วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

เปิดราคา SUV ไฟฟ้าล้วน Hyundai KONA Electric อย่างเป็นทางการในไทย เริ่มต้น 1.8 ล้าน

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา Hyundai ได้ประกาศราคาของรถยนต์ SUV ไฟฟ้าล้วน Hyundai KONA electric ที่สหรัฐอเมริกาด้วยราคาเริ่มต้น 36,450 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.15 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดภาษีจากรัฐ) ล่าสุด Hyundai ประเทศไทยได้ประกาศราคารถรุ่นนี้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยเริ่มที่ 1,849,000 บาท

Hyundai KONA electric ที่นำมาทำตลาดในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 รุ่นย่อย คือรุ่น SEL และ SE โดยมีรายละเอียดดังนี้

รุ่น SEL เป็นรุ่นท็อป มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 150 กิโลวัตต์หรือ 204 แรงม้า วิ่งได้ไกล 482 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ทดสอบมาตรฐาน WLTP ที่มาแทนมาตรฐาน NEDC) สำหรับหัวชาร์จเป็นหัวแบบ Type 2 (Mennekes) ใช้เวลาชาร์จ 6 ชั่วโมง 10 นาที ด้วยเครื่องชาร์จขนาด 7.2 กิโลวัตต์ หรือถ้าใช้เครื่องชาร์จเร็วจะชาร์จได้ 80% ในเวลา 54 นาที แต่หากเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านจะใช้เวลาชาร์จถึง 31 ชั่วโมง ราคา 2,259,000 บาท

รุ่น SE เป็นรุ่นเริ่มต้น มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 39.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 100 กิโลวัตต์หรือ 136 แรงม้า วิ่งได้ไกล 312 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ทดสอบมาตรฐาน WLTP เช่นกัน) ใช้เวลาชาร์จ 9 ชั่วโมง 35 นาที ด้วยเครื่องชาร์จขนาด 7.2 กิโลวัตต์ หรือถ้าใช้เครื่องชาร์จเร็วจะชาร์จได้ 80% ในเวลา 54 นาทีเหมือนรุ่น SEL แต่หากเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านจะใช้เวลาชาร์จ 19 ชั่วโมง ราคา 1,849,000 บาท

สามารถชมรถคันจริงได้ที่งาน Motor Show วันที่ 27 มีนาคม - 7 เมษายนนี้


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562

Apple เตรียมเปิดตัว AirPods 2 และ iPad รุ่นใหม่ในวันที่ 25 มีนาคมนี้


รายงานจากสื่อต่างประเทศเผยว่า Apple จะเปิดตัว AirPods และ iPad รุ่นใหม่ในงานวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้พร้อมกับเปิดตัวบริการใหม่ๆ อย่างแมกาซีนหรือหนังรายเดือนด้วย

DigiTimes รายงานว่า Flexible PCB firms Flexium Interconnect และ Zhen Ding Technology จะเป็นสองผู้ผลิต iPad เป็นหลัก ส่วน Compeq Manufacturing และ Unitech PCB จะเป็นผู้ผลิต AirPods รุ่นใหม่หรือ AirPods 2

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า Apple อาจเปิดตัว iPad สองรุ่นใหม่เร็วๆ นี้ ได้แก่ iPad mini 5 และ iPad รุ่นที่ 7 หน้าจอ 10.2 นิ้ว โดยทั้งคู่ถูกจัดอยู่ในตำแหน่ง iPad ระดับเริ่มต้น (หรือหมายถึงราคาถูก) การเปิดตัวรอบนี้จะเน้นไปที่การอัปเกรดสเปกภายในมากกว่ารูปร่างภายนอก

ส่วน AirPods 2 คาดว่าจะใส่เซ็นเซอร์สำหรับการออกกำลังกายเข้าไปมากขึ้น รวมถึงจะรองรับ Wireless charge หรือชาร์จไร้สายด้วย

ที่มา: Beartai

Tesla เปิดตัว Model Y รถ SUV ขนาดเล็ก วิ่งได้ไกล 480 กม. เริ่มส่งมอบปลายปีหน้า

ในที่สุด Tesla ก็เปิดตัวรถยนต์ SUV ขนาดเล็กที่มีข่าวมานานอย่าง Model Y โดยหน้าตาก็เป็นไปตามคาดคือเป็นการเอา Model 3 มาขยายตัวถัง และทำให้สูงขึ้น แบ่งออกเป็น 4 รุ่นย่อย ดังนี้

Performance เป็นรุ่นท็อปสุด เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 3.5 วินาที มาพร้อมมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 450 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ราคาเริ่มต้น 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.9 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ)


Long Range AWD รุ่นรองท็อป เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 4.8 วินาที มาพร้อมมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 450 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ราคาเริ่มต้น 51,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.62 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ)

Long Range RWD รุ่นรองอันดับ 2 เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 5.5 วินาที มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง ความเร็วสูงสุด 209 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 480 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ระยะทางไกลสุดในทุกรุ่นย่อย เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่แบบ Long Range แต่มีมอเตอร์ตัวเดียว ทำให้ประหยัดไฟ) ราคาเริ่มต้น 47,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.49 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ)


Standard Range รุ่นเริ่มต้น เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 5.9 วินาที มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง ความเร็วสูงสุด 193 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 370 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ราคาเริ่มต้น 39,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.24 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ)

ทุกรุ่นย่อยยังไม่รวมออปชันอย่าง Autopilot ที่ต้องซื้อเพิ่มอีก 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือฟีเจอร์ขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving Capability) ที่จะตามมาภายหลังที่ราคา 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ


นอกจากนี้ในช่วงแรกของคีย์โน้ต Elon Musk ยังได้เล่าถึงประวัติของ Tesla ว่าต้องการโชว์ให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องห่วย พร้อมแสดงคำสบประมาทของสื่อเมื่อราว 10 ปีก่อน เทียบกับคำชมในปัจจุบัน


Tesla Model Y สามรุ่นย่อยแรกเปิดให้จองบนเว็บไซต์ Tesla แล้ว โดยคาดว่าจะได้รับรถราวปลายปี 2020 ส่วนรุ่นต่ำสุดจะเปิดให้จองภายหลัง และรับรถราวไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 อย่างไรก็ตาม รอบนี้คาดว่า Tesla ไม่น่าจะเจอปัญหาด้านการผลิตช่วงแรกหนักเหมือน Model 3 เนื่องจาก Model Y มีหลายอย่างที่คล้าย Model 3 นั่นเอง


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2562

5 เหตุผลที่คุณควรลองใช้ React

หลายองค์กรได้เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของตัวเองมาใช้ JavaScript​ Ecosystem มากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกใช้ React เป็น front-end library ทั้งเว็บไซต์ Dek-D ที่เปลี่ยนมาจาก PHP และ Wongnai ที่เปลี่ยนมาจาก Java ด้วยรูปแบบของการพัฒนาซอฟท์แวร์ที่เร็วขึ้นทุกวัน การใช้เทคโนโลยีเก่าอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

หากคุณกำลังสนใจหรือเริ่มศึกษา React เพื่อมาใช้ในงานของตัวเอง ขอเชิญพบกับ 5 เหตุผลดีๆ ที่คุณควรลองใช้ React


1. Reusability แยกส่วนประกอบชัดเจนเพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น

 

แนวคิดของ Component คือการแยกส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ให้เป็นส่วนย่อยๆ เช่น ปุ่มกด กล่องข้อความ ภาพโปรไฟล์ เป็นต้น ซึ่งข้อดีคือ สามารถแบ่งย่อยส่วนงานต่างๆ ให้กับ developer หลายๆ คนเพื่อแบ่งงานกันทำได้ และสามารถ reuse เพื่อใช้ซ้ำในส่วนต่างๆ ของเว็บได้

เช่น modal สำหรับยืนยันการทำรายการ ที่ประกอบไปด้วยข้อความ ปุ่มยืนยัน และปุ่มยกเลิก ซึ่ง modal นี้ต้องใช้ในหลายๆ หน้า เมื่อใช้ React จะมอง modal เป็น component พัฒนาครั้งเดียว และใช้ซ้ำได้ทุกหน้าที่ต้องการ


2. Fast to Learn เริ่มต้นได้รวดเร็ว


React เป็น library ที่จัดการในส่วนของการแสดงผลเท่านั้น กล่าวคือเฉพาะ View ที่อยู่ใน MVC (Model, View, Controller) ทำให้ developer ใช้เวลาศึกษาไม่นานก็สามารถพัฒนาเว็บไซต์ได้


3. Learn Once, Write Anywhere เรียนทีเดียว เขียนได้ทั้ง Stack


เรามักจะคุ้นเคยกับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันแบบดั้งเดิม ที่พัฒนาเว็บไซต์ด้วยภาษา JavaScript โดยมีระบบหลังบ้านด้วยภาษาอื่นๆ ซึ่งในปัจจุบัน JavaScript มี Ecosystem ครอบคลุมทั้งหมด สามารถทำได้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยทีเดียว

ซึ่งถ้าเราพัฒนาบุคลากรเพื่อเรียนรู้ JavaScript ตั้งแต่วันนี้ ก็จะสามารถพัฒนาได้ทั้ง front-end (React), back-end (Node.js) ได้เลยทีเดียว ซึ่งไม่ทำให้ developer ต้องเสียเวลาและเสียพลังในการเรียนรู้หลายภาษา เพื่อจะมาทำได้ทีละอย่างอีกต่อไป


4. React Native


ด้วยความที่ React มีลักษณะการเขียน View โดยไม่ยึดติดกับภาษา HTML ทำให้สามารถใช้โค้ดโครงสร้างเดียวกันแปลงไปเป็น mobile application ด้วย React Native ได้อย่างง่ายและสะดวก ลดเวลาในการพัฒนาแยกในแต่ละ Mobile Platform


5. Redux เครื่องมือทรงพลังในการควบคุม State


หนึ่งใน library ยอดฮิตที่นิยมใช้คู่กับ React เสมอมา นั่นก็คือ Redux ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมสถานะ หรือ state ของ component ต่างๆ ซึ่งทำให้ component แสดงผลข้อมูลได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น และแน่นอนว่าทำให้ชีวิต developer ง่ายขึ้นด้วย

React จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการพัฒนาบุคลากร และพัฒนาความสามารถของเหล่า developer เอง เพราะจะช่วยให้การพัฒนาซอฟท์แวร์ในองค์กรดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานแต่สามารถต่อยอดได้หลายอย่าง และช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาบุคลากรได้มาก

จึงไม่น่าแปลกใจ หาก React จะเป็น JavaScript library ที่คนนิยมใช้กันทั่วโลก ทั้ง Facebook, Airbnb, Spotify, Dropbox — หรือองค์กรในประเทศไทยอย่าง Omise, Kaidee, Dek-D, Wongnai, Lazada เป็นต้น

หากคุณสนใจศึกษา React สามารถศึกษาได้จาก tutorial ทางการของ reactjs.org ได้ เป็น tutorial ที่ทำออกมาดีมากๆ สามารถเรียนแบบ step-by-step ได้ทันที

หรือถ้าไม่อยากเสียเวลาศึกษาเอง ทาง Skooldio เปิด Workshop: Mastering Web Development with React/Redux ในวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม — 1 เมษายนนี้ สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://www.skooldio.com/courses/react-redux-workshop

มาเขียน React กัน!

ที่มา: Skooldio

จีนเตรียมพัฒนาแอพฯ สแกนหา “ลูกหนี้” ในระยะ 500 เมตร ผ่านบริการ WeChat

China Daily เผยรัฐบาลประกาศจีน มีแผนพัฒนาแอพฯ ช่วยสแกนหาบุคคลที่เป็นหนี้ ผ่านบริการหรือแพลตฟอร์ม WeChat ในระยะใกล้ 500 เมตร โดยผู้ใช้สามารถระบุตำแหน่ง และดูข้อมูลส่วนตัวบางส่วนได้ด้วย !!


ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวดังว่า รัฐบาลจีนประกาศใช้โครงการ Social Credit หรือระบบให้คะแนนวัด “ความประพฤติ” ทางสังคมของคนจีนผ่าน Big Data ซึ่งเตรียมใช้จริงทั่วประเทศภายในปี 2020 ล่าสุดเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวของโครงการดังกล่าวแล้ว หลังเร็วๆ นี้ทาง China Daily รายงานว่า ทางรัฐบาลจีนมีแผนพัฒนาแอพฯ ตัวหนึ่ง ช่วยสแกนค้นหาลูกหนี้ในระยะใกล้ !!


“deadbeat debtors” หรือชื่ออย่างไม่เป็นทางการของแอพฯ ดังกล่าว สำหรับตัวแอพฯ สามารถค้นหาลูกหนี้ได้ในระยะ 500 เมตร โดยใช้บริการหรือแพลตฟอร์ม WeChat เป็นหลัก ซึ่งนอกจากจะสแกนหาตำแหน่งได้แล้ว ผู้ใช้แอพฯ ยังสามารถดูข้อมูลส่วนตัวบางส่วนของลูกหนี้ได้อีกด้วย ส่วนจะโชว์ข้อมูลอะไรบ้างนั้น ยังไม่มีการระบุ แต่ที่แน่ๆ คือ มีชื่อของลูกหนี้และตำแหน่งในระยะ 500 เมตร ปรากฎออกมาแน่นอน

ท้ายนี้ตัวแอพฯ จะมีการใช้ในมณฑลเหอเป่ย์ของประเทศจีนก่อน โดยทางด้านโฆษกของศาลมณฑลเหอเป่ยกล่าวว่า “นี้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าเชื่อถือทางสังคม” เมื่ออิงจากโครงการ Social Credit อาจเรียกได้ว่า นี้คงเป็นหนึ่งในตัววัดความประพฤติทางสังคม หากพบว่ามีหนี้แต่ไม่จ่าย คะแนนก็จะลด และเมื่อลดมากๆ ก็อาจจะอยู่ยากขึ้น (อาทิ ทำเรื่องยากขึ้น ซื้อของหรือใช้บริการนั้นๆ ไม่ได้ ฯลฯ) นั้นเองครับ

ที่มา: ARiP

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

อวสาน Windows Mobile ไมโครซอฟท์ประกาศวันหยุดซัพพอร์ต ธ.ค. 2019

ไมโครซอฟท์อัพเดตข้อมูลในเอกสารซัพพอร์ต ระบุวันสิ้นสุดระยะซัพพอร์ตของ Windows Phone/Mobile เวอร์ชันสุดท้ายแล้ว

ระบบปฏิบัติการตัวสุดท้ายในซีรีส์คือ Windows 10 Mobile, version 1709 (Fall Creators Update) ที่ออกในเดือนตุลาคม 2017 ส่วนวันหมดระยะซัพพอร์ตคือ 10 ธันวาคม 2019

หลังจากนั้นไป เราจะไม่ได้เห็นการอัพเดตใดๆ ของ Windows Mobile อีกแล้ว ถือเป็นจุดสิ้นสุดของระบบปฏิบัติการ Windows Phone/Windows Moible อย่างเป็นทางการ

 
ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

3 แนวโน้มการทำงานของ DevOps ในปี 2019

itportal ได้นำเสนอแนวโน้ม 3 ข้อที่ทีม DevOps ต้องเจอในปีหน้าซึ่งทางเราขอสรุปมาให้อ่านกันอีกทีครับ


1. Machine Learning จะเข้ามาช่วยในเรื่องการวิเคราะห์คุณภาพ

 

Machine Learning และ AI จะสามารถตัดแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วน และทำการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการทำ Pipeline Testing เพราะเราเชื่อว่า 80% ของปัญหานั้นมีรูปแบบ ดังนั้นเราสามารถจัดประเภทของปัญหาเป็นกลุ่มได้เพื่อตอบคำถาม เช่น เกิดจากโค้ดห่วย หรือ มีผลไปถึงเรื่องความมั่นคงปลอดภัยหรือไม่ เป็นต้น อีกทั้ง AI ยังจะเข้ามาช่วยในส่วน Continuous Integration ได้ทั้หมดเช่นกันเพราะสามารถบอกภาพรวมได้ว่า Pipeline ทำงานอย่างไรเมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วจะมีผลอย่างไร ซึ่งช่วยลดเวลาได้อย่างมาก

 

2. MicroService จะมีผลกระทบต่อ DevOps กว่าที่เคย

 

MicroService ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่จะมีบทบาทในกลุ่มของ DevOps มากขึ้น ซึ่งอันที่จริงแล้วคอนเซปต์ของ MicroService คือการแบ่งขั้นตอนการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) ออกเป็นส่วนๆ ดังนั้นการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง อัปเดต แต่ละส่วนจะไม่กระทบกัน จึงสามารถแบ่งหน้าที่การทำงานแต่ละส่วนไปพร้อมกันได้

 

3. Continuous Testing จะหันหน้าสู่ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส

 

เครื่องมือที่เสียเงินแบบเดิมไม่ตอบโจทย์การทำ Continuous Testing ที่ต้องสามารถสเกลได้ตาม Requirement และเรื่อง Shift-Left Testing ที่ผันจาก QA มาเป็นหน้าที่ของ Dev อย่างไรก็ตามเครื่องมือแบบโอเพ่นซอร์สสมัยใหม่ เช่น Appium, Selenium, Nightwatch.js, Angular และ Quantum สามารถตอบความต้องการข้างต้นได้ดีกว่าแถมยังมีบางแพลตฟอร์ม เช่น Expresso และ XCUITTest ที่ออกแบบมาเพื่อ Dev ใช้งานโดยเฉพาะด้วย ดังนั้นไม่แปลกใจที่ทำไมโอเพ่นซอร์สจะกลายเป็นเทรนของ DevOps ในปีหน้า

ที่มา: TechTalk

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

iPad Pro รุ่นใหม่ เปิดให้จองแล้ว สินค้าส่งมอบศุกร์ 16 พ.ย. นี้ ตอนนี้มีเฉพาะรุ่น Wi-Fi

น่าจะเป็นสินค้าแอปเปิลที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ที่หลายคนรอคอย โดย iPad Pro รุ่นใหม่ปี 2018 ได้เริ่มเปิดให้สั่งจองสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ Apple Online Store แล้วในวันนี้ โดยสินค้ามีกำหนดเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป หรือสามารถเลือกรับสินค้าได้ที่ Apple Store สาขา Iconsiam

iPad Pro มีให้เลือกสองขนาดหน้าจอคือ 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว ความจุเริ่มต้นตั้งแต่ 64GB ไปจนถึงสูงสุด 1TB ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 28,900 สำหรับจอ 11 นิ้ว และ 35,900 บาท สำหรับจอ 12.9 นิ้ว

ทั้งนี้ในเว็บ Apple Online Store จะมีตัวเลือกให้สั่งซื้อเฉพาะ iPad Pro รุ่น Wi-Fi เท่านั้น ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular ยังไม่มีจำหน่าย

สำหรับราคาอุปกรณ์เสริมนั้น Apple Pencil รุ่นที่ 2 ราคา 4,490 บาท และ Smart Keyboard Folio เริ่มต้น 6,490 บาท


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Google เผย Dark Mode ช่วยประหยัดแบตได้สูงสุดราว 60%, ขอโทษที่ผลักดันแอปสีขาว

ในงาน Android Developer Summit ที่กำลังจัดขึ้น Google ได้พูดถึงประโยชน์ของ Dark Mode หรือ Dark Theme ในแอปที่ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ลงได้มากถึง 60% พร้อมยอมรับความผิดพลาดที่ผ่านมา ที่ผลักดันการดีไซน์แอปที่เน้นสีขาวเป็นหลัก

ตัวอย่างที่ Google ยกมาคือการเล่น YouTube บน Pixel (หน้าจอ AMOLED) ที่ความสว่าง 50% ในโหมดปกติ (สีขาว) จะใช้พลังงานไฟฟ้า 193mA ส่วนใน Dark Mode ใช้พลังงานที่ 185mA (ลดลง 4%) แต่เมื่อเปิดความสว่างสุด โหมดปกติจะกินพลังงานที่ 343mA ขณะที่ Dark Mode กินพลังงานแค่ 197mA (ลดลง 43%) หรือใน Google Maps ที่ความสว่างสุด โหมดปกติกินพลังงาน 250mA ส่วน Night Mode กินพลังงานแค่ 92mA น้อยลงถึง 63%


ปัจจัยสำคัญก็คือแพแนลของ OLED ที่ไม่มีการปล่อยแสงออกมาเมื่อแสดงผลสีดำ ทำให้ใน Dark Mode ตัวหน้าจอกินพลังงานลดลง รวมถึงน้อยกว่าหน้าจอ LCD ใน iPhone 7 ที่เม็ดพิกเซลยังต้องแสดงผลสีดำ และถูกยกขึ้นมาเทียบว่ากินพลังงานแทบไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะโหมดปกติหรือ Dark Mode

แน่นอน Google ยอมรับผิดในเรื่องนี้หลังไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ผลักดันแนวทางการออกแบบที่เน้นสีขาวเป็นหลัก นับตั้งแต่การเปิดตัว Material Design จึงเป็นไปได้ว่า Google น่าจะทยอยออก Dark Mode ให้กับแอปของตัวเองมากขึ้น รวมถึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการออกแบบแอปในอนาคตด้วย


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Google Kubernetes Engine (GKE) รองรับ Containerd แล้ว

Google Kubernetes Engine (GKE) บริการ Kubernetes ของ Google Cloud Platform ประกาศรองรับ Containerd แล้ว

Containerd คือเดมอน/รันไทม์สำหรับรันคอนเทนเนอร์ เดิมทีมันเป็นส่วนหนึ่งของ Docker Engine แต่ภายหลัง Docker บริจาคโครงการให้กับมูลนิธิ Cloud Native Computing Foundation (CNCF) เพื่อเป็นมาตรฐานกลางของวงการ

ความสำคัญของ Containerd คือ Kubernetes สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมี Docker ตัวเต็ม (เพราะใช้ Containerd ก็พอเพียง), ลดการใช้ทรัพยากรโดยรวมลง รองรับจำนวนคอนเทนเนอร์ได้มากขึ้นบนเครื่องขนาดเดิม ส่วนในแง่การใช้งานคงไม่ต่างจากเดิมนัก เพราะ Kubernetes จัดการผ่าน API ให้หมดแล้ว เพียงแต่ในแง่การจัดการต้องใช้เครื่องมือคอมมานด์ไลน์ตัวใหม่คือ crictl ที่ GKE จะติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน

ตอนนี้ GKE เริ่มรองรับ Containerd แบบเบต้า โดยต้องใช้กับ Kubernetes เวอร์ชัน 1.11 ขึ้นไป (เวอร์ชันล่าสุดในปัจจุบันคือ 1.12) แต่กูเกิลก็ประกาศว่าจะเปลี่ยนจาก Docker มาเป็น Containerd ในระยะยาว โดยยังไม่ระบุช่วงเวลาที่ชัดเจนว่าเมื่อไร


ภาพจาก Docker จะเห็นว่า Containerd เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของ Container Engine ที่มีองค์ประกอบอื่นด้วย

ที่มา: Blognone