Microsoft
Teams มีฟีเจอร์ใหม่จำนวนมากที่ประกาศในงาน Ignite 2024
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ Live Transcription
หรือการถอดเสียงในห้องประชุมออนไลน์ รองรับการถอดเสียงหลายภาษาพร้อมกันแล้ว
ในด้านดีไซน์จะพบว่า HarmonyOS Next
มาพร้อมเอกลักษณ์ในหน้าล็อกสกรีนและโฮมสกรีน พร้อมตัวเลือกในการปรับแต่ง,
มีการรีดีไซน์ control center, พัฒนาความเร็วแอนิเมชันและการเปิดแอป
อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ด้าน AI ด้วย
นอกจากนี้ HarmonyOS Next
ยังเพิ่มความเร็วและเพิ่มการประหยัดพลังงานในด้านการสื่อสารระหว่างโมดูลซอฟต์แวร์
และยังมี Huawei Share 2.0
ที่ช่วยในการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อ และการแบ่งปันไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ ซึ่ง
Huawei โฆษณาว่า อุปกรณ์ที่ใช้ HarmonyOS Next สามารถโอนถ่ายไฟล์ขนาด 1.2 GB
ได้ภายในระยะเวลาเพียง 8 วินาที รวมถึงมีระบบความปลอดภัยชื่อสถาปัตยกรรม
Star Shield ที่มาพร้อมการจัดการความปลอดภัยในระดับ system-level
ในเบื้องต้น Huawei จะปล่อยอัปเดต HarmonyOS Next beta
แบบสาธารณะให้กับผู้ใช้งานในประเทศจีนที่ใช้อุปกรณ์ ดังนี้ Pura 70 series,
Huawei Pocket 2 และ MatePad Pro 11 (2024)
Tier 3: Car ready ระดับพื้นฐาน คือ แอพสามารถทำงานบนจอใหญ่ (เหมือนรันบนแท็บเล็ต) พร้อมใช้งานตอนรถจอด โดยที่นักพัฒนาแอพไม่ต้องทำอะไรเพิ่มจากเดิม
Tier 2: Car optimized เพิ่มฟีเจอร์เฉพาะสำหรับการใช้งานในรถบางอย่างเข้ามา รองรับการใช้งานตอนขับหรือตอนจอด แอพส่วนใหญ่ในปัจจุบันอยู่ระดับนี้
Tier 1: Car differentiated
แอพที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในรถยนต์โดยเฉพาะ
ออกแบบมาสำหรับหน้าจอรถยนต์แต่ละจอที่แตกต่างกันไป
โดยเฉพาะในรถยนต์ระดับพรีเมียมที่มีหลายจอ
สำหรับแอพกลุ่ม Tier 3 กูเกิลยังเริ่มโปรแกรมชื่อ Car ready mobile apps เพื่อส่งเสริมให้นักพัฒนาปรับแอพให้ได้ตามมาตรฐาน Tier 3 แล้วกูเกิลจะนำไปดันต่อให้ด้วย
แอพหมวดต่างๆ ที่กูเกิลอนุญาตให้ใช้ในรถยนต์ โดยแยกเป็น Android Auto
(ประมวลผลจากสมาร์ทโฟน) และ Cars with Google built-in (Android Automotive
คือเป็นระบบปฏิบัติการฝังในรถเลย)
หนึ่งในฟีเจอร์เด็ดของ Pixel ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยคือ Magic Eraser
ที่เราสามารถลบสิ่งของหรือคนออกจากรูปภาพได้อย่างง่ายสมชื่อ Magic Eraser
จริงๆ ล่าสุด Microsoft ได้พัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าวให้มีบน Windows 11 แล้ว
Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Generative erase ในแอป Photos
โดยตอนนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวจะมีให้ใช้งานเฉพาะใน Windows Insider
คาดว่าจะเปิดให้ใช้งานในเร็วๆ นี้ และอาจจะรองรับการใช้งาน Windows 10
ด้วย
Apple เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่แบบ VR หรือ Apple Vision Pro ด้วยราคา 3,500
เหรียญ หรือประมาณ 127,000 บาท การตั้งชื่อก็ฟ้องว่านี่เป็นรุ่นท็อป (ไม่มี
Max มั้ง) จึงเป็นไปได้ที่ Apple จะทำรุ่นสเปกรองลงมาออกมาจำหน่ายด้วย
มาร์ก เกอร์แมน (Mark Gurman) จาก Bloomberg รวมถึงข้อมูลจาก The
Information บอกว่า Apple กำลังพัฒนา Apple Vision รุ่นรองลงมา
เนื่องจากตัว Vision Pro สเปกจัดเต็ม ราคา 3,500 เหรียญนั้นก็ถือว่าสูงมาก
ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงราคาระดับนี้ได้ง่ายนัก
เกอร์แมนบอกว่า Apple กำลังพัฒนา Apple Vision รุ่นราคาถูกลง ลดสเปกหลายๆ
ส่วน เช่น ชิปประมวลผลระดับ iPhone แทนที่ชิปสำหรับ Mac ถอดฟีเจอร์
Eyesight ลดความละเอียดหน้าจอลง รวมถึงลดจำนวนเซนเซอร์ที่ใช้งานลงด้วย
สำหรับค่าตัวของ Apple Vision รุ่นราคาถูกลงมาจะอยู่ที่ 1,500-2,500 เหรียญ
หรือรประมาณ 54,000-90,000 บาท ยังไม่มีการยืนยันราคาแน่ชัด