตโนมัติ

Digit อาจมีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับมนุษย์ในอุตสาหกรรมโรงงาน ที่เปรียบเสมือนกับพนักงานคนหนึ่งในระบบโรงงานในอนาคต

ที่มา: Beartai

วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2566

Bing มีความสามารถใหม่ที่สามารถสร้างภาพด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง Dall-E จาก OpenAI

ล่าสุด Microsoft เพิ่มความสามารถสร้างภาพที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Dall-E ลงไปใน Bing ที่ผู้ใช้งานสามารถสร้างภาพอะไรก็ได้ตามความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง

ความสามารถสร้างภาพใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Dall-E ใน Bing จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างภาพด้วยความคิดสร้างสรรค์ และ Microsoft ได้เพิ่มปุ่ม Bing Image Creator ลงไปในแถบด้านข้างของเว็บบราวเซอร์ Microsoft Edge เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายที่สุด

หากต้องการที่จะใช้คุณสมบัตินี้ผู้ใช้งานจะต้องเลือกโหมดสร้างสรรค์ (Creative) ใน Bing และพิมพ์คำอธิบายของรูปภาพที่ต้องการสร้าง


เมื่อใช้งานฟีเจอร์สร้างภาพใน Bing แล้วไม่พบการแสดงตัวอย่างของภาพ สามารถเข้าไปดูตัวอย่างของรูปภาพได้ที่เว็บไซต์ Bing Image Creator และในอนาคตจะมีการผสานรวมตัวกันระหว่าง Bing Image Creator กับ Bing โหมดสร้างสรรค์ที่จะแสดงตัวอย่างรูปภาพในกล่องข้อความ Bing ในทันที อีกทั้ง Microsoft ยังมีแผนที่จะรองรับภาษาอื่นๆ ใน Bing เพิ่มเติมในอนาคตเพื่อการป้อนคำสั่งที่ง่ายมากยิ่งขึ้น

ที่มา: Beartai

Zipline เปิดตัวโดรนส่งของรุ่นใหม่ ปล่อยยานลูกมาส่งของ ส่วนยานแม่อยู่เกือบ 100 เมตรเหนือพื้น

Zipline บริษัทโดรนขนส่งของอเมริกา ที่เคยมีบทบาทการขนส่งอุปกรณ์การแพทย์ และวัคซีนโควิด-19 ในประเทศกานา ในสถานการณ์โรคระบาด การจราจรติดขัด พฤติกรรมของมนุษย์ยุคใหม่ที่เน้นความสบาย เพื่อการพัฒนาการขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสะดวกสบาย การใช้เทคโนโลยีขนส่งด้วยโดรนเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในสังคม

บริษัท Zipline ได้พัฒนาการขนส่งด้วยโดรนแบบใหม่อย่าง Platform (P2) Zip ใช้ระบบสายไฟปล่อยตัวหุ่นส่งของคอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก ออกจาก P2 ที่มีลักษณะเหมือนยานแม่ที่ลอยอยู่เหนือจุดส่งของ 300 ฟุต (ประมาณ 90 เมตร) เพื่อป้องกันใบพัดไม่ให้ชนกับสิ่งต่างๆ และลดเสียงรบกวนต่อผู้คน ตัวหุ่นขนาดเล็กมีความสามารถในเปลี่ยนทิศทางด้วยตนเองด้วยใบพัดขนาดเล็กเพื่อเพิ่มความแม่นยำตอนปล่อยพัสดุลง เช่น บนโต๊ะ หรือบันไดหน้าบ้าน

P2 สามารถเดินทางได้ไกลถึง 24 ไมล์ (38.6 กม.) ต่อเที่ยวในกรณีไม่ได้บรรทุกสัมภาระ และเดินทางได้ 10 ไมล์ (16 กม.) ในกรณีบรรทุกสัมภาระน้ำหนัก 6 ถึง 8 ปอนด์ (2.7 – 3.6 กก.) โดยใช้เวลาจัดส่งภายใน 10 นาที

ที่มา: Beartai

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2566

อดีตพนักงาน Tesla บอกปัญหา FSD เจออุบัติเหตุเยอะ มาจาก Elon ตัดเรดาร์ออกเพื่อลดต้นทุน

The Washington Post มีบทความวิเคราะห์ปัญหา Full Self-Driving (FSD) ของ Tesla ที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จนถูกหน่วยงานความปลอดภัยทางหลวงของสหรัฐ NHTSA สั่งให้เรียกคืน (recall) เพื่ออัพเดตซอฟต์แวร์

แหล่งข่าวของ The Washington Post มาจากการสัมภาษณ์อดีตพนักงานและผู้เกี่ยวข้องหลายราย ซึ่งพูดตรงกันว่าสาเหตุหลักมาจากการที่ Elon Musk ตัดสินใจเลิกใช้ระบบเรดาร์เพื่อลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้กล้องอย่างเดียว ทำให้ระบบ FSD ไม่สามารถตรวจจับวัตถุรอบรถได้ดีพอ

ข้อดีของเรดาร์คือสามารถตรวจจับวัตถุใหญ่ๆ อย่างรถไฟหรือรถบรรทุกได้เสมอ แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็ตาม แต่กล้องที่เป็นการวัดแสงเหมือนที่ตามองเห็น (vision) ต้องนำภาพไปตีความโดยหน่วยประมวลผลก่อนเสมอ ทำให้การตรวจจับผิดพลาดบ่อยครั้ง (เช่น กรณีวิ่งไปชนรถฉุกเฉินที่จอดอยู่ตรงไหล่ทาง) และเกิดอาการที่เรียกว่า "เบรกทิพย์" (phantom braking) จู่ๆ รถยนต์ก็ลดความเร็วลงเองแม้ไม่มีวัตถุใดๆ อยู่รอบรถเลย

หากดูจากสถิติ Tesla ถูกร้องเรียนเรื่องอุบัติเหตุของ FSD รวมถึง "เบรกทิพย์" เพิ่มขึ้นมากหลังออกอัพเดต FSD ที่เปลี่ยนมาใช้กล้องอย่างเดียว ผู้เชี่ยวชาญของ NHTSA ให้ความเห็นว่าสาเหตุมาจากการตัดเรดาร์ออกเป็นหลัก เพราะเรดาร์จะสามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ในระยะไกลได้ดีกว่า ถือเป็นตัวช่วยตรวจสอบความแม่นยำของกล้องอีกชั้น

นอกจากเรื่องการตัดเรดาร์เพื่อลดต้นทุนแล้ว กระบวนการพัฒนาของ Tesla ก็ยังมีปัญหาด้วย เพราะแนวทางการนำงานของ Elon Musk คือเร่งพัฒนาเทคโนโลยี แล้วนำไปให้ผู้คนลองใช้งานก่อนเทคโนโลยีมีความพร้อม ในอีกด้าน Elon ก็ขยันโพสต์โฆษณาว่าเกือบทำสำเร็จแล้ว ทั้งที่จริงๆ งานยังไม่คืบหน้าไปจากเดิมสักเท่าไร แถมวัฒนธรรมองค์กรที่ "Elon เป็นใหญ่" ทำให้พนักงานที่กล้าเถียงมักโดนไล่ออก

John Bernal อดีตพนักงานทดสอบ FSD ที่ถูกไล่ออกในปี 2022 ให้ความเห็นว่า เดิมที Elon ก็ทำงานแบบนี้มานานแล้ว แต่ไปเล่าใครก็ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่ง Elon มาบริหาร Twitter คนถึงได้รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร และผลงานของ Elon ที่ Twitter เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของที่ Tesla เท่านั้น ในบทความยังพูดถึงบริษัท Tesla ติดตั้งซอฟต์แวร์มอนิเตอร์การทำงานของพนักงานแปะป้ายให้ภาพ (image labeling) เพื่อเตรียมข้อมูลก่อนเทรนโมเดล หากพนักงานไม่ขยับเมาส์ตามระยะเวลาที่กำหนดจะถือว่าอู้งาน และมีบทลงโทษตามมา

แนวทางการทำงานของ Elon ยังพยายามรวมทีมวิศวกรซูเปอร์สตาร์เข้าด้วยกัน ให้ทำงานหนัก และเขาเป็นผู้ทดสอบซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดด้วยตัวเอง แล้วทำ "รายการแก้ไข" (fix-it requests) ส่งกลับไปยังทีมวิศวกร แนวทางนี้อาจช่วยให้ระบบดูคืบหน้า แต่เอาจริงเป็นการปะผุ อุดรอยรั่วโดยไม่มีแผนยุทธศาสตร์ภาพใหญ่ ต่างจากแนวทางของคู่แข่งอย่าง Waymo ที่มีโปรโตคอลการทดสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดกว่า ยังไม่รวมถึงเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่ใช้ทั้ง radar/lidar คู่ไปกับกล้องด้วย

ตัวอย่างหนึ่งของการปะผุของ Tesla คือในปี 2021 มียูทูบเบอร์ช่อง Tesla Raj ลองนำรถไปขับบนถนนซิกแซก Lombard Street ที่โด่งดังของเมืองซานฟรานซิสโก ปรากฎว่ารถยนต์ Tesla มีปัญหา เหตุการณ์จากคลิปนี้ทำให้วิศวกรของ Tesla "ออกแพตช์แก้" สร้างบาเรียที่มองไม่เห็นมาป้องกันไม่ให้รถไปชนขอบถนน Lombard Street

อดีตผู้บริหาร Tesla รายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าการแก้บั๊กตามคำสั่งของ Elon เปรียบเสมือนโดนเสือวิ่งไล่ ซึ่งคนที่โดนเสือวิ่งไล่ไม่มีทางนำเสนอทางแก้ดีๆ ในระยะยาวได้หรอก

การที่ Elon หันไปสนใจเรื่อง Twitter ยังทำให้เขาให้ความสำคัญกับ Tesla น้อยลงตามไปด้วย วิศวกรของ Tesla จำนวนมากถูกโยกไปทำงานให้ Twitter แทน ผลคือกระบวนการพัฒนาช้าลง อัพเดตที่เคยออกทุกสองสัปดาห์ ยืดเวลากลายมาเป็นหลักเดือนแทน พนักงานบางคนเลือกลาออกไปอยู่กับ Waymo เพราะ "อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่ารถหยุดที่ป้ายหยุดจริงๆ หรือเปล่า"

ลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อระบบ FSD ในราคาแพง 15,000 ดอลลาร์ ก็ไม่พอใจที่ Tesla ไม่สามารถทำได้อย่างที่ Elon เคยสัญญาไว้ ลูกค้ารายหนึ่งที่เป็นเจ้าของ Model Y บอกว่าคนซื้อ FSD คาดหวังว่าตอนนี้รถยนต์ของตัวเองควรขับได้เองเป็น robotaxi ได้แล้ว แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้น

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2566

Wonder Studio เครื่องมือ AI ใส่โมเดล 3 มิติแทนนักแสดงในวิดีโออัตโนมัติ สะเทือนวงการ VFX!

Wonder Studio เครื่องมือสร้างภาพเคลื่อนไหว และใส่ซีจีตัวละครโดยอัตโนมัติที่ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ผลิตวิดีโอราคาสูง และใช้เพียงแค่กล้องตัวเดียว

Wonder Dynamics สตาร์ทอัปที่มีผู้ก่อตั้งอย่างดาราดัง เท เชอริแดน (Tye Sheridan) จากภาพยนตร์ Ready Player One และ นิโคลา โทโดโรวิช (Nikola Todorovic) ผู้เชี่ยวชาญด้าน VFX เป้าหมายของสตาร์ทอัป Wonder Dynamics คือ ลดต้นทุนการผลิต และยกระดับการแข่งขันเอฟเฟกต์ภาพ ซึ่งในรอบของการลงทุน Series A ได้เงินลงทุนเพิ่มเติม 9 ล้านดอลลาร์ที่มี Epic Games และ Samsung เป็นนักลงทุน


เชอริแดนเห็นว่า “แพลตฟอร์มนี้เป็นมากกว่าการทำ VFX และยังสามารถนำไปใช้ได้กับภาพยนตร์, ทีวี, วิดีโอเกม, เนื้อหาโซเชียลมีเดีย และรวมไปถึงเมตาเวิร์ส นี่แหละคือเหตุผลที่เราได้มีพันธมิตรร่วมอย่าง Epic Games และ Samsung มาร่วมด้วย”

จุดเด่นของโปรแกรม Wonder Studio คือ

  • อัปโหลดตัวละครซีจีลงไปในไทม์ไลน์ตัวต่อเพียงแค่ช็อตเดียว หรือทั้งฉาก ระบบจะทำการตรวจจับ และติดตามนักแสดงในซีเควนซ์โดยอัตโนมัติ
  • ไม่ต้องทำ VFX แบบเฟรมต่อเฟรมอีกต่อไประบบจะทำการตรวจจับท่าทางการเคลื่อนไหวของนักแสดงโดยอัตโนมัติหลังจากนั้นจะมีการโอนค่าท่าทางการแสดงไปยังตัวละคร CG ที่คุณได้อัปโหลด

สตาร์ทอัป Wonder Dynamic เริ่มต้นในปี 2017 มีคณะกรรมการที่ปรึกษารุ่นใหญ่อย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ผู้กำกับภาพยนตร์ Ready Player One, โจ รุสโซ (Joe Russo) ผู้กำกับ Avenger Infinity War และ Avenger Endgame, โจชัว แบเออร์ (Joshua Baer) ซีอีโอ Capital Factory, เทอร์รี่ ดักกัส (Terry Dougas) จาก Rhea Flims, นักวิทยาศาสตร์การวิจัยจาก Google, ศาสตาจารย์ อังกือโจ คานาซาวะ (Angjoo Kanazawa) จาก Berkeley Kanazawa, โรเบิร์ต ชวาบ (Robert Schwab) นักลงทุนหุ้นเอกชน, อันโตนิโอ ตอร์รัลบา (Antonio Torralba) หัวหน้าฝ่าย AI จาก MIT และ เกรกอรี่ ทรัตต์เนอร์ (Gregory Trattner) ประธานฝ่ายการเงินภาพยนตร์

รุสโซได้กล่าวว่า “ผมยินดีที่จะสนับสนุนทีม Wonder Dynamics สำหรับภารกิจที่ได้รับมา และพวกเขาให้ความสำคัญกับศิลปินเป็นอันดับแรก โดยสิ่งนี้แหละที่ทำให้พันธมิตรนักลงทุนต่างๆ มีความสนใจในสตาร์ทอัปนี้เป็นอย่างมาก”

สำหรับใครที่สนใจอยากใช้ลองใช้งาน Wonder Studio โดย Wonder Dynamic ได้เปิดฟอร์มให้ลงชื่อเพื่อเข้าร่วมใช้งานก่อนใคร คลิกที่นี่

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566

ฝันที่เป็นจริง Bing มีผู้ใช้ต่อวันเกิน 100 ล้านคนแล้ว พลัง AI ช่วยดันยอดผู้ใช้ใหม่เพิ่มอีก 1/3

ไมโครซอฟท์ออกมาประกาศความสำเร็จว่า Bing มีผู้ใช้งานต่อวัน (Daily Active Users หรือ DAU) เกิน 100 ล้านคนแล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้ใช้งานแตะหลัก 100 ล้านคน หลังเปิดบริการมานานเกือบ 14 ปี (รีแบรนด์จาก Live Search เป็น Bing ในเดือนพฤษภาคม 2009)

ความสำเร็จของ Bing ย่อมมาจากฟีเจอร์ New Bing แชทได้ตอบคำถามได้ จากพลังเอนจิน OpenAI นั่นเอง โดยไมโครซอฟท์บอกว่ามีผู้ใช้หน้าใหม่เพิ่มเข้ามาถึงราว 1 ใน 3 และผู้ใช้เหล่านี้ยังช่วยเพิ่มปริมาณการค้นหาข้อมูลต่อวันด้วย

อีกปัจจัยที่ช่วยดันให้ Bing เติบโตคือปริมาณผู้ใช้ Microsoft Edge ที่เพิ่มติดต่อกันมา 7 ไตรมาสแล้ว และไมโครซอฟท์ประเมินว่าการที่ Edge รวมฟีเจอร์ Bing เข้ามาย่อมจะช่วยเพิ่มผู้ใช้ Bing ให้มากขึ้นอีก

ที่มา: Blognone

ธปท. ออกมาตรการให้ธนาคาร ป้องกันประชาชนเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน

ท่ามกลางกระแสข่าวการหลอกโอนเงินด้วยวิธีต่างๆ ของมิจฉาชีพที่เรียกติดปากว่า "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีการออกมาตรการ ไปบ้างแล้ว

ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการชุดใหญ่ให้ธนาคารนำไปบังคับใช้อย่างเป็นทางการดังนี้

มาตรการป้องกัน

  • ห้ามแนบลิงก์ผ่าน SMS และอีเมล เพื่อขอข้อมูลสำคัญ
  • จำกัดจำนวน mobile banking ได้แค่ 1 เครื่อง
  • ยกระดับการยืนยันตัวตนขั้นต่ำเป็น biometrics กรณีที่เปิดบัญชีผ่านแอป หรือทำธุรกรรมมากกว่าขั้นต่ำที่กำหนด เช่น เกิน 50,000 บาทต่อวัน หรือการปรับวงเงินขั้นต่ำเพิ่มมากกว่า 50,000 บาท

มาตรการตรวจจับและติดตามบัญชีต้องสงสัย

  • รายงาน ปปง. เมื่อพบความผิดปกติหรือพบการกระทำความผิด
  • มีมาตรการตรวจจับ/ติดตามธุรกรรมที่เข้าข่ายผิดปกติตตลอด 24 ชม.

มาตรการตอบสนองและรับมือ

  • มีช่องทางติดต่อ 24 ชม. แยกจากช่องทางปกติ
  • สนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสอบสวน รวมถึงมีผู้รับผิดชอบการประสานงานที่ชัดเจน
  • ดูแลและรับผิดชอบ กรณีที่พบว่าความเสียหายเกิดจากความผิดพลาดของธนาคาร

ที่มา: Blognone

สวย ดูด ฝุ่น ‘Samsung Bespoke Jet’ เครื่องดูดฝุ่นไร้สายดีกรีรางวัล CES 2023

หลังได้รางวัล Honoree จากงาน CES Innovation Awards 2023 ในที่สุดเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ Samsung Bespoke Jet เครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นใหม่ ที่ทำความสะอาดได้แบบ All-In-One Clean Station ที่ชาร์จและเอาฝุ่นออกจากกล่องดักฝุ่นในเวลาเดียวกัน!


จุดเด่นของ Samsung Bespoke Jet

  • แรงดูดทรงพลัง 210 วัตต์ ด้วย Jet Cyclone โดยมีการดีไซน์ ระบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ทำให้การไหลของอากาศมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพัดลม 3 มิติในรุ่นนี้หมุนได้มากถึง 135,000 rpm
  • แบตเตอรี่ขนาน 2500 mA ใช้ได้นาน 60 นาที พร้อมเปลี่ยนแบตสำรองได้
  • ระบบ All-In-One Clean Station ระหว่างชาร์จในแท่นจะเอาฝุ่นออกจากกล่องดักฝุ่นด้วยเทคโนโลยี Air Pulse ที่ได้มาตรฐาน SLG: Dust retaining capability โดย Samsung ระบุว่าดักจับฝุ่นและยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้มากถึง 99.9%
  • กล่องดักฝุ่นขนาด 0.5 ลิตร ดีไซน์มาให้ถอดออกมาล้างได้ง่าย รวมไปถึง Jet Cyclone ที่ก็ถอดมาล้างได้ง่ายเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องถอดท่อดูดฝุ่นออกจากเครื่องเลย
  • น้ำหนักเบาเพียง 1.44 กิโลกรัม พร้อมดีไซน์ที่เป็นแท่งตรงยาวที่ยืดหดได้ ช่วยให้ถือมือเดียวได้สบาย และประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บ
  • มีหน้าจอแสดงผลแบบ LCD รองรับถึง 28 ภาษาที่จะคอยบอกสถานะต่างๆ ของเครื่อง และบอกปัญหาต่างๆ ที่ Samsung Bespoke Jet เจอขณะทำงาน

Hyesoon Yang รองประธานบริหาร Samsung

Hyesoon Yang รองประธานบริหาร Samsung กล่าวว่า “ความสะอาดเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทั่วโลกนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เราเลยอยากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สะดวกและมีประสิทธิภาพให้การทำความสะอาดบ้านของทุกคนง่ายกว่าที่เคย ไม่ใช่แค่เรื่องความสะอาด แต่การออกแบบของผลิตภัณฑ์ก็ต้องสวยงามวางในบ้านได้อย่างลงตัวด้วย เลยเกิดเป็น Samsung Bespoke Jet พลังดูด 210 วัตต์ ดักจับและกรองฝุ่นละเอียดระดับอนุภาคได้ ที่สำคัญน้ำหนักเพียง 1.44 กก. เบาพอที่จะถือด้วยมือข้างเดียว”

ปัจจุบัน Samsung Bespoke Jet มี 3 สี ได้แก่ “Midnight Blue” “Woody Green” และ “Misty White” จำหน่ายแล้วที่เว็บไซต์ Samsung ราคาเริ่มต้นที่ 26,990 บาท รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก

ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2566

Meta หั่นราคาแว่น Quest Pro เหลือ 999 ดอลลาร์, Quest 2 256GB เหลือ 429 ดอลลาร์

Meta ประกาศหั่นราคาแว่น Quest แบบถาวร ดังนี้
  • Meta Quest Pro จากเดิม 1,499 ดอลลาร์ เหลือ 999 ดอลลาร์ (ลดลงทีเดียว 500 ดอลลาร์)
  • Meta Quest 2 (256GB) จากเดิม 499 ดอลลาร์ เหลือ 429 ดอลลาร์ (ลดลง 70 ดอลลาร์)

ส่วนแว่นรุ่นเล็กที่สุด Meta Quest 2 (128GB) ยังคงราคาเดิมที่ 399 ดอลลาร์ (เท่ากับว่าช่วงห่างของรุ่นความจุเหลือ 30 ดอลลาร์เท่านั้น)

เมื่อเดือนกรกฎาคม 2022 บริษัท Meta เพิ่งขึ้นราคา Meta Quest 2 ทั้งสองรุ่นความจุ จากเดิม 299 และ 399 ดอลลาร์ เป็น 399 และ 499 ดอลลาร์ตามลำดับ โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น

ส่วนการรอบนี้คือลดราคา Quest 2 เฉพาะรุ่น 499 ดอลลาร์ลงมาเหลือ 429 ดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าเป้าหมายคือการสร้างแว่น VR ที่เข้าถึงได้กว้างที่สุด (affordable for as many people as possible) และไม่พูดเรื่องต้นทุนแล้ว

ที่มา: Blognone

Amazon สั่งปิด Amazon Go ร้านค้าไร้แคชเชียร์ 8 แห่ง ในสหรัฐฯ


GeekWire ได้รายงานว่า Amazon กำลังดำเนินการปิด Amazon Go ซึ่งเป็นร้านค้าไร้แคชเชียร์ที่ตนเองพัฒนาขึ้น จำนวน 2 แห่งในนครนิวยอร์ก, 2 แห่งในซีแอตเทิล และอีก 4 แห่งในซานฟราสซิสโก ในวันที่ 1 เมษยน 2023 นี้

ทั้งนี้ Amazon ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ของโลก ยังได้ประกาศว่าได้ระงับการก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ใน อาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เนื่องจากมีจำนวนพนักงานที่ต้องการทำงานจากทางไกลเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ สำนักข่าว Bloomberg ยังได้รายงานว่า การปรับลดค่าใช้จ่ายล่าสุดของ Amazon ในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากยอดจำหน่ายสินค้าที่ชะลอตัวลงเมื่อเดือนมกราคม 2023 ที่ผ่านมา โดยทางบริษัทมีแผนจะปรับการปลดพนักงานจาก 10,000 ตำแหน่ง ไปเป็น 18,000 ตำแหน่ง จากแผนกค้าปลีกและแผนกสรรหาพนักงานอีกด้วย

เจสสิกา มาร์ติน (Jessica Martin) โฆษกของ Amazon ได้กล่าวว่า “เช่นเดียวกับบริษัทค้าปลีกทั่วไป เราได้ประเมินร้านค้าปลีกของเราเป็นระยะ และได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เรายังคงมุ่งมั่นใช้รูปแบบของ Amazon Go ต่อไป, ยังคงดำเนินธุรกิจร้าค้าปลีก Amazon Go มากกว่า 20 แห่งทั่วสหรัฐฯ และจะยังคงเรียนรู้พื้นที่และฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น”

Amazon ได้ออกแบบร้านค้าปลีก Amazon Go ซึ่งได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีกล้องและเซนเซอร์ระดับไฮเอนด์ เพื่อใช้ในการตรวจจับผลิตภัณฑ์, การหยิบผลิตภัณฑ์ออกจากชั้นวาง และการวางผลิตภัณฑ์ดังกล่าวคืนที่เดิม โดยผู้บริโภคสามารถเดินออกจากร้านค้าปลีกสุดล้ำนี้ได้โดยไม่ต้องรอจ่ายเงินให้แก่แคชเชียร์ ซึ่งทาง Amazon จะดำเนินการหักเงินจากบัญชีหรือบัตรเครดิตที่ผูกกับบัญชีของ Amazon ต่อไป

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2566

Elon Musk เผย Tesla Master Plan ตอนที่ 3 โลกต้องเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล มุ่งสู่พลังงานยั่งยืน

ผู้ติดตาม Tesla ช่วงหลังอาจไม่ทราบว่าในยุคแรก Elon Musk ได้เขียน "Master Plan" หรือแผนระยะยาวของบริษัท Tesla ไว้ 2 ตอน ซึ่งตอนแรกเขียนไว้เกือบ 20 ปีแล้ว ส่วนตอนที่สองเขียนเมื่อกลางปี 2016 และล่าสุดที่งาน Investor Day เช้าวันนี้ได้กล่าวถึงตอนที่สาม

ผมจะสรุปแผนตอนที่หนึ่งและสองให้คร่าวๆ ดังนี้

แผนตอนที่ 1

  1. ผลิตรถยนต์จำนวนน้อยๆ และขายแพง (Tesla Roadster รุ่นแรกสุดปี 2008)
  2. ใช้เงินที่ได้จากข้อ 1 มาพัฒนารถยนต์ที่จะขายได้มากขึ้น และราคาถูกลง (Tesla Model S, Model X)
  3. ใช้เงินที่ได้จากข้อ 2 มาพัฒนารถยนต์ที่จะผลิตได้จำนวนมาก และคนส่วนใหญ่สามารถซื้อได้ (Tesla Model 3)
  4. ให้บริการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (SolarCity)

แผนตอนที่ 2

  1. รวมบริษัท Tesla และ SolarCity เข้าด้วยกันเพื่อให้บริการด้านการผลิตและจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ครบวงจร
  2. ขยายบริษัทไปทำรถภาคอุตสาหกรรม (Tesla Semi)
  3. ทำรถยนต์ไร้คนขับ (Autopilot/Full-Self Driving)
  4. ปล่อยรถยนต์ออกไปวิ่งรับงานเพื่อสร้างรายได้ให้เจ้าของตอนที่ไม่ได้ใช้รถ (Robotaxi)

หากสนใจอ่านรายละเอียดเต็มๆ เราเคยลงบทความอธิบายแผนทั้ง 2 ตอนไว้แล้ว (แผนตอนที่ 1, แผนตอนที่ 2)

สำหรับแผนตอนที่ 3 Elon ได้ขึ้นเวทีร่วมกับ Drew Baglino ผู้บริหารด้านระบบขับเคลื่อนและวิศวกรรมพลังงานของ Tesla (เขาอยู่ที่ Tesla มานานถึง 17 ปีแล้ว) อธิบายว่าปัจจุบันพลังงานที่ใช้ในโลก 80% มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และเชื้อเพลิงก็เปลี่ยนเป็นพลังงานที่ใช้งานได้เพียง 1 ใน 3 นอกนั้นกลายเป็นความร้อนทิ้งไป ซึ่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วเปลี่ยนไปสู่ยุคพลังงานที่ยั่งยืนนั้นทำได้จริง และ Elon ย้ำว่าเศรษฐกิจพลังงานไฟฟ้า (Electrified Economy) จะต้องทำเหมืองน้อยกว่าปัจจุบัน ไม่ใช่มากกว่า โดยแผนนี้แบ่งออกเป็น 5 ขั้นดังนี้

1. เปลี่ยนการจ่ายไฟฟ้ามาใช้แหล่งพลังงานยั่งยืน

การเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานยั่งยืนคือการใช้ระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าราว 24 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง (24 TWh) รวมไปถึงการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และลมให้ได้ราว 10 ล้านล้านวัตต์ (10 TW) ใช้เงินลงทุนราว 0.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ซึ่งหากทำได้ จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปได้ราว 35% เลยทีเดียว

2. เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า

การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องผลิตแบตเตอรี่และระบบจัดเก็บพลังงานให้ได้ราว 115 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง, ต้องผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลมให้ได้ 4 ล้านล้านวัตต์ ใช้เงินลงทุนราว 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีก 21%


นอกจากนี้ยังประเมินว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าของทั้งโลกจะมีรถยนต์ราคาแพง (แบบ Model S, X) ราว 40 ล้านคัน, รถยนต์กลางๆ (Model 3, Y) 380 ล้านคัน, หัวลากรถบรรทุก 20 ล้านคัน, รถอเนกประสงค์ (Cybertruck) 300 ล้านคัน และรถในยุคถัดไปอีก 700 ล้านคัน

ทั้งสองคนเปรียบเทียบให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla Model 3 ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า Toyota Corolla ถึง 4 เท่า หรือยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อน Model 3 ให้ได้ 1 ไมล์นั้นเท่าๆ กับพลังงานที่ใช้ต้มน้ำ 1 หม้อเท่านั้นเอง

3. บ้านเรือน, ธุรกิจ และอุตสาหกรรม ต้องเปลี่ยนไปใช้ฮีทปั๊ม

บ้านเรือนในเมืองหนาวต้องมีฮีทเตอร์ที่ปกติมักจะใช้ก๊าซในการเปลี่ยนเป็นความร้อน รวมไปถึงโรงงานต่างๆ ที่ต้องใช้ความร้อนในการผลิต ต้องเปลี่ยนมาใช้ฮีทปั๊มหรือปั๊มความร้อนแทน เนื่องจากมันใช้ไฟฟ้าและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงฮีทปั๊มไม่ได้เปลี่ยนพลังงานเป็นความร้อนโดยตรง แต่ใช้การนำอากาศภายนอกเข้ามาแยกความร้อนออก จากนั้นก็ผ่านคอมเพรสเซอร์ให้ร้อนยิ่งขึ้นก่อนจะนำไปใช้งานต่อ เช่นให้ความอบอุ่น หรือต้มน้ำ ส่วนอากาศเย็นที่แยกออกก็นำไปใช้งานอื่นได้อีก

หากทำขั้นนี้ได้ โลกจะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีก 22%

4. เปลี่ยนเครื่องจักรที่สร้างความร้อนสูงไปใช้ไฟฟ้า และใช้ไฮโดรเจนแทนถ่านหิน

สำหรับอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรผลิตความร้อนสูงมากๆ (มากกว่า 400 องศาเซลเซียส) ก็ต้องหาวิธีเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้า แต่ปัญหาคือลมและแสงอาทิตย์ไม่ได้มีตลอดจึงต้องทำระบบกักเก็บความร้อนไว้ด้วย เพื่อให้มีพลังงานใช้ตลอดเวลา ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กก็สามารถใช้ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ซึ่งเป็นไฮโดรเจนที่สร้างจากพลังงานหมุนเวียนอีกที มาแทนถ่านหินในขั้นตอนการถลุงเหล็กในสภาพของแข็ง (Direct Reduction Process)

หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 17%

5. เปลี่ยนเรือและเครื่องบินไปใช้พลังงานยั่งยืน

Elon Musk กล่าวว่าการเปลี่ยนเรือและเครื่องบินไปใช้ไฟฟ้านั้นทำได้ แต่ไม่ใช่แค่เอาเครื่องออกแล้วยัดแบตเตอรี่เข้าไป แต่ต้องออกแบบใหม่หมด เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องออกแบบใหม่ให้แบตเตอรี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรถ ไม่ใช่แค่สลับเอาเครื่องออก ส่วนเครื่องบินระยะสั้นก็แน่นอนว่าทำได้ง่ายกว่า แต่เครื่องบินทางไกลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 5%


เมื่อรวมตัวเลขของทั้ง 5 ขั้นเข้าด้วยกัน โลกเราจะสามารถเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ทั้งหมด กล่าวคือต้องผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์กับลมให้ได้มากขึ้น 3 เท่าจากปัจจุบัน, ผลิตแบตเตอรี่มากขึ้น 29 เท่าจากปัจจุบัน และผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น 11 เท่าจากปัจจุบัน หากทำได้ตามนี้ภายในปี 2030 โลกเราจะอยู่ด้วยพลังงานยั่งยืนได้ภายในปี 2050

ส่วนการทำเหมืองปัจจุบันมีการขุดแร่ออกมาปีละ 68,000 ตัน ใช้ไปในการเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลราว 18,000 ตัน แต่หากเราอยู่ในยุคเศรษฐกิจพลังงานไฟฟ้าจะเหลือส่วนนี้เพียง 4,000 ตันต่อปีเท่านั้น

ภาพแสดงการขุดแร่ออกมาจากโลกในปัจจุบัน
ภาพแสดงการขุดแร่ออกมาจากโลก เพื่อไปใช้เป็นพลังงานยั่งยืน

สรุปคือ Tesla พยายามบอกว่าการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ทำได้ แต่ยังถูกกว่าการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลอีกด้วย โดยใช้เงินลงทุนราว 10% ของมูลค่า GDP ของทั้งโลก และใช้พื้นที่ตั้งโซลาร์ฟาร์มและฟาร์มกังหันลมน้อยกว่า 0.2% ของพื้นดินในโลก สำหรับใครที่คิดว่าข้อมูลนี้ดูเป็นภาพกว้างมากๆ ก็รออีกสักนิด เพราะ Elon Musk บอกว่าจะปล่อย whitepaper ออกมาให้อ่านกันอย่างละเอียดหลังจากนี้

สุดท้าย Elon Musk กล่าวสรุปว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดเกิดจากการคำนวณและหลักการทางฟิสิกส์ ไม่ได้มโนขึ้นมาเอง และโลกนี้จะเปลี่ยนไปสู่ยุคพลังงานยั่งยืนอย่างแน่นอน และจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราด้วย


ที่มา: Blognone

OpenAI เปิดตัว API ใหม่ ให้นักพัฒนาเข้าถึง ChatGPT ได้แล้ว

OpenAI ได้เปิดตัว API ใหม่ ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาเข้าถึงขีดความสามารถของ ChatGPT ได้ โดยล่าสุด ได้เปิดตัว API สำหรับ Whisper ซึ่งเป็นโมเดลการแปลงคำพูดเป็นข้อความที่บริษัทวิจัย AI
 
 
นอกจากนี้ ยังมีหลายบริษัทระดับชั้นนำหลายแห่งกำลังใช้ ChatGPT API อยู่แล้ว เช่น Snapchat, Instacart และ Shopify โดยสามารถการเข้าถึง GPT 3.5 Turbo ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ ChatGPT

ตัวอย่าง การปรับใช้งาน ChatGPT API ของบริษัทต่างๆ:
  • Instacart ใช้เทคโนโลยี AI เชิงสนทนาเพื่อช่วยลูกค้าสร้างรายการช้อปปิ้งจากคำถามปลายเปิด เช่น “อาหารกลางวันเพื่อสุขภาพสำหรับลูกๆ ของฉันคืออะไร”
  • Shopify ผสานรวมเทคโนโลยี ChatGPT เข้ากับ Shop ซึ่งเป็นแอปสำหรับผู้บริโภคที่นักช้อปใช้เพื่อค้นหาสินค้าและแบรนด์ต่างๆ
  • Quizlet แพลตฟอร์มการเรียนรู้ยังใช้ ChatGPT API เพื่อขับเคลื่อนติวเตอร์ AI

ด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งาน ChatGPT API:
OpenAI ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ส่งผ่าน API จะไม่ถูกใช้เพื่อฝึกฝนและปรับปรุงโมเดลของ OpenAI อีกต่อไป เว้นแต่ว่าองค์กรที่ใช้ API จะเลือกใช้ข้อมูลที่สนับสนุนเพิ่มเติม โดย OpenAI ใช้นโยบายการเก็บรักษาข้อมูลเริ่มต้น 30 วันสำหรับผู้ใช้ API ซึ่งมีตัวเลือกสำหรับการเก็บรักษาที่เข้มงวดมากขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้ เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่กังวลกับความเป็นส่วนตัวในข้อมูลของพวก

ที่มา: TechTalkThai