วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Lawson เริ่มให้บริการร้านสะดวกซื้อไร้แคชเชียร์แบบเดียวกับ Amazon Go

Lawson เครือร้านสะดวกซื้อชื่อดังของญี่ปุ่นเตรียมเปิด Lawson Go ร้านสะดวกซื้อแบบไม่มีพนักงานคิดเงิน โดยใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับ Amazon Go

ที่ว่าใช้เทคโนโลยีเดียวกันนี้หมายถึงการใช้ระบบ computer vision ในการตรวจสอบการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าภายในร้าน โดยในการใช้บริการลูกค้าจะต้องติดตั้งแอป Lawson Go ในสมาร์ทโฟนและผูกบัญขีบัตรเครดิตกับแอป เมื่อเดินเข้าไปภายในร้านก็เปิดแอปเพื่อสร้างรหัส QR แล้วนำไปสแกนตรงทางเข้าร้าน หลังจากนั้นก็เพียงแต่เดินเลือกซื้อสินค้าภายในร้านแล้วเดินออกจากร้านได้เลย

ร้าน Lawson Go ให้บริการแบบไม่มีแคชเชียร์

ระบบ computer vision และเซ็นเซอร์วัดน้ำหนักสินค้าบนชั้นวางจะทำงานร่วมกันเพื่อตรวจสอบว่าลูกค้าผู้ใช้บริการแต่ละคนได้เลือกซื้อหยิบสินค้าอะไรไปบ้าง เมื่อลูกค้าคนดังกล่าวเดินออกจากร้านระบบก็จะรวมข้อมูลสินค้าทั้งหมดเพื่อคิดเงินโดยการตัดเงินผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับแอป Lawson Go ไว้ โดยใบเสร็จค่าสินค้าจะถูกส่งไปยังลูกค้าผ่านทางแอป

แอป Lawson Go ที่ใช้ยืนยันตัวตนโดยสร้างรหัส QR ไปสแกนที่ทางเข้าร้าน และเป็นช่องทางรับใบเสร็จดิจิทัลค่าสินค้า

Lawson Go เปิดให้บริการสาขาแรกที่อาคาร Mitsubishi Shokuhin ใน Tokyo เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ภายในร้านจะยังมีพนักงานทำงานอยู่ แต่จะทำหน้าที่หลักเพื่อเติมสินค้าและดูแลความเรียบร้อยภายในร้านเท่านั้นโดยไม่ได้ให้บริการคิดเงิน Lawson ระบุว่าในอนาคตจะขยายสาขา Lawson Go และจะเพิ่มเคาน์เตอร์คิดเงินด้วยตนเองเป็นทางเลือกการจ่ายเงินค่าสินค้าให้แก่ผู้มาใช้บริการอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2565

Cloudflare เลิกใช้ Elasticsearch เก็บ log หันไปใช้ ClickHouse แทน

Cloudflare รายงานถึงการเปลี่ยนฐานข้อมูลสำหรับเก็บ log จากเดิมที่ใช้ Elasticsearch หันมาใช้ฐานข้อมูลแบบคอลัมน์ ClickHouse หลังจากพบข้อจำกัดของ Elasticsearch หลายอย่าง ได้แก่
  • Mapping Explosion: เนื่องจากข้อมูล log มักมีฟิลด์เปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ แต่ Elasticsearch พยายาม index ทุกฟิลด์แยกจากกัน ทำให้เมื่อถังข้อมูลมีฟิลด์จำนวนมากเข้าก็จะกินหน่วยความจำมาก ทางแก้ปัญหาของ Elasticsearch คือจำกัดฟิลด์ที่ใช้งานแต่ก็จะทำให้ไม่สามารถค้นหาฟิลด์ที่ไม่ได้ระบุไว้
  • Multi-tenancy: ตอนนี้ Elasticsearch ไม่สามารถจำกัดจำนวนเอกสารที่ผู้ใช้ต้องสแกนในการคิวรีแต่ละครั้ง ส่งผลให้ผู้ใช้คนใดคนหนึ่งส่งคำสั่งคิวรีหนักๆ ก็จะทำทั้งคลัสเตอร์ช้าไปได้
  • การจัดการยาก: หากคลัสเตอร์ Elasticsearch ทำงานผิดพลาดจนกลายเป็น degrade แล้วกระบวนการกู้คืนจะใช้เวลานาน การ index ฐานข้อมูลใหม่กินเวลานาน และกระบวนการย้ายข้อมูลจากฐานข้อมูล hot ไป cold กระทบประสิทธิภาพคลัสเตอร์
  • การจัดการหน่วยความจำจาวา: เนื่องจาก Elasticsearch ใช้จาวาจึงมีช่วงเวลาที่ garbage collector ทำงาน ทำให้เสียประสิทธิภาพในช่วงนั้น ทาง Cloudflare พยายามเปลี่ยนตัว garbage collector แล้วแต่ก็ไม่ดีขึ้นนัก

การเปลี่ยนไปใช้ ClickHouse ได้เปรียบหลายอย่าง เช่น การเพิ่ม index ในฟิลด์ใดๆ สามารถทำได้ทันที, ตัวฐานข้อมูลบีบอัดเป็นค่าเริ่มต้นและคอนฟิกแยกกระบวนการบีบอัดรายฟิลด์ได้, และการขยายคลัสเตอร์ได้ประสิทธิภาพตามขนาดคลัสเตอร์ที่ขยาย (linearly scalable)

ในบทความนี้ Cloudflare ยังแนะนำถึงการใช้ ClickHouse ว่าควรเลือกรูปแบบการเก็บข้อมูลว่าจากเก็บแยกฟิลด์แบบ SQL ปกติที่ต้อง ALTER TABLE ทุกครั้งเพื่อเพิ่มฟิลด์ หรือจะใช้ JSON เพื่อเก็บฟิลด์ที่ไม่แน่นอน แต่มีข้อจำกัดว่าไม่ควรมีข้อมูลเกิน 1,000 ฟิลด์ สำหรับ Cloudflare ที่มีฟิลด์จำนวนมากก็เลือกเก็บข้อมูลเป็น array ของฟิลด์อื่นๆ ทั้งหมด

ผลที่ได้จากการเปลี่ยนไช้ ClickHouse ทำให้ Cloudflare ลดการใช้ซีพียูและหน่วยความจำจากการเขียนลง 8 เท่า ขนาดข้อมูลลดลง 10 เท่า ทำให้ Cloudflare สามารถเก็บข้อมูลเต็มรูปแบบไม่ต้อง sampling บางส่วน, และการคิวรีเกือบทั้งหมดประสิทธิภาพดีขึ้นมาก

แม้จะชม ClickHouse ค่อนข้างมากแต่ทาง Cloudflare ก็ระบุว่า Elasticsearch เป็นตัวค้นหาแบบ full text ที่ดี และการใช้งานของแต่ละที่ก็อาจจะต่างกันจึงควรพิจารณาการใช้งานจริงด้วย

ที่มา: Blognone

O.MG Cable สาย USB แฮคได้ที่ทำให้ทุกคนต้องระวังการเสียบมั่วซั่ว

เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับแฮคเกอร์ในปัจจุบันนี้ มีความก้าวหน้าไปมากจนถึงขนาดที่หลายอย่างดูเผินๆ ก็เหมือนเป็นข้าวของเครื่องใช้ธรรมดาที่ไม่น่าจะมีฟังก์ชันอันตรายแอบแฝง แต่สาย USB ที่ชื่อ O.MG Cable นี้อาจต้องทำให้เปลี่ยนความคิดใหม่และระวังมากขึ้นก่อนจะคว้าสาย USB ของใครมาเสียบคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ

O.MG Cable คือสาย USB ที่ผลิตด้วยมือซึ่งดูหน้าตาธรรมดาแทบไม่ต่างจากสายชาร์จหรือสายถ่ายโอนข้อมูลทั่วไป แต่ความไม่ธรรมดาของมันคือสิ่งที่แฝงอยู่ภายในซึ่งมีทั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์, การเชื่อมต่อ USB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่ทำได้ทั้งรับส่งข้อมูลที่มันแฮคได้ไปยังเซิร์ฟเวอร์และรับคำสั่งโจมตีจากเซิร์ฟเวอร์มาก็ได้ โดยร่นนี้เป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดจากสายที่ผลิตออกมาเมื่อปีก่อน เพิ่มความสามารถในการรับข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์เพื่อการโจมตี (จากแต่เดิมที่ทำได้เพียงดักจับข้อมูล)

หน้าตาสาย O.MG Cable กับเว็บที่ใช้งานคู่กับมัน

สิ่งที่มันทำได้ไม่เพียงแต่การดักจับอ่านข้อมูลการใช้แป้นพิมพ์ แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือมันทำการโจมตีแบบ keystroke injection ได้ด้วย ว่าง่ายๆ คือผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลผ่านทาง Wi-Fi ไปให้สาย O.MG Cable เพื่อหลอกให้อุปกรณ์ที่มันเสียบอยู่กับสายนั้นเข้าใจว่ามีข้อมูลถูกคีย์ส่งมาจริง และการโจมตีนี้ยังทำกับอุปกรณ์ที่อยู่ในโซน air gap ได้ด้วย (อุปกรณ์ที่โดน air gap หรืออยู่ในโซน air gap หมายถึงอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นในช่องทางใดเลย ซึ่งเป็นวิธีการออกแบบระบบเครือข่ายที่ใช้กับอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมาก เพื่อยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ให้กับอุปกรณ์นั้น)

ภาพเอกซเรย์แสดงให้เห็นว่ามีอะไรอยู่ในสาย O.MG Cable

ตัวสาย O.MG Cable นั้นมีทั้งแบบหัว Lightning, micro USB และ USB-C โดยมีแบ่งขายเป็น 3 รุ่น คือ Basic, Plus และ Elite ซึ่งราคารุ่น Elite ที่แพงที่สุดนั้นตั้งไว้ที่เส้นละ 179.99 เหรียญ ทั้งนี้ MG ซึ่งเป็นผู้พัฒนาสาย O.MG Cable นี้บอกว่าอุปกรณ์แฮคที่มีอยู่ในก่อนในท้องตลาดที่ทำงานได้ระดับเดียวกันนี้ปกติขายกันอยู่ที่ราคาราวๆ 20,000 เหรียญ

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

PyTorch รองรับ Apple Silicon เต็มตัว ฝึกปัญญาประดิษฐ์เร็วขึ้น 6-8 เท่า

PyTorch เฟรมเวิร์คปัญญาประดิษฐ์ประกาศเตรียมรองรับ API กราฟิก Metal ใน macOS ทำให้สามารถเร่งความเร็วด้วย Apple Silicon ได้เต็มรูปแบบ ทำให้การรันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ทั้งการฝึกโมเดลและการใช้งานโมเดลประสิทธิภาพดีขึ้นมาก การฝึกโมเดลเร็วขึ้น 6-8 เท่า ขณะที่การรันโมเดลประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า 20 เท่าตัวในบางกรณี

การเร่งความเร็วใช้ Metal Performance Shaders (MPS) มาทำงานเบื้องหลัง ความได้เปรียบสำคัญของ Apple Silicon คือ unified memory ที่ใช้หน่วยความจำรวมกันทั้งกราฟิกและซีพียู ทำให้ไม่เสียเวลาโอนข้อมูลไปมา และสามารถประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่บนวงจรกราฟิกได้

เริ่มใช้งานได้ใน PyTorch 1.12 หรือหากต้องการทดสอบเลยก็สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่น nightly มาใช้งานได้เลย

ที่มา: Blognone

แย่งตัวกันหนัก ไมโครซอฟท์ขึ้นเงินเดือนพนักงานทั่วโลก เพิ่มงบประมาณเงินเดือนให้ 2 เท่า

Satya Nadella ส่งอีเมลภายในถึงพนักงานไมโครซอฟท์ ระบุว่าเพิ่มงบประมาณสำหรับขึ้นเงินเดือนพนักงานเป็นเกือบ 2 เท่าตัว หลังเจอสถานการณ์ว่าบริษัทไอทีแย่งตัวพนักงานกันเพิ่มขึ้น

Nadella ให้ข้อมูลว่าการเพิ่มเงินเดือนจะอิงตามฝีมือและผลงาน (merit-based) ซึ่งแตกต่างกันตามแต่ละประเทศ โดยไมโครซอฟท์จะเน้นการขึ้นเงินเดือนให้ประเทศที่มีความต้องการพนักงานสูง และเน้นเพิ่มให้พนักงานระดับล่าง-กลาง (early to mid-career) เป็นหลัก

ส่วนพนักงานระดับอาวุโส จะเพิ่มโควต้าการแจกหุ้นพนักงานในสัดส่วนที่มากขึ้นด้วย

เมื่อต้นปีนี้เราเห็นข่าว Amazon ปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานใหม่ และ Apple เองก็ต้องแจกหุ้นพนักงานเพิ่ม เพื่อดึงตัวพนักงาน แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานไอทียังมีการแข่งขันที่สูงมาก


ที่มา: Blognone

แก้ปัญหาอ่านแชทไม่ทัน กูเกิลใช้ AI ช่วยสรุปประเด็นให้ใน Google Chat/Spaces

หลายคนอาจเคยประสบปัญหาข้อความแชทเยอะเกินไปจนอ่านไม่ไหว แต่จะไม่อ่านก็ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องงาน

กูเกิลแก้ปัญหานี้ด้วยการให้ machine learning อ่านแชททั้งหมดให้เรา และสรุปเป็น summary สั้นๆ ประมาณ 2-3 บรรทัด ที่ด้านบนของข้อความแชท เพื่อให้เราอ่านก่อนเป็นไอเดียว่าคนอื่นคุยเรื่องอะไรกัน

ฟีเจอร์นี้ใช้เอนจินสรุปข้อความตัวเดียวกับ Google Docs ใช้มาก่อนหน้านี้ และจะใช้ได้กับบริการแชทองค์กร Google Chat กับ Google Spaces


 

ที่มา: Blognone

Flutter 3 มาแล้ว รองรับ macOS, Linux เต็มรูปแบบ

กูเกิลปล่อย Flutter 3 ในงาน Google I/O โดยมีฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ macOS และลินุกซ์เต็มรูปแบบ ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ Firebase และประสิทธิภาพบน Apple Silicon

ก่อนหน้านี้ Flutter รองรับ iOS, Android, Web, และ Windows มาก่อนแล้ว การรองรับ macOS และลินุกซ์ ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้เต็มรูปแบบ โดยรองรับทั้งอินพุตของระบบ, กระบวนการพัฒนาแอป, ฟีเจอร์ accessibility ของแพลตฟอร์ม, และการรองรับภาษานานาชาติ สำหรับบน macOS นั้นรองรับ Universal Binary ให้รันได้เต็มประสิทธิภาพทั้งเครื่องที่ใช้ซีพียูอินเทลและ Apple Silicon ขณะที่บนลินุกซ์เป็นการร่วมมือกับ Canonical

อินเทอร์เฟซแบบ Material Design 3 แทบจะสมบูรณ์แล้วในเวอร์ชั่นนี้ รองรับการปรับเปลี่ยนสีตามระบบ และปรับปรุง component ต่างๆ ส่วนบริการ Firebase ของกูเกิลเองนั้นจะรองรับ Flutter เต็มรูปแบบ โค้ดสำหรับเชื่อม Flutter และ Firebase จะอยู่ใน repository หลักของ Firebase

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565

Java 18 ออกแล้ว เปลี่ยนมาใช้ UTF-8 เป็นดีฟอลต์

Oracle ออก Java 18 ตามรอบการออกทุก 6 เดือน โดยเวอร์ชันนี้ไม่ได้เป็น LTS เหมือนกับ Java 17 ที่มีระยะซัพพอร์ตนาน 8 ปี ส่วน LTS ตัวหน้าคือ Java 21 ที่จะออกในเดือนกันยายน 2023

ของใหม่ใน Java 18 ได้แก่

  • เปลี่ยนค่าดีฟอลต์ของรหัสอักขระมาเป็น UTF-8 จากของเดิมที่ขึ้นกับค่าดีฟอลต์ของ OS ส่งผลให้ Java จัดการอักขระเหมือนกันเสมอบนทุกสภาพแวดล้อม (คือเป็น UTF-8 หมด ไม่ต้องเสี่ยงว่าจะเจอความผิดพลาดจากชุดอักขระที่ต่างกัน)
  • เปลี่ยนระบบการแปลง Hostname เป็น IP จากของเดิมที่พึ่งพา resolver ของ OS มาเป็น API ตัวใหม่ที่ให้ผลเหมือนกันบนทุกแพลตฟอร์ม
  • เพิ่ม simple web server เว็บเซิร์ฟเวอร์แบบง่ายๆ ที่รันได้แต่ static file สำหรับใช้ทดสอบแบบเร็วๆ โดยไม่ต้องติดตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์เอง
  • พรีวิวฟีเจอร์ Vector API สำหรับการประมวลแบบขนาน (เวกเตอร์), พรีวิว Foreign Function เปิด API ให้กับภาษาโปรแกรมอื่นนอก Java รันไทม์

จำนวนฟีเจอร์ของ Java แต่ละรุ่น หลังเปลี่ยนมาใช้ระบบการออกรุ่นทุก 6 เดือน

ที่มา: Blognone

Zoom ออกฟีเจอร์ "อวตาร" ประชุมออนไลน์แบบ Metaverse

Zoom เปิดตัวฟีเจอร์ "อวตาร" (avatar) ลักษณะเดียวกับที่เราเห็นจากโปรแกรมวิดีโอคอลล์อื่นๆ อย่าง Facebook Messenger, Google Duo นั่นคือให้เราแปลงกายเป็นตัวการ์ตูนหรือคาแรกเตอร์ ที่ใช้การดักจับความเคลื่อนไหวของใบหน้ามาขยับตัวอวตารตาม

วิธีการใช้งานจะอยู่ตำแหน่งเดียวกับเมนู Virtual Background ของ Zoom โดนเพิ่มแท็บชื่อ Avatars เข้ามา

Zoom บอกว่าเพิ่มฟีเจอร์อวตารเข้ามาให้สนุกๆ กันเวลาประชุมออนไลน์ หรือถ้าใครที่ไม่อยากโชว์หน้าขึ้นกล้อง แต่อยากแสดงการขยับของร่างกาย ก็อาจเลือกใช้อวตารแทนได้

เมื่อปลายปีที่แล้ว คู่แข่ง Microsoft Teams เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกันชื่อ Mesh ซึ่งระบุว่าจะเริ่มใช้งานภายในไตรมาส 1 เช่นกัน

ที่มา: Blognone

Mercedes-Benz โชว์ระบบขับขี่อัตโนมัติ Level-3 และจอดรถอัตโนมัติ Level-4

Mercedes-Benz ออกมาโชว์เทคโนโลยีด้านการขับขี่อัตโนมัติหลายอย่าง โดยเทคโนโลยีของ Mercedes-Benz พัฒนาอยู่บนระบบปฏิบัติการสำหรับรถยนต์ชื่อ Mercedes-Benz Operating System (MB.OS) ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง โดยเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่นำมาโชว์ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ (SAE Level) ตามนิยามของ SAE International ที่เราคุ้นชื่อกันเวลาเห็นข่าวรถยนต์ไร้คนขับ
  • SAE-Level 2 ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น Active Distance Assist รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า, Active Lane Keeping Assist บังคับรถให้อยู่ในเลนเดิม
  • SAE-Level 3 ฟีเจอร์ขับขี่อัตโนมัติบนสภาพถนนเฉพาะ (แบบเดียวกับ Tesla Autopilot) ที่ Mercedes-Benz บอกว่าระบบ Drive Pilot ของตัวเองผ่านการทดสอบระดับนานาชาติเป็นรายแรก และได้รับอนุญาตให้ใช้บนทางด่วนของเยอรมนีแล้ว ตอนนี้กำลังขออนุมัติใช้งานในสหรัฐ เทคโนโลยีของ Mercedes-Benz ใช้ทั้งกล้องและ LiDAR ช่วยกันตรวจจับสภาพรอบรถ
  • SAE-Level 4 ฟีเจอร์นี่นำมาโชว์คือ Intelligent Park Pilot สามารถจอดรถยนต์ให้อัตโนมัติ ในลานจอดรถที่มีอุปกรณ์ของ Bosch


ที่มา: Blognone