วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2566

Huawei เริ่มผลิตชิปเองได้แล้ว!

ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei จู้ จือจุน (Xu Zhijun) เผยข่าวดีว่าตอนนี้บริษัทประสบความสำเร็จในการผลิตชิปแล้ว โดยจะเริ่มต้นที่เทคโนโลยี 14nm ก่อนเป็นอันดับแรก

สื่อต่างประเทศรายงานว่า ทีมพัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ รวมถึงพาร์ตเนอร์ภายในประเทศ ได้ร่วมมือกันจนสามารถใช้งานเทคโนโลยีการผลิตชิปได้ ทีมพัฒนาได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ รวมถึงเปิดตัวเครื่องมือที่ชื่อว่า cloud-native schematic diagram สร้างเลย์เอาต์ PCB ความเร็วสูงและความไวสูง และยังมีการปรับปรุงเครื่องมือ CAD 2D/3D สำหรับการออกแบบโครงสร้างใหม่ด้วย

Huawei ได้พัฒนาทีมเครื่องมือ EDA ร่วมกับบริษัท EDA ท้องถิ่น เพื่อร่วมกันสร้างเครื่องมือ EDA ที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยี 14nm และสูงกว่า

จือจุนระบุว่าเครื่องมือสำหรับการผลิตชิประดับ 14nm และสูงกว่าจะได้รับการรับรองการใช้งานภายในปีนี้ ถือว่าเป็นการพัฒนาของ Huawei และบริษัทจีนที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2566

Agility Robotics เปิดตัว Digit หุ่นยนต์จำลองมนุษย์ เดิน 2 ขา รุ่นอัปเกรด

Agility Robotics เปิดตัว Digit หุ่นยนต์รุ่นล่าสุด ที่ได้อัปเกรดส่วนหัวเข้าไปพร้อมกับไฟ LED ที่เคลื่อนไหวได้ 1 คู่ จากตัวรุ่นเก่าที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2020 นั้นไม่มีส่วนหัว นี้ไม่ใช่การอัปเกรดให้มันคล้ายมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มเซนเซอร์และกล้องถ่ายทอดการมองเห็นเข้าไป และไว้บอกทิศทางที่หุ่นจะไป


Digit หุ่นยนต์จำลองการเดิน 2 ขาและมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับมนุษย์ มีส่วนสูงอยู่ที่ 175 ซม. หนัก 65 กก. สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 16 กก. ทำงานได้ถึง 16 ชม. เป็นหุ่นยนต์อเนกประสงค์ที่สร้างขึ้นเพื่อการทำงานโลจิสติกส์ และงานในอุตสาหกรรม สามารถขนย้ายสิ่งของ และจัดส่งสินค้าได้ด้วยการเคลื่อนไหวแบบมนุษย์ เดินไปข้างหน้า, ย้อนกลับ, เลี้ยวเข้าที่, เดินหมอบ, เดินขึ้นลงที่ชัน, และสามารถเดินข้ามขอบถนนหรือหินได้ กับเซนเซอร์อัจฉริยะ หยุดชั่วคราวเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง หมุนร่างกายเพื่อมองรอบๆ ใช้แขน, มือ, และเท้าในการทรงตัวเมื่อถูกชน หยิบของและวางสิ่งที่มีน้ำหนักต่างกันได้ พร้อมระบบชาร์จอัตโนมัติ เมื่อพลังงานไกล้หมดสามารถไปยังแท่นชาร์จอัตโนมัติ

Digit อาจมีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับมนุษย์ในอุตสาหกรรมโรงงาน ที่เปรียบเสมือนกับพนักงานคนหนึ่งในระบบโรงงานในอนาคต

ที่มา: Beartai

วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2566

Bing มีความสามารถใหม่ที่สามารถสร้างภาพด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง Dall-E จาก OpenAI

ล่าสุด Microsoft เพิ่มความสามารถสร้างภาพที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Dall-E ลงไปใน Bing ที่ผู้ใช้งานสามารถสร้างภาพอะไรก็ได้ตามความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง

ความสามารถสร้างภาพใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Dall-E ใน Bing จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างภาพด้วยความคิดสร้างสรรค์ และ Microsoft ได้เพิ่มปุ่ม Bing Image Creator ลงไปในแถบด้านข้างของเว็บบราวเซอร์ Microsoft Edge เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายที่สุด

หากต้องการที่จะใช้คุณสมบัตินี้ผู้ใช้งานจะต้องเลือกโหมดสร้างสรรค์ (Creative) ใน Bing และพิมพ์คำอธิบายของรูปภาพที่ต้องการสร้าง


เมื่อใช้งานฟีเจอร์สร้างภาพใน Bing แล้วไม่พบการแสดงตัวอย่างของภาพ สามารถเข้าไปดูตัวอย่างของรูปภาพได้ที่เว็บไซต์ Bing Image Creator และในอนาคตจะมีการผสานรวมตัวกันระหว่าง Bing Image Creator กับ Bing โหมดสร้างสรรค์ที่จะแสดงตัวอย่างรูปภาพในกล่องข้อความ Bing ในทันที อีกทั้ง Microsoft ยังมีแผนที่จะรองรับภาษาอื่นๆ ใน Bing เพิ่มเติมในอนาคตเพื่อการป้อนคำสั่งที่ง่ายมากยิ่งขึ้น

ที่มา: Beartai

Zipline เปิดตัวโดรนส่งของรุ่นใหม่ ปล่อยยานลูกมาส่งของ ส่วนยานแม่อยู่เกือบ 100 เมตรเหนือพื้น

Zipline บริษัทโดรนขนส่งของอเมริกา ที่เคยมีบทบาทการขนส่งอุปกรณ์การแพทย์ และวัคซีนโควิด-19 ในประเทศกานา ในสถานการณ์โรคระบาด การจราจรติดขัด พฤติกรรมของมนุษย์ยุคใหม่ที่เน้นความสบาย เพื่อการพัฒนาการขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสะดวกสบาย การใช้เทคโนโลยีขนส่งด้วยโดรนเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในสังคม

บริษัท Zipline ได้พัฒนาการขนส่งด้วยโดรนแบบใหม่อย่าง Platform (P2) Zip ใช้ระบบสายไฟปล่อยตัวหุ่นส่งของคอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก ออกจาก P2 ที่มีลักษณะเหมือนยานแม่ที่ลอยอยู่เหนือจุดส่งของ 300 ฟุต (ประมาณ 90 เมตร) เพื่อป้องกันใบพัดไม่ให้ชนกับสิ่งต่างๆ และลดเสียงรบกวนต่อผู้คน ตัวหุ่นขนาดเล็กมีความสามารถในเปลี่ยนทิศทางด้วยตนเองด้วยใบพัดขนาดเล็กเพื่อเพิ่มความแม่นยำตอนปล่อยพัสดุลง เช่น บนโต๊ะ หรือบันไดหน้าบ้าน

P2 สามารถเดินทางได้ไกลถึง 24 ไมล์ (38.6 กม.) ต่อเที่ยวในกรณีไม่ได้บรรทุกสัมภาระ และเดินทางได้ 10 ไมล์ (16 กม.) ในกรณีบรรทุกสัมภาระน้ำหนัก 6 ถึง 8 ปอนด์ (2.7 – 3.6 กก.) โดยใช้เวลาจัดส่งภายใน 10 นาที

ที่มา: Beartai

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2566

อดีตพนักงาน Tesla บอกปัญหา FSD เจออุบัติเหตุเยอะ มาจาก Elon ตัดเรดาร์ออกเพื่อลดต้นทุน

The Washington Post มีบทความวิเคราะห์ปัญหา Full Self-Driving (FSD) ของ Tesla ที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จนถูกหน่วยงานความปลอดภัยทางหลวงของสหรัฐ NHTSA สั่งให้เรียกคืน (recall) เพื่ออัพเดตซอฟต์แวร์

แหล่งข่าวของ The Washington Post มาจากการสัมภาษณ์อดีตพนักงานและผู้เกี่ยวข้องหลายราย ซึ่งพูดตรงกันว่าสาเหตุหลักมาจากการที่ Elon Musk ตัดสินใจเลิกใช้ระบบเรดาร์เพื่อลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้กล้องอย่างเดียว ทำให้ระบบ FSD ไม่สามารถตรวจจับวัตถุรอบรถได้ดีพอ

ข้อดีของเรดาร์คือสามารถตรวจจับวัตถุใหญ่ๆ อย่างรถไฟหรือรถบรรทุกได้เสมอ แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็ตาม แต่กล้องที่เป็นการวัดแสงเหมือนที่ตามองเห็น (vision) ต้องนำภาพไปตีความโดยหน่วยประมวลผลก่อนเสมอ ทำให้การตรวจจับผิดพลาดบ่อยครั้ง (เช่น กรณีวิ่งไปชนรถฉุกเฉินที่จอดอยู่ตรงไหล่ทาง) และเกิดอาการที่เรียกว่า "เบรกทิพย์" (phantom braking) จู่ๆ รถยนต์ก็ลดความเร็วลงเองแม้ไม่มีวัตถุใดๆ อยู่รอบรถเลย

หากดูจากสถิติ Tesla ถูกร้องเรียนเรื่องอุบัติเหตุของ FSD รวมถึง "เบรกทิพย์" เพิ่มขึ้นมากหลังออกอัพเดต FSD ที่เปลี่ยนมาใช้กล้องอย่างเดียว ผู้เชี่ยวชาญของ NHTSA ให้ความเห็นว่าสาเหตุมาจากการตัดเรดาร์ออกเป็นหลัก เพราะเรดาร์จะสามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ในระยะไกลได้ดีกว่า ถือเป็นตัวช่วยตรวจสอบความแม่นยำของกล้องอีกชั้น

นอกจากเรื่องการตัดเรดาร์เพื่อลดต้นทุนแล้ว กระบวนการพัฒนาของ Tesla ก็ยังมีปัญหาด้วย เพราะแนวทางการนำงานของ Elon Musk คือเร่งพัฒนาเทคโนโลยี แล้วนำไปให้ผู้คนลองใช้งานก่อนเทคโนโลยีมีความพร้อม ในอีกด้าน Elon ก็ขยันโพสต์โฆษณาว่าเกือบทำสำเร็จแล้ว ทั้งที่จริงๆ งานยังไม่คืบหน้าไปจากเดิมสักเท่าไร แถมวัฒนธรรมองค์กรที่ "Elon เป็นใหญ่" ทำให้พนักงานที่กล้าเถียงมักโดนไล่ออก

John Bernal อดีตพนักงานทดสอบ FSD ที่ถูกไล่ออกในปี 2022 ให้ความเห็นว่า เดิมที Elon ก็ทำงานแบบนี้มานานแล้ว แต่ไปเล่าใครก็ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่ง Elon มาบริหาร Twitter คนถึงได้รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร และผลงานของ Elon ที่ Twitter เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของที่ Tesla เท่านั้น ในบทความยังพูดถึงบริษัท Tesla ติดตั้งซอฟต์แวร์มอนิเตอร์การทำงานของพนักงานแปะป้ายให้ภาพ (image labeling) เพื่อเตรียมข้อมูลก่อนเทรนโมเดล หากพนักงานไม่ขยับเมาส์ตามระยะเวลาที่กำหนดจะถือว่าอู้งาน และมีบทลงโทษตามมา

แนวทางการทำงานของ Elon ยังพยายามรวมทีมวิศวกรซูเปอร์สตาร์เข้าด้วยกัน ให้ทำงานหนัก และเขาเป็นผู้ทดสอบซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดด้วยตัวเอง แล้วทำ "รายการแก้ไข" (fix-it requests) ส่งกลับไปยังทีมวิศวกร แนวทางนี้อาจช่วยให้ระบบดูคืบหน้า แต่เอาจริงเป็นการปะผุ อุดรอยรั่วโดยไม่มีแผนยุทธศาสตร์ภาพใหญ่ ต่างจากแนวทางของคู่แข่งอย่าง Waymo ที่มีโปรโตคอลการทดสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดกว่า ยังไม่รวมถึงเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่ใช้ทั้ง radar/lidar คู่ไปกับกล้องด้วย

ตัวอย่างหนึ่งของการปะผุของ Tesla คือในปี 2021 มียูทูบเบอร์ช่อง Tesla Raj ลองนำรถไปขับบนถนนซิกแซก Lombard Street ที่โด่งดังของเมืองซานฟรานซิสโก ปรากฎว่ารถยนต์ Tesla มีปัญหา เหตุการณ์จากคลิปนี้ทำให้วิศวกรของ Tesla "ออกแพตช์แก้" สร้างบาเรียที่มองไม่เห็นมาป้องกันไม่ให้รถไปชนขอบถนน Lombard Street

อดีตผู้บริหาร Tesla รายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าการแก้บั๊กตามคำสั่งของ Elon เปรียบเสมือนโดนเสือวิ่งไล่ ซึ่งคนที่โดนเสือวิ่งไล่ไม่มีทางนำเสนอทางแก้ดีๆ ในระยะยาวได้หรอก

การที่ Elon หันไปสนใจเรื่อง Twitter ยังทำให้เขาให้ความสำคัญกับ Tesla น้อยลงตามไปด้วย วิศวกรของ Tesla จำนวนมากถูกโยกไปทำงานให้ Twitter แทน ผลคือกระบวนการพัฒนาช้าลง อัพเดตที่เคยออกทุกสองสัปดาห์ ยืดเวลากลายมาเป็นหลักเดือนแทน พนักงานบางคนเลือกลาออกไปอยู่กับ Waymo เพราะ "อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่ารถหยุดที่ป้ายหยุดจริงๆ หรือเปล่า"

ลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อระบบ FSD ในราคาแพง 15,000 ดอลลาร์ ก็ไม่พอใจที่ Tesla ไม่สามารถทำได้อย่างที่ Elon เคยสัญญาไว้ ลูกค้ารายหนึ่งที่เป็นเจ้าของ Model Y บอกว่าคนซื้อ FSD คาดหวังว่าตอนนี้รถยนต์ของตัวเองควรขับได้เองเป็น robotaxi ได้แล้ว แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้น

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2566

Wonder Studio เครื่องมือ AI ใส่โมเดล 3 มิติแทนนักแสดงในวิดีโออัตโนมัติ สะเทือนวงการ VFX!

Wonder Studio เครื่องมือสร้างภาพเคลื่อนไหว และใส่ซีจีตัวละครโดยอัตโนมัติที่ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ผลิตวิดีโอราคาสูง และใช้เพียงแค่กล้องตัวเดียว

Wonder Dynamics สตาร์ทอัปที่มีผู้ก่อตั้งอย่างดาราดัง เท เชอริแดน (Tye Sheridan) จากภาพยนตร์ Ready Player One และ นิโคลา โทโดโรวิช (Nikola Todorovic) ผู้เชี่ยวชาญด้าน VFX เป้าหมายของสตาร์ทอัป Wonder Dynamics คือ ลดต้นทุนการผลิต และยกระดับการแข่งขันเอฟเฟกต์ภาพ ซึ่งในรอบของการลงทุน Series A ได้เงินลงทุนเพิ่มเติม 9 ล้านดอลลาร์ที่มี Epic Games และ Samsung เป็นนักลงทุน


เชอริแดนเห็นว่า “แพลตฟอร์มนี้เป็นมากกว่าการทำ VFX และยังสามารถนำไปใช้ได้กับภาพยนตร์, ทีวี, วิดีโอเกม, เนื้อหาโซเชียลมีเดีย และรวมไปถึงเมตาเวิร์ส นี่แหละคือเหตุผลที่เราได้มีพันธมิตรร่วมอย่าง Epic Games และ Samsung มาร่วมด้วย”

จุดเด่นของโปรแกรม Wonder Studio คือ

  • อัปโหลดตัวละครซีจีลงไปในไทม์ไลน์ตัวต่อเพียงแค่ช็อตเดียว หรือทั้งฉาก ระบบจะทำการตรวจจับ และติดตามนักแสดงในซีเควนซ์โดยอัตโนมัติ
  • ไม่ต้องทำ VFX แบบเฟรมต่อเฟรมอีกต่อไประบบจะทำการตรวจจับท่าทางการเคลื่อนไหวของนักแสดงโดยอัตโนมัติหลังจากนั้นจะมีการโอนค่าท่าทางการแสดงไปยังตัวละคร CG ที่คุณได้อัปโหลด

สตาร์ทอัป Wonder Dynamic เริ่มต้นในปี 2017 มีคณะกรรมการที่ปรึกษารุ่นใหญ่อย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ผู้กำกับภาพยนตร์ Ready Player One, โจ รุสโซ (Joe Russo) ผู้กำกับ Avenger Infinity War และ Avenger Endgame, โจชัว แบเออร์ (Joshua Baer) ซีอีโอ Capital Factory, เทอร์รี่ ดักกัส (Terry Dougas) จาก Rhea Flims, นักวิทยาศาสตร์การวิจัยจาก Google, ศาสตาจารย์ อังกือโจ คานาซาวะ (Angjoo Kanazawa) จาก Berkeley Kanazawa, โรเบิร์ต ชวาบ (Robert Schwab) นักลงทุนหุ้นเอกชน, อันโตนิโอ ตอร์รัลบา (Antonio Torralba) หัวหน้าฝ่าย AI จาก MIT และ เกรกอรี่ ทรัตต์เนอร์ (Gregory Trattner) ประธานฝ่ายการเงินภาพยนตร์

รุสโซได้กล่าวว่า “ผมยินดีที่จะสนับสนุนทีม Wonder Dynamics สำหรับภารกิจที่ได้รับมา และพวกเขาให้ความสำคัญกับศิลปินเป็นอันดับแรก โดยสิ่งนี้แหละที่ทำให้พันธมิตรนักลงทุนต่างๆ มีความสนใจในสตาร์ทอัปนี้เป็นอย่างมาก”

สำหรับใครที่สนใจอยากใช้ลองใช้งาน Wonder Studio โดย Wonder Dynamic ได้เปิดฟอร์มให้ลงชื่อเพื่อเข้าร่วมใช้งานก่อนใคร คลิกที่นี่

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566

ฝันที่เป็นจริง Bing มีผู้ใช้ต่อวันเกิน 100 ล้านคนแล้ว พลัง AI ช่วยดันยอดผู้ใช้ใหม่เพิ่มอีก 1/3

ไมโครซอฟท์ออกมาประกาศความสำเร็จว่า Bing มีผู้ใช้งานต่อวัน (Daily Active Users หรือ DAU) เกิน 100 ล้านคนแล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้ใช้งานแตะหลัก 100 ล้านคน หลังเปิดบริการมานานเกือบ 14 ปี (รีแบรนด์จาก Live Search เป็น Bing ในเดือนพฤษภาคม 2009)

ความสำเร็จของ Bing ย่อมมาจากฟีเจอร์ New Bing แชทได้ตอบคำถามได้ จากพลังเอนจิน OpenAI นั่นเอง โดยไมโครซอฟท์บอกว่ามีผู้ใช้หน้าใหม่เพิ่มเข้ามาถึงราว 1 ใน 3 และผู้ใช้เหล่านี้ยังช่วยเพิ่มปริมาณการค้นหาข้อมูลต่อวันด้วย

อีกปัจจัยที่ช่วยดันให้ Bing เติบโตคือปริมาณผู้ใช้ Microsoft Edge ที่เพิ่มติดต่อกันมา 7 ไตรมาสแล้ว และไมโครซอฟท์ประเมินว่าการที่ Edge รวมฟีเจอร์ Bing เข้ามาย่อมจะช่วยเพิ่มผู้ใช้ Bing ให้มากขึ้นอีก

ที่มา: Blognone

ธปท. ออกมาตรการให้ธนาคาร ป้องกันประชาชนเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน

ท่ามกลางกระแสข่าวการหลอกโอนเงินด้วยวิธีต่างๆ ของมิจฉาชีพที่เรียกติดปากว่า "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีการออกมาตรการ ไปบ้างแล้ว

ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการชุดใหญ่ให้ธนาคารนำไปบังคับใช้อย่างเป็นทางการดังนี้

มาตรการป้องกัน

  • ห้ามแนบลิงก์ผ่าน SMS และอีเมล เพื่อขอข้อมูลสำคัญ
  • จำกัดจำนวน mobile banking ได้แค่ 1 เครื่อง
  • ยกระดับการยืนยันตัวตนขั้นต่ำเป็น biometrics กรณีที่เปิดบัญชีผ่านแอป หรือทำธุรกรรมมากกว่าขั้นต่ำที่กำหนด เช่น เกิน 50,000 บาทต่อวัน หรือการปรับวงเงินขั้นต่ำเพิ่มมากกว่า 50,000 บาท

มาตรการตรวจจับและติดตามบัญชีต้องสงสัย

  • รายงาน ปปง. เมื่อพบความผิดปกติหรือพบการกระทำความผิด
  • มีมาตรการตรวจจับ/ติดตามธุรกรรมที่เข้าข่ายผิดปกติตตลอด 24 ชม.

มาตรการตอบสนองและรับมือ

  • มีช่องทางติดต่อ 24 ชม. แยกจากช่องทางปกติ
  • สนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสอบสวน รวมถึงมีผู้รับผิดชอบการประสานงานที่ชัดเจน
  • ดูแลและรับผิดชอบ กรณีที่พบว่าความเสียหายเกิดจากความผิดพลาดของธนาคาร

ที่มา: Blognone

สวย ดูด ฝุ่น ‘Samsung Bespoke Jet’ เครื่องดูดฝุ่นไร้สายดีกรีรางวัล CES 2023

หลังได้รางวัล Honoree จากงาน CES Innovation Awards 2023 ในที่สุดเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ Samsung Bespoke Jet เครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นใหม่ ที่ทำความสะอาดได้แบบ All-In-One Clean Station ที่ชาร์จและเอาฝุ่นออกจากกล่องดักฝุ่นในเวลาเดียวกัน!


จุดเด่นของ Samsung Bespoke Jet

  • แรงดูดทรงพลัง 210 วัตต์ ด้วย Jet Cyclone โดยมีการดีไซน์ ระบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ทำให้การไหลของอากาศมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพัดลม 3 มิติในรุ่นนี้หมุนได้มากถึง 135,000 rpm
  • แบตเตอรี่ขนาน 2500 mA ใช้ได้นาน 60 นาที พร้อมเปลี่ยนแบตสำรองได้
  • ระบบ All-In-One Clean Station ระหว่างชาร์จในแท่นจะเอาฝุ่นออกจากกล่องดักฝุ่นด้วยเทคโนโลยี Air Pulse ที่ได้มาตรฐาน SLG: Dust retaining capability โดย Samsung ระบุว่าดักจับฝุ่นและยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้มากถึง 99.9%
  • กล่องดักฝุ่นขนาด 0.5 ลิตร ดีไซน์มาให้ถอดออกมาล้างได้ง่าย รวมไปถึง Jet Cyclone ที่ก็ถอดมาล้างได้ง่ายเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องถอดท่อดูดฝุ่นออกจากเครื่องเลย
  • น้ำหนักเบาเพียง 1.44 กิโลกรัม พร้อมดีไซน์ที่เป็นแท่งตรงยาวที่ยืดหดได้ ช่วยให้ถือมือเดียวได้สบาย และประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บ
  • มีหน้าจอแสดงผลแบบ LCD รองรับถึง 28 ภาษาที่จะคอยบอกสถานะต่างๆ ของเครื่อง และบอกปัญหาต่างๆ ที่ Samsung Bespoke Jet เจอขณะทำงาน

Hyesoon Yang รองประธานบริหาร Samsung

Hyesoon Yang รองประธานบริหาร Samsung กล่าวว่า “ความสะอาดเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทั่วโลกนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เราเลยอยากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สะดวกและมีประสิทธิภาพให้การทำความสะอาดบ้านของทุกคนง่ายกว่าที่เคย ไม่ใช่แค่เรื่องความสะอาด แต่การออกแบบของผลิตภัณฑ์ก็ต้องสวยงามวางในบ้านได้อย่างลงตัวด้วย เลยเกิดเป็น Samsung Bespoke Jet พลังดูด 210 วัตต์ ดักจับและกรองฝุ่นละเอียดระดับอนุภาคได้ ที่สำคัญน้ำหนักเพียง 1.44 กก. เบาพอที่จะถือด้วยมือข้างเดียว”

ปัจจุบัน Samsung Bespoke Jet มี 3 สี ได้แก่ “Midnight Blue” “Woody Green” และ “Misty White” จำหน่ายแล้วที่เว็บไซต์ Samsung ราคาเริ่มต้นที่ 26,990 บาท รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก

ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2566

Meta หั่นราคาแว่น Quest Pro เหลือ 999 ดอลลาร์, Quest 2 256GB เหลือ 429 ดอลลาร์

Meta ประกาศหั่นราคาแว่น Quest แบบถาวร ดังนี้
  • Meta Quest Pro จากเดิม 1,499 ดอลลาร์ เหลือ 999 ดอลลาร์ (ลดลงทีเดียว 500 ดอลลาร์)
  • Meta Quest 2 (256GB) จากเดิม 499 ดอลลาร์ เหลือ 429 ดอลลาร์ (ลดลง 70 ดอลลาร์)

ส่วนแว่นรุ่นเล็กที่สุด Meta Quest 2 (128GB) ยังคงราคาเดิมที่ 399 ดอลลาร์ (เท่ากับว่าช่วงห่างของรุ่นความจุเหลือ 30 ดอลลาร์เท่านั้น)

เมื่อเดือนกรกฎาคม 2022 บริษัท Meta เพิ่งขึ้นราคา Meta Quest 2 ทั้งสองรุ่นความจุ จากเดิม 299 และ 399 ดอลลาร์ เป็น 399 และ 499 ดอลลาร์ตามลำดับ โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น

ส่วนการรอบนี้คือลดราคา Quest 2 เฉพาะรุ่น 499 ดอลลาร์ลงมาเหลือ 429 ดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าเป้าหมายคือการสร้างแว่น VR ที่เข้าถึงได้กว้างที่สุด (affordable for as many people as possible) และไม่พูดเรื่องต้นทุนแล้ว

ที่มา: Blognone