วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

รอคอยกันมานาน LINE เปิด API ให้ร้านค้าเชื่อมต่อแอพได้ แชทได้ และกำลังจะมีบ็อต!

ประกาศสำคัญของงานแถลงข่าว LINE คือการเปิด LINE Business Platform ให้คนอื่นเข้ามาใช้งานได้มากขึ้น (สักที!) รายละเอียดของการเปิดแพลตฟอร์มแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เปิดให้ Web Service, เปิดให้ SME, เปิดให้นักพัฒนา รายละเอียดมีดังนี้ครับ

1. Web Service

ที่ผ่านมา LINE Platform เปิดให้เฉพาะบริการในเครือของ LINE เองเท่านั้น เช่น LINE News, LINE Live, LINE Part Time Jobs แต่ตอนนี้บริษัทพร้อมเปิด Platform ให้กับเว็บเซอร์วิสนอกบริษัทแล้ว


เว็บเซอร์วิสที่มาเชื่อมต่อจะเรียกว่า Official Web Apps สามารถเข้าถึงฟีเจอร์มาตรฐานของ Platform เช่น ระบบล็อกอิน, ระบบจ่ายเงิน LINE Pay, ระบบสะสมแต้ม, LINE Business Connect API


ผู้ใช้ LINE จะสามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้จากแอพ LINE โดยตรง ไม่ต้องลำบากสร้างบัญชีล็อกอินใหม่ สามารถกรอกข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกไว้ใน Profile+ ได้อัตโนมัติ การใช้งาน Web Apps ยังสามารถสะสมแต้ม LINE Points ได้ด้วย


เป้าหมายของ LINE ก็ชัดเจนว่าอยากให้คนมาใช้บริการ Web Apps บน LINE Platform แทนการใช้แอพแบบเนทีฟของระบบปฏิบัติการนั้นๆ รายการฟีเจอร์ก็ใกล้เคียงกัน มีระบบข้อความแจ้งเตือนแบบพุช (Push) แต่สะดวกกว่าตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องอัพเดต และไม่ต้องติดตั้งแอพลงในเครื่อง


Web Apps บน LINE Platform ยังถูกค้นพบ (Discovery) ได้ง่ายจากช่องทางต่างๆ เช่น การแชร์ ค้นหา แนะนำ


ลูกค้า LINE ภาคธุรกิจที่มี Official Account อยู่แล้ว สามารถซื้อบริการ Official Web Apps ในราคาเดือนละ 20,000 เยน (ประมาณ 6,300 บาท) ใช้งาน API ได้ไม่จำกัด แต่จำกัดจำนวนเพื่อนที่ 100,000 คน

ตัวบริการจะเปิดในช่วงฤดูร้อนกลางปีนี้ ตอนนี้มีพาร์ทเนอร์ในญี่ปุ่นแสดงความสนใจแล้ว 45 บริษัท


2. SME Partnership Program

หัวข้อแรกเป็นฟีเจอร์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีเงินซื้อ Official Account ส่วนธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ที่ใช้ LINE@ ก็ได้ฟีเจอร์ใหม่ด้วยเช่นกัน ภายใต้ชื่อ SME Partnership Program ที่ช่วยให้ธุรกิจใกล้ชิดกับผู้ใช้มากขึ้น


ฟีเจอร์ใหม่มีหลายอย่าง เริ่มจาก Account Page ที่มีระบบปลั๊กอิน เลือกได้ว่าจะแสดงผลข้อมูลอะไรในหน้า Account


Chat API เปิดให้ภาคธุรกิจที่มีระบบส่งข้อความหลังบ้าน สามารถเชื่อมต่อกับระบบแชทของ LINE@ ได้ ตัวอย่างการใช้งาน เช่น จองโต๊ะร้านอาหารผ่านการแชทใน LINE หรือ สอบถามข้อมูลสินค้าทาง LINE


ฟีเจอร์เหล่านี้จะเริ่มเปิดบริการในเดือนเมษายน 2016

3. Developers

ฟีเจอร์ส่วนนี้เปิดสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ สิ่งที่น่าสนใจคือ LINE กำลังจะมี Chat Bot ครับ เปิด API ให้เราสามารถเชื่อมระบบ CRM หรือ IoT เข้ามาแชทได้

Chat Bot API และ Chat Bot Store เริ่มทดสอบระบบในเดือนเมษายนนี้ และเปิดใช้งานจริงช่วงกลางปี


ฟีเจอร์สำคัญอีกอย่างคือ เปิดระบบ Beacon ให้ LINE สามารถรับรู้ข้อมูลจากสถานที่ได้ ร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้า สามารถโปรโมทส่วนลดหรือกิจกรรมต่างๆ เมื่อผู้ใช้ LINE เดินเข้ามาในรัศมีของ Beacon (Bluetooth LE) บริการจะเริ่มทดสอบในเดือนพฤษภาคม


ฟีเจอร์อย่างที่สามคือ Chat AI ระบบบ็อตแบบปัญญาประดิษฐ์ (เหมือนกับ Facebook M) รูปแบบคือเปิดให้ปลั๊กอินภายนอกเข้ามาเชื่อมต่อได้ แปลว่าในอนาคต LINE จะฉลาดเข้าขั้น "ถามอะไรตอบได้" สามารถคุยกันได้เหมือนมนุษย์

บริการตัวนี้ต้องรอนานหน่อย เปิดปลายปีโน่นเลย


ในภาพรวมก็คือ หลังจากที่เรียกร้องกันมานาน ในที่สุด LINE ก็จะทำตัวเองเป็นแพลตฟอร์มกับเขาบ้างแล้ว (เหมือนกับที่ Facebook, Google ทำอยู่) ภาคธุรกิจจะสามารถสร้างแอพมาเชื่อมต่อ มาแชทคุยกับลูกค้าได้โดยตรง ผ่าน API ที่ LINE เตรียมไว้ให้เรานั่นเอง

กำหนดการของฟีเจอร์ต่างๆ ที่มาไม่พร้อมกัน


ที่มา: Blognone

Nike เปิดตัวรองเท้ารุ่นใหม่ สุดล้ำ! ผูกเชือกรองเท้าเองได้

“Nike” แบรนด์รองเท้ากีฬาชื่อดังอีกแบรนด์หนึ่ง ที่โดนใจทั้งวัยรุ่นวัยไม่รุ่นทั้งหลาย ซึ่งปกติ Nike ก็มักจะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับอุปกรณ์กีฬาเสมอมา ล่าสุดก็ได้เปิดตัวรองเท้าสุดล้ำ ที่มีระบบผูกเชือกรองเท้าได้เอง เหมือนในหนังดัง Back to the future เป๊ะ! จะล้ำแค่ไหน ตามไปดูกัน!!




วันนี้ที่งาน Nike Innovation ได้มีการเปิดตัว HyperAdapt 1.0 รองเท้าเทรนนิ่งที่สามารถผูกเชือกรองเท้าเองได้อัตโนมัติ ซึ่งทาง Nike เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า “Adaptive lacing” นอกจากจะผูกเชือกรองเท้าได้เองแล้ว ยังสามารถปรับระดับเชือกว่าจะให้รัดมากหรือน้อยแค่ไหนได้ด้วย

เมื่อผู้ใช้สวมรองเท้าเข้าไป เซ็นเซอร์ที่อยู่ภายในรองเท้าจะทำงานทันที และทำการผูกเชือกรองเท้าให้เราเองโดยอัตโนมัติ หากรู้สึกว่ามันแน่นเกินไปหรือหลวมเกินไป เราก็สามารถปรับระดับการรัดของเชือกรองเท้าได้จากปุ่มสองปุ่มที่อยู่ด้าน ข้างรองเท้า

ใครอยากได้รองเท้ารุ่น HyperAdapt 1.0 ก็อดใจรอกันอีกนิด เพราะ Nike จะวางจำหน่ายรองเท้ารุ่นนี้ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ปลายปี 2016 นี้ โดยมีให้เลือกซื้อด้วยกัน 3 สี ตามรูปด้านบนจ้ะ


ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชมภาพสำนักงานแห่งใหม่ของกูเกิลที่เมือง Mountain View เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสุดๆ

ไม่ใช่แอปเปิลเพียงเจ้าเดียวที่กำลังสร้างสำนักงานแห่งใหม่อยู่นะครับ ขณะนี้กูเกิลก็กำลังจะเริ่มสร้างส่วนต่อขยายของสำนักงานใหญ่ "Googleplex" ที่เมือง Mountain View เช่นกัน โดยกูเกิลมีที่ว่างอยู่ด้านข้างสำนักงานเดิม ตอนนี้ปล่อยรูปเรนเดอร์ออกมาแล้ว

สำนักงานแห่งใหม่นี้ใช้ชื่อโปรเจ็คว่า Charleston East เนื่องจากตั้งอยู่ริมถนน Charleston ไปทางทิศตะวันออก จะเรียกว่าอาคารก็คงไม่เต็มปากนัก เพราะสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจะถูกครอบอยู่ด้วย "เต็นท์" ขนาดมหึมา (ภาษาอังกฤษเรียก canopy) ด้านในเป็นอาคารสองชั้นดีไซน์โมเดิร์น ประกอบด้วยผนังกระจกมากมาย สาเหตุที่สร้างเตี้ยเพียงสองชั้นเพราะต้องการรักษาทัศนียภาพที่สวยงามของ เมือง ดูไกลๆ จากภายนอกเห็นเพียงหลังคาเต็นท์อยู่ลิบๆ เท่านั้น

โปรเจ็คนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 600,000 ตารางฟุต (ราว 55,700 ตารางเมตร) ภายในอาคารมีการตกแต่งด้วยต้นไม้เป็นพื้นที่รวมถึง 45,000 ตารางฟุต (ราว 4,180 ตารางเมตร) และมีพื้นที่ทางเดินสาธารณะถึง 18,500 ตารางฟุต (1,720 ตารางเมตร)

สำนักงานแห่งนี้จะเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกที่กูเกิลสร้างเอง โดยอาคารที่ใช้อยู่ปัจจุบันเป็นอาคารที่เช่าหรือรับต่อมาจากเจ้าของเก่าทั้งหมด ผู้รับผิดชอบการออกแบบคือกลุ่มบริษัท Bjarke Ingels Group (BIG) และ Heatherwick Studio

ไฟล์แบบแปลนของโปรเจ็คนี้ก็เปิดให้สาธารณชนสามารถดาวน์โหลดไปดูได้ ใครสนใจด้านการออกแบบและสถาปัตยกรรมควรดูอย่างยิ่งครับ (ไฟล์ใหญ่ เปิดช้าหน่อยนะครับ เวอร์ชันเดือนกุมภาพันธ์ 2016)


ที่มา: Blognone

Joule กำไลข้อมือคาเฟอีน ส่งผ่านคาเฟอีนเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง

นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่ง ที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับมนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ ที่ต้องพึ่งกาแฟเพื่อให้ตาสว่างในยามเช้า เพราะเจ้ากำไลอันนี้ ไม่ใช่กำไลข้อมือธรรมดา แต่เป็นกำไลข้อมือที่มีแผ่นแปะคาเฟอีนอยู่ภายใน ทำให้เราสามารถรับสารคาเฟอีนผ่านผิวหนังได้โดยไม่ต้องพึ่งการดื่มกาแฟอีกต่อไป


หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่า ทำไมจะต้องมาใช้กำไลคาเฟอีนอะไรนี่ให้ยุ่งยากด้วย ดื่มกาแฟไม่ง่ายกว่าหรือ? อันที่จริงแล้วการรับสารคาเฟอีนผ่านผิวหนังโดยตรงนี้ มีข้อดีหลายประการ อาทิเช่นไม่ทำให้ฟันเป็นคราบกาแฟ ไม่ทำให้มีกลิ่นปาก และสารคาเฟอีนที่เข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนังจะค่อยๆ เข้าไปในร่างกายในปริมาณคงที่ ทำให้ไม่เกิดผลกระทบกับร่างกายแบบฉับพลัน เช่น อาการใจสั่น มือสั่น จากการบริโภคคาเฟอีนในรูปของเครื่องดื่มปกติ

แผ่นแปะคาเฟอีนที่อยู่ภายในกำไลนี้ จะทำงานเหมือนกับแผ่นแปะนิโคตินสำหรับเลิกบุหรี่ สารคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกระฉับกระเฉง จะเข้าสู่กระแสเลือดผ่านผิวหนัง ออกฤทธิ์ได้ยาวนานถึง 4 ชั่วโมง โดยที่แผ่นแปะคาเฟอีน 1 แผ่นจะมีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 65 มิลลิกรัม พอๆ กับการดื่มกาแฟ 1 แก้ว

กำไลคาเฟอีนนี้อยู่ในช่วงระดมทุนบนเว็บไซต์ IndieGoGo สินค้าจะพร้อมส่งในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ส่วนราคาจะมีหลายแพ๊คเกจ ถ้าเป็นแบบ Starter Kit คือมีกำไล 1 อัน และแผ่นแปะอีก 30 แผ่นจะอยู่ที่ 29$ รวมค่าจัดส่งทั่วโลก (ประมาณ 1 พันบาท) หากใครสนใจลองเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ IndieGoGo ค่ะ

ที่มา: ARiP

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Apple ยืนกราน ! ปฏิเสธคำร้องจาก FBI ให้พัฒนา iOS รุ่นพิเศษ

สืบเนื่องจากเหตุกราดยิงที่  San Bernardino ในเขตของรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2015 จนมีผู้เสียชีวิตถึง 14 ราย ซึ่งหนึ่งในหลักฐานที่ FBI รวบรวมได้เป็น iPhone ที่ถูกใส่รหัสผ่านไว้ ทำให้ FBI ร้องขอต่อศาลในสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้ Apple พัฒนาระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นพิเศษ เพื่อให้ทางการสหรัฐฯ สามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมจาก iPhone ที่ถูกล็อคไว้ แต่คำร้องดังกล่าวถูก Apple ปฏิเสธ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ iOS ทั่วโลก


จากจดหมายของ Tim Cook ซีอีโอ Apple ที่ยื่นเรื่องปฏิเสธคำขอจาก FBI และศาลในสหรัฐฯ ในการพัฒนาระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นพิเศษ เพื่อให้หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ สามารถข้าถึงข้อมูลภายในได้ โดยระบุชัดเจนว่าด้วยคำสั่งที่ Apple ได้รับนับเป็นขั้นตอนที่คุกคามความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกค้าทั่วโลก อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ Apple ซึ่งเราไม่เห็นด้วย ที่ผ่านมา Apple เคารพในความเป็นมืออาชีพของ FBI และเชื่อในความตั้งใจที่ดี และ Apple ได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนทั้งที่อยู่ในอำนาจของเรา และดำเนินการตามกฎหมายที่จะช่วยให้ FBI สามารถเข้าถึงข้อมูลภายใน iPhone ของผู้ก่อการร้ายได้ แต่สิ่งที่ Apple ได้รับการร้องขอกลับมีความอันตรายเกินไป

นอกจากนี้ Tim Cook ยังชี้ให้เห็นว่า หากวิธีในการเข้าถึงข้อมูลหรือวิธีหลีกเลี่ยงการใส่รหัสผ่านถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ หรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้อย่างเสรี และการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าเครื่องมือที่ร้องขอต่อ Apple จะถูกนำมาใช้ในคดีนี้เพียงคดีเดียว แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้

ทางด้าน Sundar Pichai ซีอีโอ Google ได้ออกมาทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ในเชิงสนับสนุน Tim Cook ว่าการบังคับให้บริษัทเปิดระบบที่ช่วยให้เกิดการเข้าถึงข้อมูล อาจทำให้ผู้ใช้ขาดความเป็นส่วนตัว ซึ่ง Google ทราบดีว่าการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานความมั่นคง เพื่อปกป้องประชาชนให้รอดพ้นจากอาชญากรรมและการก่อการร้าย โดย Google ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยต่อการเก็บข้อมูล และเรายังให้การบังคับใช้กฎหมายสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ หากอยู่ภายใต้คำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นขัดแย้งกับสิ่งที่บริษัทกำหนด ซึ่งการช่วยให้เกิดการเข้าถึงอุปกรณ์และข้อมูลข้อมูล นับเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง

ที่มา: ARiP

Google หยุดให้บริการ Picasa มีผล 1 พ.ค. 2016

เก่าไป ใหม่มา !! เป็นประโยคที่อาจใช้ได้กับเหตุการณ์ที่ Google หยุดให้บริการ Picasa โปรแกรมจัดการรูปภาพที่ให้บริการฟรี มาตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งการยกเลิกบริการจะมีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2016 เป็นต้นไป โดย Google จะผลักดันให้เกิดการใช้งาน Google Photos แทนมากขึ้น


Google ชี้แจงถึงสาเหตุของการปิดบริการ Picasa ว่า นับตั้งแต่เปิดให้บริการจัดเก็บภาพ มีการพูดถึงเสมอเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของการให้บริการ ซึ่งหลังจาก Google ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงตัดสินใจที่จะยุติบริการ Picasa โดยแผนการถัดไป คือ การมุ่งเน้น Google Photos บริการจัดเก็บรูปภาพเพียงบริการเดียวและจะทำให้ Google สามารถสร้างประสบกาณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้ ไม่ว่าจะการทำงานบนสมาร์ทโฟนหรือพีซีเดสก์ทอป

การหยุดให้บริการ Picasa จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2016 นี้เป็นต้นไป แต่ก่อนหน้านั้น Google จะเริ่มหยุดอัพเดทบริการ Picasa ในพีซีเดสก์ทอป ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2016 เป็นต้นไป

สำหรับผู้ที่ยังไม่ต้องการหันไปใช้บริการ Google Photos หลังการหยุดให้บริการ Picasa จะยังสามารถเข้าถึงบริการได้ผ่านหน้าเว็บได้ เพื่อการดาวน์โหลดหรือลบภาพที่มีอยู่เดิมในอัลบั้มของ Picasa ได้ แต่จะไม่สามารถอัปโหลดภาพเพิ่มเติมได้

ที่มา: ARiP

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

NetBeans IDE 8.1 ออกแล้ว รองรับการเขียน Node.js เต็มรูปแบบ

ออราเคิลออก NetBeans IDE 8.1 โดยทิ้งช่วงจากรุ่นก่อนหน้า NetBeans 8.0 ประมาณหนึ่งปีครึ่ง ของใหม่ในรุ่นนี้ได้แก่
  • รองรับการเขียน Node.js อย่างเต็มที่ ลงลึกไปถึงตัว editor ที่ปรับปรุงให้เขียน JavaScript ได้ดีขึ้น
  • รองรับเฟรมเวิร์คและไลบรารีสาย JavaScript เพิ่มเติม เช่น Mocha, Selenium, Gulp และปรับปรุงการทำงานกับ AngularJS, KnockoutJS, Grunt
  • ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ PHP, C/C++ รวมถึงตัวจัดการเวอร์ชัน Git
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของการเขียนโค้ด Java
  • รองรับการทำงานกับ Oracle WebLogic Server แบบรีโมท
  • ปรับปรุงตัว Profiler ทั้งประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ และ UI

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เว็บไซต์ Krungsri Online โฉมใหม่ เรื่องเงิน เรื่องง่าย ... เพียงปลายนิ้ว

เรื่องเงินๆ ทองๆ ถือเป็นสาระสำคัญในชีวิตประจำวันของแต่ละคน เพราะนั่นหมายถึงปากท้อง ความเป็นอยู่ ต่อเนื่องไปจนถึงระบบเศรษฐกิจในระดับชาติ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินของผู้คนก็สะดวกขึ้นเป็นลำดับ ตามความสามารถของเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวย และครั้งนี้เป็นโอกาสดี ที่จะแนะนำระบบออนไลน์แบงก์กิ้งใหม่ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในชื่อ Krungsri Online ซึ่งเป็นเว็บไซต์ออนไลน์แบงก์กิ้งที่เปี่ยมฟังก์ชั่นจัดการเรื่องธุรกรรมการเงิน และใช้งานได้สะดวกทุกขนาดหน้าจออุปกรณ์ ไม่ต้องจิ้มขยายอย่างทุลักทุเล


เว็บใหม่ ทำอะไรได้บ้าง?
ราวกับพกธนาคารไว้อยู่ในมือ เว็บไซต์ Krungsri Online ทำธุรกรรมได้หลายอย่าง ตลอด 24 ชั่วโมง (บางรายการโปรดศึกษาเงื่อนไขและค่าธรรมเนียม) อาทิ
  • สอบถามรายการเดินบัญชี ได้ทั้งบัญชีออมทรัพย์ กระแสรายวัน ฝากประจำ และเงินกู้ เอ็กซ์พอร์ตออกมาเป็นไฟล์ CSV และสั่งพิมพ์ได้ ดูย้อนหลังได้ 6 เดือน
  • ดู Statement บัตรเครดิต สำหรับนักช้อป เข้ามาดูรายการที่จับจ่ายไป สอบถามรายการที่ยังไม่เรียกเก็บ และดูย้อนหลังได้ 6 เดือนเช่นกัน (ให้บริการเฉพาะบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี อาทิ บัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า, บัตรเครดิตเซ็นทรัล เครดิตคาร์ด, บัตรเครดิตซิมเพิล วีซ่า คาร์ด, บัตรเครดิตกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์ และบัตรเครดิต เทสโก้ วีซ่า)
  • โอนเงินระหว่างบัญชีตนเองในธนาคาร รองรับการเพิ่มบัญชีของตัวเองได้ 15 บัญชี โยกเงินจากบัญชีประเภทต่างๆ ไปมาได้เองตลอด การโอนไปยังบัญชีตนเองนอกเขต ฟรี 5 ครั้งต่อเดือน
  • การโอนเงินไปยังบุคคลอื่น ในธนาคาร, ต่างธนาคาร, ต่างประเทศ ที่เพิ่มความง่ายด้วยการไม่ต้องเพิ่มเลขบัญชีปลายทางไปในลิสต์ก่อนโอน และรับรองความปลอดภัยด้วยการใช้ One-time Password
  • และยังรวมถึง ชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ การซื้อขายแลกเปลี่ยนกองทุนรวม
  • ชำระเงิน / วางหลักประกันสำหรับหลักทรัพย์ และอนุพันธ์ และบริการอื่นๆ อีกมากมาย
เริ่มใช้อย่างไร?

เรามาเริ่มดูแต่ละฟังก์ชั่นไปพร้อมกันตั้งแต่เริ่มใช้ จากหน้าเว็บไซต์ Krungsri Online การเริ่มต้นสมัครใช้งานแยกเป็นหลายรูปแบบ แล้วแต่ผู้ใช้ว่าถือบัญชีแบบไหน มีทั้งสมัครแบบออนไลน์, สมัครผ่านตู้เอทีเอ็ม, สมัครตั้งแต่เริ่มเปิดบัญชี หรือแจ้งความจำนงโดยการส่งแบบฟอร์มที่สาขา


เมื่อสมัครสำเร็จ จนได้ username และ password ที่ตั้งค่าเป็นของตัวเองแล้ว ก็เข้าใช้งานได้เลย การตั้งค่าที่ปรับไว้อย่างไร เมื่อเปิดในอุปกรณ์ไหนก็จะกลับมาแสดงผลเหมือนที่ตั้งค่าไว้ล่าสุด

พกหลายบัตร มีหลายบัญชี สลับใช้ไปมาไม่วุ่นวาย กับ Cover Flow


หลังจากล็อกอินเข้ามายังหน้าแรกใน Krungsri Online ของคุณเองได้แล้ว คุณสามารถเพิ่มบัญชีออมทรัพย์ กองทุนและพอร์ตหุ้น รวมทั้งสินเชื่อต่างๆ ที่คุณเป็นเจ้าของอยู่เข้ามาในบาร์เดียวกันนี้ได้

เมื่อคลิกดร็อปดาวน์เมนู จะพบกับคำสั่งเบื้องต้นที่ทำกับบัญชีนั้นๆ ได้ทันที

My Portfolio ดูภาพรวมความเคลื่อนไหวของทุกบัญชีที่มีในหน้าดียว


นอกจาก Cover Flow ที่เลือกทำธุรกรรมแยกบัญชีทางด้านบน ที่หน้าจอหลักเว็บ Krungsri Online จะรายงานภาพรวมของบัญชีเงินฝาก กองทุนรวม หลักทรัพย์และอนุพันธ์ สินเชื่อต่างๆ (อาทิ สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถยนต์) และบัตรเครดิตไว้ในหน้าจอเดียว และสามารถจัดการภาพโปรไฟล์ของตัวเอง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของบัญชีด้วยเมนูด้านซ้าย บาร์ด้านขวาเป็นทางลัดโอนเงินไปยังบัญชีที่ใช้งานประจำหรือจ่ายบิล ดูไปแล้วก็คล้ายกับหน้าตาอินบ็อกซ์ของอีเมล ที่มีแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ ของคุณโดยเฉพาะ

ตัวอย่างภาพรวมบัญชีออมทรัพย์

ตัวอย่างภาพรวมการลงทุนในกองทุน หลักทรัพย์ และอนุพันธ์

ตัวอย่างภาพรวมบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคล

ยืดหยุ่นบนหลายหน้าจอ ไม่ต้องลงแอพเพิ่ม เว็บนี้ที่เดียวจบ


เว็บไซต์ Krungsri Online ขอเกาะเทรนด์ responsive web design ที่สามารถรองรับการแสดงผลทุกขนาดหน้าจอได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ต้องขยายหน้าเว็บเข้า-ออกจนกดผิดปุ่มอย่างทุลักทุเล เข้าถึงธุรกรรมสำคัญที่ต้องใช้งานได้อย่างครบถ้วน ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะล็อกอินบนอุปกรณ์ไหน ตั้งค่าเมนูที่ใช้บ่อยไว้อย่างไร ล็อกอินเครื่องไหนก็เห็นทุกอย่างเหมือนกัน

ใส่ใจความปลอดภัย

เดี๋ยวนี้มีการโจรกรรมข้อมูลทางการเงินผ่านทางแอพ โทรจัน ที่หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไปติดตั้งเพื่อแอบดักข้อมูล หรือบางครั้งก็ทำตัวเป็นแอพปลอมมา หรือในทางกลับกัน ก็ทำเว็บไซต์อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งปลอม ซึ่งเว็บไซต์ Krungsri Online จะมีการเข้ารหัสการใช้งานผ่านโปรโตคอล HTTPS 128 bits SHA 256 ที่ผู้ใช้สามารถสังเกตไอคอนกุญแจและชื่อธนาคารได้อย่างชัดเจน

เรื่องเงินกลายเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัว สิ่งนี้เข้าประชิดกายจนทำให้เราจัดการมันได้อย่างสะดวกรวดเร็วกว่าแต่ก่อน บอกลาการต่อคิวยาวหน้าธนาคารช่วงสิ้นเดือน ต้องขอบคุณเทคโนโลยีและความใส่ใจของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่รังสรรค์เว็บไซต์อีแบงก์กิ้งอย่าง Krungsri Online ออกมาตอบโจทย์ผู้คนได้เป็นอย่างดี

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สร้างไฟล์ .gif ง่ายๆ ด้วย GIPHY

เว็บไซต์สำหรับค้นหาไฟล์ .gif (ไฟล์ภาพเคลื่อนไหว) อย่าง GIPHY ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้คุณสร้างไฟล์ .gif ได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่คลิกแล้ว


ใครที่อยากสร้างไฟล์ .gif ที่ตัดจากคลิปวีดีโอ ตอนนี้เว็บไซต์ GIPHY ได้เพิ่มอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างไฟล์ .gif ให้แล้ว  ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที  เพียงเข้าไปที่ http://giphy.com/create/gifmaker

วิธีการสร้างไฟล์ .gif ก็ง่ายมาก แค่เอาลิ้งค์ของคลิปวีดีโอที่ต้องการทำไฟล์ .gif แปะลงไป  หรือจะอัพโหลดไฟล์วีดีโอจากในเครื่องเราเองก็ได้ เสร็จแล้วก็เลื่อนหาช่วงเวลาที่เราต้องการตัดเป็นไฟล์ภาพเคลื่อนไหว สามารถปรับความยาวของ .gif ได้ยาวสุดถึง 10 วินาที  และใส่แคปชั่นกำกับที่รูปได้ด้วย พอสร้างเสร็จแล้วกด Create GIF รอสักพักก็ได้ไฟล์ .gif ออกมาสมใจ … ถ้ายังไงลองไปเล่นกันดูเลย ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการทำไฟล์ .gif ที่รวดเร็วและง่ายมากๆ จ้า

ที่มา: ARiP

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

IBM เริ่มจัดซื้อ Mac ให้พนักงานใช้แล้ว พบปัญหาการใช้งานลดเหลือเพียง 5%

หลังจากที่มีข่าวว่า IBM จะจัดซื้อเครื่อง Mac ให้แก่พนักงานกว่าสองแสนเครื่องนั้น Fletcher Previn รองประธานของ IBM ได้กล่าวที่งาน JAMF Nation User Conference ว่า
"Every Mac that we buy is making and saving IBM money"
หรือแปลเป็นไทยก็คือ Mac ที่บริษัทจัดซื้อมาให้พนักงานใช้นั้นนอกจากจะสร้างกำไรให้บริษัท ยังช่วยบริษัทประหยัดเงินอีกด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเริ่มจัดซื้อ Mac ให้พนักงานใช้แล้ว พบว่ามีเพียง 5% ของผู้ใช้งานทั้งหมดที่พบปัญหา และต้องเรียกช่างไอทีให้เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสถิติก่อนหน้านี้เมื่อตอนใช้พีซีแล้วนั้น กลับมียอดดังกล่าวสูงถึง 40%


ปัจจุบัน IBM ได้จัดซื้อ Mac ให้กับพนักงานสัปดาห์ละกว่า 1,900 เครื่อง (มีเป้าหมายการจัดซื้ออยู่ที่ 150,000 - 200,000 เครื่อง) โดยตอนนี้อุปกรณ์ iOS และ Mac ที่ใช้งานในบริษัทมีมากกว่า 130,000 เครื่องแล้ว

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

มาตรฐาน HTML 5.0 เสร็จสมบูรณ์, ก้าวสู่ยุคของ HTML 5.1

การเดินทางอันยาวนานของ HTML5 นับสิบปี ตั้งแต่การฟอร์มทีมร่างมาตรฐาน WHATWG ในปี 2004 ก็มาถึง "ก้าวแรก" เมื่อองค์กรกำกับมาตรฐานเว็บ W3C ประกาศรับรองมาตรฐาน HTML 5.0 อย่างเป็นทางการ (มีสถานะเป็น "Recommendation")

ฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ HTML5 ก็เป็นไปตามที่ Blognone เสนอข่าวมาโดยตลอด (และทุกวันนี้เราก็ใช้กันเยอะแล้วเพราะเบราว์เซอร์รองรับกันก่อนเป็นมาตรฐาน) เช่น <audio>/<video>, Canvas, SVG, MathML เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม HTML5 ยังถือว่าไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะนโยบายใหม่ของ W3C จะมองมาตรฐาน HTML5 เป็นเวอร์ชันย่อยๆ ที่พัฒนาไปเรื่อยๆ (แบบ Chrome/Firefox) โดยตอนนี้มาตรฐาน HTML 5.1 เริ่มเข้าสถานะ Nightly แล้ว และมีกำหนดออกรุ่นจริงในปี 2016

Jeff Jaffe ซีอีโอของ W3C แสดงวิสัยทัศน์ผ่านบล็อกของ W3C ว่าตอนนี้พื้นฐานของเว็บยุคใหม่เสร็จสิ้นแล้วใน HTML5 งานขั้นต่อไปจะเรียกว่า "Application Foundations" หรือการวางพื้นฐานสำหรับการสร้างแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีเปิดของเว็บ (Open Web Platform) ที่แบ่งออกเป็น 8 กลุ่มย่อยๆ
  • Security and Privacy เช่น Crypto API
  • Core Web Design and Development เช่น Web Components
  • Device Interaction เช่น การรองรับฟีเจอร์ฮาร์ดแวร์บนมือถือ (GPS/NFC/Bluetooth)
  • Application Lifecycle เช่น Web Workers
  • Media and Real-Time Communications เช่น WebRTC
  • Performance and Tuning เช่น ปรับปรุง garbage collection, framerate
  • Usability and Accessibility
  • Services เช่น payment, semantic web, social

ที่มา: Blognone

พบบั๊ก POODLE ช่องโหว่ร้ายแรงใน SSL 3.0 กระทบการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยของเบราว์เซอร์

กูเกิลประกาศค้นพบบั๊กร้ายแรงในสเปกของโพรโทคอล SSL เวอร์ชัน 3.0 ที่ส่งผลให้การเชื่อมต่อ SSL อาจถูกเจาะและไม่ปลอดภัยอย่างที่แล้วๆ มา โดยกูเกิลให้ชื่อบั๊กนี้ว่า POODLE

SSL หรือ Secure Socket Layer เป็นโพรโทคอลความปลอดภัยที่ถูกสร้างโดย Netscape ในปี 1995 และ SSL 3.0 เป็นมาตรฐานเก่าที่ออกตั้งแต่ปี 1996 (เกือบ 20 ปีแล้ว) หลังจากนั้นมาตรฐานถูกเปลี่ยนชื่อเป็น TLS (Transport Layer Security) เวอร์ชันล่าสุดคือ 1.2 ออกเมื่อปี 2008 อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปยังนิยมเรียกกันติดปากกว่า SSL อยู่ (และหลายคนเข้าใจผิดว่า SSL 3.0 ใหม่กว่า TLS 1.2)

บั๊ก POODLE มีผลเฉพาะกับ SSL 3.0 ที่เก่ามากแล้ว แต่เว็บเบราว์เซอร์ยังรองรับและเว็บเซิร์ฟเวอร์ยังใช้งานกันอยู่บ้าง (สถิติของ Mozilla บอกว่า 0.3% ของการสื่อสารที่ปลอดภัยทั้งหมด) ที่สำคัญคือเบราว์เซอร์จะทดลองสื่อสารด้วย TLS เวอร์ชันใหม่ก่อน ถ้าหากไม่พบก็จะถอยเวอร์ชันลงไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายเพราะแฮ็กเกอร์ใช้ช่องโหว่ POODLE ของ SSL 3.0 โดยที่เราไม่รู้ตัว

ทางแก้ไขเบื้องต้นคือให้เบราว์เซอร์หรือเซิร์ฟเวอร์รองรับฟีเจอร์ TLS_FALLBACK_SCSV หรือ TLS Fallback Signaling Cipher Suite Value ซึ่งจะช่วยป้องกันการดาวน์เกรดโพรโทคอล TLS/SSL เพื่อลดโอกาสถูกโจมตี กูเกิลบอกว่า Chrome และเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองรองรับฟีเจอร์นี้อยู่แล้ว และวันนี้กูเกิลจะลองปิดการดาวน์เกรดเป็น SSL 3.0 กับ Chrome ส่วนในอนาคตจะเลิกสนับสนุน SSL 3.0 อย่างถาวร

ฝั่งของ Firefox ออกมาบอกว่าจะปิด SSL 3.0 ใน Firefox 34 ที่จะออกช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน และ Firefox 35 จะรองรับฟีเจอร์ TLS_FALLBACK_SCSV ตามมา

การปิด SSL 3.0 อาจส่งผลกระทบให้เว็บไซต์บางแห่งใช้งานไม่ได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลระบบที่ต้องแก้ไขเรื่องเวอร์ชันของ SSL (งานนี้แพตช์ปิดรูรั่วไม่ได้นะครับเพราะเป็นบั๊กของโพรโทคอล SSL 3.0 ไม่ใช่บั๊กของตัวซอฟต์แวร์ ต้องปิด SSL 3.0 อย่างเดียว) รายละเอียดอ่านได้จาก เอกสารของ Mozilla 

ผู้ใช้กลุ่มที่มีปัญหาที่สุดคือ Windows XP ที่ยังใช้งาน IE6 เพราะรองรับแค่ SSL 3.0 เท่านั้น การปิด SSL 3.0 ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ย่อมกระทบผู้ใช้กลุ่มนี้ และเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลเว็บไซต์ต้องพิจารณากันเองว่าสมควรปิด SSL 3.0 หรือไม่

วิธีปิด SSL 3.0

สำหรับผู้ใช้ที่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยและไม่ต้องการรอแพตช์ สามารถปิดการทำงานของ SSL 3.0 ได้เอง
  • Firefox เข้าไปที่ about:config แล้วเปลี่ยนค่า security.tls.version.min เป็น 1
  • อีกทางเลือกหนึ่งของ Firefox คือใช้ส่วนขยายชื่อ SSL Version Control
  • Chrome ให้รันด้วยพารามีเตอร์ --ssl-version-min=tls1 ต่อท้าย
  • IE เข้าไปที่ Internet Options > Advanced > Security > เอาตัวเลือก Use SSL 3.0 ออก
  • Windows และ Windows Server ให้ปรับค่าใน Group Policy - วิธีการ
ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Apple เอาอย่าง Facebook ช่วยออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากการเก็บรักษาไข่ให้พนักงานหญิง

เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมของปีหน้าเป็นต้นไป Apple จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่บรรดาพนักงานสาวของบริษัท โดย Apple จะช่วยออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากการเก็บรักษาไข่ของพวกเธอไว้ด้วยการแช่แข็ง ทั้งนี้ Apple ไม่ใช่บริษัทแรกที่มีนโยบายเอาใจพนักงานหญิงขององค์กรแบบนี้ เพราะ Facebook ได้เริ่มทำมาก่อนตั้งแต่เดือนมกราคมของปีนี้


แรกเริ่มเดิมทีนั้น การเก็บรักษาไข่ของผู้หญิงนั้นมีขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีโอกาสได้มีทายาทสืบสกุล และช่วยเหลือผู้ที่มีบุตรยาก แต่ในปัจจุบันนี้ สตรีทั่วไปที่มิใช่ผู้ป่วยก็สามารถเลือกเก็บรักษาไข่ของตนเองไว้เพื่อทำการปฏิสนธิในภายหลังเมื่อบุคคลผู้นั้นมีความพร้อมที่จะมีบุตร

สำหรับค่าใช้จ่ายในการเก็บเอาไข่มาแช่แข็งจำนวน 10 ฟองนั้นอยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ และการเก็บรักษาไข่จำนวนดังกล่าวนั้นมีค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ 500 ดอลลาร์ ซึ่งทั้ง Apple และ Facebook นั้นพร้อมจะออกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้แก่บรรดาพนักงานหญิงของบริษัทสูงสุดถึงรายละ 20,000 ดอลลาร์ (เรียกว่าเก็บไข่ 10 ฟองได้นาน 20 ปีเลยทีเดียว)

นโยบายนี้ของทั้ง 2 บริษัทนั้น มีขึ้นก็เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานหญิงในองค์กรตัดสินใจทำงานให้บริษัทอย่างต่อเนื่องนานยิ่งขึ้น แม้ว่าพวกเธออาจจะเข้าสู่วัยที่เริ่มมีบุตรยาก อันหมายถึงช่วงวัย 30 ตอนปลาย หรือ 40 ตอนต้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พนักงานส่วนใหญ่กำลังเติบโตในหน้าที่การงานนั่นเอง

ที่มา: Blognone

ปี 2050 จะมีลิฟท์ไปถึงอวกาศ … ?

การเดินทางสู่อวกาศอาจเป็นเรื่องในฝันสำหรับใครหลายๆ คน ซึ่งปัจจุบันการเดินทางจำเป็นต้องพึ่งพากระสวยอวกาศเพื่อพาเราไปยังห้วงอวกาศ แต่ในปี 2050 ลิฟท์อาจเป็นเครื่องขนส่งที่พาเราไปสู่อวกาศได้โดยง่าย


โครงการล่าสุดจาก “โอบายาชิ” (Obayashi) บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่าเตรียมสร้างลิฟท์อวกาศ ที่มีความสูงถึง 96,000 กิโลเมตร สำหรับการเดินทางขึ้นสู่อวกาศแทนที่การขนส่งด้วยจรวดหรือกระสวยอวกาศ ซึ่งเป็นยานพาหนะที่มีราคาแพงและมีความเสี่ยงสูง ในส่วนของค่าใช้จ่ายนั้นทางโอบายาชิได้ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว ABC ว่า การโดยสารลิฟต์อวกาศอยู่ที่คนละประมาณ 200 เหรียญสหรัฐฯ น้อยกว่าการเดินทางด้วยกระสวยอวกาศที่มีต้นทุนประมาณ 22,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม โดยในการขนส่งมนุษย์ไปสู่สถานีอวกาศสามารถบรรจุได้ถึง 30 คนในครั้งเดียว สำหรับการเดินทางเที่ยวละ 7 วัน

แต่ทั้งนี้ทางโอบายาชิยอมรับว่าการพัฒนาท่อขนส่ง รวมถึงสายเคเบิลจะต้องมีความทนทางสูง โดยขณะนี้บริษัทกำลังวัสดุที่เรียกว่าคาร์บอน นาโนเทคโนโลยี ซึ่งการผลิตในจำนวนมหาศาลและพร้อมใช้งานอาจเกิดขึ้นราวๆ ปี 2030

ที่มา: ARiP

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

LINE เพิ่มฟีเจอร์ Hidden Chat ลบข้อความอัตโนมัติเมื่อหมดเวลา

ดูเหมือนว่า Beetalk ซึ่งมีฟีเจอร์พิเศษอย่าง Whisper Mode ซึ่งข้อความที่ส่งจะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไปตามที่กำหนด จะเจอคู่แข่งรายสำคัญแล้ว เมื่อ LINE เพิ่มฟีเจอร์ Hidden Chat

คุณสมบัติพื้นฐานของฟีเจอร์ดังกล่าวคือ เมื่อเราเข้าไปในหน้า Chat กับเพื่อนตามปกติแล้ว เมื่อกดที่ชื่อเพื่อนด้านบน จะมีเมนู Hidden Chat ขึ้นมาให้เลือก (นอกเหนือจาก Free Call และ Video Call) ซึ่งเมื่อกดที่เมนูดังกล่าว จะเป็นการสร้างห้องแชทแยกออกมาจากห้องแชทปกติ ในห้อง Hidden Chat นี้ ข้อความที่ถูกส่งไปและเปิดอ่านแล้วจะถูกลบภายในระยะเวลาที่กำหนด (มีเมนูให้เลือกในห้องนั้นๆ) โดยห้องแชทที่เป็น Hidden Chat จะมีสัญลักษณ์แม่กุญแจขึ้นมาบนรูป Display Picture ของเพื่อนคนนั้นๆ
 
ทั้งนี้ คู่สนทนาต้องใช้แอพรุ่นที่รองรับฟีเจอร์นี้ทั้งสองฝ่ายจึงจะใช้งานได้ เบื้องต้นตอนนี้เจอเฉพาะแอพรุ่น 4.5.3 บน Android ครับ

ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Visa Checkout บริการใหม่ที่ไม่ต้องกรอกเลขบัตรเครดิตทุกครั้งเวลาซื้อของผ่านเน็ต

Visa เปิดบริการใหม่ Visa Checkout ระบบจ่ายเงินออนไลน์ (ลักษณะเดียวกับ PayPal) ที่ช่วยให้เราจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตได้ง่ายขึ้น


Visa บอกว่ากระบวนการจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตบนเว็บยังยุ่งยากเกินไป (ต้องกรอกข้อมูลบัตรเครดิตทุกครั้ง) Visa จึงร่วมมือกับคู่ค้าและสถาบันการเงินต่างๆ ทำระบบ Visa Checkout ที่ช่วยเก็บข้อมูลบัตรเครดิตของเราไว้บนเว็บไซต์ของ Visa เอง กรอกข้อมูลบัตรเพียงครั้งเดียว จากนั้นเมื่อพบร้านค้าที่มีโลโก้ Visa Checkout ก็กดที่ปุ่มนั้นเพื่อล็อกอินเข้าระบบของ Visa และจ่ายเงินได้ทันที (ข้อมูลทุกอย่างเก็บอยู่ที่ Visa ไม่ได้เก็บที่เว็บไซต์ของผู้ขาย)

ในเบื้องต้น Visa Checkout จะเปิดบริการในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย โดย Visa แสวงหาความร่วมมือกับบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐอย่าง Newegg, Ticketmaster, Pizza Hut, Staples, United Airline เพื่อเพิ่มปุ่ม Visa Checkout ในหน้าร้านออนไลน์ของบริษัทเหล่านี้แล้ว และบริษัทยังเปิด SDK ให้ห้างร้านหรือผู้พัฒนาแอพรายอื่นๆ ที่ต้องการเพิ่มการจ่ายเงินด้วย Visa Checkout นำไปใส่ในเว็บหรือแอพของตัวเอง

Visa บอกว่าลูกค้าไม่ต้องการระบบ e-wallet ที่ยุ่งยาก แต่ต้องการเพียงการจ่ายเงินด้วยบัตรของตัวเองให้ง่ายและเร็วเท่านั้นเอง บริษัทจึงออกแบบ Visa Checkout ให้ตอบโจทย์ความต้องการนี้ โดยยังรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอยู่เช่นเดิม

ที่มา: Blognone

Google จะเริ่มบอกว่าเว็บไหนใช้ Flash ในหน้าเว็บค้นหาบน iOS และ Android

วันนี้ Google ประกาศผ่าน Google Webmaster Central Blog ว่าทางบริษัทได้ปรับอัลกอริทึมการค้นหา โดยจะกรองเว็บที่เปิดไม่ได้บนอุปกรณ์ของผู้ใช้ เช่น เว็บที่ใช้ Flash จะไม่แสดงข้อมูลในหน้าผลการค้นหาของ iOS หรือ Android เวอร์ชัน 4.1 ขึ้นไป โดยจะแสดงเป็น "Use Flash. May not work on your device." เพื่อผู้ใช้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์และพบกับหน้าสีขาว พร้อมเครื่องหมายคำถามซึ่งหมายความว่าดูไม่ได้


นอกจากนี้ Google ยังแนะนำให้นักพัฒนาศึกษาการทำเว็บยุคใหม่ด้วย โดยผู้สนใจสามารถศึกษาได้จาก Web Fundamentals หรือ Web Starter Kit 

ที่มา: Blognone

LG โชว์ของเด็ด ! หน้าจอ OLED โค้งงอ ยืดหยุ่นได้ ความละเอียดสูง

LG นับเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เอาจริงเอาจังกับการพัฒนาหน้าจอแสดงผลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหน้าจอที่เรียกว่า “OLED” ที่มีลักษณะโค้งงอ ยืดหยุ่นได้


ล่าสุด LG เปิดตัวหน้าจอ OLED ขนาด 18 นิ้ว ที่มีความโค้งงอ ยืดหยุ่นสูงมากกว่าหน้าจอที่ LG เคยผลิตมา มีความละเอียดของภาพที่ 1200 x 810 พิกเซล สามารถม้วนงอได้เล็กสูงสุด 3 เซนติเมตร โดยไม่กระทบต่อการแสดงผลของภาพแต่อย่างใด ซึ่ง LG มั่นใจว่าเทคโนโลยี OLED ดังกล่าวจะสามารถสร้างความสำเร็จจนนำไปต่อยอดสู่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทีวีแบบใหม่หน้าจอโค้ง ขนาด 50 นิ้วได้ในอนาคตอันใกล้นี้


ขณะเดียวกัน LG ยังเปิดตัวหน้าจอชนิดใหม่ มีลักษณะโปร่งแสง ใช้เทคนิคการเพิ่มอัตราการส่งผ่านแสง หรือ light transmittance มากขึ้นเป็น 30% มากกว่าหน้าจอรุ่นก่อนที่มีอัตราการส่งผ่านแสงอยู่ที่ 10% เท่านั้น

ทั้งนี้ LG เชื่อมั่นว่าภายในปี 2017 จะสามารถผลิตหน้าจอทั้งสองชนิดได้ พร้อมมีการแสดงผลอยู่ในระดับ HD บนหน้าจอขนาด 60 นิ้วขึ้นไป

ที่มา: ARiP