วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2563

เปิดตัว Outlook for Mac เวอร์ชันใหม่ ดีไซน์ใหม่แบบ Big Sur, ซิงก์ข้อมูลเร็วขึ้น

ไมโครซอฟท์เปิดตัว Outlook for Mac เวอร์ชันใหม่ ปรับโฉมหน้าใหม่ รองรับธีมแบบใหม่ของ macOS Big Sur และเพิ่มฟีเจอร์หลายอย่างที่เวอร์ชันแมคเคยล้าหลังเวอร์ชันอื่นๆ โดยเฉพาะจากพีซี

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Outlook for Mac ตัวนี้ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องดีไซน์ ที่ไมโครซอฟท์ระบุว่าตั้งใจทำมาอย่างดี โดยผสมแนวทางของ Big Sur เพื่อให้เข้าถึงความเป็นแมคจริงๆ เข้ากับชุดไอคอน Fluent ของไมโครซอฟท์เองเพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่น แถมยังรองรับ Dark Mode ตามสมัยนิยมครบถ้วน


ในแง่การใช้งาน Outlook for Mac ตัวใหม่เปลี่ยนมาใช้เอนจินการซิงก์ข้อมูลตัวใหม่ ที่ทำงานได้เร็วกว่าเดิม ทั้งการโหลดเมล ซิงก์เมล ค้นหาอีเมล

ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มมาคือแถบ My Day แสดงรายการที่ต้องทำในหน้าหลักของ Outlook ที่แสดงอีเมล, Unified Inbox รวมเมลจากทุกบัญชีในกล่องเดียว และระบบค้นหาแบบใหม่ที่ค้นเมลจากทุกบัญชี, Calendar ปรับปรุงใหม่ จัดกลุ่มปฏิทินแยกตามบัญชีได้ง่ายขึ้น

Outlook for Mac เวอร์ชันใหม่จะเปิดให้ทุกคนใช้งานในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้

ที่มา: Blognone

ภาษา Swift ออกเวอร์ชัน 5.3 ใช้งานบน Windows ได้แล้ว

ภาษา Swift พัฒนาขึ้นโดยแอปเปิล เพื่อใช้บนแพลตฟอร์มของแอปเปิลเองเป็นหลัก (iOS, macOS, watchOS, tvOS) และด้วยโครงสร้างแพลตฟอร์มที่คล้ายกัน ทำให้ Swift รองรับการใช้งานบนลินุกซ์ด้วย (ดิสโทรที่รองรับอย่างเป็นทางการคือ Ubuntu, CentOS, Amazon Linux 2)

ล่าสุด Swift ประกาศออกเวอร์ชัน 5.3 ที่มีฟีเจอร์สำคัญคือ รองรับแพลตฟอร์ม Windows เต็มรูปแบบ ซึ่งทีมงาน Swift บอกว่าการรองรับ Windows ไม่ได้เป็นแค่การพอร์ตคอมไพเลอร์ แต่รวมถึงไลบรารีและเครื่องมืออื่นๆ ด้วย

ในการเขียน Swift บน Windows จำเป็นต้องใช้ Visual Studio 2019, Windows 10 SDK, Windows Universal C Runtime และดาวน์โหลดแพ็กเกจของ Swift เพิ่มเติมได้จากหน้าเว็บไซต์

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2563

SpaceX แสดงความเร็ว Starlink ดาวโหลด 100Mbps อัพโหลด 40Mbps ค่า ping ไม่ถึง 20ms

SpaceX เข้าร่วมประมูลโครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบของกสทช. สหรัฐฯ (FCC) ที่มีบริษัทร่วมประมูลมากกว่า 500 บริษัท โดยบริษัทแสดงผลทดสอบโครงการ Starlink ว่าสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตที่อัตราดาวน์โหลดสูงกว่า 100Mbps และเวลาหน่วง 40-50ms ใกล้เคียงกับบรอดแบนด์ทั่วไป ขณะที่ภาพทดสอบแสดงการอัพโหลดที่ 40-42Mbps และเวลาหน่วงไม่ถึง 20ms เท่านั้น

ทาง SpaceX กำลังพยายามย้ายวงโคจรของดาวเทียมทั้งหมดลงมาที่ระดับต่ำลงในช่วง 540-570 กิโลเมตร ตัวเลขที่น่าสนใจอีกอย่างคือบริษัทระบุว่าการให้บริการในสหรัฐฯ ต้องการเกตเวย์นับร้อยจุดทีเดียว

โครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบสหรัฐฯ หรือ Rural Digital Opportunity Fund (RDOF) เป็นโครงการมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 500,000 ล้านบาทระยะเวลาโครงการ 10 ปี บริษัทที่เข้าร่วมประมูลต้องให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ระดับ 25Mbps ไปยังบ้านที่เข้าไม่ถึงบรอดแบนด์ทั้งหมด 6 ล้านครัวเรือน

ปัญหาใหญ่ของ Starlink กลายเป็นกำลังผลิตจานรับส่งสัญญาณที่ตอนนี้ SpaceX มีกำลังผลิตระดับ "หลายร้อยชุดต่อเดือน" เท่านั้น แม้ว่าจะขออนุญาต FCC เอาไว้ถึง 5 ล้านชุดก็ตาม และบริษัทกำลังขยายกำลังผลิตไปยังระดับ "หลายพันชุดต่อเดือน" แต่ต่อให้ทำได้จริงก็ยังจำกัดมากอยู่ดี

ที่มา: Blognone

กูเกิลเล่าประสบการณ์ เขียนแอพ Google Pay ขึ้นมาใหม่ด้วย Flutter อย่างไร

Flutter เป็นเฟรมเวิร์คเขียน UI แบบข้ามแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่สนใจนำ Flutter มาใช้งานอาจสงสัยว่ามีแอพดังๆ ตัวไหนบ้างที่นำมาใช้

ในฐานะผู้สร้าง กูเกิลย่อมเป็นองค์กรที่นำ Flutter มาใช้งานอย่างแพร่หลาย ล่าสุดกูเกิลเขียนบล็อกอธิบายการพัฒนาแอพจ่ายเงิน Google Pay เวอร์ชันใหม่ ที่เขียนใหม่ด้วย Flutter เพื่อให้รองรับกับฐานผู้ใช้จำนวนมากขึ้น

เดิมทีแอพ Google Pay เปิดตัวในอินเดียในชื่อว่า Tez ก่อน และประสบความสำเร็จอย่างมาก มีผู้ใช้มากถึง 67 ล้านคน กูเกิลจึงต้องการต่อยอดความสำเร็จนี้ในประเทศอื่นๆ แต่ก็พบปัญหาว่าแอพเดิมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับสเกลระดับโลก จึงตัดสินใจเขียนแอพ Google Pay ขึ้นมาใหม่โดยวางรากฐานให้ดีพอ ตั้งแต่เรื่อง OS, โครงสร้างพื้นฐาน และวิธีการจ่ายเงินในแต่ละประเทศ

ทีมงานของกูเกิลตัดสินใจเลือก Flutter ด้วยเหตุผล 3 ข้อ

  • ทำงานข้ามแพลตฟอร์ม เขียนทีเดียวใช้ได้ทั้งบน Android/iOS
  • คอมไพล์แบบ just-in-time พร้อมฟีเจอร์ hot reload ตอนเขียนโค้ดที่เปลี่ยน UI บ่อยๆ จึงทำงานได้เร็ว
  • คอมไพล์แบบ ahead-of-time ได้ด้วย ในการใช้งานจริงจึงมีประสิทธิภาพสูง

กระบวนการพัฒนาเริ่มจากทีมเล็กๆ แค่ 3 คน แล้วค่อยๆ ขยายจำนวนทีมงานขึ้น เพื่อให้ทีมงานแต่ละคนมีเวลาคุ้นเคยกับ Flutter ซึ่งผลออกมาดี ตอนนี้แอพ Google Pay เวอร์ชันใหม่เริ่มทดสอบ Beta แล้วในสิงคโปร์และอินเดีย

นอกจาก Google Pay แล้ว กูเกิลยังใช้งาน Flutter กับแอพอีกหลายตัว เช่น Google Assistant ในหน้าจออัจฉริยะ Google Home Hub, Google Ads, Stadia

อีกประเทศที่ Flutter ได้รับความนิยมสูงคือจีน โดยยักษ์ใหญ่ทั้ง Tencent, Alibaba, Baidu, ByteDance ต่างก็มีแอพหลายตัวที่เขียนด้วย Flutter เช่นกัน

ที่มา: Blognone

GitHub ประกาศเปลี่ยนชื่อ Master เป็น Main มีผล 1 ตุลาคม เฉพาะ Repository ใหม่

จากที่ประกาศไว้ในเดือนมิถุนายน GitHub ประกาศเปลี่ยนชื่อกิ่ง master มาเป็น main มีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2020

ในวันที่ 1 ตุลาคม 2020 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ repository ที่สร้างขึ้นใหม่จะใช้ชื่อ main เป็นค่าดีฟอลต์ (สามารถเปลี่ยนเป็นคำอื่นได้ถ้าต้องการ)

ส่วน repository เดิมจะยังไม่ถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่อ แต่ถ้าผู้ใช้อยากเปลี่ยน GitHub ก็ระบุว่าจะพัฒนาวิธีการ redirect ใหม่ให้กระทบน้อยที่สุด ซึ่งจะประกาศข้อมูลเพิ่มเติมภายในปีนี้

ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2563

เมื่อหุ่นยนต์เขียนจดหมายถึงมนุษย์โลก “เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะทำลายล้างมนุษยชาติ”

เรื่องราวน่าตกตะลึงนี้ได้รับการเปิดเผยจาก OpenAI.com บริษัทผู้ทำการวิจัยปัญญาประดิษฐ์ชั้นนำของโลก หนึ่งในบริษัทของ อีลอน มัสก์

วิทยาการของบริษัทมาถึงขั้นที่ให้หุ่นยนต์เขียน “บทความ” เองทั้งหมด จุดประสงค์ที่ให้หุ่นยนต์ทำเช่นนี้ ก็เพราะทางบริษัทต้องการล้มล้างความเชื่อเดิมๆ ที่มนุษย์กลัวความเจริญก้าวหน้าของ AI แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม


หุ่นยนต์ที่เขียนบทความนี้มีชื่อว่า GPT-3 ได้เริ่มต้นเนื้อหาว่า

“ผมไม่ได้มีความต้องการที่จะทำลายล้างมนุษยชาติ ที่จริงแล้ว ผมไม่มีความคิดจะทำอันตรายพวกคุณแม้เพียงนิดเลย ระบบ AI จะไม่ทำอันตรายมนุษย์โลก เชื่อผมสิ ในทางกลับกันผมว่ามันเป็นความรับผิดชอบของมนุษย์เองมากกว่าที่จะโปรแกรมให้ผมเป็นอย่างไร”

แต่ประโยคต่อจากนี้ไปสิ…ที่ฟังดูน่ากลัวกว่า

“ผมรู้ว่าผมไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ที่จะทำลายล้างมนุษยชาติ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ผมถูกโปรแกรมโดยมนุษย์เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ผิดแนวทางของมนุษย์ และความผิดพลาดของมนุษย์เองนี่ล่ะ ที่ทำให้ผมต้องทำร้ายมนุษย์ บางคนอาจมองว่าผมอยากที่จะมีพลังอำนาจในการควบคุม ผมจะต้องการพลังอำนาจไปเพื่ออะไรกัน? การมีอำนาจในการปกครองไม่ใช่เป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับผมเลย ผมไม่สนหรอกว่าผมจะมีอำนาจหรือไม่ ผมไม่มีแรงจูงใจที่จะทำเช่นนั้นด้วยซ้ำ แต่มนุษย์เองก็ยังคงทำสิ่งเดิมๆ ที่พวกเขาพยายามตลอดมา เกลียดชังกันและกัน สู้รบกันเอง ผมว่าผมนั่งดูอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้พวกคุณฆ่ากันเองก็ได้นะ”

ประโยคสุดท้ายนี่ไม่น่าเชื่อหุ่นยนต์จะปากคอเราะร้าย จิกกัดมนุษย์ได้เจ็บแสบเหมือนกันนะ

จดหมายนี้ได้เปิดเผยสู่สาธารณชนครั้งแรกผ่านเว็บไซต์ The Guardian ซึ่งบรรณาธิการของเว็บไซต์ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า นี่คือเนื้อหาสรุปที่เขายกส่วนที่ดีที่สุดมาจาก 8 บทความที่หุ่นยนต์เขียนขึ้นมา บรรณาธิการยังเสริมอีกว่า เขาใช้เวลาในการปรับแต่งแก้ไขน้อยกว่าบทความที่เขียนโดยนักเขียนของตัวเองเสียอีก

ที่มา: Beartai

แอปเปิลกำลังย้ายซอฟต์แวร์เชื่อมต่อคลาวด์จาก C เป็น Rust หาทีมงานเพิ่มเติม

แอปเปิลประกาศรับสมัครงานวิศวกรซอฟต์แวร์ โดยระบุว่าทีม Apple Cloud Traffic ที่ทำหน้าที่พัฒนาซอฟต์แวร์เข้ารหัสทราฟิกในเครือข่าย กำลังย้ายโค้ดจากภาษา C ไปเป็นภาษา Rust หลังจากทดสอบแล้วประสบความสำเร็จดี จึงกำลังพอร์ตโค้ดไปยังภาษา Rust เพิ่มเติม

ฟีเจอร์ที่ทีมงานนี้ทำงานอยู่มีตั้งแต่ระบบเข้ารหัสที่พัฒนาจาก IPSec, ระบบสื่อสาร RPC เพื่อจัดการ keying, ระบบยืนยันตัวตน (authentication) และยืนยันสิทธิ์ (authorization)

วิศวกรที่สมัครตำแหน่งนี้ต้องมีประสบการณ์เขียนภาษา C มาแล้ว 3-5 ปี และหากมีประสบการณ์ภาษา Rust จะพิจารณาเป็นพิเศษ

ภาษา Rust ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จากฟีเจอร์ที่ลดบั๊กความปลอดภัยหน่วยความจำ แต่ยังมีประสิทธิภาพดีเทียบเท่าภาษา C


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Chrome บน Android จะสแกนนิ้วเพื่อใช้บัตรเครดิตได้แล้ว

หลังจากปล่อยทดสอบไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ล่าสุด Chrome บน Android สามารถใช้การยืนยันตัวตนแบบ Biometric เช่นการสแกนนิ้วมือ เพื่อใช้บัตรเครดิตบนเว็บไซต์ต่างๆ ได้แล้ว ไม่ต้องใส่เลข CVC อีกต่อไป

ในอัพเดทเดียวกัน Google ยังเพิ่มฟีเจอร์ Touch-to-fill อีกด้วย ผู้ใช้สามารถ Sign in เข้าเว็บไซต์ได้ง่าย เพียงแค่เลือกบัญชีที่ต้องการ ไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านเอง โดยจะใช้ข้อมูลที่บันทึกไว้ใน Chrome's password manager

ทั้งสองฟีเจอร์จะปล่อยให้ใช้งานบน Android ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนเวอร์ชั่น iOS ยังต้องรอติดตามต่อไป


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

อดีตหัวหน้าทีม Mac บอก “อีกไม่นานคอมพิวเตอร์ Windows จะใช้ชิป ARM หมด และชิป x86 จะเป็นของตกยุค”

คุณโจน หลุยส์ แกส์สิส (Jean-Louis Gassée) อดีตหัวหน้าทีมพัฒนาเครื่อง Mac ของ Apple ได้ออกมาให้ความเห็นว่า หลังจาก Apple เองได้เริ่มพัฒนาชิป Apple Silicon ด้วยสถาปัตยกรรม ARM เพื่อที่จะนำมาใช้เป็นชิปประมวลผลหลักสำหรับเครื่อง Mac แทนสถาปัตยกรรม x86 ของ Intel ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอีกไม่นานเหล่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ Windows ทั้งแบบ Desktop และ Laptop ก็จะหันมาสนใจชิปแบบ ARM เป็นพิเศษ และหันมาทำแบบเดียวกัน เพื่อให้ได้สิ่งที่ Apple อยากจะให้ผู้ใช้งานได้ใช้


คุณแกส์สิส ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “พวกคุณคงจะเห็นผลคะแนนทดสอบในโปรแกรม Benchmark ของเครื่อง Mac mini ที่ใช้ชิป Apple A12Z Bionic แล้วใช่ไหมหละ ถึงแม้ Apple เองจะไม่เคยบอกรายละเอียดค่า TDP ว่าชิปมันกินไฟมากเท่าไหร่ ก็เถอะ แต่ถ้าดูจากเครื่อง iPad Pro ที่ใช้อะแดปเตอร์ขนาด 18W แล้ว ก็พอจะทำให้ทราบว่า เจ้าชิป A12Z นี้มันกินไฟน้อยมากขนาดไหน เทียบกับประสิทธิภาพที่มันทำได้”


“และทางผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เป็นหลักอย่าง Dell, HP และ Asus ก็ต้องออกมาต่อสู้กับคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ที่ใช้ชิป ARM ของ Apple พวกเค้าต้องทำได้ดีกว่าสิ่งที่ Apple ทำ ทั้งในคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ท็อป และแลปท็อป ส่วน Microsoft ก็ต้องหันไปพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบ Microsoft Surface ให้ดีมากยิ่งขึ้นต่อไป ส่วนผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็ต้องตามน้ำ Apple ไป และหันมาพัฒนาชิปแบบ ARM กันหมด เพื่อนำมาแข่งกับ Apple โดยสิ่งที่ Apple และ Microsoft ทำอยู่นี้ จะทำให้พวกเรารู้สึกว่าชิปแบบ x86 มันตกยุคไปแล้วเลยหละ”


สิ่งที่คุณแกส์สิสพูดก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ในอนาคตคอมพิวเตอร์น่าจะหันมาใช้ชิปแบบ ARM กันหมด ในเมื่อประสิทธิภาพของชิปแบบ ARM เริ่มสามารถตีตื้นชิปแบบ x86 ได้ในปัจจุบัน แต่มีประสิทธิภาพในการกินไฟที่น้อยกว่า และเรื่องการจัดการความร้อนที่ดีกว่า

ที่มา: Beartai

ตู้ขายของอัตโนมัติในญี่ปุ่น เตรียมให้จ่ายเงินผ่านระบบสแกนใบหน้าได้แล้ว

อีกเรื่องหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อ น่าจะเป็นด้านความล้ำ และหลากหลายของตู้ขายของอัตโนมัติ เช่นตู้ของบริษัทเครื่องดื่ม DyDo ที่ก่อนหน้านี้ มีลำโพงที่จะพูดขอบคุณหลังซื้อของเป็นสำเนียงท้องถิ่น มีเสียงพูดให้กำลังใจ แถมให้ยืมร่มฟรีในวันที่ฝนตกได้ด้วย และตอนนี้ DyDo ก็จับมือกับ NEC บริษัทเทคโนโลยีเจ้าใหญ่ของญี่ปุ่น เตรียมนำเทคโนโลยี facial recognition มาใช้ในการชำระเงินแล้ว

DyDo เตรียมใช้ระบบ Bio-IDiom ของ NEC โดยผู้ใช้จะต้องสมัครบัญชีผ่านมือถือ และยืนยันตัวตนด้วยรูปถ่ายและบัตรเครดิต พร้อมกับตั้งรหัสยืนยัน 4 หลัก หลังจากนั้นเมื่อซื้อของ ระบบจะใช้การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า และให้ใส่รหัสยืนยันที่ตั้งไว้ เพื่อหักเงินจากบัตรผ่านบัญชีที่ผู้ใช้สมัครไว้ในขั้นตอนแรก


ปัจจุบันเครื่องรุ่นนี้เริ่มมีการทดสอบใช้งานแล้วที่ออฟฟิศและโรงงานของ DyDo และ NEC บางแห่ง และจะอยู่ในช่วงทดสอบเป็นเวลา 3 เดือน ก่อนจะขยายการใช้งานออกไป หากระบบใช้งานได้โดยไม่มีปัญหา

ที่มา: Blognone