วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชมภาพสำนักงานแห่งใหม่ของกูเกิลที่เมือง Mountain View เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสุดๆ

ไม่ใช่แอปเปิลเพียงเจ้าเดียวที่กำลังสร้างสำนักงานแห่งใหม่อยู่นะครับ ขณะนี้กูเกิลก็กำลังจะเริ่มสร้างส่วนต่อขยายของสำนักงานใหญ่ "Googleplex" ที่เมือง Mountain View เช่นกัน โดยกูเกิลมีที่ว่างอยู่ด้านข้างสำนักงานเดิม ตอนนี้ปล่อยรูปเรนเดอร์ออกมาแล้ว

สำนักงานแห่งใหม่นี้ใช้ชื่อโปรเจ็คว่า Charleston East เนื่องจากตั้งอยู่ริมถนน Charleston ไปทางทิศตะวันออก จะเรียกว่าอาคารก็คงไม่เต็มปากนัก เพราะสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจะถูกครอบอยู่ด้วย "เต็นท์" ขนาดมหึมา (ภาษาอังกฤษเรียก canopy) ด้านในเป็นอาคารสองชั้นดีไซน์โมเดิร์น ประกอบด้วยผนังกระจกมากมาย สาเหตุที่สร้างเตี้ยเพียงสองชั้นเพราะต้องการรักษาทัศนียภาพที่สวยงามของ เมือง ดูไกลๆ จากภายนอกเห็นเพียงหลังคาเต็นท์อยู่ลิบๆ เท่านั้น

โปรเจ็คนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 600,000 ตารางฟุต (ราว 55,700 ตารางเมตร) ภายในอาคารมีการตกแต่งด้วยต้นไม้เป็นพื้นที่รวมถึง 45,000 ตารางฟุต (ราว 4,180 ตารางเมตร) และมีพื้นที่ทางเดินสาธารณะถึง 18,500 ตารางฟุต (1,720 ตารางเมตร)

สำนักงานแห่งนี้จะเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกที่กูเกิลสร้างเอง โดยอาคารที่ใช้อยู่ปัจจุบันเป็นอาคารที่เช่าหรือรับต่อมาจากเจ้าของเก่าทั้งหมด ผู้รับผิดชอบการออกแบบคือกลุ่มบริษัท Bjarke Ingels Group (BIG) และ Heatherwick Studio

ไฟล์แบบแปลนของโปรเจ็คนี้ก็เปิดให้สาธารณชนสามารถดาวน์โหลดไปดูได้ ใครสนใจด้านการออกแบบและสถาปัตยกรรมควรดูอย่างยิ่งครับ (ไฟล์ใหญ่ เปิดช้าหน่อยนะครับ เวอร์ชันเดือนกุมภาพันธ์ 2016)


ที่มา: Blognone

Joule กำไลข้อมือคาเฟอีน ส่งผ่านคาเฟอีนเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง

นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่ง ที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับมนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ ที่ต้องพึ่งกาแฟเพื่อให้ตาสว่างในยามเช้า เพราะเจ้ากำไลอันนี้ ไม่ใช่กำไลข้อมือธรรมดา แต่เป็นกำไลข้อมือที่มีแผ่นแปะคาเฟอีนอยู่ภายใน ทำให้เราสามารถรับสารคาเฟอีนผ่านผิวหนังได้โดยไม่ต้องพึ่งการดื่มกาแฟอีกต่อไป


หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่า ทำไมจะต้องมาใช้กำไลคาเฟอีนอะไรนี่ให้ยุ่งยากด้วย ดื่มกาแฟไม่ง่ายกว่าหรือ? อันที่จริงแล้วการรับสารคาเฟอีนผ่านผิวหนังโดยตรงนี้ มีข้อดีหลายประการ อาทิเช่นไม่ทำให้ฟันเป็นคราบกาแฟ ไม่ทำให้มีกลิ่นปาก และสารคาเฟอีนที่เข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนังจะค่อยๆ เข้าไปในร่างกายในปริมาณคงที่ ทำให้ไม่เกิดผลกระทบกับร่างกายแบบฉับพลัน เช่น อาการใจสั่น มือสั่น จากการบริโภคคาเฟอีนในรูปของเครื่องดื่มปกติ

แผ่นแปะคาเฟอีนที่อยู่ภายในกำไลนี้ จะทำงานเหมือนกับแผ่นแปะนิโคตินสำหรับเลิกบุหรี่ สารคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกระฉับกระเฉง จะเข้าสู่กระแสเลือดผ่านผิวหนัง ออกฤทธิ์ได้ยาวนานถึง 4 ชั่วโมง โดยที่แผ่นแปะคาเฟอีน 1 แผ่นจะมีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 65 มิลลิกรัม พอๆ กับการดื่มกาแฟ 1 แก้ว

กำไลคาเฟอีนนี้อยู่ในช่วงระดมทุนบนเว็บไซต์ IndieGoGo สินค้าจะพร้อมส่งในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ส่วนราคาจะมีหลายแพ๊คเกจ ถ้าเป็นแบบ Starter Kit คือมีกำไล 1 อัน และแผ่นแปะอีก 30 แผ่นจะอยู่ที่ 29$ รวมค่าจัดส่งทั่วโลก (ประมาณ 1 พันบาท) หากใครสนใจลองเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ IndieGoGo ค่ะ

ที่มา: ARiP

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Apple ยืนกราน ! ปฏิเสธคำร้องจาก FBI ให้พัฒนา iOS รุ่นพิเศษ

สืบเนื่องจากเหตุกราดยิงที่  San Bernardino ในเขตของรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2015 จนมีผู้เสียชีวิตถึง 14 ราย ซึ่งหนึ่งในหลักฐานที่ FBI รวบรวมได้เป็น iPhone ที่ถูกใส่รหัสผ่านไว้ ทำให้ FBI ร้องขอต่อศาลในสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้ Apple พัฒนาระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นพิเศษ เพื่อให้ทางการสหรัฐฯ สามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมจาก iPhone ที่ถูกล็อคไว้ แต่คำร้องดังกล่าวถูก Apple ปฏิเสธ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ iOS ทั่วโลก


จากจดหมายของ Tim Cook ซีอีโอ Apple ที่ยื่นเรื่องปฏิเสธคำขอจาก FBI และศาลในสหรัฐฯ ในการพัฒนาระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นพิเศษ เพื่อให้หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ สามารถข้าถึงข้อมูลภายในได้ โดยระบุชัดเจนว่าด้วยคำสั่งที่ Apple ได้รับนับเป็นขั้นตอนที่คุกคามความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกค้าทั่วโลก อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ Apple ซึ่งเราไม่เห็นด้วย ที่ผ่านมา Apple เคารพในความเป็นมืออาชีพของ FBI และเชื่อในความตั้งใจที่ดี และ Apple ได้ทำทุกอย่างตามขั้นตอนทั้งที่อยู่ในอำนาจของเรา และดำเนินการตามกฎหมายที่จะช่วยให้ FBI สามารถเข้าถึงข้อมูลภายใน iPhone ของผู้ก่อการร้ายได้ แต่สิ่งที่ Apple ได้รับการร้องขอกลับมีความอันตรายเกินไป

นอกจากนี้ Tim Cook ยังชี้ให้เห็นว่า หากวิธีในการเข้าถึงข้อมูลหรือวิธีหลีกเลี่ยงการใส่รหัสผ่านถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ หรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้อย่างเสรี และการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าเครื่องมือที่ร้องขอต่อ Apple จะถูกนำมาใช้ในคดีนี้เพียงคดีเดียว แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้

ทางด้าน Sundar Pichai ซีอีโอ Google ได้ออกมาทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ในเชิงสนับสนุน Tim Cook ว่าการบังคับให้บริษัทเปิดระบบที่ช่วยให้เกิดการเข้าถึงข้อมูล อาจทำให้ผู้ใช้ขาดความเป็นส่วนตัว ซึ่ง Google ทราบดีว่าการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานความมั่นคง เพื่อปกป้องประชาชนให้รอดพ้นจากอาชญากรรมและการก่อการร้าย โดย Google ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยต่อการเก็บข้อมูล และเรายังให้การบังคับใช้กฎหมายสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ หากอยู่ภายใต้คำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นขัดแย้งกับสิ่งที่บริษัทกำหนด ซึ่งการช่วยให้เกิดการเข้าถึงอุปกรณ์และข้อมูลข้อมูล นับเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง

ที่มา: ARiP

Google หยุดให้บริการ Picasa มีผล 1 พ.ค. 2016

เก่าไป ใหม่มา !! เป็นประโยคที่อาจใช้ได้กับเหตุการณ์ที่ Google หยุดให้บริการ Picasa โปรแกรมจัดการรูปภาพที่ให้บริการฟรี มาตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งการยกเลิกบริการจะมีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2016 เป็นต้นไป โดย Google จะผลักดันให้เกิดการใช้งาน Google Photos แทนมากขึ้น


Google ชี้แจงถึงสาเหตุของการปิดบริการ Picasa ว่า นับตั้งแต่เปิดให้บริการจัดเก็บภาพ มีการพูดถึงเสมอเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของการให้บริการ ซึ่งหลังจาก Google ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงตัดสินใจที่จะยุติบริการ Picasa โดยแผนการถัดไป คือ การมุ่งเน้น Google Photos บริการจัดเก็บรูปภาพเพียงบริการเดียวและจะทำให้ Google สามารถสร้างประสบกาณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้ ไม่ว่าจะการทำงานบนสมาร์ทโฟนหรือพีซีเดสก์ทอป

การหยุดให้บริการ Picasa จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2016 นี้เป็นต้นไป แต่ก่อนหน้านั้น Google จะเริ่มหยุดอัพเดทบริการ Picasa ในพีซีเดสก์ทอป ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2016 เป็นต้นไป

สำหรับผู้ที่ยังไม่ต้องการหันไปใช้บริการ Google Photos หลังการหยุดให้บริการ Picasa จะยังสามารถเข้าถึงบริการได้ผ่านหน้าเว็บได้ เพื่อการดาวน์โหลดหรือลบภาพที่มีอยู่เดิมในอัลบั้มของ Picasa ได้ แต่จะไม่สามารถอัปโหลดภาพเพิ่มเติมได้

ที่มา: ARiP