วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562

มาดูกันซิ!! ว่า iOS 13 และ iPadOS 13 มีฟีเจอร์ไหนที่ยืมมาจาก Android บ้าง??



หลังจากที่ iOS 13 และ iPadOS 13 เปิดตัวในงาน WWDC 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้ปล่อยความสามารถใหม่ๆ ออกมาจำนวนมาก โดยมีบางฟีเจอร์อาจจะคล้ายๆ หรือยืมไอเดียมาจากฝั่ง Android ด้วย วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีฟีเจอร์ไหนบ้างที่ยืมมา

การรองรับ OTG USB

 

ฟีเจอร์การรองรับ OTG นี้ มีใน Android มาได้สักพักแล้ว ทำให้การถ่ายโอนไฟล์จากเครื่องลงสู่ Flash Drive หรือ Hard Drive ได้สะดวกแล้วรวดเร็วยิ่งขึ้น โดย Apple จะนำฟีเจอร์นี้มาอยู่บน iPadOS 13 ซึ่งจะทำให้แอปต่างๆ สามารถรับไฟล์ได้โดยตรงจาก Drive หรือ SD Card ได้โดยตรงเลย


Swipe Keyboard หรือ คีย์บอร์ดอัจฉริยะ

 

คีย์บอร์ดนี้ไม่ใช้คีย์บอร์ดแบบธรรมดาๆ โดยทั่วไป คีย์บอร์ดนี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถลากนิ้วไปตามตัวอักษรเพื่อพิมพ์เป็นคำหรือประโยคต่างๆ โดยไม่ต้องยกนิ้วจากจอได้ ซึ่งก่อนหน้านี้บน Android ก็มีทั้งที่เป็นคีย์บอร์ดบน Stock Rom และที่เป็นคีย์บอร์ดเสริมจากนักพัฒนาต่างๆ จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้เอง Google ได้ปล่อย Gboard ของ Google ที่มีฟีเจอร์นี้ด้วย ขึ้นไปบน App Store เยือนถึงหน้าบ้าน

และล่าสุดใน iOS 13 และ iPadOS 13 Apple ก็จะนำฟีเจอร์ดังกล่าวมาลงในคีย์บอร์ดดั่งเดิมของตัวเครื่องด้วย

วิดเจ็ตบนหน้าจอโฮม

 


ถึงก่อนหน้านี้จะมีวิดเจ็ตบน iOS ต่างๆ มากมายก็ตาม แต่ผู้ใช้หลายคนอาจจะไม่เคยใช้หรือเห็นหน้าตาของตัววิดเจ็ตเลย เพราะมันถูกแยกไปไว้อีกหน้านึงทำให้ซับซ้อนสำหรับใครหลายๆ คน ซึ่งบน iPadOS นี้ Apple จะนำวิดเจ็ตที่ถูกแยกไปก่อนหน้านี้ให้สามารถมาวางไว้ที่หน้าโฮมได้ โดยคล้ายๆ กับ Android ที่สามารถทำได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว 

 

Dark Mode

 

โหมดที่อันที่จริง Android ก็เพิ่งจะประกาศเปิดตัวฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการใน Android Q ที่จะเปิดให้ใช้กันอีกไม่กี่เดือนนี้ แต่ว่าก่อนหน้านี้ก็ได้มี OEM หลายรายได้ทำไปก่อนหน้านี้แล้วใน Android Pie ตั้งแต่ปีที่แล้ว


โดยโหมดนี้สำหรับใน iPhone ที่ใช้จอ OLED จะมีประโยชน์มาก ที่จะช่วยในการประหยัดแบตเตอรี่ในพิกเซลที่เป็นสีดำ

Street View

 

ฟีเจอร์นี้จะมาอยู่ใน Apple Maps ในชื่อว่า Look Around หลังจาก Google ได้มีฟีเจอร์นี้บน Google Maps มาเกือบทศวรรษแล้ว และแน่นอนว่าตอนนี้เพิ่งเป็นการเริ่มต้นสิ่งนี้จากฝั่ง Apple ข้อมูลต่างๆ ก็อาจจะไม่ได้มากเหมือน Google Maps ที่ทำมาหลายปีแล้ว แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าฟีเจอร์นี้จะพัฒนาไปถึงจุดไหน


ที่มา: Beartai

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

LINE บนมือถือรองรับฟีเจอร์ OCR แปลงรูปเป็นข้อความแล้ว พร้อมแปลภาษาให้ในตัว

หลังเปิดตัวฟีเจอร์ OCR มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วบนเดสก์ท็อป ก่อนจะรองรับภาษาอังกฤษและไทยเมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดฟีเจอร์ OCR ของ LINE สามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้แล้วทั้ง iOS และ Android

การใช้งานฟีเจอร์นี้ จะมีทั้งเป็นโหมด OCR เมื่อเปิดกล้อง หรือเลือกให้อ่านข้อความจากรูปภาพที่ส่งกันในแชทก็ได้ โดยเลือกตัวเลือก [T] บริเวณขวาบนเมื่อกดดูรูปแบบเต็มจอ

ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแค่แปลงตัวหนังสือในรูปออกมาเป็นข้อความเท่านั้น ยังรองรับการแปลให้ด้วย โดยภาษาที่รองรับ OCR ก็มีญี่ปุ่น, เกาหลี, ไทย, อังกฤษ, จีน (ตัวเต็ม, ตัวย่อ) และอินโดนีเซีย ส่วนภาษาที่สามารถแปลออกมาได้ก็มี 6 ภาษาข้างต้น รวมถึงสเปน, โปรตุเกส, เยอรมัน, รัสเซีย, เมียนมาร์, เวียดนาม, อารบิก, เปอร์เซียและฮินดู


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

DevOps หลบไป Azure ML เพิ่มฟีเจอร์ "MLOps" สำหรับงานเทรนโมเดล AI อัตโนมัติ

ทุกวันนี้คำว่า DevOps (development + operations) ได้รับความนิยมในวงกว้างมากขึ้น ในวงการ AI เองก็มีคำว่า MLOps (machine learning + operations) ที่เริ่มเป็นที่รู้จักเช่นกัน

สัปดาห์ที่แล้ว ไมโครซอฟท์ประกาศฟีเจอร์ใหม่ของ Azure Machine Learning โดยเน้นที่กระบวนการเทรนโมเดลให้อัตโนมัติมากขึ้น

ฟีเจอร์สำคัญคือการผนวกเอา Azure DevOps โดยเฉพาะด้าน CI/CD มาใช้กับงาน machine learning ด้วย เพื่อให้ตลอดอายุงาน (machine learning lifecycle) ทำงานต่อเนื่อง ตั้งแต่การสร้างโมเดล พิสูจน์การทำงานของโมเดล ดีพลอย และการเทรนซ้ำ

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเพิ่มเครื่องมือแบบ GUI ให้ใช้ออกแบบ flow ทั้งหมดของกระบวนการเทรนโมเดล สามารถลากวัตถุมาเชื่อมต่อกันได้แบบไม่ต้องเขียนโค้ดใดๆ ซึ่งจะช่วยให้งานด้าน AI เข้าถึงคนในวงกว้างมากขึ้น


ที่มา: Blognone

หุ่นยนต์ Delivery ได้รับอนุญาตให้ใช้งานบนทางเท้าภายในรัฐวอชิงตันแล้ว


รัฐวอชิงตันได้กลายเป็นรัฐที่แปดในสหรัฐที่อนุญาตให้ใช้งานหุ่นยนต์ Delivery บนทางเท้าและทางม้าลาย โดย Jay Inslee ผู้ว่าการรัฐวอชิงตันได้ลงนามในเรื่องนี้ หลังจากได้รับการสนับสนุนโดยบริษัท Starship Technologies ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและการขนส่งภายในท้องถิ่น

หุ่นยนต์ Delivery ถูกนำมาใช้เพื่อหวังจะลดความแออัดและมลพิษภายในเมือง เนื่องจากหุ่นยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งการอนุญาตให้มีการใช้งานหุ่นยนต์ Delivery ในเมืองยังช่วยให้บริษัทขนส่งในท้องถิ่นมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น เนื่องจากทำให้บริษัทขนาดเล็กที่ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดส่ง สามารถใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยทดแทนได้


แม้จะมีความกังวลว่าหุ่นยนต์อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ทางเท้า แต่ตัวหุ่นยนต์ก็ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ ทั้งการใช้เทคโนโลยีด้าน computer vision, GPS รวมไปถึง machine learning โดยหุ่นยนต์สามารถสร้างแผนที่จากสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว เพื่อนำทางในพื้นที่แออัดและหลีกเลี่ยงสิ่งขีดขวางต่างๆ

รัฐเวอร์จิเนียเป็นรัฐแรกในสหรัฐที่เริ่มอนุญาตให้นำหุ่นยนต์ Delivery มาใช้งานตั้งแต่ปี 2017 ตามมาด้วยรัฐไอดาโฮ วิสคอนซิน ฟลอริดา โอไฮโอ ยูทาห์ และแอริโซนา แต่สำหรับบางรัฐ เช่น รัฐซานฟรานซิสโก ยังคงอยู่ในระหว่างพิจารณาข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้อง

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562

LINE บน iOS สามารถแคปแชตอย่างยาวได้แล้วด้วยฟีเจอร์ “Capture”


เมื่อปีที่ผ่านมา LINE ได้ออกฟีเจอร์ Chat Capture สำหรับผู้ใช้ iOS ในสถานะทดลองใน LINE Labs


สำหรับฟีเจอร์นี้ จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพหน้าจอแชตเฉพาะช่วงที่ต้องการได้อย่างง่ายได้ โดยไม่ต้องผ่านแอปอะไรเลย นอกจากนี้ยังสามารถซ่อนชื่อของผู้สนทนาได้ด้วย


โดยในครั้งนี้ LINE ได้นำฟีเจอร์ Chat Capture ออกจากสถานะทดลองใน LINE Labs เป็นฟีเจอร์หลักที่เปิดใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคนเป็นค่าเริ่มต้น ใน LINE บน iOS เวอร์ชั่น 9.4.0 ขึ้นไป

ที่มา: Beartai

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562

เปิดตัวบัตรเครดิต Apple Card ชูดอกเบี้ยต่ำ ไม่มีค่าธรรมเนียม และคืนเงิน 3% เมื่อซื้อสินค้า Apple


ในงาน It’s Show Time ที่ผ่านมา ทาง Apple เปิดตัว Service หรือบริการใหม่ของตัวเองหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นมีบริการหนึ่ง ที่อาจทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องหันควับมาทันทีคือ Apple Card บริการบัตรเครดิตส่งตรงจาก Apple

อาจเรียกได้ว่าเป็นภาคต่อของ Apple Pay บริการธุรกรรมออนไลน์ ที่เคยรองรับบริการบัตรเครดิตจากเจ้าอื่นมานาน ในที่สุดก็มีบริการบัตรเครดิตของตัวเองอย่าง Apple Card โดยจับมือกับทาง Mastercard และธนาคาร Golman Sachs ของสหรัฐฯ

ตัว Apple Card จะเน้นการใช้งานผ่านแอพฯ Wallet เป็นหลัก ซึ่งมีจุดเด่นคือ ใช้งานง่าย มีระบบช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงิน ระบบความปลอดภัยกับความเป็นส่วนตัวสูง โดยข้อมูลทุกอย่างจะถูกเก็บไว้ในชิป T2 ของอุปกรณ์ Apple และจะไม่มีการเอาข้อมูลผู้ใช้ไปให้บริษัทอื่น (ทำประกัน…) ด้วย
 
ส่วนความน่าใช้ของตัว Apple Card ก็มี สมัครใช้งานง่าย ดอกเบี้ยต่ำกว่าบัตรเครดิตอื่นๆ ไม่มีค่าธรรมเนียมอะไรทั้งนั้น มี Cash Back หรือเครดิตเงินคืน 2% เมื่อใช้จ่ายด้วย Apple Card และหากนำไปใช้จ่ายกับบริการหรือสินค้าของ Apple ก็จะมีเครดิตเงินคืนให้ 3% กันเลย
สุดท้ายนี้ตัว Apple Card จะเปิดให้ใช้บริการช่วงกลางปีนี้ (ในไทยรอ Apple Pay ต่อไป…) และทั้งนี้หากใครไม่สะดวกใช้งานบัตรจำลองบนแอพฯ ทาง Apple ก็มีบัตรแข็ง Apple Card แบบจับต้องได้ให้ใช้ด้วย โดยเป็นตัวบัตรไททาเนียมแข็งแรงทนทาน ซึ่งมีแต่ชื่อผู้ใช้อย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากใช้งานผ่านบัตรนี้ ก็จะได้เครดิตเงินคืน 1% แทนครับ

ที่มา: ARiP

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

After Effects เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ลบวัตถุในวิดีโอได้!


Adobe ได้โชว์ความล้ำเข้าไปอีกขั้นผ่านผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หากินของตนอย่าง After Effects ด้วยการผสานพลังของ Machine Learning ทำให้ตอนนี้ผู้ใช้สามารถลบวัตถุที่ไม่ต้องการบนวิดีโอได้แล้วด้วยฟีเจอร์เครื่องมือใหม่ในชื่อ “Content-Aware Fill”


ฟีเจอร์ดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นโดย Adobe Sensei เครื่องมือด้าน AI ของอโดบี โดยเครื่องมือ Content-Aware  Fill นั้นก็เป็นการใช้ความสามารถของ Machine Learning (อัลกรอริทึ่มที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้และประเมินสิ่งต่างๆ ผ่านการป้อนข้อมูล) ซึ่งวิธีการทำบน After Effect ผู้ใช้เพียงแค่ทำการ Mask บริเวณที่ต้องการลบออกไปและทำการรันเครื่องมือดังกล่าว เท่านี้วิดีโอเคลื่อนไหวของเราก็จะมีวัตถุปรากฎอยู่แค่เท่าที่เราต้องการและในบริเวณที่หายไปก็จะถูกทดแทนด้วยพิกเซลที่ทางฟีเจอร์นี้สรรค์สร้างขึ้นมา ซึ่งก็เนียนใช้ได้เลยแหละ


สำหรับใครที่ต้องการทดลองเครื่องมือ Content-Aware Fill ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่นล่าสุดของ After Effect ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ 

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

เปิดราคา SUV ไฟฟ้าล้วน Hyundai KONA Electric อย่างเป็นทางการในไทย เริ่มต้น 1.8 ล้าน

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา Hyundai ได้ประกาศราคาของรถยนต์ SUV ไฟฟ้าล้วน Hyundai KONA electric ที่สหรัฐอเมริกาด้วยราคาเริ่มต้น 36,450 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.15 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดภาษีจากรัฐ) ล่าสุด Hyundai ประเทศไทยได้ประกาศราคารถรุ่นนี้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยเริ่มที่ 1,849,000 บาท

Hyundai KONA electric ที่นำมาทำตลาดในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 รุ่นย่อย คือรุ่น SEL และ SE โดยมีรายละเอียดดังนี้

รุ่น SEL เป็นรุ่นท็อป มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 150 กิโลวัตต์หรือ 204 แรงม้า วิ่งได้ไกล 482 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ทดสอบมาตรฐาน WLTP ที่มาแทนมาตรฐาน NEDC) สำหรับหัวชาร์จเป็นหัวแบบ Type 2 (Mennekes) ใช้เวลาชาร์จ 6 ชั่วโมง 10 นาที ด้วยเครื่องชาร์จขนาด 7.2 กิโลวัตต์ หรือถ้าใช้เครื่องชาร์จเร็วจะชาร์จได้ 80% ในเวลา 54 นาที แต่หากเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านจะใช้เวลาชาร์จถึง 31 ชั่วโมง ราคา 2,259,000 บาท

รุ่น SE เป็นรุ่นเริ่มต้น มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 39.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 100 กิโลวัตต์หรือ 136 แรงม้า วิ่งได้ไกล 312 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ทดสอบมาตรฐาน WLTP เช่นกัน) ใช้เวลาชาร์จ 9 ชั่วโมง 35 นาที ด้วยเครื่องชาร์จขนาด 7.2 กิโลวัตต์ หรือถ้าใช้เครื่องชาร์จเร็วจะชาร์จได้ 80% ในเวลา 54 นาทีเหมือนรุ่น SEL แต่หากเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านจะใช้เวลาชาร์จ 19 ชั่วโมง ราคา 1,849,000 บาท

สามารถชมรถคันจริงได้ที่งาน Motor Show วันที่ 27 มีนาคม - 7 เมษายนนี้


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562

Apple เตรียมเปิดตัว AirPods 2 และ iPad รุ่นใหม่ในวันที่ 25 มีนาคมนี้


รายงานจากสื่อต่างประเทศเผยว่า Apple จะเปิดตัว AirPods และ iPad รุ่นใหม่ในงานวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้พร้อมกับเปิดตัวบริการใหม่ๆ อย่างแมกาซีนหรือหนังรายเดือนด้วย

DigiTimes รายงานว่า Flexible PCB firms Flexium Interconnect และ Zhen Ding Technology จะเป็นสองผู้ผลิต iPad เป็นหลัก ส่วน Compeq Manufacturing และ Unitech PCB จะเป็นผู้ผลิต AirPods รุ่นใหม่หรือ AirPods 2

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า Apple อาจเปิดตัว iPad สองรุ่นใหม่เร็วๆ นี้ ได้แก่ iPad mini 5 และ iPad รุ่นที่ 7 หน้าจอ 10.2 นิ้ว โดยทั้งคู่ถูกจัดอยู่ในตำแหน่ง iPad ระดับเริ่มต้น (หรือหมายถึงราคาถูก) การเปิดตัวรอบนี้จะเน้นไปที่การอัปเกรดสเปกภายในมากกว่ารูปร่างภายนอก

ส่วน AirPods 2 คาดว่าจะใส่เซ็นเซอร์สำหรับการออกกำลังกายเข้าไปมากขึ้น รวมถึงจะรองรับ Wireless charge หรือชาร์จไร้สายด้วย

ที่มา: Beartai

Tesla เปิดตัว Model Y รถ SUV ขนาดเล็ก วิ่งได้ไกล 480 กม. เริ่มส่งมอบปลายปีหน้า

ในที่สุด Tesla ก็เปิดตัวรถยนต์ SUV ขนาดเล็กที่มีข่าวมานานอย่าง Model Y โดยหน้าตาก็เป็นไปตามคาดคือเป็นการเอา Model 3 มาขยายตัวถัง และทำให้สูงขึ้น แบ่งออกเป็น 4 รุ่นย่อย ดังนี้

Performance เป็นรุ่นท็อปสุด เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 3.5 วินาที มาพร้อมมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 450 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ราคาเริ่มต้น 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.9 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ)


Long Range AWD รุ่นรองท็อป เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 4.8 วินาที มาพร้อมมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 450 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ราคาเริ่มต้น 51,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.62 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ)

Long Range RWD รุ่นรองอันดับ 2 เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 5.5 วินาที มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง ความเร็วสูงสุด 209 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 480 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ระยะทางไกลสุดในทุกรุ่นย่อย เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่แบบ Long Range แต่มีมอเตอร์ตัวเดียว ทำให้ประหยัดไฟ) ราคาเริ่มต้น 47,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.49 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ)


Standard Range รุ่นเริ่มต้น เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 5.9 วินาที มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง ความเร็วสูงสุด 193 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 370 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ราคาเริ่มต้น 39,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.24 ล้านบาท (ยังไม่รวมส่วนลดจากรัฐ)

ทุกรุ่นย่อยยังไม่รวมออปชันอย่าง Autopilot ที่ต้องซื้อเพิ่มอีก 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือฟีเจอร์ขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving Capability) ที่จะตามมาภายหลังที่ราคา 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ


นอกจากนี้ในช่วงแรกของคีย์โน้ต Elon Musk ยังได้เล่าถึงประวัติของ Tesla ว่าต้องการโชว์ให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องห่วย พร้อมแสดงคำสบประมาทของสื่อเมื่อราว 10 ปีก่อน เทียบกับคำชมในปัจจุบัน


Tesla Model Y สามรุ่นย่อยแรกเปิดให้จองบนเว็บไซต์ Tesla แล้ว โดยคาดว่าจะได้รับรถราวปลายปี 2020 ส่วนรุ่นต่ำสุดจะเปิดให้จองภายหลัง และรับรถราวไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 อย่างไรก็ตาม รอบนี้คาดว่า Tesla ไม่น่าจะเจอปัญหาด้านการผลิตช่วงแรกหนักเหมือน Model 3 เนื่องจาก Model Y มีหลายอย่างที่คล้าย Model 3 นั่นเอง


ที่มา: Blognone