วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Ubuntu 18.04 LTS ออกแล้ว เลิกทำรุ่น 32 บิตแล้ว

ยุคนี้เป็นยุคที่จะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วงการ OS แบบ 64 บิตอย่างแท้จริง หลังจากที่ Apple ทำกับ iOS แล้วและจะเตรียมทำกับ macOS ด้วย อีกทั้งเมนบอร์ดที่ใช้ CPU Intel ในปี 2018 ขึ้นไปจะเริ่มตัด Legacy BIOS แบบเดิมทิ้งเหลือแค่ UEFI ที่รองรับแต่ OS แบบ 64 บิตเท่านั้น อ่านข่าว

ล่าสุด Ubuntu Linux ระบบปฏิบัติการฟรีชื่อดัง ก็ประกาศเปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการแล้ว และก็ “เลิกทำรุ่น 32 บิต” ไปแล้วเช่นกัน


โดย Ubuntu ได้เปิดให้ดาวน์โหลด Ubuntu 18.04 LTS อย่างเป็นทางการ โดย LTS นั้นจะเป็นรุ่นที่มีระยะการสนับสนุนยาวนานกว่ารุ่นปกติ มีการอัพเดตความปลอดภัยถึง 5 ปี ใช้ Codename ว่า Bionic Beaver

ซึ่งรุ่นนี้คือ LTS รุ่นแรกที่กลับมาใช้ Desktop แบบ GNOME แทน Unity, มาพร้อมกับ LibreOffice 6.0, OpenJDK 10 ซึ่งเป็น Software ตัวล่าสุด

โดยสามารถดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ https://www.ubuntu.com/download/desktop

ที่มา: Beartai

จีนเพิ่มหลักสูตร AI สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาแล้ว เพื่อผลิตบุคลากรรองรับ ไม่ต้องรอถึงมหาวิทยาลัย

คนที่ติดตามเรื่อง AI คงทราบว่าปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของวงการนี้ในโลกคือการขาดแคลนบุคลากร ล่าสุดจีนมีแผนแก้ปัญหานี้ที่จริงจังขึ้นอีก โดยนำหลักสูตร AI มาใส่เป็นวิชาหนึ่งในระดับมัธยมศึกษาเลย เพื่อสร้างบุคลากรกันตั้งแต่เยาวชน ไม่ต้องรอให้ถึงระดับมหาวิทยาลัย

โดยตำราเรียนวิชานี้ชื่อว่า Fundamentals of Artificial Intelligence มีผู้แต่งหลักคือ Tang Xiaoou ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์สาขาวิศวกรรมสารสนเทศที่ Chinese University of Hong Kong และเป็นประธาน SenseTime สตาร์ทอัพสาย AI ที่มีมูลค่ากิจการสูงสุดในโลก ร่วมกับทีมอาจารย์จาก East China Normal University และอาจารย์จากโรงเรียนมัธยม 5 แห่งในเซี่ยงไฮ้

หลักสูตรนี้เริ่มทำการเรียนการสอนแล้วในโรงเรียนมัธยม 40 แห่งในจีน และมีแผนจะเพิ่มโรงเรียนให้ได้ทั่วประเทศ ปัจจุบันจีนมีความต้องการบุคลากรด้าน AI ราว 5 ล้านคน ซึ่งตอนนี้ยังขาดแคลนมาก

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Samsung เปิดตัว microSD รุ่น Pro Endurance เน้นวิดีโอ ความทนทานสูง

Samsung PRO Endurance การ์ดความจำหรือ microSD สำหรับถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะ มาพร้อมความทนทานสูง และถ่ายวิดีโอ Full HD ได้สูงสุด 43,800 ชั่วโมง !!
ก่อนหน้านี้ WD ก็เพิ่งเปิดตัว Purple microSD ไป มาสายวิดีโอเหมือนกัน แต่รายนั้นเน้นเรื่องความปลอดภัย รอบนี้ทาง Samsung เอาด้วย แต่เน้นเรื่องความทนทานแทน พบกับ Samsung PRO Endurance การ์ดความจำหรือ microSD สำหรับถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะ

Samsung PRO Endurance ในรายงานเผยว่า มาพร้อมความทนทานมากกว่า microSD ทั่วไปถึง 25 เท่า และสามารถกันน้ำ (IEC 60529, IPX7) ใช้งานได้ในอุณหภูมิร้อนสูงสุด 85 องศา และอุณหภูมิหนาวสูงสุด – 25 องศา ทนทานต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและรังสีเอกซ์

สำหรับสเปก PRO Endurance ก็รองรับการถ่ายวิดีโดทั้ง Full HD และ 4K โดยมีความเร็วในการอ่านที่ 100MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนอยู่ที่ 30MB/s มาพร้อมคลาส U1 (Class 10) และ UHS-I มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 32GB, 64GB และ 128GB ส่วนรายละเอียดสเปกและราคามีดังนี้
  • รุ่น 32GB มาพร้อมประกัน 2 ปี บันทึกวิดีโอ Full HD สูงสุด 17,520 ชั่วโมง
  • รุ่น 64GB มาพร้อมประกัน 3 ปี บันทึกวิดีโอ Full HD สูงสุด 26,280 ชั่วโมง
  • รุ่น 128GB มาพร้อมประกัน 5 ปี บันทึกวิดีโอ Full HD สูงสุด 43,800 ชั่วโมง
ส่วนราคาของ Samsung PRO Endurance ก็เริ่มต้นที่ 24.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 800 บาท สำหรับรุ่น 32GB กับ 44.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,500 บาท สำหรับรุ่น 64GB และ 89.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,900 บาท สำหรับรุ่น 128GB เตรียมวางขายเร็วๆ นี้ครับ

ที่มา: ARiP

เปิดตัว Oculus Go แว่น VR ราคาย่อมเยา มาพร้อมซีพียูและหน้าจอในตัว

หลังมีข่าวมาสักพัก ในที่สุดทาง Oculus ก็เผยโฉมตัวแว่น VR ราคาย่อมเยาแล้ว นั้นคือ Oculus Go แว่น VR แบบ Stand Alone สามารถส่วมใส่แล้วใช้งานได้เลย โดยไม่ต้องต่อคอมฯ หรือสมาร์ทโฟน เริ่มต้นที่เพียง 199 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,400 บาทเท่านั้น


มาตามสัญญา Oculus เปิดตัว Oculus Go แว่น VR แบบ Stand Alone พร้อมใช้งานเลย ไม่ต้องใส่สมาร์ทโฟน หรือเชื่อมต่อกับคอมฯ แต่อย่างใด มาพร้อมคุณภาพและราคาที่เกินคาด

สำหรับตัว Oculus Go ภายในก็มีซีพียู Qualcomm Snapdragon 821 เป็นหน่วยประมวลผลหลัก มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว รวมกันเป็นความละเอียด WQHD (2560 x 1440) รองรับ Refresh Rate ตั้งแต่ 60Hz ถึง 72Hz มีลำโพงและไมโครโฟนในตัว และสุดท้ายแบตฯ ที่สามารถดูวิดีโอได้นาน 2 – 2 ชม.ครึ่ง ถ้าเล่นเกมก็ 1 ชม.ครึ่ง – 2 ชม. ทั้งนี้ตัวแว่นยังมาพร้อมจอยควบคุม (Controller) แยกต่างหากด้วย


ส่วนราคาของ Oculus Go ก็เริ่มต้นที่ 199 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,400 บาท สำหรับรุ่น 32GB และ 249 เหรียญฯ หรือประมาณ 7,900 บาท สำหรับรุ่น 64GBปิดให้สั่งจองได้แล้วที่ oculus.com เริ่มส่งของภายในวันที่ 5 – 8 พฤษภาคมนี้ สำหรับ 23 ประเทศแรก (ยังไม่มีไทย…)


ที่มา: ARiP

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ผลสำรวจล่าสุดชี้พนักงานองค์กรเกินครึ่งนิยมใช้ iOS มากกว่า Android

Jamf ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับจัดการอุปกรณ์ Apple ที่ใช้สำหรับองค์กร ได้ออกรายงานผลสำรวจล่าสุดระบุว่า 3 ใน 4 ของกลุ่มพนักงานในองค์กรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ iOS อย่าง iPhone, iPad หรือ Mac ก่อนเป็นอันดับแรก

ทั้งนี้ รายงานของ Jamf ได้ทำการสำรวจจากพนักงานว่า 580 รายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีพนักงานถึง 72% เลือกใช้งาน Mac และอีก 28% เลือกใช้ PC ขณะที่มีถึง 75% ที่เลือก iPhone หรือ iPad ขณะที่มีเพียง 25% ที่เลือกใช้ Android

นอกจากนี้ ยังมีสถิติที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกว่า พนักงานถึง 68% ตอบว่าพวกเขาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากสามารถเลือกอุปกรณ์ใช้ได้เอง รวมทั้งพนักงานอีก 35% ยังระบุว่าหากพวกเขาได้ใช้อุปกรณ์ทำงานที่เลือกเองจะยิ่งส่งผลต่อความภูมิใจเวลาทำงานได้อีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่า อุปกรณ์การทำงานที่เลือกใช้นั้นส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของพนักงานได้ไม่น้อยเลย

ที่มา: Beartai

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

Docker Enterprise Edition ออกเวอร์ชัน 2.0 รองรับ Kubernetes

บริษัท Docker Inc. เปิดตัว Docker Enterprise Edition 2.0 ถือเป็นเวอร์ชันสองต่อจาก Docker EE 1.0 ในปีที่แล้ว

ความแตกต่างสำคัญของ Docker EE กับ Docker รุ่นฟรี (Community Edition) คือบริการซัพพอร์ต, การรับรอง (certified) และฟีเจอร์ชั้นสูงอย่างระบบสแกนความปลอดภัย

ของใหม่ใน Docker EE 2.0 ได้แก่ รองรับ Kubernetes นอกเหนือจาก Swarm, ปรับระบบจัดการคลัสเตอร์ให้ใช้ง่ายขึ้น, รองรับ Layer 7 routing and load balancing (เฉพาะ Swarm), ระบบความปลอดภัย กำหนด policy เจาะจงเฉพาะอิมเมจที่ผ่านการรับรอง เป็นต้น


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

บัตรเครดิตในสหรัฐ ยกเลิกการเซ็นสลิปเมื่อรูดบัตร มีผลแล้ววันนี้

ผู้ให้บริการบัตรเครดิต 4 รายใหญ่ในสหรัฐคือ Visa, Mastercard, American Express, Discover ประกาศนโยบายยกเลิก "การเซ็นสลิป" กับการรูดบัตรในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เริ่มมีผลในวันที่ 13 เมษายน (เมื่อวานนี้)

ก่อนหน้านี้ บัตรเครดิตบางรายยกเลิกการเซ็นสลิปมาก่อนแล้ว แต่เฉพาะธุรกรรมที่จำนวนไม่มากนัก (ในบ้านเราก็เริ่มทำบ้างพอสมควรแล้ว) แต่ภายใต้นโยบายใหม่ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะไม่บังคับให้ลูกค้าต้องเซ็นสลิป รวมถึงร้านค้าไม่จำเป็นต้องเก็บสลิปที่เซ็นแล้ว แต่สุดท้ายการตัดสินใจขึ้นกับร้านค้าแต่ละราย ว่าจะยังต้องการลายเซ็นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การยกเลิกลายเซ็นในสหรัฐ ไม่ได้บังคับให้เปลี่ยนมาใช้ระบบกด PIN เหมือนกับในยุโรป (เสียบบัตร+กดรหัสเพื่อยืนยันตัวตน) ทำให้อาจมีข้อกังวลด้านความปลอดภัยในการรูดบัตรเช่นกัน


ที่มา: Blognone

เปิดตัว JPEG XS มาตรฐานไฟล์รูปภาพแบบใหม่สำหรับ Virtual Reality, Drone และรถยนต์ไร้คนขับ

Joint Photographic Experts Group (JPEG) ได้ออกมาประกาศเปิดตัว JPEG XS ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับไฟล์รูปภาพที่รองรับภาพขนาดใหญ่คุณภาพสูงได้ สำหรับใช้ใน Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR), Drone, ภาพถ่ายจากอวกาศ, ภาพยนตร์ และรถยนต์ไร้คนขับ


JPEG XS นี้ใช้กระบวนการการบีบอัดไฟล์แบบใหม่ที่ขนาดอาจจะไม่เล็กเท่าเดิม แต่ก็ใช้พลังงานน้อยลงและยังได้คุณภาพภาพที่สูงมากอยู่ เพื่อให้สามารถส่งผ่านระบบโครงข่ายอย่าง 5G และ Wi-Fi ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปกติแล้ว JPEG นั้นจะสามารถบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลงได้ประมาณ 10 เท่า แต่ JPEG XS นี้จะบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลงได้ประมาณ 6 เท่าเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ของ JPEG XS นี้แทบจะไม่ต่างจากภาพต้นฉบับเลย

JPEG XS นี้จะยังคงเป็น Open Source เช่นเดิม และเชื่อว่าในอนาคตก็อาจกลายเป็นอีกมาตรฐานไฟล์ภาพแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมได้

ที่มา: TechTalk

Apple กลายเป็นบริษัทที่ใช้พลังงานหมุนเวียนได้ครอบคลุม 100%

ตอนนี้ Apple กลายเป็นบริษัทที่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ครอบคลุมถึง 100% แล้วในส่วนธุรกิจ เช่น ร้านสาขา ออฟฟิศ ดาต้าเซนเตอร์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในอีก 43 ประเทศ เช่น อเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และอินเดีย เป็นต้น

 
จากคำกล่าวของ Apple พวกเขาให้สัญญาที่จะสู้กับภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและสร้างสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ด้วยการสร้างโปรเจ็คการใช้งานพลังงานหมุนเวียนขึ้นมาหลายโครงการเพื่อตอบโจทย์นี้ เช่น แผงโซล่าร์เซลล์ ฟาร์มพลังงานลม เทคโนโลยีแก๊สชีวภาพและระบบสร้าง Micro-hydro  รวมถึงเทคโนโลยีในการกักเก็บพลังงานอีกด้วย

โดยตอนนี้ Apple มีโปรเจ็คพลังงานหมุนเวียนถึง 25 โครงการซึ่งผลิตพลังงานได้กว่า 626 เมกะวัตต์ ตัวอย่างเช่น Headquarter ใหม่ใน Cupertino รัฐแคลิฟอร์เนีย มีการใช้แผงโซลาเซลล์บนดาดฟ้าถึงที่ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 17 เมกะวัตต์ ตามรูปด้านบน

ที่มา: TechTalk

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

Tesla Model 3 รุ่นจำหน่ายจริงราคาเริ่ม 1.16 ล้านบาท พวงมาลัยขวารอ ปี 2019

Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ เผยสเปคและราคาเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงในต่างประเทศอย่างเป็นทางการ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard เริ่มต้น 1.16 ล้านบาท กับ Long Range ราคา 1.46 ล้านบาท ส่วนพวงมาลัยขวาจะเริ่มต้นผลิตในปี 2019


Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ รถไฟฟ้าระดับเริ่มต้น (Entry Level) หรือพูดง่ายๆ ว่าราคาจ่ายได้สบายกว่า Tesla Model S ในเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงที่หลายคนรอคอยนั้นได้รับการเผยโฉมรวมถึงรายละเอียดทางเทคนิคอย่างเป็นทางการแล้ว และถึงแม้ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะดูล้ำเข้ากับยุคสมัยแต่ Tesla ก็ขอย้ำแล้วย้ำอีกว่า Tesla Model 3 ไม่ใช่รถรุ่นใหม่ที่ไฮเทคกว่าที่เคยมี หนำซ้ำยังธรรมดา เล็ก เรียบง่าย และด้อยกว่า Tesla Model S ในทุกด้าน เพื่อให้มีราคาจำหน่ายที่ถูกลงเท่านั้น

แต่เราเชื่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่ก็รับรู้อยู่แล้วว่า Tesla Model 3 ปี 2018 นั้นถูกวางตำแหน่งไว้อย่างไร และไม่ว่า Tesla จะย้ำแค่ไหนก็ไม่น่าทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่พลีชีพจองไปแล้วล้มเลิกความตั้งใจที่จะครอบครอง Tesla Model 3 หรือหันไปซื้อ Tesla Model S ได้มากกว่านี้แน่นอน (อย่างน้อยก็ตอนนี้) เพราะจัดว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ดูดีและมีความคล้ายกับ Tesla Model S มาก แต่ราคาไม่แพงจนเกินไปนัก (สำหรับรถไฟฟ้าและไม่บวกรายการที่เป็นออปชั่น) โดย Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard ราคาเริ่มต้น 35,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.16 ล้านบาท) และ Long Range ราคาเริ่มต้น 44,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.46 ล้านบาท)


สำหรับดีไซน์ภายนอกของ Tesla Model 3 ปี 2018 เวอร์ชั่นผลิตจริงก็ไม่ต่างไปจากภาพก่อนหน้าที่เห็นกันจนชินตานัก ซึ่งหลายคนอาจเผลอคิดไปว่าต่างประเทศมีขับกันเกลื่อนแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ล็อตแรกเพิ่งออกจากสายการผลิตเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2560 และผู้บริหารรวมถึงพนักงานของ Tesla ก็ได้ไปใช้ก่อน ส่วนฝั่งลูกค้านอกจริงๆ ส่งมอบไปได้แค่ 30 คัน เมื่อ 28 กรกฎาคม 2560 จากยอดจองจำนวนมหาศาล

ขณะที่ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จำนวน 100 คัน มีกำหนดส่งมอบได้อีกทีเดือนสิงหาคม และจะเพิ่มเป็น 1,500 คัน ในเดือนกันยายน ทั้งนี้หลังจากเดือนธันวาคม 2560 เป็นต้นไป ถึงจะผลิตได้เต็มกำลังสูงสุดที่ทำได้ อยู่ที่ประมาณ 5,000 คัน/สัปดาห์ ส่วนมิติตัวถังของ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ นั้นก็ไม่ได้เล็กมาก เพราะยาว 4,673 มม. กว้างถึง 1,932 มม. (ยังไม่รวมกระจกมองข้างด้วยซ้ำ) สูง 1,442 มม. ฐานล้อยาว 2,875 มม. และหนัก 1,603 กก. ในรุ่นย่อย Standard ส่วนรุ่นย่อย Long Range หนัก 1,730 กก. มีสีตัวถังมีเพียงสีดำเท่านั้นที่ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หากต้องการสีอื่น เช่น สีเงิน ซิลเวอร์ เมทัลลิก, สีเงิน มิดไนท์ ซิลเวอร์ เมทัลลิก, สีน้ำเงิน ดีพ บลู เมทัลลิก, สีขาวมุก มัลติ-โค๊ต และสีแดง มัลติ-โค๊ต ต้องจ่ายเพิ่ม 1,000 ดอลลาร์ (3.3 หมื่นบาท) เช่นเดียวกับล้ออัลลอยหากขนาดมาตรฐาน 18 นิ้ว ยังเล็กไปต้องการเพิ่มเป็นขนาด 19 นิ้ว ก็จ่ายอีก 1,500 ดอลลาร์ (50,000 บาท)


ทางด้านภายในก็ค่อนข้างเรียบง่ายและแผงหน้าปัดมีเพียงจอแสดงผลขนาด 15 นิ้ว ซึ่งใหญ่มากติดตั้งอยู่บริเวณตรงกลางสำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวรถรวมถึงแผนที่และระบบนำทาง กับพวงมาลัยทรง 3 ก้าน โดยรวมๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ดูฟุ่มเฟือยหรือหรูหรามากมายนัก เบาะก็เป็นเบาะผ้า ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาตรฐานมีเพียง ระบบที่รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้ง Wi-Fi และ LTE, กุญแจ Keyless และความคุมระบบปรับอากาศได้ผ่านแอพพลิเคชั่น (บนสมาร์ทโฟน), ระบบการสั่งงานอุปกรณ์ด้วยเสียง, ระบบปรับอากาศแบบ 2 โซน (Dual Zone Climate Control) และกล้องมองหลัง เป็นต้น

ส่วนที่เหลือเป็นออปชั่นในพรีเมียมแพ็กเกจ ราคา 5,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.67 แสนบาท ก็จะได้ ระบบอุ่นเบาะ, แถบประดับลายไม้แบบโชว์ผิว (open pore wood decor), เบาะและแผงประตูหุ้มหนัง, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง, พวงมาลัยและกระจกมองข้างปรับไฟฟ้าที่สามารถบันทึกตำแหน่งของผู้ขับขี่ได้, ระบบเครื่องเสียงพรีเมียมรอบทิศทาง, หลังคากระจกที่กันแสงยูวีและอินฟาเรด, กระจกมองข้างที่ลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ พับไฟฟ้า และทำความร้อนเพื่อละลายหิมะหรือหยดน้ำได้, ไฟตัดหมอกแบบ LED รวมไปถึงคอนโซลกลางที่มีฝาปิดและช่องวางสมาร์ทโฟน


Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลประมาณ 354 กม. ในรุ่นย่อย Standard และเกือบ 500 กม. ในรุ่นย่อย Long Range ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. นั้นทำได้อยู่ประมาณ 5.1-5.6 วินาที แม้ว่าจะไม่หวือหวาแล้วในยุคนี้แต่ก็ถือว่าเร็วเหลือเฝือ นอกจากนี้ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสำหรับ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ที่ระบุไว้มีแค่ ถุงลมนิรภัย 8 จุด, ระบบเบรก ABS, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติและหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า, ระบบควบคุมการทรงตัว (Electronic Stability) รวมถึงระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) เป็นต้น

ทั้งนี้หากต้องการระบบขับขี่อัตโนมัติ Autopilot ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 5,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ 1.7 แสนบาท ซึ่งช่วยให้ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ เปลี่ยนช่องทางการจราจรและถอยจอดรถได้อัตโนมัติ (แบบ Tesla Model S) รวมไปถึงสามารถดาวน์โหลดความสามารถใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต นอกจากนี้ Tesla ยังยืนยันว่า Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะรองรับระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบได้ แต่อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดประมาณ 3,000 ดอลลาร์ หรือราว 1 แสนบาท


ข่าวร้ายนิดๆ ก็คือหาก Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ใส่ออปชั่นมาเต็มพิกัดก็จะไม่ได้เป็นรถไฟฟ้าที่ถูกนัก และที่ร้ายยิ่งกว่าคือ Tesla Model 3 รุ่นพวงมาลัยขวาจะเริ่มผลิตกันในปี 2019 ใครที่ยังแอบหวังว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสก็คงต้องนอนรอกันไปยาวๆ เพราะขนาดพวงมาลัยซ้ายถ้าจองตอนนี้ยังต้องรอขั้นต่ำ 1 ปี เลยทีเดียว


ที่มา: K@POOK!