กล้อง RealSense มีอัตราแม่นยำ 99.76%, สตอเรจเข้ารหัสข้อมูลใบหน้า
แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ F455 ที่เป็นกล่องสำเร็จรูปมาให้พร้อม ตัวละ 99
ดอลลาร์ และรุ่น F450 เป็นบอร์ดสำเร็จรูปเพื่อนำไปใช้เชื่อมกับโมดูลอื่น
ตัวละ 75 ดอลลาร์
ที่มา: Blognone
กล้อง RealSense มีอัตราแม่นยำ 99.76%, สตอเรจเข้ารหัสข้อมูลใบหน้า
แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ F455 ที่เป็นกล่องสำเร็จรูปมาให้พร้อม ตัวละ 99
ดอลลาร์ และรุ่น F450 เป็นบอร์ดสำเร็จรูปเพื่อนำไปใช้เชื่อมกับโมดูลอื่น
ตัวละ 75 ดอลลาร์
ที่มา: Blognone
โครงการ Kubernetes ระบุว่า ตัว kubelet ที่เป็นตัวติดต่อกับคอนเทนเนอร์รันไทม์ จะติดต่อผ่าน CRI (Container Runtime Interface) แต่ในกรณีของ Docker นั้น ทางโครงการเลือกใช้ dockershim โมดูลที่อิมพลีเมนต์ CRI ให้ Docker เพื่อเป็นตัวติดต่อระหว่าง Docker และ Kubernetes มาอย่างยาวนาน แต่ช่วงหลังโครงการพบประเด็นหลายอย่างกับ dockershim ทำให้ตัดสินใจว่าจะให้ระบบซัพพอร์ต Docker เข้าสู่สถานะ deprecated และเตรียมถอดออกจาก Kubernetes ในอนาคต
นอกจากนี้ architecture ของ dockershim ค่อนข้างแตกต่างกับ CRI ตัวอื่น คือ dockershim จะติดกับตัว kubelet ในขณะที่ CRI อื่นๆ จะใช้วิธีรันโปรเซสแยกแล้วติดต่อกันผ่าน GRPC
สำหรับผู้ที่ใช้งาน Docker อยู่ ทางโครงการ Kubernetes
แนะนำว่าให้ย้ายคอนเทนเนอร์รันไทม์ไปใช้ตัวที่รองรับ CRI เต็มรูปแบบ
อย่างเช่น containerd หรือ CRI-O เป็นต้น
ที่มา: Blognone
ฟีเจอร์สำคัญในรอบนี้คือ Teams ปรับระบบโทรศัพท์ให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยรวม
dial pad, ประวัติการโทร, voicemail, ที่อยู่ติดต่อ และการตั้งค่าต่างๆ
ไว้อยู่ที่เดียวกัน ทำให้การใช้งานระบบโทรศัพท์บน Teams
ทำงานได้ผ่านแท็บเดียว พร้อมทั้งรองรับ CarPlay
เพื่อให้ใช้โทรศัพท์ได้แม้ขณะขับรถ รวมถึงรองรับการสั่งการโทรศัพท์ผ่าน
Siri ได้
ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจในรอบนี้ เช่น
Microsoft ระบุว่าผู้ใช้ Teams ใช้งานระบบโทรศัพท์กว่า 650 ล้านครั้งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สูงกว่าเดือนมีนาคมราว 11 เท่าเนื่องจากเทรนด์การทำงานระยะไกลผลักดันให้พนักงานต้องติดต่อกันผ่านช่องทางต่างๆ โดย Teams ถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่เป็นที่นิยมใช้งานเป็นอย่างสูงและเติบโตอย่างรวดเร็ว
ที่มา: Blognone
22 กันยายนในงาน Battery Day ของ Tesla ได้เปิดตัวเซลล์แบตเตอรีใหม่ที่เรียกว่า 4680 ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นที่ 46 มม. x 80 มม. ให้ความจุพลังงานถึง 5 เท่า มีกำลังไฟ 6 เท่าและช่วยเพิ่มระยะการวิ่งได้ 16%
แบตเตอรีแบบเดิมจะมีแถบขั้วบวกและขั้วลบเพื่อนำประจุไฟฟ้าไหลออกมาข้างนอก แต่เซลล์แบตเตอรีแบบใหม่ 4680 tabless หรือไร้แถบ ที่มีขนาดใหญ่กว่าจะใช้การเชื่อมถึงกันแบบ “foil-to-tab” โดยการม้วนรวมฟอยล์ภายในเซลล์และเชื่อมต่อกับฝาที่ด้านบน ซึ่งฟอยล์ที่เชื่อมกันเป็นเกลียวจะช่วยให้การผลิตทำได้ง่ายขึ้น และทางเดินของไฟฟ้าจะสั้นลงจึงช่วยลดปัญหาในเรื่องความร้อนได้เป็นอย่างดี
เซลล์แบตเตอรีแบบดั้งเดิมที่มีแถบขั้ว |
เซลล์แบตเตอรีแบบใหม่ 4680 tabless (ไร้แถบ) |
Musk เผยว่าจะสามารถลดต้นทุนต่อ kWh
ในการสร้างเซลล์แบตเตอรีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้
Tesla สามารถสร้างรถยนต์ไฟฟ้าในราคา 25,000 USD (~776,000 บาท) ได้ภายใน 3
ปี แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีชื่อรุ่นและภาพแนวคิดของต้นแบบก็ตาม
ที่มา: Beartai
เก็บตกข่าวความเคลื่อนไหวฝั่ง React Native นะครับ ตัวโครงการ React Native ที่พัฒนาโดย Facebook รองรับเพียงแค่ 2 แพลตฟอร์มมือถือคือ Android และ iOS
แต่เมื่อปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์อาสาเข้ามาทำ React Native for Windows โดยรองรับทั้งการสร้างแอพแบบ WPF และ UWP
และในงาน Build 2020 เมื่อเดือนพฤษภาคม ไมโครซอฟท์ก็ช็อควงการด้วยการประกาศทำ React Native for macOS เพิ่มให้ด้วย (อ่านไม่ผิดครับ เฟรมเวิร์คสำหรับเขียนแอพแมคที่พัฒนาโดยไมโครซอฟท์!) หลังจากทดสอบแบบพรีวิวมาหลายเดือน ไมโครซอฟท์ก็เปิดตัว React Native for macOS เวอร์ชัน 0.62 รุ่นเสถียร (ส่วนเวอร์ชันวินโดวส์ ตัวเลขเป็น 0.63 คือใหม่กว่าหนึ่งรุ่นย่อย และเท่ากับ React Native ของ iOS/Android)
ของใหม่ใน React Native for Windows 0.63 คือ LogBox ระบบจัดการล็อกแบบใหม่ของ React Native ที่เริ่มใช้เป็นดีฟอลต์, การรองรับธีมสีของ OS และการรองรับเอนจินจาวาสคริปต์ตัวใหม่ Hermes
ส่วน React Native for macOS ที่เวอร์ชันยังตามหลังเป็น 0.62 มีฟีเจอร์ใหม่คือ fast refresh แก้โค้ดแล้วเห็นการเปลี่ยนแปลงเลย แต่สิ่งสำคัญกว่าคือเป็นรุ่นเสถียรตัวแรกของ React Native for macOS ทำให้สามารถเขียนแอพบนแมคด้วย React Native ได้อย่างจริงจัง
ที่มา: Blognone
Flutter เฟรมเวิร์คสำหรับเขียน UI ของกูเกิลที่ใช้ภาษา Dart เริ่มต้นจากมือถือ Android/iOS แต่เมื่อได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ประกาศรองรับแพลตฟอร์มมากขึ้น เริ่มจากเว็บ, แมค, ลินุกซ์ และล่าสุดมาถึงวินโดวส์แล้ว
ทีมงาน Flutter บอกว่าวินโดวส์เป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์เกิน 1 พันล้านชิ้น และจากสถิติก็พบว่านักพัฒนา Flutter เกินครึ่งใช้วินโดวส์อยู่แล้ว การรองรับวินโดวส์จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างมาก
แต่การขยายมายังแพลตฟอร์มใหม่ๆ ก็มีความซับซ้อน เพราะต้องปรับสถาปัตยกรรมของ Flutter ให้เข้ากับแพลตฟอร์มนั้นๆ เช่น กรณีของวินโดวส์ต้องใช้เอนจินกราฟิก Skia เรนเดอร์บน DirectX อีกทีให้มีประสิทธิภาพดี, แอพแต่ละตัวต้องมีโปรแกรมเป็น Win32/C++ ที่คอยโหลดโค้ด Flutter มาอีกที เป็นต้น
เดโมการรัน Flutter บน Xbox
เดโมการรัน Flutter บนอีมูเลเตอร์ Windows 10X
ที่มา: Blognone
ไมโครซอฟท์เปิดตัว Outlook for Mac เวอร์ชันใหม่ ปรับโฉมหน้าใหม่ รองรับธีมแบบใหม่ของ macOS Big Sur และเพิ่มฟีเจอร์หลายอย่างที่เวอร์ชันแมคเคยล้าหลังเวอร์ชันอื่นๆ โดยเฉพาะจากพีซี
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Outlook for Mac ตัวนี้ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องดีไซน์ ที่ไมโครซอฟท์ระบุว่าตั้งใจทำมาอย่างดี โดยผสมแนวทางของ Big Sur เพื่อให้เข้าถึงความเป็นแมคจริงๆ เข้ากับชุดไอคอน Fluent ของไมโครซอฟท์เองเพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่น แถมยังรองรับ Dark Mode ตามสมัยนิยมครบถ้วน
ในแง่การใช้งาน Outlook for Mac ตัวใหม่เปลี่ยนมาใช้เอนจินการซิงก์ข้อมูลตัวใหม่ ที่ทำงานได้เร็วกว่าเดิม ทั้งการโหลดเมล ซิงก์เมล ค้นหาอีเมล
ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มมาคือแถบ My Day แสดงรายการที่ต้องทำในหน้าหลักของ Outlook ที่แสดงอีเมล, Unified Inbox รวมเมลจากทุกบัญชีในกล่องเดียว และระบบค้นหาแบบใหม่ที่ค้นเมลจากทุกบัญชี, Calendar ปรับปรุงใหม่ จัดกลุ่มปฏิทินแยกตามบัญชีได้ง่ายขึ้น
Outlook for Mac เวอร์ชันใหม่จะเปิดให้ทุกคนใช้งานในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้
ที่มา: Blognone
ภาษา Swift พัฒนาขึ้นโดยแอปเปิล เพื่อใช้บนแพลตฟอร์มของแอปเปิลเองเป็นหลัก (iOS, macOS, watchOS, tvOS) และด้วยโครงสร้างแพลตฟอร์มที่คล้ายกัน ทำให้ Swift รองรับการใช้งานบนลินุกซ์ด้วย (ดิสโทรที่รองรับอย่างเป็นทางการคือ Ubuntu, CentOS, Amazon Linux 2)
ล่าสุด Swift ประกาศออกเวอร์ชัน 5.3 ที่มีฟีเจอร์สำคัญคือ รองรับแพลตฟอร์ม Windows เต็มรูปแบบ ซึ่งทีมงาน Swift บอกว่าการรองรับ Windows ไม่ได้เป็นแค่การพอร์ตคอมไพเลอร์ แต่รวมถึงไลบรารีและเครื่องมืออื่นๆ ด้วย
ในการเขียน Swift บน Windows จำเป็นต้องใช้ Visual Studio 2019, Windows 10 SDK, Windows Universal C Runtime และดาวน์โหลดแพ็กเกจของ Swift เพิ่มเติมได้จากหน้าเว็บไซต์
ที่มา: Blognone
SpaceX เข้าร่วมประมูลโครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบของกสทช. สหรัฐฯ (FCC) ที่มีบริษัทร่วมประมูลมากกว่า 500 บริษัท โดยบริษัทแสดงผลทดสอบโครงการ Starlink ว่าสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตที่อัตราดาวน์โหลดสูงกว่า 100Mbps และเวลาหน่วง 40-50ms ใกล้เคียงกับบรอดแบนด์ทั่วไป ขณะที่ภาพทดสอบแสดงการอัพโหลดที่ 40-42Mbps และเวลาหน่วงไม่ถึง 20ms เท่านั้น
ทาง SpaceX กำลังพยายามย้ายวงโคจรของดาวเทียมทั้งหมดลงมาที่ระดับต่ำลงในช่วง 540-570 กิโลเมตร ตัวเลขที่น่าสนใจอีกอย่างคือบริษัทระบุว่าการให้บริการในสหรัฐฯ ต้องการเกตเวย์นับร้อยจุดทีเดียว
โครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบสหรัฐฯ หรือ Rural Digital Opportunity Fund (RDOF) เป็นโครงการมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 500,000 ล้านบาทระยะเวลาโครงการ 10 ปี บริษัทที่เข้าร่วมประมูลต้องให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ระดับ 25Mbps ไปยังบ้านที่เข้าไม่ถึงบรอดแบนด์ทั้งหมด 6 ล้านครัวเรือน
ปัญหาใหญ่ของ Starlink กลายเป็นกำลังผลิตจานรับส่งสัญญาณที่ตอนนี้ SpaceX มีกำลังผลิตระดับ "หลายร้อยชุดต่อเดือน" เท่านั้น แม้ว่าจะขออนุญาต FCC เอาไว้ถึง 5 ล้านชุดก็ตาม และบริษัทกำลังขยายกำลังผลิตไปยังระดับ "หลายพันชุดต่อเดือน" แต่ต่อให้ทำได้จริงก็ยังจำกัดมากอยู่ดี
ที่มา: Blognone
Flutter เป็นเฟรมเวิร์คเขียน UI แบบข้ามแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่สนใจนำ Flutter มาใช้งานอาจสงสัยว่ามีแอพดังๆ ตัวไหนบ้างที่นำมาใช้
ในฐานะผู้สร้าง กูเกิลย่อมเป็นองค์กรที่นำ Flutter มาใช้งานอย่างแพร่หลาย ล่าสุดกูเกิลเขียนบล็อกอธิบายการพัฒนาแอพจ่ายเงิน Google Pay เวอร์ชันใหม่ ที่เขียนใหม่ด้วย Flutter เพื่อให้รองรับกับฐานผู้ใช้จำนวนมากขึ้น
เดิมทีแอพ Google Pay เปิดตัวในอินเดียในชื่อว่า Tez ก่อน และประสบความสำเร็จอย่างมาก มีผู้ใช้มากถึง 67 ล้านคน กูเกิลจึงต้องการต่อยอดความสำเร็จนี้ในประเทศอื่นๆ แต่ก็พบปัญหาว่าแอพเดิมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับสเกลระดับโลก จึงตัดสินใจเขียนแอพ Google Pay ขึ้นมาใหม่โดยวางรากฐานให้ดีพอ ตั้งแต่เรื่อง OS, โครงสร้างพื้นฐาน และวิธีการจ่ายเงินในแต่ละประเทศ
ทีมงานของกูเกิลตัดสินใจเลือก Flutter ด้วยเหตุผล 3 ข้อ
กระบวนการพัฒนาเริ่มจากทีมเล็กๆ แค่ 3 คน แล้วค่อยๆ ขยายจำนวนทีมงานขึ้น เพื่อให้ทีมงานแต่ละคนมีเวลาคุ้นเคยกับ Flutter ซึ่งผลออกมาดี ตอนนี้แอพ Google Pay เวอร์ชันใหม่เริ่มทดสอบ Beta แล้วในสิงคโปร์และอินเดีย
นอกจาก Google Pay แล้ว กูเกิลยังใช้งาน Flutter กับแอพอีกหลายตัว เช่น Google Assistant ในหน้าจออัจฉริยะ Google Home Hub, Google Ads, Stadia
อีกประเทศที่ Flutter ได้รับความนิยมสูงคือจีน โดยยักษ์ใหญ่ทั้ง Tencent, Alibaba, Baidu, ByteDance ต่างก็มีแอพหลายตัวที่เขียนด้วย Flutter เช่นกัน
ที่มา: Blognone