วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Jay Freeman ผู้พัฒนา Cydia กล่าวว่า "การเจลเบรคได้ตายไปแล้ว"

หากใครเคยเจลเบรคอุปกรณ์ iOS มา น่าจะเคยรู้จักกับ Cydia ซึ่ง Motherboard ได้ออกบทสัมภาษณ์ Jay Freeman หรือ Saurik ผู้พัฒนา Cydia ในความเห็นเรื่องการเจลเบรค รวมถึง Nicholas Allegra กับ Michael Wang ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในวงการ โดย Freeman บอกว่าตอนนี้เขาไม่สนับสนุนให้เจลเบรค และการเจลเบรคได้ “ตายไปแล้ว” (officially dead)

ในบทสัมภาษณ์นั้น ให้เหตุผลถึงจุดจบของการเจลเบรคไว้ 4 ข้อ คือ
  1. Apple เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย ทำให้การเจลเบรคยากขึ้น
  2. ถ้าแฮกเกอร์ค้นช่องโหว่พบแล้วเอาไปขายอาจได้เงินสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์ (คุ้มกว่าเอามาทำเจลเบรครอเงินบริจาค)
  3. ผู้เชี่ยวชาญที่ทำเครื่องมือเจลเบรคไปหางานด้านความปลอดภัยที่มีรายได้สูงทำแล้ว
  4. การเจลเบรค iPhone เป็นการเปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยออกมา ซึ่งมีความเสี่ยงสูง
Freeman บอกว่า ทุกวันนี้ Apple นำฟีเจอร์จาก tweak เจ๋งๆ ใน Cydia สมัยก่อนไปใส่ใน iOS แล้ว ทำให้ผู้ใช้ iPhone ทั่วๆ ไปไม่ค่อยอยากจะเจลเบรคอีก เมื่อมีผู้ใช้เจลเบรคน้อยลง นักพัฒนาที่ทำ tweak สำหรับเจลเบรคที่น่าสนใจก็น้อยลงด้วย การเจลเบรคจึงค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ

ปัจจุบัน เจลเบรคของ iOS เวอร์ชันล่าสุดคือ iOS 9.3.3 ซึ่งปล่อยออกมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2016 นับว่าเป็นเวลากว่า 347 วันหรือเกือบปีแล้วที่ไม่มีเจลเบรคเวอร์ชันใหม่ปล่อยออกมา

ที่มา: Blognone

เซี่ยงไฮ้ใช้ระบบจดจำใบหน้าบนทางม้าลาย ป้องกันคนข้ามไม่รอสัญญาณไฟ

ชีวิต jaywalker (คนที่ข้ามถนนอย่างผิดกฎหมาย) จะไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะหน่วยงานจราจรในเซี่ยงไฮ้ใช้ระบบจดจำใบหน้าตามทางม้าลาย ป้องกันไม่ให้คนข้ามถนนโดยไม่รอสัญญาณไฟ จากที่ทดลองระบบนำร่องมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า ทันทีที่ไฟสัญญาณเป็นสีแดง ระบบจะเริ่มบันทึก และจากการทดลองนำร่อง ระบบได้บันทึกใบหน้าและข้อมูลผู้กระทำผิดแล้ว 300 ราย

แค่บันทึกข้อมูลและตามเก็บค่าปรับ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนกลัวการกระทำผิด เจ้าหน้าที่จึงเตรียมปรินท์รูปคนผิด พร้อมระบุชื่อไปติดตามป้ายรถเมล์ และยังมีค่าปรับตามกฎหมายอีก 20 หยวน


ที่มา: Blognone

Daimler ทดสอบนำระบบบล็อคเชนมาใช้งานกับระบบการเงินบริษัท

เราเริ่มเห็นหลายบริษัทในหลายอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีบล็อคเชนมาใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ล่าสุดเป็นกรณีของบริษัท Daimler AG ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน (ผู้ผลิต Mercedes-Benz) ได้ทดลองนำเอาระบบบล็อคเชนจากโครงการ Hyperledger มาใช้งานกับระบบการเงินของบริษัท


จุดประสงค์ของ Daimler คือต้องการนำบล็อคเชนมาเป็นตัวกลางในกระบวนการด้านการเงินระหว่างบริษัทและนักลงทุน ที่ปกติจะเสียเวลาราวๆ 10 สัปดาห์เมื่อผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร ขณะที่การทดสอบระบบบล็อคเชนที่ทุกอย่างทำผ่านระบบดิจิทัล 100% ปรากฎว่าช่วยให้กระบวนการข้างต้นเร็วขึ้นอย่างมาก (considerably faster)

ผู้บริหารของ Daimler ระบุด้วยว่าอยากจะนำบล็อคเชนไปใช้งานในด้านอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยอย่างลูกค้าสัมพันธ์, การขาย, มาร์เก็ตติ้ง, ระบบจัดการซัพพลายเออร์และบริการดิจิทัลต่างๆ

ที่มา: Blognone

Vivo โชว์เทคโนโลยี Fingerprint บนหน้าจอสมาร์ทโฟน

ในช่วงระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2560 ที่ประเทศจีน มีการจัดงาน Mobile World Congress Shanghai 2017 (MWCS 2017) การจัดแสดงเทคโนโลยีทางด้านโทรคมนาคมที่อาจกล่าวได้ว่ามีความคล้ายคลึงกับ Mobile World Congress ที่จัดขึ้นที่ประเทศสเปนเมื่อตอนต้นปี และแน่นอนว่าภายในงานที่จีนครั้งนี้ มีการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟนในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย


Vivo แบรนด์สมาร์ทโฟนสัญชาติจีนที่เข้าร่วมงาน MWCS 2017 ครั้งนี้ นำเสนอต้นแบบสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นสมาร์ทโฟน Vivo Xplay6 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Fingerprint (สแกนลายนิ้วมือ) จาก Qualcomm ที่เรียกว่า “Ultrasonic” ซึ่งจะฝังเซนเซอร์อยู่ใต้จอแสดงผล นั่นหมายความว่าต้นแบบสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะสามารถสแกนลายนิ้วมือได้ด้วยการแตะบนจอแสดงผลเพื่อปลดล็อคจอแสดงผล

ทีมงานของเว็บไซต์ Engadget ได้ทดสอบการใช้งาน ตั้งแต่การลงทะเบียนลายนิ้วมือจนถึงการสแกน ซึ่งทั้งหมดกระทำบนจอแสดงผลเหนือปุ่มโฮมแบบเดิมทั้งสิ้น จากการทำงานทดสอบทีมงาน Engadget ระบุว่าสามารถทำงานได้เหมือนกับการใช้สแกนลายนิ้วมือทั่วไป แต่ความเร็วในการอ่านลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคจอแสดงผลจะช้ากว่าเล็กน้อย

ทีมงาน Engadget ยังได้ระบุว่า จากการสอบถามทีมงานของ Vivo ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเทคโนโลยี Ultrasonic Fingerprint ว่าสามารถติดตั้งเทคโนโลยีได้ทั่วของจอแสดงผล แต่อาจมีผลถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น


นอกจากนี้ Vivo ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยี Ultrasonic Fingerprint ที่ด้านหลังของสมาร์ทโฟน พร้อมทดสอบสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดกล้องได้จากใต้น้ำด้วย อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีสมัยใหม่ดังกล่าวอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้เกิดความเสถียรในการใช้งานมากที่สุด ก่อนจะวางจำหน่ายร่วมกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในอนาคตต่อไป

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Alibaba ประกาศซื้อหุ้น Lazada เพิ่มอีกมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 83%

Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน ประกาศลงทุนใน Lazada จากเดิมที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่แล้ว โดยลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มีจำนวนหุ้นจากเดิม 51% เป็น 83% โดยเป็นไปตามยุทธศาสตร์เสริมความแข็งแกร่งในการลงทุนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ Alibaba จะใช้วิธีซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม โดยให้มูลค่ากิจการของ Lazada ที่ราว 3,150 ล้านดอลลาร์ ทำให้เงินลงทุนของ Alibaba ใน Lazada รวมเป็น 2 พันล้านดอลลาร์ (ปีที่แล้วซื้อหุ้นไป 1 พันล้านดอลลาร์)

Alibaba ระบุว่า ปัจจุบันประเทศที่ Lazada ดำเนินงานอยู่คือ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม มีการซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์เพียง 3% ทำให้มีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ธ.กรุงเทพเปิดตัวโครงการ Bangkok Bank InnoHub พร้อมสตาร์ทอัพ 8 ทีม คัดจาก 32 ประเทศทั่วโลก

ถนนทุกสายมุ่งสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้เราจะเห็นว่า KBank เปิดตัว Beacon Venture Capital เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพ ตามด้วย SCG ที่ตั้งบริษัท AddVentures เพื่อลงทุนทั่วโลกเช่นกัน ล่าสุดธนาคารกรุงเทพก็เริ่มมารันโครงการสนับสนุนบ้างแล้ว

โดยธนาคารกรุงเทพร่วมกับ เนสท์ พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการลงทุนชั้นนำระดับโลก เปิดตัวโครงการ “Bangkok Bank InnoHub” ค้นหาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพกลุ่มฟินเทคระดับเวิล์ดคลาส ภายใต้แนวคิดหลัก Inspiring Change

Bangkok Bank InnoHub คือโครงการบ่มเพาะ อบรม และพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ หลักสูตรเข้มข้น ระยะเวลา 12 สัปดาห์ เป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรม ด้วยความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงเทพ บัวหลวง เวนเจอร์ส และเนสท์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่


ภาพจากเว็บไซต์ Bangkok Bank InnoHub
  • ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสม
  • สามารถกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
  • จัดหาทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมการเติบโต อาทิ เงินทุน พนักงาน
  • ช่วยเหลือด้านข้อมูลความรู้ ที่ปรึกษา และจัดหาแหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ
โครงการ Bangkok Bank InnoHub ได้เปิดรับผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งไทยและนานาชาติที่เป็นบริษัทจดทะเบียน โดยธนาคารกรุงเทพสนใจกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงิน 3 ด้าน
  • ด้านการชำระเงิน (Payment)
  • การพิสูจน์ตัวตนทางอิเล็กทรนิกส์ (e-KYC)
  • นวัตกรรมใหม่ที่จะนำมาพัฒนาในการบริการลูกค้า เช่น AI และ Machine Learning
บริษัทที่สมัครนั้นได้รับการพิจารณาจากธนาคารกรุงเทพ บัวหลวงเวนเจอ์ และเนสท์ โดยบริษัทสตาร์ทอัพที่ถูกคณะกรรมการคัดเลือก จำนวน 8 ทีม


กลุ่มผู้บริหาร เมนเทอร์ที่เป็นพี่เลี้ยง พาร์ทเนอร์ และสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีม

คุณชาติศิริ โสภณพานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เผย Bangkok Bank InnoHub เป็นโครงการสำคัญที่เปิดรับสมัคร มีผู้เข้าร่วม 119 ทีมจาก 32 ประเทศทั่วโลก เพื่อตอบสนองนโยบายพัฒนา Thailand 4.0 เชื่อว่าโครงการนี้จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ต่อผู้ประกอบการ ลูกค้า และประเทศไทย เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพฟินเทคให้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ยิ่งขึ้น

มร.ลอร์เรนซ์ มอร์แกน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนสท์ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมทางการเงินมีความสำคัญยิ่ง โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จ จากการสนับสนุน 32 ประเทศทั่วโลก และสนับสนุนสภาพแวดล้อม (ecosystem) ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ดร.พนุกร จันทรประภาพ Vice President ฝ่ายการลงทุนธุรกิจ ธนาคารกรุงเทพ เผย โครงการ Bangkok Bank InnoHub เพื่อคัดหาผู้ประกอบกรทางการเงินหรือฟินเทค คณะกรรมการได้คัดเลือก กลั่นกรองเหลือ 8 ทีมสุดท้าย ทุกทีมกล้าคิด กล้าทำ โดยจะใช้เวลาอบรมทั้งสิ้น 12 สัปดาห์

อุตสาหกรรมฟินเทคจะเติบโตต่อไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ช่วยกันพัฒนา Ecosystem ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การดำเนินโครงการนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมฟินเทคก้าวต่อไปในอนาคต


กลุ่มสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีมเข้ารอบ

8 ทีมสุดท้ายที่เป็น Bluefin หรือสุดยอดปลาครีบน้ำเงิน

Wealth Management (สิงคโปร์)
  • Bambu
  • Bento
  • Canopy
Security
  • Covr Security (สวีเดน)
Blockchain
  • EVEREX (ไทย)
Lending
  • First Circle (ฟิลิปปินส์)
P2P Invoice Trading
  • Invoice Interchange (สิงคโปร์)
Mutual Fund Investment
  • FundRadars (ไทย)
ที่มา: Blognone

ครบรอบ 50 ปี ตู้เอทีเอ็มตู้แรกในโลก

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 1967 ธนาคาร Barclays ในอังกฤษเปิดบริการตู้เอทีเอ็มตู้แรกในโลกที่ธนาคารสาขา Enfield นับเป็นจุดเริ่มต้นของการให้บริการธนาคารโดยไม่ต้องใช้พนักงาน

ตู้เอทีเอ็มตู้แรกนี้ไม่ได้มีบัตรเอทีเอ็มเพื่อกดเงินแบบทุกวันนี้ แต่ต้องกดเงินจาก "เช็ค" ที่ออกแบบมาเฉพาะ มันถูกเสนอโดย John Shepherd-Barron ผู้จัดการบริษัทพิมพ์ธนบัตร De La Rue ที่รำคาญกับการที่ไม่สามารถขึ้นเงินจากเช็คได้ในวันเสาร์ Barclays ตกลงที่จะติดตั้งตู้เอทีเอ็มชุดแรก 6 ตู้ และต่อมาขยายเป็น 50 ตู้

Shepherd-Barron เสนอว่ารหัสสำหรับกดเงินควรมีความยาว 6 หลัก แต่เนื่องจากภรรยาของเขาจำรหัสเกินสี่หลักไม่ได้ เขาจึงยอมปรับเป็นสี่หลัก และคนทั่วโลกรวมถึงคนไทยก็ได้ใช้สี่หลักจนกระทั่งเพิ่งปรับเป็นบัตรชิปไม่นานมานี้

ตัว Shepherd-Barron ทำนายไว้ตั้งแต่ปี 2007 ก่อนเขาจะเสียชีวิตในปี 2010 ว่าสุดท้ายคนจะใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

New Surface Pro 2017 เตรียมวางจำหน่ายในไทยเร็วๆ นี้

เมื่อเร็วๆ นี้ ไมโครซอฟท์เพิ่งประกาศขยายตลาดสำหรับการวางจำหน่าย Surface Laptop และ New Surface Pro 2017 ในหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสสูงที่จะได้สัมผัสกับ New Surface Pro 2017 ในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน


สำหรับ Surface Laptop นอกจากวางจำหน่ายในสหรับอเมริกาแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร แต่ในตอนนี้ยังมีเพียงรุ่น Core i5 ที่วางจำหน่ายเท่านั้น ส่วนรุ่น Core i7 ต้องรอจนกว่าจะถึงช่วงซัมเมอร์ของต่างประเทศ เช่นเดียวกับสีที่วางจำหน่าย จะมีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่มีครบทั้ง 4 สี ซึ่งในหลายประเทศจะมีเพียงแค่บางสี อย่างน้อย 2 สีเท่านั้น

ขณะที่ New Surface Pro 2017 มีการเปิดในหลายประเทศนอกจากสหรัฐอเมริกา อาทิ ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, แคนาดา, จีน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน และอังกฤษ


ส่วนอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าประเทศไทยมีโอกาสสูงในการวางจำหน่าย New Surface Pro 2017 เนื่องจากตอนนี้หน้าเว็บไซต์ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย มีการแสดงคุณสมบัติต่างๆ เป็นเวอร์ชั่นภาษาไทยด้วย พร้อมกับข่าววงในที่แอบกระซิบมาว่าคนไทยเตรียมยลโฉมและเป็นเจ้าของได้แน่นอน

สำหรับ New Surface Pro 2017 ดีไซน์ยังแทบเหมือนเดิมกับ Surface Pro 4 มีการพัฒนา kickstand ให้สามารถพับได้มากถึง 165 องศา มากกว่า Surface Pro 4 ที่พับได้ 150 องศา หน้าจอทัชสกรีน PixelSense ขนาด 12.3 นิ้ว ใช้ซีพียู Intel 7th Gen Kaby Lake มีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Core m3-7Y30, Core i5-7300U (Core m3 กับ Core i5 ใช้กราฟิกการ์ด Intel HD graphics 620) และ Core i7-7660U (ใช้กราฟิกการ์ด Intel Iris Plus Graphics 640) ไม่มีพัดลมระบายความร้อน เพื่อให้การทำงานเงียบ แต่สามารถระบายความร้อนได้ดีที่สุด ขณะเดียวกันซีพียูที่ใช้ใน New Surface Pro ยังได้รับปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานให้ดียิ่งขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ช่วยสนับสนุนแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้นานถึง 13.5 ชั่วโมง ดีเพิ่มขึ้นถึง 50%

แรมมีให้เลือกตั้งแต่ 4GB / 8GB และ 16GB 1866MHz LPDDR3, หน่วยความจำ SSD มีตั้งแต่ 128GB / 256GB / 512GB และ 1TB, รองรับการใช้ซิมการ์ดหรือ eSIM สำหรับใช้งาน LTE, พอร์ตที่ให้มาด้วย ได้แก่ USB Type-A, Mini DisplayPort, Headset jack, Surface Connect และ microSDXC card reader ยังไม่เลือกใช้ USB Type-C

อุปกรณ์คู่ใจอย่าง Surface Pen มีการปรับปรุงใหม่เช่นกัน ตอบสนองต่อการสัมผัสบนหน้าจอทัชสกรีน PixelSense ได้ดีขึ้น รองรับแรงกดที่ระดับ 4,096 มากขึ้นจากรุ่นเดิมที่รองรับแรงกด 1,024 ขณะเดียวกัน New Surface Pro 2017 ยังรองรับ Surface Dial อุปกรณ์แบบเดียวที่ใช้ร่วมกับ Surface Studio ได้อีกด้วย

ส่วน Type Cover หรือคีย์บอร์ด มาพร้อมดีไซน์แบบ New Alcantara มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีแดง, สีม่วง, สีน้ำเงิน และสีดำ

ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Line เปิดตัว Champ ลำโพงอัจฉริยะสุดน่ารัก ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ Clova

เปิดตัวลำโพงอัจฉริยะ 3 รุ่น อาทิ Smart Speaker Wave, Face และ Champ ในงาน LINE Conference 2017 โดย Champ มาพร้อมดีไซน์จากคาแรคเตอร์ชื่อดังที่คุ้นเคย


AI นำเทรน หลังเผยโฉมระบบ AI ของตัวเองที่ชื่อ “Clova” ช่วงต้นปี ล่าสุดในงาน LINE Conference 2017 ก็ได้ประกาศเปิดตัวอุปกรณ์ที่รองรับ AI ดังกล่าวถึง 3 ตัว โดยหนึ่งในนั้น ที่ดูสะดุดตามากสุดคือ Wave ลำโพงอัจฉริยะสุดน่ารัก ที่ได้เอาดีไซน์จากคาแรคเตอร์ดังจาก Line มาออกแบบ


สำหรับตัว Clova (Cloud Virtual Assistant) เป็นปัญญาประดิษฐ์หรือ AI โดยจะคล้าย ๆ กับระบบผู้ช่วยอย่าง Siri, Google Assistant และ Alexa นี้เอง ส่วนความสามารถ ก็มีหลากหลายมาก (ดูรายละเอียดได้ที่นี้) หลักๆ คือ ศึกษาพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เพื่อทำการสนับสนุนอย่างเหมาะสมภายหลัง เชื่อมต่อบริการต่างๆ ของ LINE ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้สะดวกรวดเร็ว และพูดสื่อสารหรือสั่งงานด้วยเสียง เพื่อให้มันทำหน้าที่แทนเราได้บางบทบาท

อุปกรณ์ที่รองรับ Clova ที่ทาง Line เปิดตัวมา 3 รุ่น มีดังนี้


Champ ลำโพงอัจฉริยะ ที่ใช้ดีไซน์จาก 2 คาแรคเตอร์ที่ดังของ Line อย่าง Sally (น้องเป็ด) กับ Brown (เฮียหมี) โดยออกแบบให้พกพาได้ง่าย เพื่อใช้เป็นลำโพงไร้สาย หรือใช้เป็นลำโพงอัจฉริยะอย่าง สั่งงานด้วยเสียง กับ สอบถามข้อมูลหรือสิ่งที่ต้องทำเป็นต้น


Smart Speaker Wave เป็นลำโพงอัจฉริยะสำหรับตั้งอยู่บ้าน โดยความสามารถจะครอบคลุมยิ่งกว่ารุ่น Champ เยอะ เพราะสามารถเอาไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ อย่าง หลอดไฟ ตู้เย็น ทีวี แอร์ หรืออะไรก็ได้ ขอแค่ให้มันเป็น IoT จะได้สามารถสั่งงานระยะไกลได้เช่น ปิดไฟ เปิดทีวี เปิดแอร์รอ ฯลฯ นอกจากนี้ยังพูดคุยเพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พยากรณ์สภาพอากาศวันนี้ ข่าวเด่น รายการต้องทำ หรือสอบถามข้อมูลทั่วไป


Face ลำโพงอัจฉริยะตัวสุดท้าย ที่ได้เพิ่มหน้าจอแสดงผลให้สังเกตการทำงานได้ง่ายๆ แต่ยังไม่มีข้อมูลมากนัก เพราะกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา

สำหรับ Smart Speaker Wave จะมีจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ส่วน Champ จะเป็นช่วงฤดูหนาวครับ

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

โซนี่ทำหุ่นยนต์ของเล่นขนาดเล็ก จับคู่กับเลโก้และหุ่นยนต์กระดาษ


โซนี่ทำหุ่นยนต์ทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์หรือ Toio cube จับคู่กับตัวต่อเลโก้หรือกระดาษเปเปอร์คราฟอื่นๆ ให้เด็กๆ เล่นของเล่นเดิมที่มีได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น ตัวหุ่นยนต์กว้าง 1.25 นิ้ว สูง ไม่ถึง 1 นิ้ว มาพร้อมล้อเล็กเคลื่อนที่ไปมาได้

Toio ยังมาพร้อมระบบ Bluetooth ทำให้แต่ละตัวสามารถสื่อสารกันได้ และสามารถรับคำสั่งจากรีโมทคอนโทรลได้ด้วย ด้านบนของหุ่นยนต์ยังมีพื้นที่ให้สามารถวางตัวต่อเลโก้ หุ่นกระดาษหรือของเล่นน้ำหนักเบาอื่นๆ การสั่งการเคลื่อนไหวทำได้หลายแบบ เช่น เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ข้างหลัง เป็นวงกลม เป็นต้น ดูตัวอย่างการใช้งานได้จากวิดีโอด้านล่าง

ราคา Toio ชุดละ 30,000 เยน หรือประมาณ 275 ดอลลาร์ (9,200 บาทโดยประมาณ)


ที่มา: Blognone