วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2568

สิงคโปร์จะเริ่มให้บริการรถโดยสารอัตโนมัติ ไตรมาส 2 ปีหน้า ใช้เทคโนโลยีจาก WeRide และ Pony.ai

สำนักงานขนส่งทางบกของสิงคโปร์ ประกาศว่ารถโดยสารแบบไร้คนขับจะเริ่มให้บริการใน 3 เส้นทางของพื้นที่ Punggol ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2026 ซึ่งจะดำเนินการโดยสองบริษัทคือ Grab และ ComfortDelGro ซึ่งทดสอบการเดินรถอัตโนมัติไปก่อนหน้านี้

Grab จะให้บริการในสองเส้นทาง โดยใช้ระบบรถยนต์อัตโนมัติของ WeRide เป็นรถ 5 และ 8 ที่นั่ง ส่วน ComfortDelGro ใช้เทคโนโลยีรถยนต์อัตโนมัติของ Pony.ai ซึ่งทั้งสองบริษัทมาจากประเทศจีน

รถยนต์อัตโนมัติที่วิ่งในเส้นทางจะเป็นรถสีม่วง พร้อมข้อความกำกับว่าเป็นรถชัทเทิลอัตโนมัติ เพื่อให้รถยนต์อื่นบนท้องถนนสังเกตเห็นได้ชัดเจน

ที่มา: Blognone

Amazon Bedrock เพิ่มโมเดลค่ายจีน Alibaba Qwen และ DeepSeek-V3.1

AWS ประกาศนำโมเดลค่ายจีน 2 ค่ายคือ Alibaba Qwen และ DeepSeek มาให้บริการบน Amazon Bedrock

กรณีของ Qwen ถือเป็นครั้งแรกที่ Bedrock มีให้บริการ เบื้องต้นมีโมเดลให้ใช้ 4 ตัวคือ

  • Qwen3-Coder-480B-A35B-Instruct
  • Qwen3-Coder-30B-A3B-Instruct
  • Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507
  • Qwen3-32B (Dense)

ส่วน DeepSeek นั้นเดิม Bedrock มีให้บริการ DeepSeek-R1 โมเดลกลุ่ม reasoning อยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ขยายมายัง DeepSeek-V3.1 โมเดลสายหลักตัวล่าสุด ด้วย

AWS ย้ำว่าแนวทางของตัวเองคือเปิดให้มีตัวเลือกโมเดลหลากหลาย ไม่ยึดติดว่าต้องเป็นโมเดลของตัวเอง หรือ Anthropic ที่เข้าไปลงทุนไว้ และล่าสุดเพิ่งนำ OpenAI โมเดลเปิด GPT OSS เข้ามาให้ใช้งานบน Bedrock เช่นกัน


ที่มา: Blognone

Meta เปิดตัว “AI Glasses” แว่นตา Ray-Ban พร้อมสายรัดข้อมือ ควบคุมได้ด้วยปลายนิ้ว

Meta เปิดตัว Meta Ray-Ban Display โดยแว่นตาอัจฉริยะรุ่นนี้เป็นการต่อยอดจากแว่นตา Ray-Ban รุ่นก่อนหน้า แต่เพิ่มจอแสดงผลแบบ HUD (Head-Up Display) ความละเอียด 600×600 พิกเซลเข้าไปที่เลนส์ด้านขวา ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นข้อมูล, การแจ้งเตือน หรือแม้แต่วิดีโอต่างๆ ซ้อนทับอยู่บนโลกจริงได้ทันที โดยที่ยังคงดีไซน์สุดคลาสสิกของ Ray-Ban เอาไว้

แว่น Meta Ray-Ban Display จะทำงานร่วมกับอุปกรณ์สวมข้อมือ sEMG (Surface Electromyography) ของ Meta เพื่อควบคุมอินเทอร์เฟซของแว่นตาอัจฉริยะรุ่นนี้ ที่มาพร้อมกับความสามารถสุดล้ำและวิธีการควบคุมแบบใหม่ด้วยปลายนิ้วของคุณ

หัวใจสำคัญที่ทำให้แว่นตารุ่นนี้แตกต่างคือ Meta Neural Band สายรัดข้อมืออัจฉริยะที่ใช้เซนเซอร์ EMG (Electromyography) เพื่อตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อนิ้วมือ และแปลงการขยับนิ้วเล็กๆ ให้กลายเป็นคำสั่งต่างๆ เช่น การคลิก หรือการเลื่อนหน้าจอได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ แว่นตา Meta Ray-Ban Display ยังอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • พูดคุยกับ Meta AI พร้อมรับข้อมูลภาพประกอบบนหน้าจอ
  • วิดีโอคอล ผ่านแอปพลิเคชันยอดนิยม
  • รับชมวิดีโอสั้น (Reels) ได้โดยตรง
  • แปลภาษาแบบเรียลไทม์ พร้อมแสดงคำบรรยายบนหน้าจอ

การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ Meta ในการนำเทคโนโลยี AI มาผนวกกับอุปกรณ์สวมใส่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับผู้ใช้ และจะวางจำหน่ายชุดแว่นตา Meta Ray-Ban Display พร้อมสายรัดข้อมือ Neural Band ในราคา 799 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 25,500 บาท) โดยจะเริ่มขายที่สหรัฐอเมริกา วันที่ 30 กันยายน 2568 นี้ 

ที่มา: Beartai 

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ครั้งแรกในโลก - ออสเตรเลียอนุมัติกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้โซเชียลมีเดียทุกกรณี

รัฐสภาของออสเตรเลียลงมติรับรองกฎหมายจำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดียของเยาวชนแล้ว ตามที่มีข้อเสนอออกมาก่อนหน้านี้ โดยมีผลให้เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ไม่สามารถใช้งานโซเชียลมีเดียได้ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Instagram, Snapchat หรือ Facebook

กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เพื่อให้โซเชียลมีเดียปรับปรุงระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้งาน กำหนดบทลงโทษสำหรับฝั่งผู้ให้บริการ เป็นเงินค่าปรับสูงสุด 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1,100 ล้านบาท) หากไม่สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนในการตรวจสอบอายุผู้ใช้งานได้ แต่ไม่มีบทลงโทษสำหรับเยาวชนกับผู้ปกครอง

กฎหมายนี้ให้ข้อยกเว้นกับ บริการแชทรับส่งข้อความ, เกมออนไลน์ และบริการออนไลน์ที่มีวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับสุขภาพและการศึกษา รวมทั้ง YouTube ก็ไม่เข้าเงื่อนไขกฎหมายนี้เพราะสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องล็อกอิน

Anthony Albanese นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียซึ่งสนับสนุนกฎหมายนี้ บอกว่ากฎหมายนี้ออกมาเพื่อปกป้องเยาวชนออสเตรเลีย ให้ห่างจากโซเชียลมีเดียที่สร้างผลกระทบต่อจิตใจ และทำให้พวกเขามีช่วงเวลาในวัยเด็กอีกครั้ง

ฝ่ายผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียต่างแสดงความเห็นคัดค้านในช่วงการอภิปรายกฎหมายนี้ Meta เจ้าของ Facebook, Instagram บอกว่ารัฐบาลเร่งรัดการออกกฎหมายนี้เกินไป และอาจไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ ขณะที่ฝั่งแพลตฟอร์มมีการปรับปรุงระบบแสดงเนื้อหาตามอายุผู้ใช้งานอยู่แล้ว ส่วน TikTok บอกว่านิยามโซเชียลมีเดียในกฎหมายนี้กว้างมากและไม่ชัดเจน ขณะที่ X บอกว่ากฎหมายนี้อาจขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานในระดับนานาชาติ ส่วนตัวแทนเยาวชนบอกว่าถึงแม้โซเชียลมีเดียจะมีผลเสียหลายอย่าง แต่เยาวชนควรมีสิทธิใช้งานและร่วมปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมมากกว่า

กฎหมายควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียสำหรับเยาวชนในหลายประเทศปัจจุบัน เป็นในรูปแบบที่ผู้ปกครองต้องให้ความยินยอมด้วยจึงจะสามารถสมัครใช้งานได้ และแพลตฟอร์มก็สร้างเครื่องมือควบคุมเพิ่มขึ้นมา

ที่มา: Blognone

ไม่ต้องมีล่ามแล้ว? Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์ถอดเสียงประชุมที่มีหลายภาษา แปลให้เสร็จสรรพ

Microsoft Teams มีฟีเจอร์ใหม่จำนวนมากที่ประกาศในงาน Ignite 2024 เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ Live Transcription หรือการถอดเสียงในห้องประชุมออนไลน์ รองรับการถอดเสียงหลายภาษาพร้อมกันแล้ว

การมาถึงของฟีเจอร์นี้ทำให้ผู้เข้าประชุมสามารถพูดภาษาของตัวเอง ระบบจะถอดเสียงพูดเป็นข้อความ transcript แล้วแปลเป็นภาษาที่ต้องการให้ได้ทันที ฟีเจอร์นี้รองรับการถอดเสียง 51 ภาษา และแปลเป็นภาษาอื่นได้ 31 ภาษา ฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ใช้ช่วงต้นปี 2025 ดูตัวอย่างในคลิปประมาณนาทีที่ 4:00

นอกจากนี้ ฟีเจอร์การสรุปประชุม (intelligence meeting recap) ยังสามารถเลือกให้สรุปออกมาเป็นภาษาที่ต้องการได้แล้ว (เช่น ประชุมภาษาอังกฤษ สรุปออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น) ฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ใช้ปี 2025



ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Huawei เปิดตัว HarmonyOS Next ระบบปฏิบัติการน้องใหม่ที่ไม่ง้อ Android !

Huawei กำลังสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการเปิดตัว HarmonyOS Next อย่างเป็นทางการ ซึ่งนี่เป็นหมุดหมายแรกของ Huawei ในการสร้างระบบปฏิบัติการที่เป็นอิสระจาก Android เปลี่ยนอุปกรณ์ของตัวเองมาเป็น in-house OS


สำหรับ HarmonyOS Next จะเป็นระบบปฏิบัติการณ์ใหม่ที่จะใช้งานในอุปกรณ์ Huawei ในประเทศจีนปัจจุบันไปจนถึงในอนาคต โดยนอกจากนี้ในอนาคต Huawei ยังมีแผนจะเปิดตัว HarmonyOS Next นอกประเทศจีนด้วย โดยระบบปฏิบัติการดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์ของ Huawei เช่น สมาร์ตโฟนสมาร์ตวอตช์ อุปกรณ์อัจฉริยะในบ้าน

HarmonyOS Next ใช้ไมโครเคอร์เนลที่มีพื้นฐาน OpenHarmony และสนับสนุนแอปต่างๆ ผ่าน Huawei Ark Compiler ด้วย Huawei Mobile Services (HMS) ออกแบบโดยเน้นสถาปัตยกรรมรวม (unified architecture) ระหว่างอุปกรณ์ HarmonyOS Next, คลาวด์ และการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์รูปแบบต่างๆ แบบไร้รอยต่อ

Huawei ประกาศว่า ปัจจุบัน HarmonyOS Next มีแอปและบริการจำนวนมากถึง 15,000 แอป และจะมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต โดย HarmonyOS เวอร์ชันก่อนหน้านั้นถูกใช้โดยอุปกรณ์กว่า 1,000 ล้านเครื่องทั่วโลกทั้งจากสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต สมาร์ตวอตช์ อุปกรณ์ smart home และระบบ infotainment ภายในรถยนต์

ในด้านดีไซน์จะพบว่า HarmonyOS Next มาพร้อมเอกลักษณ์ในหน้าล็อกสกรีนและโฮมสกรีน พร้อมตัวเลือกในการปรับแต่ง, มีการรีดีไซน์ control center, พัฒนาความเร็วแอนิเมชันและการเปิดแอป อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ด้าน AI ด้วย

นอกจากนี้ HarmonyOS Next ยังเพิ่มความเร็วและเพิ่มการประหยัดพลังงานในด้านการสื่อสารระหว่างโมดูลซอฟต์แวร์ และยังมี Huawei Share 2.0 ที่ช่วยในการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อ และการแบ่งปันไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ ซึ่ง Huawei โฆษณาว่า อุปกรณ์ที่ใช้ HarmonyOS Next สามารถโอนถ่ายไฟล์ขนาด 1.2 GB ได้ภายในระยะเวลาเพียง 8 วินาที รวมถึงมีระบบความปลอดภัยชื่อสถาปัตยกรรม Star Shield ที่มาพร้อมการจัดการความปลอดภัยในระดับ system-level

ในเบื้องต้น Huawei จะปล่อยอัปเดต HarmonyOS Next beta แบบสาธารณะให้กับผู้ใช้งานในประเทศจีนที่ใช้อุปกรณ์ ดังนี้ Pura 70 series, Huawei Pocket 2 และ MatePad Pro 11 (2024)

ที่มา: Beartai

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2567

Meta เปิดตัว Llama 3.2 เพิ่มรุ่นอ่านภาพได้, มีโมเดลขนาดเล็กเน้นรันในโทรศัพท์ พร้อมชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง

Meta เปิดตัว Llama 3.2 โมเดล LLM เพิ่มรุ่นรองรับอินพุตเป็นภาพ ที่มีความสามารถระดับเดียวกับ GPT-4o-mini พร้อมกับโมเดลรุ่นเล็กขนาด 1B ที่ความสามารถใกล้เคียงโมเดลกลุ่มขนาดเล็กด้วยกัน

แนวทางการพัฒนา Llama 3.2 รุ่นรับภาพนั้น อาศัยการสร้าง image encoder แปลงข้อมูลเข้าไปให้กับโมเดลภาษาเดิม ระหว่างการฝึกช่วงแรกก็ฝึกเฉพาะ image encoder อย่างเดียว ไม่ปรับแก้ส่วนโมเดลภาษา เพื่อให้แน่ใจว่าความสามารถด้านภาษานั้นยังเท่าเดิมอยู่ จากนั้นฝึกความรู้ที่มีภาพประกอบเพิ่มเข้าไปภายหลัง และจบด้วยการฝึกด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม โมเดลรุ่นรองรับภาพนั้นมีสองขนาด คือ 90B และ 11B โดยตัว 90B นั้นความสามารถเทียบเคียงกับ GPT-4o-mini ในหลายชุดทดสอบ

ส่วนโมเดลขนาดเล็กอาศัยเทคนิค pruning คือการย่อโมเดลขนาดใหญ่กว่าให้เล็กลงโดยพยายามรักษาความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยตั้งต้นจาก Llama 3.1 8B แล้วตัดย่อโมเดลลงมาเรื่อยๆ ต่อจากนั้นอาศัยเทคนิค distillation ฝึกโมเดลที่ถูกตัดย่อมาแล้วให้มีความสามารถกลับขึ้นมาใกล้เคียงโมเดลขนาดใหญ่

สุดท้ายทาง Meta ปล่อย Llama Stack Distribution ชุดเครื่องมือสำหรับการพัฒนา ประกอบไปด้วยคำสั่ง Llama CLI สำหรับการสั่งคอนฟิกและรันโมเดล, โค้ดไคลเอนต์ในภาษาต่างๆ สำหรับนักพัฒนา, Docker สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ Agent API Provider ผู้ใช้สามารถนำ stack นี้ไปรันได้หลายที่ ทั้งเครื่องส่วนตัวที่ภายในเป็น Ollama หรือคลาวด์ที่ผู้ให้บริการต่างๆ จะให้บริการตรงกัน ไปจนถึงการใช้งานในโทรศัพท์มือถือ

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2567

Volvo จะอัพเกรดระบบความบันเทิงในรถตัวใหม่ ย้อนให้กับรถรุ่นเก่าตั้งแต่ปี 2020

Volvo Cars ประกาศอัพเดตระบบความบันเทิงภายในรถยนต์ (infotainment) เวอร์ชันใหม่ให้กับรถยนต์รุ่นเก่า ย้อนไปถึงปี 2020

ระบบความบันเทิงในรถยนต์เวอร์ชันใหม่ ปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น กดหน้าจอน้อยลง เริ่มใช้งานมาแล้วในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น EX90 และ EX30 และจะใช้กับ XC90 SUV รุ่นปี 2025 ที่อัพเกรดจอเป็นขนาดใหญ่ขึ้น 11.2" และความละเอียดจอเพิ่มขึ้น 21% ด้วย

หลังจากนั้น Volvo Cars จะทยอยอัพเกรดย้อนหลังให้กับรถยนต์ที่ใช้ระบบความบันเทิงในรถยนต์ Android Automotive (Google built-in) รุ่นที่วางขายตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ที่ระบุชื่อรุ่นได้แก่ C40, XC40, EX40, EC40, S60, V60, V60 Cross Country, XC60, S90, V90, V90 Cross Country, XC90 แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาแน่ชัด

ตามธรรมเนียมของวงการรถยนต์ มักไม่มีการอัพเกรดใหญ่ย้อนหลังให้กับรถยนต์รุ่นที่วางขายไปก่อนแล้ว ตัวอย่างของ Volvo Cars ที่อัพเกรดย้อนหลังให้ฟรี จึงเป็นกรณีที่น่าสนใจ และต้องรอดูกันว่าจะชวนให้บริษัทรถยนต์อื่นๆ ต้องปรับตัวสู้ด้วยมากน้อยแค่ไหน

 


 
ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

นวัตกรรมเพื่อคนกินเค็ม 'ช้อนลดโซเดียม' เพิ่มรสเค็ม และอูมามิในอาหาร วางขายแล้ว!

คิริน โฮลดิงส์ คอมปานี ลิมิเต็ด (Kirin Holdings Company, Limited) จากประเทศญี่ปุ่นได้เปิดขายช้อนไฟฟ้าเพิ่มความเค็ม หรือ Electric Salt Spoon โดยช้อนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการลดโซเดียมจากเครื่องปรุง ไม่ว่าจะเกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว และผงชูรส ด้วยการเพิ่มรสเค็ม และรสอูมามิที่เราเรียกว่ารสอร่อยกลมกล่อมเข้าไปในอาหาร เพียงแค่คุณใช้ช้อนสุดพิเศษคันนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2023 มาแล้ว

โซเดียมเป็นสารอาหารที่คนส่วนใหญ่ได้รับเกินพอดีอยู่แทบทุกวัน โดยคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ย 3,600 มิลลิกรัม/วัน แต่แพทย์แนะนำว่าไม่ควรได้รับเกิน 2,000 มิลลิกรัม/วันเท่านั้น ซึ่งการได้รับโซเดียมมากเกินไปสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังอย่างโรคไต ภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

หากใครเคยลิ้มลองอาหารญี่ปุ่น ไม่ว่าจะซูชิ ราเม็น ซุปมิโซะ จะรู้ได้เลยว่าคนญี่ปุ่นน่าจะบริโภคโซเดียมมากพอตัว และจากสถิติคนญี่ปุ่นเองก็ป่วยด้วยภาวะความดันโลหิตสูงจำนวนมากด้วยเช่นกัน โดยคนญี่ปุ่นบริโภคเกลือเฉลี่ย 4,000 มิลลิกรัมในผู้ชาย และ 3,700 มิลลิกรัมในผู้หญิง

หน้าตาของช้อนลดโซเดียมคันนี้ก็มีรูปทรงคล้ายกับช้อนทั่วไป แต่แฝงไปด้วยนวัตกรรมที่คิดค้นโดย ดร. โฮเมอิ มิยาชิตะ จากมหาวิทยาลัยเมจิ ประเทศญี่ปุ่น จากข้อมูลพบว่าช้อนนี้อาจช่วยลดการบริโภคโซเดียมได้ราว 1.5 เท่าจากเดิม ช่วยให้ผู้คนสามารถดื่มด่ำรสชาติอาหารโดยที่ลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพจากการได้รับโซเดียมมากเกินไป

ช้อนนี้ใช้กลไกทางไฟฟ้าหลอกลิ้นของเราเพื่อเพิ่มรสชาติ แทนที่จะต้องเพิ่มโซเดียมหรือเกลือในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ

โดยคิริน โฮลดิงส์ คอมปานี ลิมิเต็ดได้วางขายช้อนนี้ในล็อตแรกจำนวน 200 คันเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ 19,800 เยน หรือราว 4,600 บาท และวางแผนที่จะพัฒนาตะเกียบ ชาม และภาชนะอื่นๆ เพื่อจุดประสงค์เดียวกันต่อไป เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจรอติดตามนวัตกรรมด้านอาหารและสุขภาพแบบนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าในอนาคตเราทุกคนอาจจะได้กินอาหารที่อร่อย โดยที่ไม่ต้องได้รับสารอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากเกินไป

ที่มา: Beartai

Angry Birds ลง Android Automotive, กูเกิลจัด Tier แอพในรถยนต์ แยกตามความพร้อม

กูเกิลประกาศรองรับแอพเพิ่มเติมบน Android Automotive ได้แก่ แอพกลุ่มสตรีมมิ่ง Max, Peacock และเกม Angry Birds ที่สามารถเล่นได้ตอนรถจอด

ส่วน Android Auto ที่เป็นการส่งภาพจากมือถือขึ้นจอ รองรับแอพ Uber Driver สำหรับคนขับรถแล้ว เท่ากับว่าคนขับ Uber จะสามารถรับงานผู้โดยสารและดูการนำทางได้จากจอใหญ่ของรถยนต์ แทนที่จะเป็นจอมือถือแบบเดิม

นอกจากนี้ กูเกิลยังประกาศจัด "ระดับ" ของแอพที่ใช้งานในรถเป็น 3 tiers ตามคุณภาพของแอพ ได้แก่

  • Tier 3: Car ready ระดับพื้นฐาน คือ แอพสามารถทำงานบนจอใหญ่ (เหมือนรันบนแท็บเล็ต) พร้อมใช้งานตอนรถจอด โดยที่นักพัฒนาแอพไม่ต้องทำอะไรเพิ่มจากเดิม
  • Tier 2: Car optimized เพิ่มฟีเจอร์เฉพาะสำหรับการใช้งานในรถบางอย่างเข้ามา รองรับการใช้งานตอนขับหรือตอนจอด แอพส่วนใหญ่ในปัจจุบันอยู่ระดับนี้
  • Tier 1: Car differentiated แอพที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในรถยนต์โดยเฉพาะ ออกแบบมาสำหรับหน้าจอรถยนต์แต่ละจอที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะในรถยนต์ระดับพรีเมียมที่มีหลายจอ

สำหรับแอพกลุ่ม Tier 3 กูเกิลยังเริ่มโปรแกรมชื่อ Car ready mobile apps เพื่อส่งเสริมให้นักพัฒนาปรับแอพให้ได้ตามมาตรฐาน Tier 3 แล้วกูเกิลจะนำไปดันต่อให้ด้วย

แอพหมวดต่างๆ ที่กูเกิลอนุญาตให้ใช้ในรถยนต์ โดยแยกเป็น Android Auto (ประมวลผลจากสมาร์ทโฟน) และ Cars with Google built-in (Android Automotive คือเป็นระบบปฏิบัติการฝังในรถเลย)


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Windows เพิ่มฟีเจอร์ Generative erase ลบคนและสิ่งของออกจากภาพเหมือน Magic Eraser ของ Pixel


หนึ่งในฟีเจอร์เด็ดของ Pixel ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยคือ Magic Eraser ที่เราสามารถลบสิ่งของหรือคนออกจากรูปภาพได้อย่างง่ายสมชื่อ Magic Eraser จริงๆ ล่าสุด Microsoft ได้พัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าวให้มีบน Windows 11 แล้ว

Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Generative erase ในแอป Photos โดยตอนนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวจะมีให้ใช้งานเฉพาะใน Windows Insider คาดว่าจะเปิดให้ใช้งานในเร็วๆ นี้ และอาจจะรองรับการใช้งาน Windows 10 ด้วย

นอกจาก Generative erase แล้วก็ยังมีฟีเจอร์ AI อื่นๆ เช่น เบลอแบ็กกราวน์, แทนที่แบ็กกราวน์ด้วยภาพอื่น รวมถึงลบแบ็กกราวน์ออกได้ด้วย ในการใช้งานนั้น ให้เปิดรูปภาพที่ต้องการแก้ไขในแอป Photos > Edit Image > Erase และเลือกลบคนหรือวัตถุได้เลย

อย่างที่ระบุไว้ข้างต้นว่า ตอนนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวมีให้ใช้งานเฉพาะ Windows Insider หรือเวอร์ชันทดสอบเท่านั้น สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปต้องรอกันต่ออีกหน่อยนะครับ

ที่มา: Beartai

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Microsoft ออกแอป Office เวอร์ชันบนแว่น Meta Quest

ไมโครซอฟท์ออกแอปเพิ่มเติมบนแพลตฟอร์มแว่น Meta Quest จากวันก่อนเป็น Xbox Cloud Gaming โดยวันนี้เป็นโปรแกรมตระกูล Office

โดย Office ที่มีให้ใช้งานตอนนี้คือ 3 โปรแกรมหลัก Word, Excel และ PowerPoint รองรับแผนใช้งานแบบ basic ฉะนั้นจึงใช้งานได้ทุกคนรวมทั้งแผนฟรี ต้องล็อกอินเข้าบัญชีไมโครซอฟท์เพื่อใช้งาน และโปรแกรมทั้งหมดทำงานบนคลาวด์

Android Central ทดสอบการใช้งาน สามารถทำงานร่วมกับคีย์บอร์ดและเมาส์บลูทูธได้ด้วย จึงทำให้การใช้งานไม่ลำบากมากเกินไป ดูวิดีโอได้ท้ายข่าว

ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Apple Vision รุ่นลดสเปก อาจมีราคาอยู่ประมาณ 50,000 บาท

Apple เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่แบบ VR หรือ Apple Vision Pro ด้วยราคา 3,500 เหรียญ หรือประมาณ 127,000 บาท การตั้งชื่อก็ฟ้องว่านี่เป็นรุ่นท็อป (ไม่มี Max มั้ง) จึงเป็นไปได้ที่ Apple จะทำรุ่นสเปกรองลงมาออกมาจำหน่ายด้วย

มาร์ก เกอร์แมน (Mark Gurman) จาก Bloomberg รวมถึงข้อมูลจาก The Information บอกว่า Apple กำลังพัฒนา Apple Vision รุ่นรองลงมา เนื่องจากตัว Vision Pro สเปกจัดเต็ม ราคา 3,500 เหรียญนั้นก็ถือว่าสูงมาก ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงราคาระดับนี้ได้ง่ายนัก

เกอร์แมนบอกว่า Apple กำลังพัฒนา Apple Vision รุ่นราคาถูกลง ลดสเปกหลายๆ ส่วน เช่น ชิปประมวลผลระดับ iPhone แทนที่ชิปสำหรับ Mac ถอดฟีเจอร์ Eyesight ลดความละเอียดหน้าจอลง รวมถึงลดจำนวนเซนเซอร์ที่ใช้งานลงด้วย

สำหรับค่าตัวของ Apple Vision รุ่นราคาถูกลงมาจะอยู่ที่ 1,500-2,500 เหรียญ หรือรประมาณ 54,000-90,000 บาท ยังไม่มีการยืนยันราคาแน่ชัด

ที่มา: Beartai

ผู้บริหาร RISC-V International ชี้การจำกัดการเผยแพร่มาตรฐาน RISC-V จะขวางการพัฒนาเทคโนโลยีโลก


คาลิสตา เรดมอนด์ (Calista Redmond) ผู้บริหาร RISC-V International ซึ่งกำกับดูแลเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมชิปแบบโอเพนซอร์ส RISC-V ชี้ว่าความพยายามจำกัดการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว อาจชะลอการพัฒนาชิปที่ดีขึ้น และจะฉุดรั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก

ก่อนหน้านี้ สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกาดาหน้ากันออกมากดดันให้รัฐบาลออกมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ RISC-V เป็นฐาน เพื่อเตะสกัดการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน

สำหรับเทคโนโลยี RISC-V สามารถนำไปใช้ต่อยอดในการพัฒนาชิปสำหรับสมาร์ตโฟนหรือ AI ก็ได้ ซึ่งบริษัททั้งในจีนอย่าง Huawei และสหรัฐฯ อย่าง Qualcomm และ Google ก็หันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีนี้

ซึ่งเรดมอนด์อธิบายว่าทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย ต่างก็มีส่วนร่วมในการนำ RISC-V ไปต่อยอดในการพัฒนาเทคโนโลยีไม่น้อยไปกว่ากัน พร้อมย้ำว่ามาตรฐาน RISC-V ที่องค์กรเผยแพร่ไม่ใช่พิมพ์เขียวในการพัฒนาชิปที่สมบูรณ์ และไม่ได้มีการให้ข้อมูลกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่าอีกฝ่าย แต่ใครก็สามารถนำไปพัฒนาต่อได้โดยอิสระ

เรดมอนด์ชี้ว่าการจำกัดการใช้งาน RISC-V จะส่งผลในการลดทอนความสามารถในการเข้าสู่ตลาดโลกของผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และผู้มีความสามารถ อีกทั้ง การแบ่งแยกมาตรฐานทางเทคโนโลยีระหว่างประเทศอาจทำให้เกิดเทคโนโลยีที่ไม่สามารถนำมาใช้ร่วมกัน เป็นการปิดตลาด และสร้างภาระโดยไม่จำเป็น

เป้าหมายของ RISC-V คือการเปิดกว้างมาตรฐานเทคโนโลยีโดยไม่มีบริษัทใดครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

ที่มา: Beartai

เปิดตัว Meta Quest 3 จอชัดขึ้น ใช้ชิป Snapdragon XR2 Gen 2 ราคาเริ่มต้นเกือบ 20,000 บาท

Meta Quest 3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเป็นอุปกรณ์ mixed reality (MR) headset ที่ในครั้งนี้มีหน้าจอ (เลนส์) ที่บางเบาลง มีความละเอียด 2208 x 2064 พิกเซล อัตรารีเฟรช 90 Hz และโหมดทดลอง 120 Hz โดยให้มุมมอง 110 องศาในแกนนอน และ 96 องศาในแกนตั้ง

Meta Quest 3 ใช้เลนส์ดีไซน์แบบแพนเค้กที่บางลงจากเดิม 40% แต่น้ำหนักของ Quest 3 จะอยู่ที่ 515 กรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก Quest 2 เล็กน้อยประมาณ 12 กรัม

อุปกรณ์รุ่นนี้มาพร้อมตัวประมวลผลกราฟิกถึง 2 ตัว ได้แก่ชิป Snapdragon XR2 Gen 2 ของ Qualcomm คู่กับ DRAM 8GB นอกจากนี้ Quest 3 ยังติดตั้งกล้อง RGB มาถึง 2 ตัว และ depth projector ที่ให้ความละเอียดมากกว่าของ Quest 2 ถึง 10 เท่า

มีการติดตั้งลำโพงที่รองรับระบบ 3D spatial audio, สายรัดที่ปรับระยะได้, ตัวคอนโทรลเลอร์ Touch Plus พร้อม TruTouch haptics และผู้ใช้จะได้เซนเซอร์ติดตามการเคลื่อนไหวของมือจากกล้อง IR 4 ตัว

ทั้งนี้ Meta ระบุว่า Quest 3 จะสามารถใช้งานได้นานเฉลี่ย 2.2 ชั่วโมง ในขณะที่การชาร์จต้องใช้เวลา 2.3 ชั่วโมงถึงจะชาร์จจนเต็มได้

สำหรับราคาของ Meta Quest 3 นั้นอยู่ที่ 500 เหรียญ (ราว 18,300 บาท) สำหรับรุ่น 128GB และ 650 เหรียญ (ราว 23,800 บาท) สำหรับรุ่น 512GB

ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Microsoft Teams เปิดตัวฟีเจอร์ Town Halls จัดประชุมขนาดใหญ่ ผู้ฟังสูงสุด 20,000 คน

ไมโครซอฟท์เปิดตัวฟีเจอร์การประชุมขนาดใหญ่ Town Halls ให้กับ Microsoft Teams โดยจะมาแทนฟีเจอร์การประชุมของเดิม Teams Live Events ที่จะเลิกใช้งานในเดือนกันยายน 2024

Town Halls รองรับการประชุมแบบพร้อมหน้ากันทั้งบริษัท เข้าฟังได้สูงสุด 20,000 คน มีอีเวนต์แยกรันขนานกันได้สูงสุด 50 งาน, ระยะเวลาถ่ายทอดสดนานสูงสุด 30 ชั่วโมง

ฟีเจอร์อื่นๆ ถูกพัฒนามารองรับการประชุมขนาดใหญ่แบบครบถ้วน เช่น Green Room ห้องให้ผู้พูดเตรียมตัวกับผู้จัดงานก่อนขึ้นพูด, ระบบ Q&A ถามตอบ, การบันทึกวิดีโอ, การสื่อสารว่าจะมีงานถ่ายทอดผ่านอีเมล, ระบบเก็บสถิติและวิเคราะห์ผู้ชม เป็นต้น

Town Halls จะเริ่มเปิดใช้งานวันที่ 5 ตุลาคม 2023

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2566

ชิป U2 บน iPhone 15 Series ฟีเจอร์ค้นหาเพื่อนระยะทางไกลสุด 60 เมตร


หนึ่งในการอัปเกรดภายในของ iPhone 15 ทุกรุ่น คือการติดตั้งชิป Ultra-wide-band ตัวใหม่อย่าง U2 ทำให้การเชื่อมต่อ และค้นหาสิ่งของแม่นยำขึ้น โดย iPhone 15 มาพร้อมกับฟีเจอร์ค้นหาเพื่อน ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถค้นหาเพื่อนได้ระยะทางไกลสุดประมาณ 60 เมตร

ก่อนหน้านี้ชิป U1 เคยถูกติดตั้งบน iPhone และ AirTags อุปกรณ์ไว้สำหรับติดตามสิ่งของ จากการทดสอบฟีเจอร์ค้นหาของ AirTags สามารถทำระยะทางค้นหาได้สูงสุดเพียง 10-15 เมตรเท่านั้นในพื้นที่เปิดโล่งแจ้ง

ช่องยูทูป Teknófilo ได้โพสต์วิดีโอทดสอบฟีเจอร์ค้นหาเพื่อนแอป Find My บน iPhone 15 พบว่าชิป U2 สามารถทำระยะทางค้นหาได้แม่นยำขึ้นกว่าชิป U1 ได้ระยะทางไกลสูงสุดประมาณ 60 เมตรในพื้นที่เปิดโล่งแจ้ง ซึ่งระยะทางดังกล่าวก็มากกว่าการค้นหาสิ่งของของ AirTags สูงขึ้นกว่า 3 เท่า

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ผู้เชี่ยวชาญออกมาเปิดเผยเพราะอะไรใส่ Apple Vision Pro เวียนหัวน้อยกว่าแว่น VR อื่นๆ

หลังจากการเปิดตัวแว่นตา Apple Vision Pro ในงาน WWDC 2023 เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดมีผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเปิดเผยเพราะอะไรใส่ Apple Vision Pro แล้วไม่เวียนหัว

เดวิด รีด (David Reid) ศาสตราจารย์ด้าน AI และ Spatial Computing จากมหาวิทยาลัย Liverpool Hope ได้ออกมาเปิดเผยสาเหตุใส่ Apple Vision Pro แล้วไม่เวียนหัวกับทาง BBC ว่า ผมได้ทดลองเล่นแว่นตา VR มาหลากหลายรุ่นในท้องตลาด และตัวล่าสุด HoloLens 2 ผลทดลองใส่ทั้งหมดมีอาการเวียนหัวทั้งสิ้น

ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงหลังจากได้เข้าร่วมทดลองใส่ Apple Vision Pro แล้วไม่เวียนหัว ก็คือ การออกแบบฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อนทำให้ภาพภายในแว่นมีความสมจริง และเป็นธรรมชาติ โดยปัญหาหลักๆ ของการใส่แว่น VR คือ อาการเวียนหัวจากจุดศูนย์รวมสายตา และการปรับโฟกัส Vergence accommodation conflict (VAC) เมื่อปัญหาทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกันไม่สามารถปรับโฟกัสระยะทางของวัตถุแบบ 3 มิติได้ จะส่งผลให้เกิดความไม่สบายตา และปวดตา

โดยผลพวงของการออกแบบฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อนของ Apple Vision Pro คือ การเลือกใช้จอแสดงผลภาพพาเนลแบบ Micro OLED จำนวนสองจอแยกแต่ละข้างที่มีความละเอียดสูง 23 ล้านพิกเซลมากกว่าจอทีวี และในแต่ละจอมีรีเฟรชเรตสูง 90 Hz

อีกทั้งยังมีการใช้ชิปประมวลผลคู่ Apple Silicon M2 และชิปใหม่ล่าสุดอย่าง R1 ที่ทาง Apple ได้อธิบายไว้ว่า ชิปตัวนี้จะประมวลผลอินพุตภาพจากกล้องหน้าแว่น, เซนเซอร์ และไมโครโฟน ที่ช่วยสตรีมภาพไปยังหน้าจอภายใน 12 มิลลิวินาทีเพื่อการมองเห็นภาพภายนอกแบบเรียลไทม์

ที่มา: Beartai

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Amazon One ระบบจ่ายเงินด้วยฝ่ามือ เพิ่มระบบยืนยันอายุอัตโนมัติ สำหรับซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

บริการระบบจ่ายเงินด้วยฝ่ามือ Amazon One ประกาศเพิ่มคุณสมบัติใหม่ โดยนอกจากใช้จ่ายเงินได้แล้ว ยังสามารถใช้ยืนยันอายุของผู้ซื้อ สำหรับการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ด้วย จากเดิมในขั้นตอนนี้ผู้ซื้อต้องแสดงเอกสารที่ออกให้โดยหน่วยงานรัฐทุกครั้ง

โดย Amazon เพิ่มระบบยืนยันอายุใน Amazon One ผู้ใช้งานสามารถไปที่เว็บไซต์หรือคิออสก์ แล้วอัปโหลดภาพเอกสารยืนยันอายุของหน่วยงานรัฐ (ในอเมริกานิยมใช้ใบขับขี่) พร้อมกับเซลฟี่ใบหน้า ซึ่ง Amazon จะทำการตรวจสอบความถูกต้องเอกสาร แต่ไม่เก็บข้อมูลไว้ แล้วใช้เฉพาะภาพเซลฟี่ใบหน้านี้แสดงประกอบทุกครั้ง เมื่อสแกนฝ่ามือจ่ายเงินให้ร้านค้าเปรียบเทียบความถูกต้อง

Amazon จะเริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุของ Amazon One นี้ที่ SandLot Brewery บาร์หน้าสนามเบสบอล Coors Field ของทีม Colorado Rockies โดยหวังว่าจะช่วยลดขั้นตอนการซื้อ-ยืนยันอายุ ที่ทำให้แถวรอยาวนั่นเอง แล้วเตรียมขยายต่อไปยังสถานที่อื่นในอนาคต

ปัจจุบันระบบจ่ายเงินด้วยฝ่ามือ Amazon One มีให้ใช้งานใน Whole Foods Market, ร้าน Amazon Go และ Amazon Fresh ตลอดจนร้านค้าพาร์ตเนอร์อีกหลายแห่ง

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2566

คนขับรถเมล์ในซานฟรานซิสโกโวย รถไร้คนขับไม่เก่งอย่างที่โม้ ทำรถติด

Wired รายงานถึงการทดสอบรถแท็กซี่ไร้คนขับในเมืองซานฟรานซิสโก ที่เปิดให้บริษัทต่างๆ เข้ามาทดสอบรถไร้คนขับเต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องมีพนักงานอยู่หลังพวงมาลัยในกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปี 2021 ที่ผ่านมา แม้ว่าในกรณีทั่วๆ ไปจะทำงานได้ดี แต่เมื่อเกิดเหตุที่ต้องตัดสินใจนอกจากรูปแบบปกติขึ้นมาจริงๆ รถไร้คนขับก็ทำรถติดได้มากกว่าคนมาก

ทาง Wired ขอข้อมูลจาก Muni ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะของซานฟรานซิสโกที่เริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่ามีเกิดเหตุอย่างน้อย 12 ครั้งจนถึงต้นเดือนมีนาคมนี้ เหตุการณ์เช่น รถสวนกันในถนนที่พื้นที่ไม่พอให้สวนทาง ถ้าเป็นคนขับปกติก็สามารถตัดสินใจถอยรถหลีกทางได้ทันที แต่ Waymo ต้องเรียกผู้ช่วยมาขยับรถให้ ทาง Waymo เองพยายามบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย และผู้ช่วยก็ไปถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับบริษัทอื่นๆ ด้วย เช่น Cruise เองก็มีเหตุที่รถไม่ยอมขยับแม้จะไฟเขียวแล้ว

ที่ผ่านมาบริษัทรถไร้คนขับมีรายงานความปลอดภัยกันอย่างต่อเนื่อง สถิติแสดงให้เห็นว่ารถไร้คนขับนั้นปลอดภัยมาก และแทบไม่เคยชนโดยตัวรถเป็นฝ่ายผิดเลย แต่ในความเป็นจริง ความสามารถในการจัดการเหตุการณ์อื่นๆ นอกจากอุบัติเหตุถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ควรพิจารณานำรถไร้คนขับมาใช้งานจริง


ที่มา: Blognone