วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563

รู้จัก Zoom ผู้ให้บริการ Video Conference มาแรงท่ามกลางกระแส work from home

จากการระบาดของโรค COVID-19 ทั่วโลก ทำให้กระแสการทำงานจากที่บ้าน (work from home) ถูกนำมาใช้งานมากขึ้น หลายองค์กรต้องหาวิธีและเครื่องมือเพื่อมาตอบโจทย์รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป

Zoom ผู้ให้บริการ Video Conference ที่เพิ่ง IPO เมื่อปีที่แล้ว เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่แนะนำค่อนข้างมาก ทั้งสำหรับการประชุมออนไลน์สำหรับองค์กรและการเรียนการสอนออนไลน์ แต่ทว่ายังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก

บทความนี้จะพาไปรู้จัก Zoom และ Eric Yuan ผู้ก่อตั้งและซีอีโอกัน

 

Eric Yuan จากอดีตโปรแกรมเมอร์ WebEx สู่ผู้ก่อตั้ง Zoom


Eric Yuan เกิดที่มณฑลชานตงในจีน เรียนจบ ป.ตรี และ ป.โท ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชานตง ก่อนจะย้ายมาอยู่สหรัฐ (เจ้าตัวเล่าว่ากว่าจะได้วีซ่าคือต้องขอถึง 9 ครั้ง) และทำงานกับ WebEx ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ประชุมออนไลน์ตั้งแต่ปี 1997 ก่อนถูก Cisco ซื้อในปี 2011 เขาทำงานจนเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่ายวิศวกรรม (Corporate VP of Engineering) ดูแลโซลูชัน collaboration ในองค์กร

Yuan เล่าว่า WebEx ตอนนั้นปัญหาเยอะมาก เขาพยายามแก้ปัญหาด้วยการยกเครื่อง WebEx รวมถึงเอาคลาวด์โซลูชันมาใช้งานเบื้องหลัง แต่ติดปัญหาที่ Cisco ไม่เห็นด้วย เจ้าตัวพยายามอยู่หลายปีจนยอมแพ้และลาออกในปี 2011 มาตั้งบริษัท Zoom ของตัวเอง เขาใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามที่ฝันไว้ จนสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2013

Zoom ตอนนั้นไม่ได้ต่างจากสตาร์ทอัพรายอื่นที่เกิดขึ้นในวงการ คือทำโซลูชันหรือเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้งานเจอจากบริการของบริษัทอื่น ๆ (ในที่นี้ก็คือ WebEx) โดยเฉพาะความรวดเร็วและความง่ายในการใช้งาน

Zoom ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทั้งเรื่องความเสถียร ฟีเจอร์ และความสะดวก และเติบโตมาเรื่อย ๆ ก่อนเข้าขายหุ้น IPO เมื่อปีที่แล้ว ทำให้มูลค่ากิจการขึ้นไปถึงกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ 

 

Zoom vs WebEx

 

แม้ผู้ให้บริการประชุมออนไลน์ในตลาดมีอยู่หลายเจ้า แต่ WebEx ของ Cisco มักถูกนำมาเทียบกับ Zoom โดยตรงอยู่บ่อยครั้ง

เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะบริการของ Zoom และ WebEx เป็นบริการประชุมออนไลน์แบบแยกเดี่ยว (standalone) ไม่พ่วงกับบริการอื่นแล้วขายเป็นชุดเหมือนกับ Google Hangouts หรือ Microsoft Teams/Skype

แม้จะไม่มีตัวเลขส่วนแบ่งตลาดระบบการประชุมทางไกลที่แน่ชัด แต่บริษัทวิจัยตลาดอย่าง Gartner ก็จัดให้ 2 เจ้านี้อยู่ในกลุ่มผู้นำ (Leader) บน Magic Quadrant ของ Meeting Solution (อีกรายในกลุ่มนี้คือ Microsoft)

 
ในแง่การใช้งานจริง เสียงตอบรับจากผู้ใช้งาน Zoom มักดูดีกว่าฝั่ง WebEx แม้ในแง่ฟีเจอร์จะไม่แตกต่างกันมากอย่างมีนัยสำคัญ แต่สิ่งที่ Zoom ได้รับคำชมมากกว่าคือเรื่องของ UX/UI ที่ Zoom เข้าใจได้ง่ายกว่า เริ่มใช้งานได้รวดเร็วกว่า ใช้งานได้ลื่นกว่า ความหน่วงเวลาประชุมต่ำและเสถียรกว่า WebEx

ในแง่ราคาทั้งสองเจ้าไม่แตกต่างกันมากและมีแพ็กเกจฟรีทั้งคู่ แต่ WebEx เหนือกว่าตรงที่ไม่จำกัดระยะเวลาในการประชุมในแผนฟรีแต่ Zoom จำกัดไว้ที่ 40 นาทีต่อครั้ง ส่วนแผนสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง WebEx จะถูกกว่าเล็กน้อย ส่วนระดับองค์กร (enterprise) Zoom จะถูกกว่าค่อนข้างมาก เลยเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่องค์กรใหญ่ ๆ มักเลือก Zoom มากกว่า WebEx

 

จากที่โตอยู่แล้วยิ่งโตแบบก้าวกระโดดจากไวรัส


เมื่อ work from home กลายเป็นนโยบายที่ถูกนำมาใช้งานเกือบทั่วโลกเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ Zoom ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงระดับหนึ่งอยู่แล้ว ถูกบอกต่อและแนะนำกันอย่างมาก ทั้งการใช้ทำงานและใช้สอนหนังสือ

ถ้าถามว่า Zoom โตแบบก้าวกระโดดแค่ไหนจากการแพร่ระบาดของไวรัส Bernstein Research บริษัทวิจัยตลาดเปิดเผยว่าจำนวนผู้ใช้ Zoom แบบ MAUs เพิ่มขึ้นเฉพาะปีนี้ (2 เดือนกว่า) อยู่ที่ 2.22 ล้านราย ขณะที่ปี 2019 ทั้งปี จำนวน MAUs ที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่แค่ 1.99 ล้านรายเท่านั้น (แต่หากเทียบช่วงเวลาเดียวกันหรือก็คือช่วงต้นปีที่แล้ว MAUs ที่เพิ่มขึ้นมีแค่ 6.4 แสนคนเท่านั้น) ทำให้ตอนนี้ Zoom มี MAUs เฉลี่ยอยู่ที่ 12.92 ล้านคนแล้ว

ถึงแม้จำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใช้ฟรี แต่นักวิเคราะห์ก็เชื่อว่า Zoom สามารถเปลี่ยนผู้ใช้ฟรีเหล่านี้ให้มาเป็นผู้ใช้งานแบบเสียเงินได้ไม่น้อย ด้านราคาหุ้นของ Zoom เมื่อเดือนที่แล้วพุ่งขึ้นถึง 40% จาก 76.30 ดอลลาร์เมื่อสิ้นเดือนมกราคมไปจบที่ 105 ดอลลาร์ตอนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนตอนนี้อยู่ที่ราว 107 ดอลลาร์

 
ที่มา: Blognone

TensorFlow ออกใบรับรองนักพัฒนา สอบออนไลน์ 5 ชั่วโมง ค่าสอบ 100 ดอลลาร์

โครงการ TensorFlow เปิดตัว TensorFlow Developer Certificate ใบรับรองความสามารถของนักพัฒนาว่าสามารถทำงานกับโมเดลแบบต่างๆ ได้ครอบคลุม

นักพัฒนาที่จะสอบผ่านใบรับรองได้ต้องผ่านการทดสอบ 5 หมวดได้แก่ การสร้างโมเดลพื้นฐาน, การสร้างโมเดลจากชุดข้อมูล, โมเดล convolutional neural network (CNN) สำหรับการวิเคราะห์ภาพ, การทำ NLP จัดหมวดหมู่ข้อความ, และการสร้างโมเดลแบบ sequence เพื่อวิเคราะห์ชุดข้อมูลตัวเลข

กระบวนการสอบเป็นการสอบออนไลน์ โดยต้องติดตั้ง PyChard IDE และติดตั้งปลั๊กอินสำหรับการสอบ จากนั้นล็อกอินเข้าไปสอบโดยมีเวลาทำข้อสอบ 5 ชั่วโมง สำหรับการเตรียมสอบทาง TensorFlow แนะนำให้ลงเรียนวิชา TensorFlow in Practice 

ค่าสอบ 100 ดอลลาร์ สมัครได้แล้ววันนี้



ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2563

ร้านค้าไร้แคชเชียร์ที่ใช้เทคโนโลยี Just Walk Out ของ Amazon เตรียมเปิดสาขาแรกในเดือนนี้ที่สนามบิน Newark

Just Walk Out หรือ Amazon Go ที่ Amazon แปลงเป็นเทคโนโลยีและออกขายให้ร้านค้าปลีกทั่วไปกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว โดยครั้งนี้คือ Amazon ได้ตกลงกับ OTG เพื่อนำเทคโนโลยีร้านค้าไม่มีแคชเชียร์มาให้บริการที่สนามบิน

ร้านค้าแห่งแรกที่ใช้เทคโนโลยี Just Walk Out นี้คือ CIBO Express Gourmet Market สาขา Newark Liberty International Airport Terminal C ในรัฐนิวเจอร์ซี กำหนดเปิดร้านในวันที่ 16 มีนาคมนี้ ซึ่งตามแผนของ OTG จะทยอยนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับร้านค้าเชน CIBO Express Gourmet Market สาขาอื่นๆ ต่อไป

ปัจจุบัน OTG ดำเนินกิจการร้านค้าภายใต้แบรนด์ CIBO Express กว่า 100 แห่งในสนามบินขนาดใหญ่กว่า 10 แห่งทั่วอเมริกาเหนือ ซึ่งมีทั้ง JFK ในนิวยอร์ก, George Bush Intercontinental ใน Houston และ Pearson International ใน Toronto

Just Walk Out จะให้ประสบการณ์เหมือนช้อปปิ้งที่ Amazon Go โดยสิ่งที่แตกต่างออกไปคือลูกค้าไม่ต้องติดตั้งแอป Amazon Go บนมือถือ เพียงแค่เสียบบัตรเครดิตตรงประตูทางเข้าและเดินเข้าไปในร้านได้เลย จากนั้นก็ไปหยิบสินค้าในร้านและเดินออกมาโดยไม่ต้องต่อแถวจ่ายเงิน ระบบจะคิดเงินลูกค้าและเรียกเก็บบิลผ่านบัตรเครดิตให้อัตโนมัติ

เนื่องจากร้านค้านี้ Amazon ไม่ได้ดำเนินกิจการเอง แต่เป็นการขายเทคโนโลยีให้บริษัทอื่น ดังนั้นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึง Amazon จะมีเพียงป้ายที่ประตูทางเข้าที่เขียนว่า Just Walk Out technology by Amazon เท่านั้น


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2563

Xiaomi วางจำหน่ายเครื่องล้างจานอัจฉริยะ สั่งงานได้ด้วยเสียง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย


นอกจากหม้อหุ้งข้าวลดน้ำตาลได้ 44% แล้ว Mijia, แบรนด์ลูกของ Xiaomi ก็ได้เปิดตัวที่ล้างจานอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่สามารถสั่งงานได้ด้วยเสียง แถมยังฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย

เครื่องล้างจานอัจฉริยะ Mijia Internet DishWasher (VDW0401M) ออกแบบมาในทรงสี่เหลี่ยม ขนาดกระทัดรัด กว้าง 442 มิลลิเมตร ลึก 419 มิลลิเมตร และสูง 461.5 มิลลิเมตร หนัก 12.5 กิโลกรัม ซึ่งเหมาะกับการวางบนเคาน์เตอร์ในห้องครัวเป็นอย่างมาก (วางที่อื่นก็จะยังไงอยู่) ด้านบนของตัวเครื่องมีหน้าจอ LED สำหรับตรวจสอบสถานะและสั่งใช้งานเครื่องได้



ระบบ Dual Cleaning System


Xiaomi Internet DishWasher มาพร้อมกับระบบฆ่าเชื้อที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99.99% ซึ่งผู้ใช้งานสามารถใช้เจ้าเครื่องนี้ในการล้างจาน ฆ่าเชื้อ และอบแห้งได้ด้วย ตัวเครื่องสามารถใส่ภาชนะได้ทั้งหมด 32 ชิ้น


เครื่องล้างจานมีโหมดล้างทั้งหมด 6 แบบ เช่น โหมดล้างเร็วที่สุดจะใช้เวลา 28 นาที ด้วยน้ำร้อน 55 องศาเซลเซียส ส่วนโหมดล้างแบบสะอาดพิเศษจะใช้น้ำร้อนถึง 75 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถค่าเชื้อแบคทีเรียได้กว่า 99.9% โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ผ่านบนหน้าจอของเครื่อง หรือสามารถเลือกได้ผ่านแอปพลิเคชัน

Mijia Internet DishWasher (VDW0401M) อยู่ในช่วงระดมทุน สนนราคาอยู่ที่ 999 หยวน หรือประมาณ 4,500 บาท แต่หากพ้นช่วงระดมทุนไปแล้ว ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็น $389.99 แทน


ที่มา: Beartai

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2563

Raspberry Pi ประกาศลดราคา Pi 4 รุ่นแรม 2GB เหลือ 35 ดอลลาร์เท่า 1GB

Raspberry Pi ประกาศลดราคา Raspberry Pi 4 รุ่นแรม 2GB จาก 45 ดอลลาร์เหลือ 35 ดอลลาร์ ทำให้ราคาเท่ากับรุ่นล่างสุดแรม 1GB

นโยบายราคาของ Raspberry Pi คือการคงราคาเริ่มต้น 35 ดอลลาร์เอาไว้ สำหรับ Model B ที่เป็นรุ่นยอดนิยม และเริ่มต้น 25 ดอลลาร์สำหรับ Model A โดยราคานี้ไม่เปลี่ยนแปลงนับแต่โครงการเปิดตัวในปี 2012 ซึ่งหากคิดเงินเฟ้อ 35 ดอลลาร์ในตอนเริ่มโครงการจะเท่ากับ 40 ดอลลาร์ในวันนี้แล้ว

สำหรับรุ่น 1GB จะยังมีขายต่อไปสำหรับงานด้านอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ แต่สำหรับคนใช้ทั่วไปไม่มีประโยชน์ที่จะสั่งรุ่นนี้มาใช้งานแล้ว ส่วนรุ่นแรม 4GB ยังคงราคา 55 ดอลลาร์เท่าเดิมไม่ลดราคาเช่นกัน


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

Google เริ่มส่งแจ้งเตือน ง้อผู้ใช้ Edge Chromium ให้กลับมาใช้ Google Chrome

Google ส่งการแจ้งเตือนไปยังหน้าเว็บไซต์บริการต่างๆ ของ Google เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้กลับมาใช้ Google Chrome


หลังจากที่ Edge Chromium ของ Microsoft เปิดตัวไปได้ไม่นาน ก็ได้รับคำชมจากผู้ใช้งานมากมาย ในด้านของแรมที่กินน้อยกว่า Google Chrome จนทำให้ผู้ใช้หลายคน ผันตัวไปใช้ Edge กันมากขึ้น

ล่าสุด Google ส่งการแจ้งเตือนไปยังหน้าเว็บไซต์บริการต่างๆ ของ Google เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้กลับมาใช้ Google Chrome ตรงข้ามกับเมื่อก่อนที่ผู้ใช้อาจจะใช้ Google Chrome เป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีแจ้งเตือนในตอนเปลี่ยนบราวเซอร์เริ่มต้นของ Windows ให้กลับไปลองใช้ Edge ก่อน


บริการที่ Google ได้ส่งแจ้งเตือนไปนั้น เช่น Google Search, Google Docs, Google Translate และ Google News เป็นต้น โดยจะขึ้นเป็นพอปอัปเล็กๆ ด้านขวาบนของเว็บไซต์ แสดงข้อความโน้มน้าว ข้อดีของ Google Chrome เช่น การใช้ Docs แบบ offline และส่วนขยาย Google Translate ที่มีมาให้แล้ว

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

รายงานเผยอายุงานเฉลี่ยของ CISO อยู่ที่ 26 เดือน เหตุจากเครียดและภาวะ Burnout

Nominet ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยของ Internet และ DNS ได้จัดทำรายงานฉบับหนึ่งเกี่ยวกับภาวะความเครียดของ CISO จากหลายภาคธุรกิจในอเมริกาและสหราชอาณาจักรฯ กว่า 800 คน พบว่าค่าเฉลี่ยอายุงานก่อนหางานใหม่อยู่ที่ 26 เดือนเท่านั้น


รายงานเผยผลลัพธ์ของ CISO ที่น่าสนใจดังนี้
  • 88% มีความเครียดระดับปานกลางถึงสูงมาก
  • 48% พบว่าความเครียดได้ส่งผลต่อสุขภาพ
  • 40% พบว่าความเครียดได้ส่งผลต่อสถานะความสัมพันธ์ต่อคู่ครองหรือลูก
  • 32% พบว่าความเครียดได้ส่งผลด้านลบกับสถานะสมรส หรือความสัมพันธ์ต่อคู่รัก รวมถึงความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง
  • 23% หันไปพึ่งพาการรักษาทางการแพทย์หรือใช้แอลกอฮอล์
โดย Nominet ชี้ในรายงานว่า แม้ปัญหาอาจไม่ได้ดูหนักถึงขีดสุดแต่ CISO หลายคนก็ต้องทำงานหนัก พลาดการไปเที่ยววันหยุด หรือเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ แม้กระทั่งการลาพักร้อน หรือการไปพบแพทย์เพื่อดูแลรักษาร่างกายและจิตใจ

ทั้งนี้ความเครียดของ CISO หลายท่านเกิดจากโดนบอร์ดบริหารกดดัน ที่ไม่เข้าใจว่า Breach นั้นอาจเกิดขึ้นได้ และพวกเขาถูกจ้างมาเพื่อการนี้ นอกจากนี้กว่า 29% เผยว่าพวกเขาคงโดนไล่ออกหากเกิด Breach ดังนั้นไม่น่าแปลกใจหากรายงานพบว่าผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยการรับตำแหน่งที่ 26 เดือน และกว่า 90% ยินดีถูกตัดเงินเดือนหากจะช่วยให้พวกเขาสามารถสร้าง Work-life-balance ได้บ้าง

ที่มา: TechTalk

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

นักพัฒนาสาย Java ย้ายไปใช้ OpenJDK มากขึ้น, Kotlin เริ่มนิยม, IntelliJ คือ IDE ยอดฮิต

Snyk บริษัทด้านค้นหาช่องโหว่ของซอร์สโค้ด ออกรายงานสำรวจข้อมูลของนักพัฒนาซอฟต์แวร์สาย Java จำนวนประมาณ 2,000 คน ประจำปี 2020 มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

ภาษา Kotlin ได้รับความนิยมสูงขึ้นมาก ถึงแม้นักพัฒนา 86.9% ยังเขียนภาษา Java เป็นหลัก แต่ Kotlin ก็เติบโตจาก 2.4% เมื่อปีก่อนมาเป็น 5.5% และกลายเป็นภาษายอดนิยมอันดับสอง เหนือกว่า Clojure หรือ Scala แล้ว - อ้างอิง 
นักพัฒนาจำนวนมากเริ่มย้ายหนีจาก Oracle JDK ที่เก็บเงิน ไปใช้ OpenJDK แทน โดยปีก่อนมีคนใช้ Oracle JDK 70% แต่ปีนี้ลดเหลือเพียง 34% - อ้างอิง
Java เวอร์ชันที่ได้รับความนิยมสูงสุดยังเป็น Java 8 ที่ส่วนแบ่ง 64% ตามด้วย Java 11 ที่ 25% ส่วนเหตุผลหลักที่ยังไม่ย้ายคือยังโอเคกับ Java 8 อยู่ (51%) ตามด้วยต้นทุนในการย้ายเวอร์ชันเยอะเกินไป (32%)

ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ (55%) บอกว่าจะเลือกใช้ Java ที่เป็นรุ่นซัพพอร์ตระยะยาว (LTS) เท่านั้น มีเพียง 11% ที่บอกว่าจะใช้ Java เวอร์ชันล่าสุดเสมอ - อ้างอิง
IDE ที่นักพัฒนาสาย Java ใช้กันเยอะที่สุด IntelliJ IDEA นำแบบทิ้งห่างที่ 62% (นับทั้งตัวฟรีและเสียเงิน) ตามด้วย Eclipse IDE (20%), NetBeans (10%) ถ้าดูจากกราฟแสดงความนิยม จะเห็นว่า Eclipse ร่วงลงอย่างมาก ในขณะที่ IntelliJ เติบโตพุ่งขึ้นแบบสวนทาง - อ้างอิง
ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

มาสักที DoubleTake แอปฟรีทำ iPhone ถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้า-หลังได้พร้อมกัน!


สำหรับใครที่ซื้อ iPhone 11 Pro Max มาเพื่อรอแอปถ่ายคลิป 2 กล้องพร้อมกันที่ได้ถูกโชว์ความสามารถในงาน Apple Event เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2019 ที่ผ่านมา ในที่สุด FiLMiC ก็ได้เปิดตัวแอป DoubleTake ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ในช่องทาง AppStore มาดูกันว่าแอปนี้มีความสามารถอะไรที่น่าสนใจบ้าง

DoubleTake by FiLMic Pro


แอป DoubleTake by FiLMic Pro ตัวนี้เป็นแอปที่จะทำให้คุณสามารถถ่ายวิดีโอ 2 กล้องพร้อมกัน โดยสามารถเลือกได้ว่าจะเอากล้องเลนส์ปกติ เลนส์มุมกว้าง เลนส์เทเล หรือกล้องหน้า เพื่อถ่ายทำออกมาแบบพร้อมกัน และหลังจากเลือกกล้องแล้ว แอปก็ยังสามารถเลือกได้อีกว่าจะถ่ายในรูปแบบไหนเช่น ถ่ายแบบเก็บภาพเต็มทั้ง 2 กล้องเอาไว้สำหรับตัดต่อทำ Post Production ได้ง่ายหรือจะถ่ายแบบแบ่งมุมมองจอใหญ่, จอเล็ก (PiP) หรือแบ่งแบบ Split เพื่อลดขั้นตอนการตัดต่อก็ทำได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีโหมดให้เลือกอีกว่าเฟรมเรตเท่าไหร่ตั้งแต่ 24 FPS 25 FPS ไปจนถึง 30 FPS บนความละเอียด 1080p (ปัจจุบันยังไม่สามารถปรับความละเอียดได้)

และแน่นอนว่าแอปนี้ ฟรี!! สำหรับใครที่ใช้ iPhone XR/XS/XS Max หรือ iPhone 11/11 Pro/11 Pro Max ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ iOS 13 ก็โหลดได้ง่ายๆ ผ่าน AppStore หรือจิ้มที่ด้านล่างนี้ได้เลย

ที่มา: Beartai

ยังมกราอยู่เลย กูเกิลเสนอ Meena ปัญญาประดิษฐ์คุยเหมือนคน เล่นมุกแป้กได้ด้วย

กูเกิลเผยแพร่รายงานวิจัยการพัฒนาแชตบอทที่เหมือนมนุษย์โดยไม่ระบุหัวข้อ (Towards a Human-like Open-Domain Chatbot) ที่นำเสนอปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Meena เป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ 2.6 พันล้านพารามิเตอร์ ฝึกด้วยชุดข้อมูลขนาด 341 กิกะไบต์ เพื่อให้ได้แชตบอตที่คุยเรื่องอะไรก็ได้ (open domain)

Meena คือปัญญาประดิษฐ์ที่อ่านข้อความก่อนหน้า แล้วพยายามคาดเดาประโยคที่ควรตอบกลับถัดไป ภายในของ Meena เป็นบล็อคปัญญาประดิษฐ์สถาปัตยกรรม Evolved Transformer ที่กูเกิลเสนอไว้เมื่อปีที่แล้ว แบ่งเป็นบล็อค encoder หนึ่งบล็อค และบล็อค decoder อีก 13 ชั้น ด้วยความที่พารามิเตอร์มีจำนวนมากทำให้ Meena มีความสามารถสูง

บทสนทนาระหว่าง Meena และมนุษย์ที่ Meena เล่นมุกตลก

ข้อมูลที่ใช้ฝึก Meena เป็นข้อมูลที่กวาดมาจากเว็บสังคมออนไลน์ทั้งหลายที่มีการโต้ตอบกันในโพสสาธารณะ ปริมาณ 341 กิกะไบต์ หากเทียบกับ GPT-2 ของ OpenAI นั้นมีขนาด 1.5 พันล้านพารามิเตอร์ และฝึกด้วยข้อมูลขนาด 40 กิกะไบต์ก็นับว่า Meena ใหญ่กว่ามาก ทีมงานกูเกิลไม่ได้เ้ทียบกับ GPT-2 ตรงๆ แต่ไปเทียบกับ DialoGPT ที่ไมโครซอฟท์นำ GPT-2 มาพัฒนาต่อเป็นแชตบอต


เกณฑ์การเปรียบเทียบปัญญาประดิษฐ์ที่คุยเรื่องอะไรก็ได้เช่นนี้ยังไม่มีมาตรฐานกลางนัก กูเกิลนำเสนอมาตรวัดใหม่ที่ชื่อว่า Sensibleness and Specificity Average (SSA) วัดความสมเหตุสมผล (sensible) โดยใช้คนจำนวนมากนับพันคนมามองแชตโต้ตอบระหว่างคนและแชตบอตจำนวน 100 บทสนทนา และเลือกว่าบทสนทนานี้สมเหตุสมผลหรือไม่ ผลที่ได้คือ Meena นั้นมีบทสนทนาที่สมเหตุสมผลถึง 79% เริ่มใกล้เคียงกับคนที่แชตกันจริงๆ ที่ได้คะแนน 86% ส่วนแชตบอตอื่นๆ นั้นได้คะแนนสูงสุด 56% เท่านั้น

การใช้ SSA มีปัญหาคือไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์มาวัดโดยอัตโนมัติได้ แต่กูเกิลพบว่าการวัด perplexity (ความงุนงง) ที่วัดความไม่แน่นอนของโมเดลภาษามีค่าสัมพันธ์กับค่า SSA อย่างมาก (R2=0.93) โดยทีมงานวัดค่า SSA ของโมเดล Meena จำนวน 8 รุ่นระหว่างการพัฒนา มาเทียบกับค่า perplexity จึงเห็นความสัมพันธ์นี้ ทำให้เป็นไปได้ว่าเราสามารถตั้งเป้าหมายลด perplexity ของโมเดลปัญญาประดิษฐ์โดยอัตโนมัติ ก่อนจะใช้วัด SSA ซึ่งต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากและมีค่าใช้จ่ายสูงในภายหลัง

กูเกิลไม่เปิดเผยโมเดลของ Meena ออกสู่สาธารณะเนื่องจากกังวลว่าอาจจะมีความเสี่ยง แต่กำลังพิจารณาว่าจะเปิดเผยออกมาหรือไม่ในอนาคต

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

Nutanix เผยผลสำรวจองค์กรกว่า 73% ย้ายแอปจากพับลิกคลาวด์กลับ on-premise

Nutanix เปิดเผยผลสำรวจดัชนีการใช้งานคลาวด์องค์กร (Enterprise Cloud Index) โดยสำรวจผู้มีอำนาจด้านไอที 2,650 รายทั่วโลก ในประเด็นการใช้งานแอปทางธุรกิจบนระบบใดในปัจจุบัน, แผนในอนาคตและลำดับความสำคัญไปจนถึงความท้าทายในการใช้งานคลาวด์ ซึ่งมีทั้งรายงานทั่วโลกและเฉพาะของประเทศไทย

ส่วนข้อมูลทั่วโลกที่น่าสนใจคือ ผู้ตอบสำรวจกว่า 73% ระบุว่าได้ย้ายแอปพลิเคชันของตัวเองกลับจากพับลิกคลาวด์มายัง on-premise สาเหตุสำคัญคือเรื่องของค่าใช้จ่าย ที่ควบคุมไม่ได้และ/หรือมากเกินกว่าที่ประเมินไว้ ขณะที่ 85% ของผู้ตอบระบุว่าไฮบริดคลาวด์คือสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุด (ideal) และ 60% ระบุว่าความปลอดภัยคือปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการใช้งานคลาวด์


ขณะที่ผลสำรวจของประเทศไทยก็เห็นแนวโน้มแบบเดียวกัน ที่ผู้ตอบกว่า 52% ระบุว่าจะเปลี่ยนไปใช้งานไฮบริดคลาวด์ภายใน 3-5 ปี แม้ตอนนี้จะมีเพียง 15% ของผู้ตอบแบบสำรวจเท่านั้นที่ใช้ไฮบริด โดยดาต้าเซ็นเตอร์ยังมีสัดส่วนการใช้งานเยอะที่สุดที่ 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจ

ที่น่าสนใจคือ คุณสมบัติของคลาวด์ที่บ้านเราให้ความสำคัญสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกและเอเชียแปซิฟิกคือเรื่อง ความสามารถในการสเกลเพื่อรองรับทราฟฟิคที่สูงในบางช่วงเวลา อย่างไรก็ตามประเด็นที่บ้านเราไม่ให้ความสำคัญคือเรื่อง vendor lock-in ขณะที่ระบบความปลอดภัย การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้านไอที และเรื่องกฎระเบียบเป็นความกังวลระดับต้นๆ ของบริษัทในไทย ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับแนวโน้มทั่วโลก

หากสนใจสามารถดู Enterprise Cloud Index


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

เผยกลเม็ด Phishing ใหม่ของคนร้ายกับบริการ Citibank

MalwareHunter ได้เปิดเผยมุขใหม่ของคนร้ายที่ทำ Phishing หวังเล่นงานเหยื่อที่ใช้บริการของ Citibank ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องติดตามพฤติกรรมเช่นนี้ให้ไม่ตกเป็นเหยื่อครับ

credit : BleepingComputer

แม้ว่าจะไม่ทราบวิธีการนำเสนอหน้า Phishing สู่เหยื่อว่าอาจเป็นทางอีเมล, SMS หรือช่องทางอื่นๆ แต่จากการวิเคราะห์หน้าเพจ Phishing ที่ชื่อ update-citi.com (รูปประกอบด้านบน) พบขั้นตอนดังนี้
  • คนร้ายได้ใช้ TLS Certificate ทำให้ขึ้นรูปกูญแจเสมือนว่าเป็นเว็บจริง ซึ่งอันที่จริงแล้วมีค่าแค่ว่าเว็บนี้เข้ารหัสเท่านั้น แต่ถ้าผู้ใช้งานสังเกตก็สามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดของ Certificate ได้
  • คนร้ายมีหน้าร้องขอข้อมูลหลายแบบโดยขอข้อมูล เช่น ชื่อ-นามสกุล วันเกิด ที่อยู่ เลข 4 หลักของเลขประกันสังคม และข้อมูลบัตรทางการเงิน
  • ข้อมูลที่ได้มาจะถูกส่งไปหาเซิร์ฟเวอร์ของคนร้ายและทำทีเหมือนกำลัง Submit
  • คนร้ายใช้ข้อมูลจริงที่ได้ไปล็อกอินเว็บจริงของธนาคาร ซึ่งหากมีการป้องกันแบบ 2-factors ผู้ใช้งานจะได้รับ OTP จริงจากธนาคาร
  • เพจปลอมร้องขอ OTP เพื่อไปใช้เข้ายึดบัญชีหรือทำกิจกรรมอันตรายได้อย่างสมบูรณ์
  • Redirect เหยื่อไปยังหน้าจริงของธนาคารและทิ้งไว้กลางทางอย่างงงๆ
credit : BleepingComputer

จะเห็นได้ว่าคนร้ายได้ใช้ทั้ง Certificate และร้องขอ OTP จากเซิร์ฟเวอร์จริงด้วยซ้ำ หากใครไม่ระวังก็จะถูกแฮ็กบัญชีได้ อย่างไรก็ตามผู้ใช้งานยังสามารถป้องกันตัวเองได้จากการเข้าลิงก์ที่มาจากธนาคารโดยตรงครับ

ที่มา: TechTalk

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562

บริษัท AI เผยการทดสอบ ใช้หน้ากาก 3 มิติหลอกระบบ Face Recognition ได้

การใช้รูปหรือตัวปลอมหลอกระบบ Facial Recognition เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในแง่ความปลอดภัยและความน่าไว้วางใจของเทคโนโลยี ล่าสุด Kneron บริษัทที่พัฒนา AI ได้ทดสอบหลอกระบบ Facial Recognition ที่ถูกใช้งานในที่สาธารณะด้วยหน้ากาก 3 มิติที่พิมพ์หน้าบุคคลอื่นไว้

นักวิจัยทดสอบทั้งระบบตรวจคนเข้าเมืองในสนามบิน Schiphol กรุงอัมสเตอร์ดัม และระบบจ่ายเงินด้วยใบหน้าของทั้ง Alipay และ WeChat ในจีน ซึ่งทุกระบบถูกหลอกได้ด้วยหน้ากาก 3 มิติที่นักวิจัยพิมพ์มา และแน่นอนว่าการทดสอบทั้งหมดได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่แล้ว นักวิจัยก็ย้ำด้วยว่าการมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลบริเวณระบบตรวจสอบน่าจะช่วยป้องกันการใช้หน้ากากแบบนี้ได้

อย่างไรก็ตามระบบสแกนใบหน้าของแอปเปิลอย่าง Face ID หรือของ Huawei กลับผ่านการทดสอบนี้ (ไม่ถูกหลอก) เพราะใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Structured Light Imaging ในการเก็บรูปใบหน้าแบบ 3 มิติด้วยการอาศัยแพทเทิร์นของแสงที่กระทบ


ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Microsoft เผย 3 เทคนิค Phishing อันแนบเนียนที่ควรพึงระวัง

Microsoft ได้ออกรายงานแนวโน้มภัยคุกคามและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นในปี 2019 ระบุว่า Phishing เป็นหนึ่งในไม่กี่รูปแบบการโจมตีที่ยังคงพบบ่อยมากขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ในขณะที่ Ransomware, Crypto-mining และมัลแวร์รูปแบบอื่นๆ เริ่มพบน้อยลง


ล่าสุด Microsoft ได้ออกมาเปิดเผยถึง 3 เทคนิคการโจมตีแบบ Phishing อันชาญฉลาดและมีความแนบเนียนซึ่งมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ดังนี้

1. ป่วนผลการค้นหาของ Search Engine


Phishing แบบแรกนี้อาศัยการโจมตีหลายขั้นตอนเพื่อป่วนผลการค้นหาของ Google ดังนี้
  • แฮ็กเกอร์รวมทราฟฟิกที่ไฮแจ็กมาจากเว็บไซต์ปกติทั่วไปมายังเว็บไซต์ที่ตนเองดูแลอยู่
  • เว็บไซต์นั้นๆ กลายเป็นผลลัพธ์ของการค้นหาที่อยู่บนสุดของ Google สำหรับคีย์เวิร์ดบางอย่าง
  • แฮ็กเกอร์ส่งอีเมลไปยังเหยื่อพร้อมกับลิงค์ที่เชื่อมโยงไปยังการค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นๆ บน Google
  • ถ้าเหยื่อคลิกลิงค์การค้นหาคีย์เวิร์ดที่ส่งมา และเลือกเว็บไซต์บนสุด จะกลายเป็นการเข้าถึงเว็บไซต์ที่แฮ็กเกอร์ควบคุมอยู่
  • เว็บไซต์ดังกล่าวจะเปลี่ยนเส้นทางของเหยื่อไปยังเว็บ Phishing
Microsoft ยังระบุอีกว่า การป่วนผลลัพธ์การค้นหาของ Google ให้ขึ้นไปติดอันดับบนสุดนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าใช้คีย์เวิร์ดแปลกๆ ที่ไม่มีคนค้นหากัน เช่น “hOJoXatrCPy.” นอกจากนี้ แฮ็กเกอร์ยังพรางการโจมตีโดยใช้การค้นหาตามสถานที่อีกด้วย เช่น จะแสดงผลเว็บ Phishing ก็ต่อเมื่อคลิกลิงค์ค้นหาคียเวิร์ดในทวีปยุโรปเท่านั้น เป็นต้น



2. ใช้ประโยชน์จากหน้า 404 Page Not Found


อีเมล Phishing มักมาพร้อมกับ Phishing URL สำหรับหลอกเหยื่อให้ตกหลุบพราง แต่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Microsoft ได้ตรวจพบแคมเปญ Phishing ที่แนบลิงค์ที่ชี้ไปยังเว็บเพจที่ไม่มีอยู่จริง เมื่อระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยของ Microsoft สแกนลิงค์ดังกล่าว จะได้รับการคืนค่าเป็น 404 Page Not Found ส่งผลให้ระบบจำแนกว่าลิงค์นั้นเป็นลิงค์ที่มีความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ถ้าเหยื่อ (ที่เป็นผู้ใช้จริงๆ ) เข้าถึง URL นั้นๆ เว็บ Phishing จะปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้า Phishing แทนที่จะเป็นหน้า 404 Page Not Found


3. Phishing แบบ Man-in-the-Middle


Microsoft ระบุว่า Phishing รูปแบบนี้เป็นการยกระดับการปลอมตัวไปอีกขั้น โดยแทนที่แฮ็กเกอร์จะคัดลอกองค์ประกอบต่างๆ จากเว็บไซต์ต้นฉบับที่ต้องการปลอม กลายเป็นมีคนกลาง (Man-in-the-Middle) ทำการดักจับข้อมูลของบริษัทที่ต้องการจะปลอม เช่น โลโก้, แบนเนอร์, ข้อความ และภาพพื้นหลัง จาก Rendering Site ของ Microsoft แทน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้แทบจะเหมือนกับการเข้าเว็บไซต์ต้นฉบับทุกประการ เพิ่มความแนบเนียนได้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ยังคงมีช่องโหว่ตรง URL ที่ยังคงเป็นของเว็บ Phishing ทำให้เหยื่อสามารถตรวจจับและหลีกเลี่ยงได้ถ้าระมัดระวังเพียงพอ

ที่มา: TechTalk

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

รู้จัก LINE Brain โครงการพัฒนาเทคโนโลยี AI ของ LINE, สร้างฟอนต์เลียนแบบลายมือเราได้

ในยุคที่บริษัทไอทีทุกแห่งหันมาทำเรื่อง AI กันอย่างจริงจัง โฟกัสคงไปอยู่ที่บริษัทฝั่งอเมริกัน-จีนเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว LINE ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีฝั่งเอเชีย (ลูกผสมเกาหลี-ญี่ปุ่น) ก็มีโครงการด้าน AI อย่างจริงจัง โดยใช้ชื่อว่า LINE Brain

ตัวอย่างผลงานของ LINE Brain ที่เปิดให้ใช้กันแล้วคือ ฟีเจอร์ OCR แปลงรูปเป็นข้อความ พร้อมแปลภาษาให้ในตัว แต่ LINE ยังมีงานวิจัยด้านอื่นๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีด้านเสียง วิดีโอ รูปภาพ ภาษา วิเคราะห์ใบหน้า

ในงาน LINE Developer Day 2019 มีเดโมของเทคโนโลยีบางตัวมาโชว์ให้ดูกัน


ตัวอย่างงานด้าน AI ของ LINE คือฟีเจอร์ Smart Channel ที่เป็นการ "แนะนำข้อมูล" ด้านบนสุดของหน้ารวมแชท (บ้านเรายังเป็นข่าวจาก LINE Today แต่ในญี่ปุ่นมีมากกว่านั้น เช่น สภาพอากาศ) ตรงนี้ใช้ระบบ recommendation engine ที่เกิดจากการทำ machine learning ทั้งฝั่งความสนใจของผู้ใช้ และรูปแบบของตัวคอนเทนต์ในระบบ แล้วค่อยมา match กัน


งานด้าน OCR เป็นสิ่งที่ทีม LINE Brain ให้ความสำคัญมาก โดยนำเดโมการใช้กล้องมือถืออ่านป้ายข้อความในโลกความเป็นจริง (ส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่น จากกลางเมืองโอซาก้า) และได้ความแม่นยำสูง เทคโนโลยีของ LINE คุยว่าแม่นยำกว่า Google Vision API ด้วยซ้ำ


เดโมอีกอันที่ LINE นำมาโชว์บนเวทีคือ การอ่านลายมือของมนุษย์ เรียนรู้แล้วสามารถเขียนลายมือแทนเราได้เลย (เหมาะกับการคัดข้อความส่งการบ้านมากๆ) ในเดโมบนเวทีนำเครื่องจักรมาจับปากกา แล้วเขียนลายมือให้ดูกันสดๆ ด้วย


เดโมอีกอันเป็นเรื่องเสียงพูด โดยมี LINE Duet บ็อตสำหรับคุยโทรศัพท์จองร้านอาหาร (เป็นภาษาญี่ปุ่น) ลักษณะคล้ายกับ Google Duplex เดี๋ยวเขียนเป็นข่าวแยกอีกอันครับ

สุดท้าย LINE ระบุว่าจะเปิดเทคโนโลยี AI ของทีม LINE Brain ให้บริษัทอื่นๆ ใช้งานด้วย (ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้) ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่ LINE หันมาทำธุรกิจแบบ B2B นอกจากการให้บริการกับคอนซูเมอร์โดยตรง ด้วยเหตุผลว่างานด้าน AI ยังใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ฝั่งคอนซูเมอร์ต้องใช้เวลานาน เพราะลูกค้าคอนซูเมอร์ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองมากนักว่าอยากได้ผลิตภัณฑ์แบบไหน ต่างกับฝั่งลูกค้าองค์กรที่มี requirement ชัดเจน ทำให้ LINE เองก็เรียนรู้ไปด้วยว่าเทคโนโลยี AI มีจุดอ่อนยังไง เพื่อให้ปรับปรุงได้เร็วขึ้น


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

IBM รายงานการใช้แมคในบริษัทเทียบกับ Windows พนักงานลาออกน้อยกว่า 17%, ผลประเมินพนักงานดีกว่า 22%

ไอบีเอ็มรายงานผลการใช้เครื่องแมคในบริษัทที่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2015 และหลังจากนั้นก็รายงานว่าค่าใช้จ่ายถูกลง ตอนนี้รายงานระยะยาวก็แสดงให้เห็นแนวโน้มการประหยัดค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน

ประเด็นที่น่าประหลาดใจคือ ไอบีเอ็มติดตามประสิทธิภาพการทำงานพนักงานโดยรวม พบว่าพนักงานที่ได้รับผลประเมินเกินคาดหวัง (exceed expectations) ฝั่งที่ใช้แมคนั้นสูงกว่าวินโดวส์ถึง 22%, ยอดขายเฉลี่ยของพนักงานใช้แมคดีกว่า 16%, และอัตราการลาออกของพนักงานใช้แมคต่ำกว่าวินโดวส์ 17%

ในแง่ของการซัพพอร์ต ไอบีเอ็มใช้วิศวกรซัพพอร์ต 7 คนต่ออุปกรณ์แมค 200,000 ชิ้น ขณะที่วินโดวส์ใช้ 20 คน กระบวนการอัพเดตมีอัตราพึงพอใจสูงกว่า, และอัตราการขอซัพพอร์ตหน้าเครื่องของแมคน้อยกว่าวินโดวส์ถึง 5 เท่าตัว


ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2562

โดรนของบริษัท Wing ได้ให้บริการส่งมอบสินค้าเชิงพาณิชย์ครั้งแรกที่เวอร์จิเนียในสหรัฐ


ขณะนี้ Wing บริษัทลูกของ Alphabet ได้ให้บริการส่งมอบสินค้าในเวอร์จิเนียแล้ว โดยเริ่มจากส่งขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพให้กับผู้ที่พักอาศัยในเมืองคริสเตียนเบิร์กรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นการใช้โดรนส่งมอบสินค้าเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่บริษัทได้รับอนุมัติจากรัฐบาลและร่วมมือกับ Walgreens บริษัทดำเนินกิจการร้านขายยา ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและยา และ FedEx บริษัทขนส่งสินค้าสัญชาติอเมริกัน

เมื่อเมษายนที่ผ่านมา Wing เป็นเจ้าของสายการบินโดรนเชิงพาณิชย์รายแรกที่ได้การรับรองโดย สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐ (Federal Aviation Administration : FAA) ที่มีแนวคิดส่งมอบยาและอาหารจากร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านไปส่งให้ลูกค้าถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยมากกว่าการใช้บริการรถขนส่ง

Wing เปิดเผยว่าการส่งมอบด้วยโดรนจะช่วยลดจำนวนรถยนต์และรถบรรทุกบนท้องถนน ซึ่ง Wing จะพยายามส่งมอบสินค้าภายในไม่กี่นาทีสำหรับคำสั่งซื้อจากผู้พักอาศัยในเมืองคริสเตียนเบิร์ก และฟรีค่าธรรมเนียมในการจัดส่งอีกด้วย

Wing ได้โพสต์วิดีโอตัวอย่างการให้บริการกับครอบครัวคู่สามีภรรยาสูงอายุและครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ซึ่งใช้สมาร์ตโฟนเลือกรายการสินค้าที่ต้องการให้จัดส่ง จากนั้นจะเห็นพนักงานจัดวางสินค้าลงในกล่องกระดาษแข็งที่คล้ายกับ Happy Meal ขนาดใหญ่ แล้วนำไปเกี่ยวกับคลิปสีเหลืองที่ห้อยลงจากโดรนและค่อยถูกดึงขึ้นไปด้านบนล็อกเข้ากับตัวโดรนแล้วบินออกไปส่งยังลูกค้า

โดรนจะบินไปยังบ้านลูกค้าแล้วหย่อนกล่องลงไปให้ลูกค้าที่กำลังรออยู่ ซึ่งคู่สามีภรรยาสูงอายุได้รับด้ายและผ้าพันแผล ส่วนครอบครัวที่มีเด็กเล็กได้รับขนมขนมขบเคี้ยว แล้วเด็กก็ชี้ไปบนท้องฟ้าเพื่อกล่าวลาโดรนที่กำลังบินจากไป


ที่มา: Beartai

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Amazon ย้ายฐานข้อมูลทั้งบริษัทออกจาก Oracle แล้ว, ถึงขั้นเปิดแชมเปญฉลองชัย

Amazon กับ Oracle กลายเป็นคู่กัดคู่ใหม่ของวงการไอที เหตุเพราะบริการด้านคลาวด์กลายเป็นคู่แข่งกัน ฝั่งของ Amazon ก็พยายาม เลิกใช้ฐานข้อมูล Oracle สำหรับงานในบริษัท

วันนี้ Amazon ประกาศว่าย้ายฐานข้อมูลของตัวเองออกจาก Oracle อย่างสมบูรณ์แล้ว (ยกเว้นซอฟต์แวร์ 3rd party บางตัวที่บังคับใช้ Oracle เท่านั้น)

หลายคนอาจสงสัยว่า Amazon ย้ายไปใช้ฐานข้อมูลอะไรแทน คำตอบคือย้ายไปใช้ฐานข้อมูลในเครือ AWS ทั้งหมด ขึ้นกับรูปแบบงาน ตั้งแต่ DynamoDB (NoSQL), Aurora (Relational เวอร์ชันทำเอง), Amazon RDS (MySQL/PostgreSQL เวอร์ชันคลาวด์) และ Amazon Redshift (data warehouse)


Amazon ระบุว่าต้องย้ายฐานข้อมูลภายในบริษัทจำนวนเกือบ 7,500 ฐาน ขนาดข้อมูลรวม 75 petabyte สามารถย้ายได้โดยแทบไม่ต้องมี downtime เลย

Amazon ยังคุยว่าหลังย้ายแล้วสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ 60% จากเรตราคาพิเศษที่ Amazon ได้ส่วนลดจาก Oracle อยู่แล้ว ซึ่งลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้เรตนี้ ย้ายมาอยู่กับ AWS จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 90% ส่วนข้อดีอื่นๆ คือลด latency ลงได้ 40% และลดภาระของแอดมินฐานข้อมูลได้ 70%

จะด้วยเหตุผลเรื่องธุรกิจหรือความแค้นก็ไม่ทราบได้ แต่ Amazon ถึงขั้นทำคลิปฉลองการปิดฐานข้อมูล Oracle อันสุดท้าย และเปิดแชมเปญฉลองด้วย


โฆษณาคลาวด์ฝั่ง Oracle ก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สิงคโปร์ขีดเส้นตาย 1 กันยายนนี้ห้ามธุรกิจเก็บเลขบัตรประชาชนไว้ในระบบ ระบุให้ใช้เบอร์โทรศัพท์, username, หรือค่าแฮชแทน

กรรมการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลสิงคโปร์ (Personal Data Protection Commission - PDPC) ออกประกาศแจ้งเตือนว่าธุรกิจที่ไม่ได้ขออนุญาตเป็นพิเศษจะไม่มีสิทธิ์เก็บข้อมูลเลขบัตรประชาชนหลังจากวันที่ 1 กันยายนนี้ โดยต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้ฐานข้อมูลในระบบไม่มีเลขบัตรประชาชนอีกต่อไป


กฎนี้ครอบคลุมถึงหมายเลขประจำตัวอื่นที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น หมายเลขใบเกิด, หมายเลขต่างด้าว, หรือหมายเลขอนุญาตทำงาน

คำแนะนำของ PDPC ระบุให้ธุรกิจปรับเปลี่ยนไปใช้กระบวนการระบุตัวผู้ใช้ด้วยวิธีการอื่น เช่น ชื่อผู้ใช้ที่ตั้งได้เอง, หมายเลขโทรศัพท์, หมายเลขประจำตัวที่สร้างโดยระบบ หรือหมายเลขบัตรประชาชนบางส่วน

แม้จะห้ามเก็บหมายเลขบัตรประชาชนไว้ในฐานข้อมูลตรงๆ แต่กฎนี้ยังอนุญาตให้เก็บเลข 3 ตัวท้ายและอีก 1 ตัวอักษรท้ายของหมายเลขบัตรประชาชน และค่าแฮชของเลขบัตรประชาชนได้ โดยในกรณีที่ต้องการตรวจสอบบัตรประชาชนก็สามารถสแกนบาร์โค้ดและแฮชข้อมูลทันทีเพื่อตรวจสอบจากค่าแฮชเอา

บริการที่จะได้รับผลกระทบจากเงื่อนไขนี้ ได้แก่ บริการสมาชิกของร้านต่างๆ, บริการซื้อสินค้าออนไลน์, ระบบบัตรเข้างาน และข้อกำหนดนี้ยกเว้นกิจการที่ต้องเก็บเลขบัตรประชาชนตามกฎหมาย เช่น สถานพยาบาลที่ต้องเก็บข้อมูลผู้ป่วย, โรงแรมที่ต้องเก็บข้อมูลผู้เข้าพัก ฯลฯ

ที่มา: Blognone

ไมโครซอฟท์ระบุ การเปิดใช้ multi-factor authentication ช่วยป้องกันการถูกแฮ็กบัญชีได้ถึง 99.9%

เวลาเราเห็นตามข่าวหรือมีเพื่อนมาโวยวายว่า "ถูกแฮ็กบัญชี" บ่อยครั้งมักเกิดจากความผิดพลาดของตัวเจ้าของบัญชีเองที่ไปล็อกอินค้างไว้หรือจดรหัสต่างๆ เก็บไว้แล้วมีผู้อื่นเข้าถึงได้ หรือเกิดเหตุการณ์ใดๆ ที่ทำให้รหัสผ่านหลุด เช่นผู้ให้บริการไม่ได้เก็บรหัสผ่านของผู้ใช้แบบเข้ารหัส หากบริการเหล่านั้นมีช่องโหว่ก็สามารถทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึงรหัสผ่านได้

วิธีแก้ปัญหา "รหัสหลุด" ที่ได้รับความนิยมสูงคือการยืนยันตัวตนหลายปัจจัย หรือ multi-factor authentication (MFA) เช่นที่เราคุ้นเคยกันคือการส่งรหัส OTP มาทาง SMS (ปัจจุบันไม่ค่อยปลอดภัยแล้วเพราะเสี่ยงต่อการออกซิมปลอม หรือ SIM Swapping/SIM Hijacking)

การทำ MFA อีกวิธีที่ยังถือว่าปลอดภัยอยู่คือการใช้กุญแจยืนยันตัวตน U2F ตามมาตรฐาน FIDO ที่เราต้องกดปุ่มจริงๆ บนกุญแจที่เสียบเข้าพอร์ต USB เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราเป็นคนล็อกอินเข้าบัญชี ไม่ใช่คนที่รู้รหัสผ่านของเรา หรือหากไม่มีกุญแจ U2F ในแอนดรอยด์ก็มีป๊อปอัพให้กด Yes เวลาเราล็อกอินเข้าบัญชีกูเกิล หรือใน Pixel 3/3a สามารถกดปุ่ม power ของโทรศัพท์เพื่อยืนยันตนได้เช่นกัน


ด้าน Alex Weinert ผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยบุคคลของไมโครซอฟท์ออกมาบอกว่า "จากการศึกษาของเรา บัญชีผู้ใช้มีโอกาสถูกแฮ็กสำเร็จน้อยลงกว่า 99.9% หากเปิดใช้งาน MFA" และยังให้คำแนะนำว่าห้ามใช้รหัสผ่านที่เคยรั่วออกมาสู่สาธารณะ รวมถึงการใช้รหัสผ่านยาวมากๆ ก็ไม่ได้ช่วยสักเท่าไร

รหัสผ่านยาวๆ นั้นไม่มีประโยชน์มากนักเพราะปัจจุบันมีเทคนิคมากมายที่จะเอารหัสผ่านของผู้ใช้มาได้ เช่น phishing (หลอกให้ผู้ใช้กรอกรหัส) หรือ Credential Stuffing คือการนำรหัสผ่านที่หลุดจากบริการหนึ่งไปลองใช้กับบริการอื่นๆ หากผู้ใช้คนนั้นใช้รหัสผ่านซ้ำกันก็สามารถขโมยบัญชีได้ทั้งหมด

ไมโครซอฟท์ระบุว่ามีการพยายามล็อกอินโดยมิชอบมากกว่า 300 ล้านครั้งต่อวัน (เฉพาะบริการของไมโครซอฟท์เอง) และหากผู้ใช้เปิดใช้งาน MFA จะสามารถป้องกันการล็อกอินแบบนี้ได้


ที่มา: Blognone