วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Google ทดลองใช้ AI ปรับแต่งภาพวิวทิวทัศน์จาก Street View ไม่พึ่งฝีมือมนุษย์

การทดสอบเทคโนโลยี Artificial Intelligence หรือ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ล่าสุดของ Google เป็นการนำภาพวิวทิวทัศน์จาก Street View มาปรับและตกแต่งเพื่อให้มีความสวยงามในระดับมืออาชีพด้วย AI ลดการพึ่งพาฝีมือของมนุษย์ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการใช้ AI ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการลดการทำงานให้กับมนุษย์


หนึ่งในทีมวิศวกรซอฟต์แวร์ภายในโครงการนี้ของ Google ให้ข้อมูลว่า เป็นการใช้เทคนิคของ Machine Learning และการพัฒนา Deep Neural Network ในการสแกนภาพวิวทิวทัศน์จาก Street View นับพันๆ ภาพ ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นจะเลียนแบบขั้นตอนการทำงานของช่างภาพมืออาชีพ เพื่อเปลี่ยนภาพธรรมดาให้กลายเป็นภาพพาโนรามาที่สวยงาม

ทาง Google ยังให้ข้อมูลอีกว่าพวกเขาสามารถพัฒนา Neural Network ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถพิจารณาองค์ประกอบของภาพที่ดีได้ เป็นเทคนิคใหม่ที่ Google เรียกว่า Generative Adversarial Network เป็นเทคนิคใหม่ที่รวมเอา Neural Network สองตัวมารวมกัน  เพื่อให้เกิดผลลัพธ์จากการปรับปรุงโดยรวม หรือจะกล่าวให้ง่ายๆ ว่าระบบของ Google นั้นมี AI ประเภท “Photo Editor” ที่สามารถแก้ไขภาพได้แบบมืออาชีพโดยอัตโนมัติ


นอกจากนี้ทาง Google ยังได้เชิญช่างภาพมืออาชีพมาร่วมให้คะแนนภาพถ่ายที่การประมวลผลโดย AI ซึ่ง 2 ใน 5 ภาพได้รับคะแนนในระดับ Semi-Pro

ทีมงาน Google ทิ้งท้ายไว้ว่า เครื่องมือที่พวกเขาพัฒนาขึ้นสักวันหนึ่งจะช่วยให้ใครก็ตามสามารถถ่ายภาพในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างดีเยี่ยม

ที่มา: ARiP

Apple Store เตรียมเปิดสาขาแรกในไทยปีหน้า กระทบต่อผู้ค้าปลีกอย่างไร

มีข่าวลือแพร่สะพัดบนโลกออนไลน์ในขณะนี้ว่า Apple เตรียมเปิด Apple Store สาขาแรกในประเทศไทย ในปี 2561 พร้อมมีการระบุสถานที่แล้วด้วยว่าจะเป็นที่ ICONSIAM

 ภาพจาก Apple : Apple Store สาขาถนน Orchard ประเทศสิงคโปร์

ตามข้อมูลที่แพร่สะพัดอยู่บนโลกออนไลน์ขณะนี้ ระบุว่า Apple กำหนดให้ ICONSIAM (ไอคอนสยาม) เป็นสถานที่สำหรับ Apple Store สาขาแรกในประเทศไทย โดยลักษณะของร้านจะคล้ายคลึงกับสาขาที่สิงคโปร์ ภายในร้านจะแบ่งออกเป็นโซนสำหรับจัดจำหน่ายสินค้า พร้อมทั้งโซนกิจกรรมและ Workshop ต่างๆ ส่วนกำหนดการณ์เปิดให้บริการยังไม่แน่ชัด โดยคาดกันว่า Apple Store สาขาแรกในประเทศไทย จะเปิดให้บริการในปี 2561 (ข้อมูลจากเว็บไซต์ Siampod)

 

หาก Apple Store บุกไทย กระทบต่อผู้ค้าปลีกอย่างไร?


อย่างที่เราทราบดีว่าในประเทศไทยมี iStudio by SPVI, iStudio by Copperwired และ Studio 7 เป็นดีลเลอร์หรือตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นการเข้ามาเปิดสาขาแรกในประเทศไทยเองของ Apple อาจสร้างกระทบให้กับผู้ค้าปลีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น

– การตั้งสาขาในประเทศไทยครั้งนี้จะทำให้ Apple สามารถให้บริการสินค้าให้กับลูกค้าที่สนใจผ่านช่องทางที่มากขึ้น ทั้งแบบออนไลน์ (เว็บไซต์ Apple Store Online) และออฟไลน์ (ร้าน Apple Store)

– กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ผู้คนหรือแฟนคลับ Apple เดินทางไปเยี่ยมชมหรือซื้อสินค้าอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งอาจส่งผลต่อจำนวนลูกค้าที่เดิมทีซื้อสินค้า Apple ผ่านตัวแทนจำหน่าย

น่าสนใจว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ค้าปลีกจะกินระยะเวลานานแค่ไหน แต่อีกปัจจยัหนึ่งที่ทำให้ผู้ค้าปลีกอาจรู้สึกเบาใจเล็กๆ นั่นคือ สถานที่ตั้ง ICONSIAM ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนเจริญนคร เขตคลองสาน ซึ่งอาจเป็นจุดที่หลายคนไม่สะดวกแก่การเดินทาง และการจะซื้อสินค้า Apple ก็สามารถหาซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน ยกตัวอย่าง iStudio by SPVI สาขาเซ็นทรัล พระราม 9 มีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT คอยให้บริการ ซึ่งก็นับว่าสะดวกมากสำหรับหลายๆ คน และสินค้า Apple ก็คุณภาพเดียวกับ Apple Store ด้วย

สำหรับกำหนดการณ์ที่แน่ชัดในการเปิดให้บริการ Apple Store ยังต้องรอการสรุปอีกครั้ง รวมถึงต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ ICONSIAM จะแล้วเสร็จด้วย ซึ่งเชื่อว่าบรรดาแฟนคลับ Apple ต่างให้ข่าวนี้เกิดขึ้นจริง แต่สำหรับผู้ค้าปลีกหรือตัวแทนจำหน่ายก็ต้องทำการบ้านกันหนักขึ้น เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา: ARiP

รวยฟ้าผ่า ศาสตราจารย์วิทยาการเข้ารหัสลับซื้อ Enigma จากตลาดนัดมา 3,900 บาท ประมูลได้ 1.8 ล้าน

ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการเข้ารหัสลับ (cryptography) เดินตลาดนัดในโรมาเนียและพบแผงขาย "เครื่องพิมพ์ดีด" เก่า จึงซื้อมาในราคา 100 ยูโร หรือประมาณ 3,900 บาท โดยรู้ว่าเครื่องพิมพ์ดีดนี้ที่แท้จริงคือเครื่องเข้ารหัส Enigma จากกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง และยังอยู่ในสภาพใช้งานได้

เครื่อง Enigma ถูกนำออกประมูลโดยห้องประมูลของสะสม Artmark ที่ราคาเริ่มต้น 9,000 ยูโร การประมูลจบลงที่ราคา 45,000 ยูโร โดยห้องประมูลไม่ได้ระบุชื่อศาสตราจารย์ผู้ขายแต่อย่างใด

โรมาเนียเป็นพันธมิตรกับนาซีเยอรมันจนถึงช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เป็นไปได้ว่าจะมีเครื่อง Enigma หลงเหลืออยู่อีก



ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Microsoft ประกาศปลดพนักงานฝ่ายขายออกนับพัน คาดเป็นจำนวนถึง 4 พันคน !!

สื่อนอกเผย Microsoft ประกาศปลดพนักงานฝ่ายขายออก 10% คาดเป็นจำนวน 3 ถึง 4 พันคน !! หลังทางบริษัทปรับโครงสร้างองค์กรให้เน้นบริการ Cloud มากขึ้น


ล้างไพ่ หลังมีข่าวลือไม่นานว่า Microsoft จะปรับโครงสร้างใหม่ ล่าสุดมีการยืนยันแล้ว และสำหรับปรับโครงสร้างใหม่นั้น ก็ส่งผลกระทบทำให้พนักงานในบริษัท ถูกปลดออกเป็นจำนวนไม่น้อยด้วย

มีรายงานว่า Microsoft ปรับโครงสร้างตัวเอง เพื่อเข้ามาดูแลในส่วนของธุรกิจ Cloud (หรือ “Azure”) ได้มากขึ้น แต่การปรับตัวนี้ ก็ทำให้วิธีการขายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนไปด้วย จึงส่งผลกระทบโดยตรงกับเหล่าพนักงานขายในบริษัท สุดท้ายมีการสั่งปลดออก 10% ซึ่งทาง Microsoft ไม่ได้เผยว่าปลดออกกี่คน แต่ทางสำนักข่าว CNN ที่ไปสัมภาษณ์เผยว่า อาจเป็นจำนวน 3 – 4 พันคนกันเลย

ทั้งนี้ Microsoft ยังได้กล่าวเพิ่มเติมกับ CNN ด้วยอีกว่า การปลดครั้งนี้ไม่ใช่การลดค่าใช้จ่ายบริษัท แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีการขายใหม่ โดยจะเน้นให้พนักงานที่มีความรู้ในด้าน Cloud มาขายผลิตภัณฑ์นี้โดยเฉพาะแทน

ส่วนพนักงานที่ถูกปลดออกนั้น ยังไม่มีรายงานว่าได้รับการชดเชยอย่างไรบ้าง แต่จาก “ยุคมืด” ที่ Microsoft เคยปลดพนักงาน (สมัย Nokia) ออกมากกว่านี้ ทางบริษัทก็มีการจ่ายเงินชดเชยให้อย่างดี พร้อมแนะนำบริษัทใหม่ให้ด้วย ส่วนรอบนี้ก็น่าจะเหมือนๆ กันครับ

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Jay Freeman ผู้พัฒนา Cydia กล่าวว่า "การเจลเบรคได้ตายไปแล้ว"

หากใครเคยเจลเบรคอุปกรณ์ iOS มา น่าจะเคยรู้จักกับ Cydia ซึ่ง Motherboard ได้ออกบทสัมภาษณ์ Jay Freeman หรือ Saurik ผู้พัฒนา Cydia ในความเห็นเรื่องการเจลเบรค รวมถึง Nicholas Allegra กับ Michael Wang ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในวงการ โดย Freeman บอกว่าตอนนี้เขาไม่สนับสนุนให้เจลเบรค และการเจลเบรคได้ “ตายไปแล้ว” (officially dead)

ในบทสัมภาษณ์นั้น ให้เหตุผลถึงจุดจบของการเจลเบรคไว้ 4 ข้อ คือ
  1. Apple เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย ทำให้การเจลเบรคยากขึ้น
  2. ถ้าแฮกเกอร์ค้นช่องโหว่พบแล้วเอาไปขายอาจได้เงินสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์ (คุ้มกว่าเอามาทำเจลเบรครอเงินบริจาค)
  3. ผู้เชี่ยวชาญที่ทำเครื่องมือเจลเบรคไปหางานด้านความปลอดภัยที่มีรายได้สูงทำแล้ว
  4. การเจลเบรค iPhone เป็นการเปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยออกมา ซึ่งมีความเสี่ยงสูง
Freeman บอกว่า ทุกวันนี้ Apple นำฟีเจอร์จาก tweak เจ๋งๆ ใน Cydia สมัยก่อนไปใส่ใน iOS แล้ว ทำให้ผู้ใช้ iPhone ทั่วๆ ไปไม่ค่อยอยากจะเจลเบรคอีก เมื่อมีผู้ใช้เจลเบรคน้อยลง นักพัฒนาที่ทำ tweak สำหรับเจลเบรคที่น่าสนใจก็น้อยลงด้วย การเจลเบรคจึงค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ

ปัจจุบัน เจลเบรคของ iOS เวอร์ชันล่าสุดคือ iOS 9.3.3 ซึ่งปล่อยออกมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2016 นับว่าเป็นเวลากว่า 347 วันหรือเกือบปีแล้วที่ไม่มีเจลเบรคเวอร์ชันใหม่ปล่อยออกมา

ที่มา: Blognone

เซี่ยงไฮ้ใช้ระบบจดจำใบหน้าบนทางม้าลาย ป้องกันคนข้ามไม่รอสัญญาณไฟ

ชีวิต jaywalker (คนที่ข้ามถนนอย่างผิดกฎหมาย) จะไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะหน่วยงานจราจรในเซี่ยงไฮ้ใช้ระบบจดจำใบหน้าตามทางม้าลาย ป้องกันไม่ให้คนข้ามถนนโดยไม่รอสัญญาณไฟ จากที่ทดลองระบบนำร่องมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า ทันทีที่ไฟสัญญาณเป็นสีแดง ระบบจะเริ่มบันทึก และจากการทดลองนำร่อง ระบบได้บันทึกใบหน้าและข้อมูลผู้กระทำผิดแล้ว 300 ราย

แค่บันทึกข้อมูลและตามเก็บค่าปรับ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนกลัวการกระทำผิด เจ้าหน้าที่จึงเตรียมปรินท์รูปคนผิด พร้อมระบุชื่อไปติดตามป้ายรถเมล์ และยังมีค่าปรับตามกฎหมายอีก 20 หยวน


ที่มา: Blognone

Daimler ทดสอบนำระบบบล็อคเชนมาใช้งานกับระบบการเงินบริษัท

เราเริ่มเห็นหลายบริษัทในหลายอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีบล็อคเชนมาใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ล่าสุดเป็นกรณีของบริษัท Daimler AG ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน (ผู้ผลิต Mercedes-Benz) ได้ทดลองนำเอาระบบบล็อคเชนจากโครงการ Hyperledger มาใช้งานกับระบบการเงินของบริษัท


จุดประสงค์ของ Daimler คือต้องการนำบล็อคเชนมาเป็นตัวกลางในกระบวนการด้านการเงินระหว่างบริษัทและนักลงทุน ที่ปกติจะเสียเวลาราวๆ 10 สัปดาห์เมื่อผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร ขณะที่การทดสอบระบบบล็อคเชนที่ทุกอย่างทำผ่านระบบดิจิทัล 100% ปรากฎว่าช่วยให้กระบวนการข้างต้นเร็วขึ้นอย่างมาก (considerably faster)

ผู้บริหารของ Daimler ระบุด้วยว่าอยากจะนำบล็อคเชนไปใช้งานในด้านอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยอย่างลูกค้าสัมพันธ์, การขาย, มาร์เก็ตติ้ง, ระบบจัดการซัพพลายเออร์และบริการดิจิทัลต่างๆ

ที่มา: Blognone

Vivo โชว์เทคโนโลยี Fingerprint บนหน้าจอสมาร์ทโฟน

ในช่วงระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2560 ที่ประเทศจีน มีการจัดงาน Mobile World Congress Shanghai 2017 (MWCS 2017) การจัดแสดงเทคโนโลยีทางด้านโทรคมนาคมที่อาจกล่าวได้ว่ามีความคล้ายคลึงกับ Mobile World Congress ที่จัดขึ้นที่ประเทศสเปนเมื่อตอนต้นปี และแน่นอนว่าภายในงานที่จีนครั้งนี้ มีการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟนในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย


Vivo แบรนด์สมาร์ทโฟนสัญชาติจีนที่เข้าร่วมงาน MWCS 2017 ครั้งนี้ นำเสนอต้นแบบสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นสมาร์ทโฟน Vivo Xplay6 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Fingerprint (สแกนลายนิ้วมือ) จาก Qualcomm ที่เรียกว่า “Ultrasonic” ซึ่งจะฝังเซนเซอร์อยู่ใต้จอแสดงผล นั่นหมายความว่าต้นแบบสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะสามารถสแกนลายนิ้วมือได้ด้วยการแตะบนจอแสดงผลเพื่อปลดล็อคจอแสดงผล

ทีมงานของเว็บไซต์ Engadget ได้ทดสอบการใช้งาน ตั้งแต่การลงทะเบียนลายนิ้วมือจนถึงการสแกน ซึ่งทั้งหมดกระทำบนจอแสดงผลเหนือปุ่มโฮมแบบเดิมทั้งสิ้น จากการทำงานทดสอบทีมงาน Engadget ระบุว่าสามารถทำงานได้เหมือนกับการใช้สแกนลายนิ้วมือทั่วไป แต่ความเร็วในการอ่านลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคจอแสดงผลจะช้ากว่าเล็กน้อย

ทีมงาน Engadget ยังได้ระบุว่า จากการสอบถามทีมงานของ Vivo ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเทคโนโลยี Ultrasonic Fingerprint ว่าสามารถติดตั้งเทคโนโลยีได้ทั่วของจอแสดงผล แต่อาจมีผลถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น


นอกจากนี้ Vivo ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยี Ultrasonic Fingerprint ที่ด้านหลังของสมาร์ทโฟน พร้อมทดสอบสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดกล้องได้จากใต้น้ำด้วย อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีสมัยใหม่ดังกล่าวอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้เกิดความเสถียรในการใช้งานมากที่สุด ก่อนจะวางจำหน่ายร่วมกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในอนาคตต่อไป

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Alibaba ประกาศซื้อหุ้น Lazada เพิ่มอีกมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 83%

Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน ประกาศลงทุนใน Lazada จากเดิมที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่แล้ว โดยลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มีจำนวนหุ้นจากเดิม 51% เป็น 83% โดยเป็นไปตามยุทธศาสตร์เสริมความแข็งแกร่งในการลงทุนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ Alibaba จะใช้วิธีซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม โดยให้มูลค่ากิจการของ Lazada ที่ราว 3,150 ล้านดอลลาร์ ทำให้เงินลงทุนของ Alibaba ใน Lazada รวมเป็น 2 พันล้านดอลลาร์ (ปีที่แล้วซื้อหุ้นไป 1 พันล้านดอลลาร์)

Alibaba ระบุว่า ปัจจุบันประเทศที่ Lazada ดำเนินงานอยู่คือ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม มีการซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์เพียง 3% ทำให้มีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ธ.กรุงเทพเปิดตัวโครงการ Bangkok Bank InnoHub พร้อมสตาร์ทอัพ 8 ทีม คัดจาก 32 ประเทศทั่วโลก

ถนนทุกสายมุ่งสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้เราจะเห็นว่า KBank เปิดตัว Beacon Venture Capital เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพ ตามด้วย SCG ที่ตั้งบริษัท AddVentures เพื่อลงทุนทั่วโลกเช่นกัน ล่าสุดธนาคารกรุงเทพก็เริ่มมารันโครงการสนับสนุนบ้างแล้ว

โดยธนาคารกรุงเทพร่วมกับ เนสท์ พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการลงทุนชั้นนำระดับโลก เปิดตัวโครงการ “Bangkok Bank InnoHub” ค้นหาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพกลุ่มฟินเทคระดับเวิล์ดคลาส ภายใต้แนวคิดหลัก Inspiring Change

Bangkok Bank InnoHub คือโครงการบ่มเพาะ อบรม และพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ หลักสูตรเข้มข้น ระยะเวลา 12 สัปดาห์ เป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรม ด้วยความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงเทพ บัวหลวง เวนเจอร์ส และเนสท์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่


ภาพจากเว็บไซต์ Bangkok Bank InnoHub
  • ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสม
  • สามารถกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
  • จัดหาทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมการเติบโต อาทิ เงินทุน พนักงาน
  • ช่วยเหลือด้านข้อมูลความรู้ ที่ปรึกษา และจัดหาแหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ
โครงการ Bangkok Bank InnoHub ได้เปิดรับผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งไทยและนานาชาติที่เป็นบริษัทจดทะเบียน โดยธนาคารกรุงเทพสนใจกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงิน 3 ด้าน
  • ด้านการชำระเงิน (Payment)
  • การพิสูจน์ตัวตนทางอิเล็กทรนิกส์ (e-KYC)
  • นวัตกรรมใหม่ที่จะนำมาพัฒนาในการบริการลูกค้า เช่น AI และ Machine Learning
บริษัทที่สมัครนั้นได้รับการพิจารณาจากธนาคารกรุงเทพ บัวหลวงเวนเจอ์ และเนสท์ โดยบริษัทสตาร์ทอัพที่ถูกคณะกรรมการคัดเลือก จำนวน 8 ทีม


กลุ่มผู้บริหาร เมนเทอร์ที่เป็นพี่เลี้ยง พาร์ทเนอร์ และสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีม

คุณชาติศิริ โสภณพานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เผย Bangkok Bank InnoHub เป็นโครงการสำคัญที่เปิดรับสมัคร มีผู้เข้าร่วม 119 ทีมจาก 32 ประเทศทั่วโลก เพื่อตอบสนองนโยบายพัฒนา Thailand 4.0 เชื่อว่าโครงการนี้จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ต่อผู้ประกอบการ ลูกค้า และประเทศไทย เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพฟินเทคให้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ยิ่งขึ้น

มร.ลอร์เรนซ์ มอร์แกน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนสท์ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมทางการเงินมีความสำคัญยิ่ง โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จ จากการสนับสนุน 32 ประเทศทั่วโลก และสนับสนุนสภาพแวดล้อม (ecosystem) ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ดร.พนุกร จันทรประภาพ Vice President ฝ่ายการลงทุนธุรกิจ ธนาคารกรุงเทพ เผย โครงการ Bangkok Bank InnoHub เพื่อคัดหาผู้ประกอบกรทางการเงินหรือฟินเทค คณะกรรมการได้คัดเลือก กลั่นกรองเหลือ 8 ทีมสุดท้าย ทุกทีมกล้าคิด กล้าทำ โดยจะใช้เวลาอบรมทั้งสิ้น 12 สัปดาห์

อุตสาหกรรมฟินเทคจะเติบโตต่อไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ช่วยกันพัฒนา Ecosystem ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การดำเนินโครงการนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมฟินเทคก้าวต่อไปในอนาคต


กลุ่มสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีมเข้ารอบ

8 ทีมสุดท้ายที่เป็น Bluefin หรือสุดยอดปลาครีบน้ำเงิน

Wealth Management (สิงคโปร์)
  • Bambu
  • Bento
  • Canopy
Security
  • Covr Security (สวีเดน)
Blockchain
  • EVEREX (ไทย)
Lending
  • First Circle (ฟิลิปปินส์)
P2P Invoice Trading
  • Invoice Interchange (สิงคโปร์)
Mutual Fund Investment
  • FundRadars (ไทย)
ที่มา: Blognone