วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

Craig Federighi ตอบคำถาม Face ID ใน iPhone X ปลอดภัยและดีกว่า Touch ID หรือไม่?

ฟีเจอร์สำคัญที่ถูกพูดถึงอย่างมากใน iPhone X หนีไม่พ้น “Face ID” หรือสแกนใบหน้า ระบบรักษาความปลอดภัยแบบไบโอเมตริกซ์ แทนที่ Touch ID หรือสแกนลายนิ้วมือ ซึ่งเชื่อว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนมากสงสัยในการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ดังกล่าวว่าใช้ได้ผลดีและมีความปลอดภัยจริงหรือไม่? โดยงานนี้ Craig Federighi หนึ่งในทีมผู้บริหารคนสำคัญของ Apple ออกมาให้ข้อมูลต่อเรื่องนี้ด้วยตัวเองครับ 


โดย Craig Federighi ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากเว็บไซต์ TechCrunch ในประเด็น Face ID ใน iPhone X ซึ่งแอดมินขอสรุปให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ

1. “การสร้าง Face ID” สำหรับ Apple ได้มีการรวบรวมภาพหลายพันล้านภาพเพื่อสร้างชุดข้อมูลทางภูมิศาสตร์และชาติพันธุ์ ก่อนนำมาทดสอบและตรวจสอบความถูกต้องต่อการรับรู้ของระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถดึงภาพจากอินเทอร์เน็ตมาใช้ได้

2. การทดลอง Face ID ได้มีการใช้ใบหน้าจริงเพื่อการจดจำรายละเอียดที่มีความแม่นยำและความถี่สูงจากหลายๆ มุม และนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น

3. ลูกค้าที่ใช้ Face ID ขอยืนยันว่า Apple ไม่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลใบหน้าของลูกค้าแต่อย่างใด

4. Face ID มีคุณสมบัติที่ช่วยให้สามารถจดจำใบหน้าที่เปลี่ยนไปของลูกค้าได้ ไม่ว่าใบหน้านั้นจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ, ทรงผม, เครา หรือแม้กระทั่งการทำศัลยกรรม

5. Face ID จะมีรูปแบบการรักษาความปลอดภัยเช่นเดียว Touch ID ที่เรียกว่า Secure Enclave ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยภายในชิปประมวลผล ทำให้มีการจัดเก็บข้อมูลใบหน้า แต่จะใช้เพียงการแทนค่าทางคณิตศาสตร์เท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นจะทำวิศวกรรมย้อนกลับภาพใบหน้าที่แท้จริงของคุณจากข้อมูลที่จัดเก็บไว้

6. Apple ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ดังนั้นการเปิดโหมดรักษาความปลอดภัยจะอย่าง Face ID จะบังคับให้ใส่ Passcode ด้วย

7. “ปิดใช้งาน Face ID ยังไง?” ในสถานการณ์คับขัน เช่น โดนโจรปล้นและบังคับให้คุณส่งมอบไอโฟนให้ ซึ่งใน iPhone 8 / 8 Plus และ iPhone X เมื่อคุณกดค้างที่ปุ่มด้านข้างทั้งสองด้านไว้สักครู่ ระบบจะปิดการใช้งาน Face ID เป็นวิธีสั้นๆ ง่ายๆ ที่ทำให้โจรไม่สามารถใช้ Face ID หรือ Touch ID ปลดล็อคเครื่องของคุณได้

8. Face ID สามารถสแกนใบหน้าได้ แม้ในที่มืด


9. หากไม่มีการใช้ Face ID นาน 48 ชั่วโมง ระบบจะเริ่มต้นให้ผู้ใช้ใส่ Passcode ใหม่อีกครั้ง

10. หากมีความพยายามปลอมแปลง Face ID จำนวน 5 ครั้ง ระบบจะเริ่มต้นให้ใส่ Passcode แทน

11. นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่สามารถเข้าข้อมูลจาก Face ID ได้ แต่สามารถใช้โค้ดบางส่วนที่ Apple อนุญาตสำหรับใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่น ARKit

12. “การสวมใส่แว่นกันแดดไม่ใช่ปัญหา” เนื่องจาก Face ID มีอินฟาเรดที่สามารถส่องผ่านเลนส์แว่นได้ ทำให้สามารถสแกนใบหน้าได้แม้สวมแว่น

13. ในกรณี “คนตาบอด” จะใช้การจดจำใบหน้าเพียงอย่างเดียว แม้จะใช้งานได้ แต่ประสิทธิภาพของ Face ID จะลดลง

14. หากผู้ใช้ประกอบอาชีพศัลยแพทย์ หรือทำงานที่ต้องใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้า Face ID จะไม่สามารถใช้งานได้ แต่หากสวมหมวกหรือใส่ผ้าพันคอการทำงานของ Face ID ก็จะเป็นไปตามปกติ

15. หากไม่มีการป้อน Passcode นาน 6.5 วัน และไม่ได้ใช้ Face ID นาน 4 ชั่วโฒง ระบบ Face ID จะถูกปิดใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้ใส่ Passcode อีกครั้งหนึ่ง

16. ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการเช็คเวลาหรือดูการแจ้งเตือนเท่านั้น การจ้องที่หน้าจออาจเป็นการใช้ Face ID เพื่อปลดล็อคและเข้าสู่หน้าโฮม เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว Apple จึงแนะนำให้ผู้ใช้ swip หน้าจอขึ้นทันทีหลัง Face ID ทำงาน

17. ใช้ Face ID จำเป็นหรือไม่ ที่ต้องยก iPhone ขึ้นมาตรงหน้า? คำตอบ คือ ไม่จำเป็น เนื่องจากระบบ Face ID มีการจดจำรายละเอียดต่างๆ บนใบหน้าอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นไม่ว่าผู้ใช้จะมองผ่านมุมที่สูงหรือต่ำกว่าก็สามารถปลดล็อคหน้าจอได้


ที่มา: ARiP

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

C by GE Sol หลอดไฟอัจฉริยะพร้อม Alexa วางจำหน่ายแล้วที่ราคา 200 ดอลลาร์

หากใครยังจำได้ เมื่อปลายปีที่แล้ว GE เปิดตัวหลอดไฟพร้อม Alexa โดยตอนนี้ก็ถึงเวลาที่หลอดไฟอัจฉริยะจาก GE จะวางขายแล้ว

หลอดไฟนี้มีชื่อว่า C by GE Sol ถือเป็นหลอดไฟที่มีระบบผู้ช่วยส่วนตัว Alexa อยู่ภายในเป็นตัวแรกที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด ตัวโคมไฟเป็นหลอดไฟที่สามารถปรับเฉดสีขาวได้ ตั้งแต่โทนขาว (daylight) ไปจนถึงโทนเหลือง (warm) มีแถบสีน้ำเงินและแดงภายในวงแหวนของหลอดไฟ เพื่อเป็นการแสดงเวลาแทนเข็มสั้นและเข็มยาว และเมื่อเรียก Alexa ขึ้นมาจะมีเอฟเฟคแสดง

ตัวฐานของหลอดไฟนั้นเป็นไมโครโฟนและลำโพง เพื่อให้ผู้ใช้สั่ง Alexa ให้ทำงานได้ตามต้องการ โดย C by GE Sol สามารถสั่งคำสั่งของ Alexa ได้ทุกอย่างเหมือนกับ Amazon Echo บนตัวหลอดไฟมีปุ่มสำหรับปิดเสียง Alexa, เปิดหลอดไฟ, ปรับความดังของเสียง และปรับความสว่างของหลอดไฟ ซึ่งสิ่งที่เพิ่มมาจาก Alexa ปกติก็มีคำสั่งปรับไฟ เช่น ลดแสง, เพิ่มแสง, ปรับโทนแสง ฯลฯ

สำหรับราคาของหลอดไฟ C by GE Sol นี้อยู่ที่ 199.99 ดอลลาร์ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จากเว็บไซต์ C by GE 


ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

ก้าวสู่ปีที่ 11 ! Apple เปิดตัว iPhone X วิวัฒนาการอีกขั้นของไอโฟน

Apple เขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับตัวเองอีกครั้ง เปิดตัว iPhone X วิวัฒนาการอีกขั้นของไอโฟน พลิกโฉมทั้งดีไซน์ พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เปิดจอง 27 ตุลาคม ก่อนวางจำหน่าย 3 พฤศจิกายน นี้

iPhone X


เป็นชื่อที่สอดคล้องกับวาระการครบรอบ 10 ปีของ iPhone ตัวเครื่องด้านหน้าและด้านหลังเป็นกระจก กรอบทั้งสี่ด้านเป็นสแตนเลสสตีล จอแสดงผล OLED ขนาด 5.8 นิ้ว Super Retina display ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล (458ppi) พร้อมเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ True Tone สามารถแสดงผลแบบ HDR ได้ เพื่อการรับชมภาพยนตร์หรือซีรีส์ในแบบ Dolby Vision และ HDR10 ได้

 

iPhone X ไม่มีปุ่มโฮมอีกต่อไป


เป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดปุ่มโฮมแบบดั้งเดิมทิ้งไป หากผู้ใช้ต้องการกลับไปที่ home screen ให้กวาดหน้าจอจากด้านล่างขึ้นบน นอกจากยังทำให้ Touch ID หรือสแกนลายนิ้วมือหายไปอีกด้วย

 

Touch ID ไม่มีแล้ว ทดแทนด้วย Face ID

 


Face ID หรือเรียกง่ายๆ ว่า “สแกนใบหน้า” เกิดจากการผสมผสานของกล้องหน้า, เซนเซอร์ต่างๆ อาทิ Proximity sensor, Flood Illuminator, Ambient Light, Dot Projector พร้อมกันนี้ยังได้พัฒนา Neural engine ชิปขนาดเล็กแบบ Dual-core เพื่อให้การสแกนใบหน้าสามารถทำได้สมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งในที่มืดก็ตาม สามารถจดจำลักษณะใบหน้าของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะผู้ใช้จะเปลี่ยนการแต่งหน้า เปลี่ยนทรงผม หรือสวมใส่เครื่องประดับต่างๆ ซึ่ง Apple ระบุว่า Face ID มีโอกาสเพียง 1 ใน 1,000,000 ที่จะมีบุคคลอื่นปลดล็อคผ่าน Face ID ได้


คุณสมบัติของ Face ID นอกจากใช้ปลดล็อคเครื่องแทน Touch ID แล้ว ยังสามารถใช้ยืนยันตัวตนเพื่อชำระเงินผ่าน Apple Pay และแอพอื่นๆ ได้ด้วย

นอกจากนี้ Apple ยังได้พัฒนา “Animoji” เทคโนโลนีการติดตามใบหน้า ลูกเล่นที่ให้ผู้ใช้ได้เปลี่ยนใบหน้าเป็นตัวการ์ตูนสัตว์ต่างๆ ซึ่งคุณสมบัตินี้จะคอยทำตามการพูด การขยับใบหน้าได้แบบเรียลไทม์ สำหรับการสนทนาผ่าน iMessage

 

อัพเกรดกล้องหลังและกล้องหน้า

 


ทุกวันนี้กล้องถ่ายภาพไม่ได้แข่งกันที่ความละเอียดอีกต่อไป ซึ่งใน iPhone X ยังคงความละเอียดของกล้องหลังคู่ไว้ที่ 12 ล้านพิกเซล เพิ่มระบบกันสั่นเข้ามาไว้ทั้งสองเลนส์ (dual OIS) กล้องหลังตัวแรกใช้รูรับแสง f/1.8, กล้องหลังเลนส์ Telephoto ใช้รูรับแสง f/2.4, ลักษณะกล้องเป็นแนวตั้ง มีแฟลชแบบ Quad-LED True Tone พร้อม Slow Sync ให้ประสิทธิภาพดีขึ้น 2 เท่า ซึ่งใน Portrait mode มีการพัฒนาเพื่อรองรับการถ่ายภาพบุคคลให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการถ่ายในที่แสงน้อยด้วยโหมดที่เรียกว่า “Portrait Lighting” สามารถจัดแสงของภาพถ่ายให้เหมาะกับแสงธรรมชาติได้ รองรับการบันทึกวีดีโอที่ความละเอียด 4K@60fps


กล้องหน้าเป็นหนึ่งจุดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเช่นกัน มีเทคโนโลยีที่เรียกว่า “TrueDepth Camera” สามารถใช้ Portrait mode ได้เช่นเดียวกับกล้องหลัง ส่วนความละเอียดคงที่ 7 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.2 พร้อม Retina Flash

 

ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ แถมฉลาดมากขึ้น

 


ใน iPhone X มาพร้อมชิปประมวลผล A11 “Bionic” (ใช้ใน iPhone 8 และ 8 Plus ด้วย) แบบ Six-core, 64-bit เร็วขึ้นกว่าชิป A10 25% พร้อมมีระบบ Machine Learning ที่ช่วยการเรนเดอร์เกม, AR และการถ่ายภาพให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

 

แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม

 

ภายในงานเปิดตัว Apple เคลมว่า iPhone X มีแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานขึ้นกว่า iPhone 7 ถึง 2 ชั่วโมง

 

ถึงเวลาชาร์จไร้สาย

 

หลังจากกั๊กมานาน ในที่สุด iPhone X ก็สามารถรองรับ Wireless Charging หรือชาร์จไร้สายได้แล้ว และยังมาพร้อมอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า “AirPower” แท่นชาร์จที่สามารถใช้ทั้ง iPhone X, Apple Watch และ Apple EarPods ได้ในคราวเดียว

 

มาแค่ 2 ความจุ

 

ใน iPhone X มีให้เลือก 2 ความจุ คือ 64GB และ 256GB

 

มีให้เลือก 2 สี 

 

ตัวเครื่อง iPhone X มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Space Gray กับ Silver

 

ราคาและวันวางจำหน่าย

 

iPhone X จะเปิดตัวสั่งจองในวันที่ 27 ตุลาคม ก่อนจะเริ่มขายอย่างเป็นทางการในบางประเทศ 3 พฤศจิกายน ราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 33,000 บาท

คุณสมบัติอื่นๆ ได้แก่ กันน้ำ กันฝุ่นได้ (ไม่บอกมาตรฐานที่ใช้), ใช้ Bluetooth 5.0, ลำโพงแบบ Stereo, ปุ่มเรียกใช้ Siri ถูกย้ายมาอยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง เป็นต้น

ที่มา: ARiP

สู่ยุคประกันภัย 4.0 ! Roojai (รู้ใจ) ประกันภัยออนไลน์ เคียงข้างคุณ 24 ชั่วโมง

Roojai (รู้ใจ) ทางเลือกประกันภัยสำหรับผู้ใช้รถยนต์ในยุคดิจิทัล ง่าย ราคาไม่แพง เชื่อใจได้ พร้อมช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง


Roojai (รู้ใจ) ประกันภัยรถยนต์รายแรกที่รับรองเรื่องการคุ้มครอง “ซื้อประกันปุ๊บ คุ้มครองทันที” โดยขั้นตอนการสมัครใช้ประกันภัยรู้ใจ สามารถเข้าไปได้ที่ www.roojai.com โดยแต่ละขั้นตอนภายในระบบจะให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ พร้อมคำนวณค่าเบี้ยประกันให้อัตโนมัติ แต่หากผู้ใช้ยังไม่พอใจในเบี้ยประกันก็สามารถปรับเปลี่ยนได้เอง ซึ่งการชำระเงินค่าเบี้ยประกันสามารถชำระได้ผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต พร้อมโปรโมชั่นผ่อน 0% 10 เดือน โดยหลังจากการสมัครประกันภัยแล้วจะมีเจ้าหน้าที่จากรู้ใจโทรติดต่อเพื่อคอนเฟิร์มข้อมูลทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งเพื่อความถูกต้อง


หลังจากสมัครประกันภัยผ่าน www.roojai.com เรียบร้อยแล้ว การใช้บริการในกรณีเกิดอุบัติเหตุ, กรณีฉุกเฉิน หรือต้องการเคลมประกัน สามารถทำได้ผ่าน “Roojai Mobile App” ดาวน์โหลดฟรีผ่าน App Store สำหรับ iOS และ Play Store สำหรับ Android ซึ่ง Roojai Mobile App จะมีให้เลือกใช้งานต่างๆ ดังนี้

 

1. ตรวจสภาพรถออนไลน์ผ่านแอพได้ง่ายๆ

 


เพียงแค่นัดหมายวันเวลากับเจ้าหน้าที่ จากนั้นกดคลิกลิงค์ที่ได้รับทาง SMS เพื่อเริ่มตรวจสภาพรถผ่าน Video Call เสร็จเรียบร้อยก็รอรับกรมธรรม์ได้เลย

2. คุณสามารถเลือกแจ้งเหตุแบบ “แจ้งอุบัติเหตุรถยนต์” หรือ ”แจ้งรถเสียฉุกเฉิน” แอพจะทำการแชร์ตำแหน่งที่เกิดเหตุของคุณด้วยระบบ GPS ผ่าน Google Map และโทรหาสายด่วนอุบัติเหตุโดยอัตโนมัติ

3. เมื่อคุณยืนยันการแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุที่อยู่ใกล้ที่สุด จะเดินทางไปช่วยเหลือคุณทันที โดยในขณะที่รอ คุณสามารถมองเห็นตำแหน่งพร้อมความเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ของเจ้าหน้าที่ จนกว่าจะมาถึงที่เกิดเหตุ

4. กรณีต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม สามารถเลือกกดปุ่มโทรอัตโนมัติสายด่วนอุบัติเหตุ ผู้เชี่ยวชาญด้านสินไหมพร้อมให้ความช่วยเหลือและแนะนำขั้นตอนการเคลม ตลอด 24 ชั่วโมง

5. นอกจากนี้ สามารถศึกษาขั้นตอนวิธีแจ้งอุบัติเหตุ ขั้นตอนการเคลมง่ายๆ หลายช่องทาง แล้วจะเห็นว่าการเคลมประกันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ที่มา: ARiP

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

งานวิจัยชิ้นใหม่เผย AI สามารถระบุคนมีความชอบทางเพศเป็นเกย์ได้อย่างแม่นยำ ผ่านภาพใบหน้า

แม้เรื่องความชอบทางเพศ (sexual orientation) จะเป็นเรื่องส่วนบุคคล และในทางวิชาการสังคมศาสตร์ มีการถกเถียงกันอยู่เป็นระยะว่าเป็นเรื่องของสังคมสร้าง (social construction) หรือเรื่องทางชีววิทยา (biological determine) แต่งานวิจัยชิ้นล่าสุดที่กำลังจะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Journal of Personality and Social Psychology ชี้ให้เห็นว่าระบบประสาทเทียมระดับลึก (deep neural network) ที่ใช้เป็นฐานของระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบุว่าคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกความชอบทางเพศได้ โดยใช้เทคนิคการสแกนภายใบหน้าเพียงครั้งเดียว

งานวิจัยดังกล่าวนี้ดำเนินการโดย Yilun Wang และ Michal Kosinski จาก Graduate School of Business (เทียบเป็นไทยคือ บัณฑิตวิทยาลัยธุรกิจ) ของมหาวิทยาลัย Stanford โดยใช้ซอฟต์แวร์อย่าง Face++ เข้ามาช่วย และสแกนภาพใบหน้ากว่า 35,000 ภาพ จากนั้นจึงเข้าระบบอัลกอริทึมเพื่อจำแนกเพศ โดยพบว่าระบบสามารถจำแนกเพศระหว่างคนที่มีความชอบทางเพศเป็นเกย์กับคนที่มีความชอบทางเพศแบบดั้งเดิม (heterosexual) ได้อย่างแม่นยำในภาพเดียว มีค่าความแม่นยำที่ 81% สำหรับเพศชาย และ 71% ในเพศหญิง และเพิ่มขึ้นเป็น 91% และ 83% ในกรณีที่มีภาพของคนเดียวกันแต่จากมุมอื่นๆ เข้ามาเสริมเป็น 5 ภาพ

คณะผู้วิจัยระบุว่า การรับรู้เรื่องความชอบทางเพศของมนุษย์ (human perception) มีอยู่อย่างจำกัด และอาจเป็นการบ่งบอกถึงที่มาของเพศสภาพในแต่ละบุคคลนั้นได้ รวมไปถึงความเสี่ยงที่ระบบการรับรู้ใบหน้า (facial recognition) อาจสร้างปัญหาในความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะในเรื่องเพศด้วย

ร่างเปเปอร์มีให้ดาวน์โหลดแล้ว แต่ตัวเปเปอร์จริงอาจต้องรอผ่านการตรวจสอบ (peer-review) อีกระยะหนึ่งกว่าจะตีพิมพ์ได้ ใครสนใจไปกดอ่านได้


ที่มา: Blognone

Apple และ Microsoft นำทีมบริษัทไอที ต้าน ‘ทรัมป์’ หลังยกเลิกโครงการคุ้มครองผู้อพยพ

กลายประเด็นร้อนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกโครงการคุ้มครองผู้อพยพที่เป็นเด็กและเยาวชน ที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ แบบผิดกฎหมาย หรือ DACA ซึ่งคาดว่าการยกเลิกครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้อพยพกว่า 800,000 คนทั่วประเทศ (หรือเรียกบุคคลกลุ่มนี้ว่า “Dreamers”) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มพนักงานจำนวนมากในบริษัทไอทีด้วย


การประกาศยกเลิกโครงการ DACA ของโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อให้เกิดการต่อต้านจากบริษัทไอทีระดับโลกจำนวนมาก โดยเริ่มจาก Brad Smith ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ Microsoft ที่ออกมาแถลงคัดค้านการยกเลิกโครงการ DACA โดย Brad Smith ระบุว่าปัจจุบัน Microsoft มีการว่าจ้าง Dreamers จำนวน 39 คน เพื่อทำงานให้กับบริษัท และยืนยันจะอยู่เคียงข้างกับพนักงานเหล่านี้ พร้อมจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิให้กับ Dreamers หากสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ไม่สามารถหาข้อสรุปที่เป็นธรรมได้

จากนั้น Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft ได้ออกมาสนับสนุน Brad Smith ผ่าน linkedin ว่า ในการมีส่วนร่วมของพนักงานที่มีพรสวรรค์จากทั่วโลกมีผลต่อการดำเนินงานของบริษัทไปจนถึงเศรษฐกิจในวงกว้าง ที่ผ่านมา Microsoft ใส่ใจและสนับสนุนกลุ่ม Dreamers อย่างเต็มที่มาโดยตลอด พร้อมยอมรับในความหลากหลายและเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจของทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนหลอมรวมให้เป็นอเมริกาอย่างที่รู้จักเช่นทุกวันนี้

Tim Cook ซีอีโอ Apple ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านการยกเลิกโครงการ DACA เช่นกัน โดยระบุว่าปัจจุบัน Apple มี Dreamers ที่ทำงานอยู่ประมาณ 250 คน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้สมควรได้รับความเคารพอย่างเท่าเทียมกัน และยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างกับพนักงาน ซึ่ง Apple พร้อมที่จะทำงานร่วมกับสภาคองเกรส เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาด้านกฎหมายสำหรับการคุ้มครองกลุ่ม Dreamers ในสหรัฐฯ อย่างยั่งยืน

นอกจากบุคคลทั้ง 3 แล้ว ยังมี Sundar Pichai ซีอีโอ Google, Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook, Jeff Bezos ซีอีโอ Amazon รวมไปถึงผู้นำในอุตสหกรรมไอทีอีกจำนวนมาก ที่ออกมาคัดค้านการยกเลิกโครงการ DACA นอกจากนี้เหล่าผู้นำในอุตสหกรรมไอทีกว่า 300 คน ยังได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อแสดงจุดยืนที่มีต่อกลุ่ม Dreamers

สำหรับโครงการ DACA เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามา เป็นโครงการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในช่วงอายุระหว่าง 6-16 ปี ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย สามารถพักอาศัย ศึกษาเล่าเรียน และได้สิทธิในการทำงานในสหรัฐฯ ด้วย

แต่หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนึ่งในนโยบายในการบริหารประเทศ คือ  “อเมริกาต้องมาก่อน” ทั้งแรงงานและครอบครัวอเมริกันจะต้องได้รับสิทธิประโยชน์เป็นลำดับแรก ดังนั้นการยกเลิกโครงการ DACA นับเป็นความพยายามดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่โดนัล ทรัมป์ ประกาศไว้ เพื่อลดทอนกลุ่มเชื้อชาติอื่นที่เข้ามาอาศัยในสหรัฐฯ ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลลัพธ์ที่จะตามมากลับส่งผลกระทบต่อประชากรจำนวนมาก พร้อมก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในสังคมในสหรัฐฯ และอาจลุกลามไปถึงระบบเศรษฐกิจในอนาคตด้วย

ข้อเรียกร้องของบริษัทไอที ไปจนถึงกระแสต่อต้านจากผู้คนจำนวนมากในสหรัฐฯ จะมีผลต่อการตัดสินใจของสภาคองเกรสของสหรัฐ และนำมาซึ่งข้อสรุปที่เป็นธรรมได้หรือไม่ รวมไปถึงจะมีผลทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ ยอมถอยจากนโยบายนี้ได้หรือไม่ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งครับ

ที่มา: ARiP

Oracle ประกาศ เตรียมเปิดซอร์ส Oracle JDK ทั้งหมด 100% สู่ OpenJDK

นอกจากประเด็นเรื่องระบบการออกรุ่นแบบใหม่ของ Java SE ทาง Mark Reinhold หัวหน้าฝ่ายสถาปัตยกรรม Java ของ Oracle ก็ยังประกาศแผนการโอเพนซอร์ส Oracle JDK ทั้งหมดในอนาคตด้วย

ปัจจุบันตัว JDK (Java Development Kit) แยกเป็น 2 เวอร์ชันคือ OpenJDK ที่เป็นโอเพนซอร์ส และ Oracle JDK ที่เพิ่มฟีเจอร์เชิงพาณิชย์บางส่วน (เช่น Java Flight Recorder, Mission Control) เข้ามา โดย Oracle มีรายได้จากค่าซัพพอร์ตองค์กรที่ใช้งาน Oracle JDK ด้วย

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ Oracle จะทยอยเปิดซอร์สของฟีเจอร์ทั้งหมดใน Oracle JDK เข้าสู่โครงการ OpenJDK (เท่ากับว่าต่อไปจะมี JDK เวอร์ชันเดียวในตอนสุดท้าย) กำหนดการจะเริ่มหลังจาก Java 9 ออกในเดือนนี้ แต่ Oracle ก็ระบุว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะเปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดได้ครบ


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

ปูตินประกาศวิสัยทัศน์ "ใครที่เป็นผู้นำด้าน AI จะเป็นผู้นำโลกในอนาคต"

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ไปพูดให้นักเรียนรัสเซียฟังในหัวข้อ "โลกอนาคตเป็นของ AI" โดยเขาย้ำว่า AI คืออนาคต ไม่ใช่แค่ของรัสเซีย แต่เป็นอนาคตของมนุษยชาติ มันสร้างโอกาสมหาศาล แต่ก็อาจเป็นภัยที่พยากรณ์ได้ยากในปัจจุบัน ใครก็ตามที่เป็นผู้นำด้าน AI จะเป็นผู้นำโลกในอนาคต

เขายังบอกว่าเขาไม่อยากเห็นการผูกขาดการพัฒนา AI กับองค์กรเพียงไม่กี่แห่ง และถ้ารัสเซียเป็นผู้นำในเรื่องนี้ รัสเซียจะยินดีแบ่งปันความรู้แก่โลก เช่นเดียวกับที่รัสเซียเคยแบ่งปันความรู้ด้านนิวเคลียร์มาก่อน รัสเซียต้องรีบพัฒนาตัวเองในเรื่องนี้เพื่อไม่ให้เป็นชาติที่ล้าหลังหรือตกขบวนในอนาคต

เขายังพูดถึงวิทยาการด้าน cognitive science ที่เกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ร่วมกับศาสตร์ด้านอื่นๆ ว่ายังไปได้อีกไกลมากจนแทบไม่มีขอบเขต

การพูดของปูตินถูกถ่ายทอดไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ 160,000 แห่ง คาดว่ามีผู้ชมรวมมากกว่า 1 ล้านคน


ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

โอเพนซอร์สก็มา ไลบรารี promptpay-qr สำหรับสร้าง PromptPay QR ด้วยจาวาสคริปต์

คุณไท ปังสกุลยานนท์ เผยแพร่ไลบรารีโอเพนซอร์ส promptpay-qr เป็นไลบรารีสำหรับสร้าง PromptPay QR ด้วยจาวาสคริปต์

ตัวไลบรารีมีเพียงฟังก์ชั่นเดียวและสองอาร์กิวเมนต์ คือ generatePayload(idOrPhoneNo, { amount }) เพื่อสร้างสตริงสำหรับนำไปสร้าง QR อีกที

โครงการเผยแพร่อยู่บน GitHub มีทั้งเวอร์ชั่นเว็บสำหรับ firebase และ command line ติดตั้งผ่าน npm ได้ทันที


ที่มา: Blognone

ใช้งานเลยไม่ต้องรอ Digio เปิดเว็บสร้าง PromptPay QR

วันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดตัว PromptPay QR บริษัท Digio ผู้พัฒนาโซลูชั่นจุดรับจ่ายเงินก็เปิดเว็บสร้าง PromptPay QR ด้วยตัวเอง ทำให้ทุกคนสามารถสร้าง QR เพื่อรับเงินได้เลย

QR สามารถสร้างด้วยข้อมูลน้อยที่สุดคือหมายเลขพร้อมเพย์อย่างเดียว และเพิ่มข้อมูลอื่นๆ ตั้งแต่จำนวนเงิน ชื่อผู้รับ ไปจนถึงระบุประเภทร้านค้าได้ด้วย (ไม่แน่ใจว่าใช้งานตอนไหน?)

ผมทดสอบแล้วกับ PromptPay ที่ผูกกับ TMB ก็ใช้งานได้เช่นกัน ใครลองแล้วได้ผลอย่างไรลองมาเล่าสู่กันฟังได้ครับ


ข้อมูลเปิดเผย: ทาง Digio เป็นผู้สนับสนุน Blognone ด้วยการลงโฆษณาหางานใน Jobs Plus

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ผลสำรวจชี้ เด็กผู้หญิงกังวลเรื่องภาพลักษณ์บนโซเชียล คิดเปรียบเทียบคนอื่นตลอด

มีผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้โซเชียลมีเดีย อายุระหว่าง 11-21 ปี สำรวจเฉพาะผู้หญิง 1,000 คน พบว่า 35% เผยความกังวลสูงสุดของพวกเธอคือ ความรู้สึกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นบนโลกโซเชียล พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ โดยมีเพียง 12% เท่านั้นที่พ่อแม่ให้ความสนใจ

ความกังวลบนโลกออนไลน์อันดับต้นๆ คือ กังวลเรื่องถูกคุกคามจากคนแปลกหน้าบนโซเชียล (ถือเป็นเรื่องดีที่มีการระวังตัว) ที่น่าสนใจคือ พวกเธอกังวลว่าคนอื่นๆ จะมองพวกเธออย่างไรผ่านการโพสต์โซเชียล

Ruth Marvel รองประธานบริหารของ Girlguiding องค์กรการกุศลในอังกฤษ ระบุว่า พวกเธอเน้นย้ำถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นในการใช้โซเชียล พวกเธอพยายามทำตัวเองให้สมบูรณ์แบบเสมอ

Rhiannon Lambert นักโภชนาการ Harley Street ระบุว่า เด็กวัยรุ่นเปรียบเทียบสุขภาพตัวเองกับคนอื่นบนออนไลน์ด้วย พวกเขามักจะคิดว่าตัวเองไม่แข็งแรงพอ มันกลายเป็นบรรทัดฐานบนสังคมออนไลน์ไปแล้ว พวกเธอต้องการโตขึ้นเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่นในสังคมหรือ influencer และไม่แน่ใจว่าพ่อแม่ได้ตระหนักเรื่องนี้อย่างเต็มที่หรือไม่


ที่มา: Blognone

Android 8.0 Oreo เพิ่มฟีเจอร์สั่งงานปริ้นเตอร์ ไม่ต้องใช้แอปช่วย

ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 ได้ฤกษ์เปิดตัวพร้อมชื่อ “Oreo” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าสมาร์ทโฟน Android ระดับไฮเอนด์ที่จะทยอยเปิดตัวก่อนสิ้นปีนี้จะเริ่มหันมาใช้ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุดจาก Google กันค่อนข้างแน่


นอกจากการเปิดตัว Google ยังปล่อยให้ผู้สนใจได้ติดตั้ง Android 8.0 Oreo ไปทดสอบใช้งานกันเบื้องต้น หนึ่งในฟีเจอร์ที่ถูกค้นพบ คือ การเชื่อมต่อการทำงานร่วมกับปริ้นเตอร์ โดยผู้อ่านที่เห็นแบบนี้อาจรู้สึกว่าไม่เห็นแปลกและไม่ใช่เรื่องใหม่นัก แต่สิ่งที่ Android 8.0 Oreo ต้องการนำเสนอฟีเจอร์นี้ เนื่องจากเป็นตัวช่วยที่สามารถเชื่อมต่อกับปริ้นเตอร์แบบไม่อาศัยแอปจากปริ้นเตอร์นั้นๆ

การนำเสนอฟีเจอร์นี้ทาง Google ได้มีการใช้มาตรฐานการพิมพ์จาก Mopria เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและสั่งพิมพ์ไปยังปริ้นเตอร์ได้โดยตรง ซึ่งในปัจจุบันมีปริ้นเตอร์ที่ได้การรับรองมาตรฐานจาก Mopria มากกว่า 100 ล้านเครื่อง

สำหรับการใช้งานเพียงเข้าไปที่เมนู Settings  > Connected devices > Printing > Default Print Service จากนั้นผู้ใช้สามารถค้นหาปริ้นเตอร์ผ่าน Wi-Fi Direct หรือการป้อน IP address เอง


ที่มา: ARiP

วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Omnicharge เปิดตัว Power Bank ชาร์จโน๊ตบุ๊คผ่าน USB-C และเป็น Hub USB 3.0 ในตัวเดียว

ต่อจากรุ่นก่อน Omni 20 USB-C เป็น Power Bank รุ่นรองรับการชาร์จพลังงานผ่านพอร์ต USB Type-C โดยเฉพาะ ใช้ชาร์จโน๊ตบุ๊คก็ได้ และเป็น Hub USB 3.0 ก็ได้อีกด้วย


รุ่น Type-C หลังประสบความสำเร็จเมื่อปีที่แล้ว กับรุ่น Omnicharge Standard และ Omnicharge Pro เป็น Power Bank ที่มาพร้อมหัวชาร์จแบบ AC (ปลั๊กสามขา) ซึ่งจ่ายไฟได้ระดับ AC 120V หรือ 230V ทำให้ชาร์จโน๊ตบุ๊คได้สบายๆ หรือใช้จ่ายไฟทีวีก็ยังได้ และเมื่อเร็วๆ นี้ ทางผู้ผลิตได้เปิดตัวรุ่นที่ใช้หัวชาร์จเป็น USB Type-C เอาไว้ใช้กับอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่มาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) นั้นเอง !!


พบกันอีกครั้งกับ Omnicharge ผู้ผลิต Power Bank อเนกประสงค์ ที่ชาร์จอุปกรณ์ได้สารพัดนึก และชาร์จอุปกรณ์ได้หลายตัวพร้อมๆ กันด้วย ในรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ก็ใช้ชื่อว่า “Omni 20 USB-C” มาพร้อมความจุระดับ 20,100 mAh มีชิป CPU คอยควบคุมระบบ (32 bits ARM Cortex M0) ขนาดตัวเครื่องกระทัดรัด หนักแค่ 506 กรัมเท่านั้น


และมีระบบป้องกันภัยถึง 12 ชั้น หลักๆ ก็มี กันความร้อน, ลัดวงจร, จ่ายไฟเกิน, ป้องกันแรงดัน, กระแสเกิน และอีกเพียบ ส่วนตัวแบตฯ ก็ใช้ Lithium Ion Battery จำนวน 6 ก้อนซ้อนกัน (By Panasonic/LG chem/Samsung) รองรับการชาร์จได้ถึง 500 ครั้ง


พอร์ต USB-C สองช่อง ฝั่งหนึ่งจ่ายไฟออกได้ถึง 60W (รวมอีกฝั่งเป็น​ 100W) รองรับ Fast-Charging เต็มไวในไม่กี่ชั่วโมง


USB-C อีกฝั่งเป็นช่องชาร์จไฟเข้า 45W ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น ในการชาร์จไฟเข้าตัว Omni 20


พอร์ต USB-A 3.0 สองช่อง จ่ายไฟได้ 30W หรือ 5V/3A ทั้งสองช่องกันเลย


ส่วนที่พิเศษของ Omni 20 เลยคือ สามารถเป็น Hub ส่งข้อมูลผ่าน USB 3.0 X 2 และ USB-C X 1 ได้ด้วย


ชาร์จไฟไปด้วย ส่งข้อมูลไปด้วย


และสุดท้าย จอ OLED บอกสถานะทั้งหมดของตัวเครื่องแบบ Real-Time

สำหรับราคา Omni 20 USB-C เนื่องจากอยู่ในช่วง BACKERS จึงมีราคาพิเศษ แบ่งเป็น 2 แบบคือ
  • Omni 20 USB-C + Protective Case (เคสกันกระแทก) อยู่ที่ 189 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,300 บาท (จากราคาปกติ 288 เหรียญฯ หรือประมาณ 9,600 บาท)
  • Omni 20 USB-C อยู่ที่ 169 เหรียญฯ หรือประมาณ 5,700 บาท (จากราคาปกติ 249 เหรียญฯ หรือประมาณ 8,300 บาท)
เริ่มจัดส่งช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ครับ ใครสนใจ ไปดูรายละเอียดได้ที่ Omnicharge: Most Powerful Dual USB-C Power Bank

ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เพื่อการขุดโดยเฉพาะ ASUS เปิดตัวเมนบอร์ด B250 มี PCIe 18 ช่อง รองรับการ์ดจอ 16 ใบ

ASUS B250 Mining Expert เปิดตัวเมนบอร์ด ASUS B250 Mining Expert เมนบอร์ดที่ออกแบบมาเมื่อการขุดเงินดิจิตอลโดยเฉพาะ โดยตัวเมนบอร์ดเป็น PCIe x1 จำนวนถึง 18 ช่อง วางเรียงกัน สามแถว

การติดตั้งการ์ดปกติคงทำไม่ได้ แต่สำหรับเครื่องขุดเงินมักต่อสายแยกออกไปอยู่แล้วก็คงไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะติดตั้งจนเต็ม

แม้ว่าจะมี PCIe มาถึง 18 ช่องแต่ไดร์เวอร์ของทั้ง AMD และ NVIDIA รองรับการติดตั้งการ์ดจอเพียง 8 ใบต่อเครื่อง แต่สามารถติดตั้งสองยี่ห้อพร้อมกันได้ยี่ห้อละ 8 ใบรวมเป็น 16 ใบ (มีผู้ใช้บางคนระบุว่าสามารถติดตั้งได้เกินนั้น)

ก่อนหน้านี้ ASUS เคยออกสินค้าสำหรับขุดเงินมาแล้วโดยเฉพาะคือการ์ดตระกูล Mining ที่ไม่มีพอร์ตต่อจอภาพ โดยมีให้เลือกทั้ง AMD และ NVIDIA แต่การ์ดไม่มีขายทั่วไปต้องสั่งเป็นล็อตเท่านั้น ตัวเมนบอร์ดนี้ก็อาจจะไม่มีขายปลีกเช่นกัน


ที่มา: Blognone

Google Docs ปรับปรุงเรื่องเวอร์ชันของเอกสาร ตั้งชื่อเวอร์ชันได้แล้ว, แก้เป็นทีมจากมือถือได้

Google Docs, Sheets, Slides ปรับปรุงฟีเจอร์ด้านการแก้ไขเอกสารร่วมกัน (collaboration) และการควบคุมเวอร์ชันของเอกสาร (version control) ดังนี้
  • เดิมที เอกสารในกลุ่ม Docs จะถูกบันทึกการแก้ไขเป็น revision history ตามเวลา ของใหม่เราสามารถตั้งชื่อเวอร์ชันได้เอง และเปลี่ยนชื่อมาเป็น version history แทน ผู้ใช้ยังสามารถเรียกดูเฉพาะเวอร์ชันที่ถูกตั้งชื่อ เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ของเอกสารได้
  • กรณีที่เอกสารมีคนแก้กันหลายคน มี suggested edits มากจนงง เราสามารถพรีวิวดูหน้าตาเอกสารที่รับทุกการแก้ไข (accept all) หรือปฏิเสธทุกการแก้ไข (reject all) ก่อนได้ นอกจากนี้ระบบยังเพิ่มปุ่ม accept/reject all ให้ด้วย เพื่อประหยัดเวลาของคนตรวจเอกสาร
  • ผู้ใช้บน Android/iPhone/iPad สามารถ suggest changes ได้แล้ว ช่วยให้คอมเมนต์หรือแก้ไขเอกสารได้จากทุกที่

นอกจากเรื่องการควบคุมเวอร์ชันของเอกสารแล้ว Google Docs และ Sheets ยังปรับปรุงระบบเทมเพลตของเอกสาร ให้ผูกกับ add-on บางตัวได้อัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น เอกสารสัญญาที่มีผลทางกฎหมาย ที่ผูกกับบริการเซ็นชื่ออิเล็กทรอนิกส์ของ DocuSign เป็นต้น

ที่มา: Blognone

LINE เพิ่มฟีเจอร์ Live ในห้องสนทนากลุ่ม

LINE ในเวอร์ชันล่าสุด 7.9.0 ได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ โดยในกลุ่มหรือห้องสนทนาที่มีหลายคน สามารถเลือก Live เพื่อถ่ายทอดวิดีโอให้คนในห้องชมพร้อมกันได้ ซึ่ง LINE ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่น่าใช้งาน อาทิ คุยกับเพื่อนพร้อมถ่ายทอดสดการแข่งกีฬา หรือกลุ่มไลน์ครอบครัวโชว์สมาชิกใหม่

ฟีเจอร์นี้ถูกพูดถึงครั้งแรกในงาน LINE Conference ล่าสุด สำหรับการเริ่ม Live ในห้องสนทนากลุ่มนั้น ให้กดปุ่มโทรศัพท์ แล้วเลือก Live ซึ่งหน้าจอสามารถแสดงได้ทั้ง 1/8 ของจอ หรือเต็มจอ

ในแอพเวอร์ชันล่าสุดนี้ยังมีการปรับปรุงกล้องภายในแอพ โดยเพิ่มคุณสมบัติการตกแต่งภาพจากแอพ B612 เข้ามาด้วย


ที่มา: Blognone

มาแรงแซงโค้ง ธนาคารไร้สาขา Kakao Bank ในเกาหลีใต้ปล่อยเงินกู้ครัวเรือนเป็นอันดับหนึ่งในเดือนนี้

Kakao Bank ธนาคารไร้สาขาในเกาหลีใต้ที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวและเพิ่งเปิดบริการเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาปล่อยเงินกู้ภาคครัวเรือนในช่วง 11 วันแรกของเดือนสิงหาคมไปแล้วถึง 540 พันล้านวอน คิดเป็น 24.9% ของยอดรวมที่สถาบันการเงินปล่อยกู้ทั้งหมดในช่วงเดียวกัน

เงินกู้จาก Kakao Bank เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยยอดรวมนับแต่เปิดบริการมาตอนนี้ปล่อยเงินกู้ไปแล้ว 900 พันล้านวอน ดอกเบี้ยเงินกู้ของ Kakao Bank นั้นเริ่มต้นเพียง 2.86% เท่านั้น

ธนาคารไร้สาขาในเกาหลีใต้ตอนนี้มีสองธนาคารคือ K-Bank และ Kakao Bank ที่แข่งขันในแง่ดอกเบี้ยอย่างหนัก K-Bank ต้องประกาศเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากเป็น 2.1% หลังจาก Kakao Bank จ่ายดอกเบี้ย 2%


ที่มา: Blognone