วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2567

Meta เปิดตัว Llama 3.2 เพิ่มรุ่นอ่านภาพได้, มีโมเดลขนาดเล็กเน้นรันในโทรศัพท์ พร้อมชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง

Meta เปิดตัว Llama 3.2 โมเดล LLM เพิ่มรุ่นรองรับอินพุตเป็นภาพ ที่มีความสามารถระดับเดียวกับ GPT-4o-mini พร้อมกับโมเดลรุ่นเล็กขนาด 1B ที่ความสามารถใกล้เคียงโมเดลกลุ่มขนาดเล็กด้วยกัน

แนวทางการพัฒนา Llama 3.2 รุ่นรับภาพนั้น อาศัยการสร้าง image encoder แปลงข้อมูลเข้าไปให้กับโมเดลภาษาเดิม ระหว่างการฝึกช่วงแรกก็ฝึกเฉพาะ image encoder อย่างเดียว ไม่ปรับแก้ส่วนโมเดลภาษา เพื่อให้แน่ใจว่าความสามารถด้านภาษานั้นยังเท่าเดิมอยู่ จากนั้นฝึกความรู้ที่มีภาพประกอบเพิ่มเข้าไปภายหลัง และจบด้วยการฝึกด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม โมเดลรุ่นรองรับภาพนั้นมีสองขนาด คือ 90B และ 11B โดยตัว 90B นั้นความสามารถเทียบเคียงกับ GPT-4o-mini ในหลายชุดทดสอบ

ส่วนโมเดลขนาดเล็กอาศัยเทคนิค pruning คือการย่อโมเดลขนาดใหญ่กว่าให้เล็กลงโดยพยายามรักษาความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยตั้งต้นจาก Llama 3.1 8B แล้วตัดย่อโมเดลลงมาเรื่อยๆ ต่อจากนั้นอาศัยเทคนิค distillation ฝึกโมเดลที่ถูกตัดย่อมาแล้วให้มีความสามารถกลับขึ้นมาใกล้เคียงโมเดลขนาดใหญ่

สุดท้ายทาง Meta ปล่อย Llama Stack Distribution ชุดเครื่องมือสำหรับการพัฒนา ประกอบไปด้วยคำสั่ง Llama CLI สำหรับการสั่งคอนฟิกและรันโมเดล, โค้ดไคลเอนต์ในภาษาต่างๆ สำหรับนักพัฒนา, Docker สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ Agent API Provider ผู้ใช้สามารถนำ stack นี้ไปรันได้หลายที่ ทั้งเครื่องส่วนตัวที่ภายในเป็น Ollama หรือคลาวด์ที่ผู้ให้บริการต่างๆ จะให้บริการตรงกัน ไปจนถึงการใช้งานในโทรศัพท์มือถือ

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2567

Volvo จะอัพเกรดระบบความบันเทิงในรถตัวใหม่ ย้อนให้กับรถรุ่นเก่าตั้งแต่ปี 2020

Volvo Cars ประกาศอัพเดตระบบความบันเทิงภายในรถยนต์ (infotainment) เวอร์ชันใหม่ให้กับรถยนต์รุ่นเก่า ย้อนไปถึงปี 2020

ระบบความบันเทิงในรถยนต์เวอร์ชันใหม่ ปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น กดหน้าจอน้อยลง เริ่มใช้งานมาแล้วในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น EX90 และ EX30 และจะใช้กับ XC90 SUV รุ่นปี 2025 ที่อัพเกรดจอเป็นขนาดใหญ่ขึ้น 11.2" และความละเอียดจอเพิ่มขึ้น 21% ด้วย

หลังจากนั้น Volvo Cars จะทยอยอัพเกรดย้อนหลังให้กับรถยนต์ที่ใช้ระบบความบันเทิงในรถยนต์ Android Automotive (Google built-in) รุ่นที่วางขายตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ที่ระบุชื่อรุ่นได้แก่ C40, XC40, EX40, EC40, S60, V60, V60 Cross Country, XC60, S90, V90, V90 Cross Country, XC90 แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาแน่ชัด

ตามธรรมเนียมของวงการรถยนต์ มักไม่มีการอัพเกรดใหญ่ย้อนหลังให้กับรถยนต์รุ่นที่วางขายไปก่อนแล้ว ตัวอย่างของ Volvo Cars ที่อัพเกรดย้อนหลังให้ฟรี จึงเป็นกรณีที่น่าสนใจ และต้องรอดูกันว่าจะชวนให้บริษัทรถยนต์อื่นๆ ต้องปรับตัวสู้ด้วยมากน้อยแค่ไหน

 


 
ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

นวัตกรรมเพื่อคนกินเค็ม 'ช้อนลดโซเดียม' เพิ่มรสเค็ม และอูมามิในอาหาร วางขายแล้ว!

คิริน โฮลดิงส์ คอมปานี ลิมิเต็ด (Kirin Holdings Company, Limited) จากประเทศญี่ปุ่นได้เปิดขายช้อนไฟฟ้าเพิ่มความเค็ม หรือ Electric Salt Spoon โดยช้อนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการลดโซเดียมจากเครื่องปรุง ไม่ว่าจะเกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว และผงชูรส ด้วยการเพิ่มรสเค็ม และรสอูมามิที่เราเรียกว่ารสอร่อยกลมกล่อมเข้าไปในอาหาร เพียงแค่คุณใช้ช้อนสุดพิเศษคันนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2023 มาแล้ว

โซเดียมเป็นสารอาหารที่คนส่วนใหญ่ได้รับเกินพอดีอยู่แทบทุกวัน โดยคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ย 3,600 มิลลิกรัม/วัน แต่แพทย์แนะนำว่าไม่ควรได้รับเกิน 2,000 มิลลิกรัม/วันเท่านั้น ซึ่งการได้รับโซเดียมมากเกินไปสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังอย่างโรคไต ภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

หากใครเคยลิ้มลองอาหารญี่ปุ่น ไม่ว่าจะซูชิ ราเม็น ซุปมิโซะ จะรู้ได้เลยว่าคนญี่ปุ่นน่าจะบริโภคโซเดียมมากพอตัว และจากสถิติคนญี่ปุ่นเองก็ป่วยด้วยภาวะความดันโลหิตสูงจำนวนมากด้วยเช่นกัน โดยคนญี่ปุ่นบริโภคเกลือเฉลี่ย 4,000 มิลลิกรัมในผู้ชาย และ 3,700 มิลลิกรัมในผู้หญิง

หน้าตาของช้อนลดโซเดียมคันนี้ก็มีรูปทรงคล้ายกับช้อนทั่วไป แต่แฝงไปด้วยนวัตกรรมที่คิดค้นโดย ดร. โฮเมอิ มิยาชิตะ จากมหาวิทยาลัยเมจิ ประเทศญี่ปุ่น จากข้อมูลพบว่าช้อนนี้อาจช่วยลดการบริโภคโซเดียมได้ราว 1.5 เท่าจากเดิม ช่วยให้ผู้คนสามารถดื่มด่ำรสชาติอาหารโดยที่ลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพจากการได้รับโซเดียมมากเกินไป

ช้อนนี้ใช้กลไกทางไฟฟ้าหลอกลิ้นของเราเพื่อเพิ่มรสชาติ แทนที่จะต้องเพิ่มโซเดียมหรือเกลือในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ

โดยคิริน โฮลดิงส์ คอมปานี ลิมิเต็ดได้วางขายช้อนนี้ในล็อตแรกจำนวน 200 คันเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ 19,800 เยน หรือราว 4,600 บาท และวางแผนที่จะพัฒนาตะเกียบ ชาม และภาชนะอื่นๆ เพื่อจุดประสงค์เดียวกันต่อไป เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจรอติดตามนวัตกรรมด้านอาหารและสุขภาพแบบนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าในอนาคตเราทุกคนอาจจะได้กินอาหารที่อร่อย โดยที่ไม่ต้องได้รับสารอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากเกินไป

ที่มา: Beartai

Angry Birds ลง Android Automotive, กูเกิลจัด Tier แอพในรถยนต์ แยกตามความพร้อม

กูเกิลประกาศรองรับแอพเพิ่มเติมบน Android Automotive ได้แก่ แอพกลุ่มสตรีมมิ่ง Max, Peacock และเกม Angry Birds ที่สามารถเล่นได้ตอนรถจอด

ส่วน Android Auto ที่เป็นการส่งภาพจากมือถือขึ้นจอ รองรับแอพ Uber Driver สำหรับคนขับรถแล้ว เท่ากับว่าคนขับ Uber จะสามารถรับงานผู้โดยสารและดูการนำทางได้จากจอใหญ่ของรถยนต์ แทนที่จะเป็นจอมือถือแบบเดิม

นอกจากนี้ กูเกิลยังประกาศจัด "ระดับ" ของแอพที่ใช้งานในรถเป็น 3 tiers ตามคุณภาพของแอพ ได้แก่

  • Tier 3: Car ready ระดับพื้นฐาน คือ แอพสามารถทำงานบนจอใหญ่ (เหมือนรันบนแท็บเล็ต) พร้อมใช้งานตอนรถจอด โดยที่นักพัฒนาแอพไม่ต้องทำอะไรเพิ่มจากเดิม
  • Tier 2: Car optimized เพิ่มฟีเจอร์เฉพาะสำหรับการใช้งานในรถบางอย่างเข้ามา รองรับการใช้งานตอนขับหรือตอนจอด แอพส่วนใหญ่ในปัจจุบันอยู่ระดับนี้
  • Tier 1: Car differentiated แอพที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในรถยนต์โดยเฉพาะ ออกแบบมาสำหรับหน้าจอรถยนต์แต่ละจอที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะในรถยนต์ระดับพรีเมียมที่มีหลายจอ

สำหรับแอพกลุ่ม Tier 3 กูเกิลยังเริ่มโปรแกรมชื่อ Car ready mobile apps เพื่อส่งเสริมให้นักพัฒนาปรับแอพให้ได้ตามมาตรฐาน Tier 3 แล้วกูเกิลจะนำไปดันต่อให้ด้วย

แอพหมวดต่างๆ ที่กูเกิลอนุญาตให้ใช้ในรถยนต์ โดยแยกเป็น Android Auto (ประมวลผลจากสมาร์ทโฟน) และ Cars with Google built-in (Android Automotive คือเป็นระบบปฏิบัติการฝังในรถเลย)


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Windows เพิ่มฟีเจอร์ Generative erase ลบคนและสิ่งของออกจากภาพเหมือน Magic Eraser ของ Pixel


หนึ่งในฟีเจอร์เด็ดของ Pixel ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยคือ Magic Eraser ที่เราสามารถลบสิ่งของหรือคนออกจากรูปภาพได้อย่างง่ายสมชื่อ Magic Eraser จริงๆ ล่าสุด Microsoft ได้พัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าวให้มีบน Windows 11 แล้ว

Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Generative erase ในแอป Photos โดยตอนนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวจะมีให้ใช้งานเฉพาะใน Windows Insider คาดว่าจะเปิดให้ใช้งานในเร็วๆ นี้ และอาจจะรองรับการใช้งาน Windows 10 ด้วย

นอกจาก Generative erase แล้วก็ยังมีฟีเจอร์ AI อื่นๆ เช่น เบลอแบ็กกราวน์, แทนที่แบ็กกราวน์ด้วยภาพอื่น รวมถึงลบแบ็กกราวน์ออกได้ด้วย ในการใช้งานนั้น ให้เปิดรูปภาพที่ต้องการแก้ไขในแอป Photos > Edit Image > Erase และเลือกลบคนหรือวัตถุได้เลย

อย่างที่ระบุไว้ข้างต้นว่า ตอนนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวมีให้ใช้งานเฉพาะ Windows Insider หรือเวอร์ชันทดสอบเท่านั้น สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปต้องรอกันต่ออีกหน่อยนะครับ

ที่มา: Beartai

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Microsoft ออกแอป Office เวอร์ชันบนแว่น Meta Quest

ไมโครซอฟท์ออกแอปเพิ่มเติมบนแพลตฟอร์มแว่น Meta Quest จากวันก่อนเป็น Xbox Cloud Gaming โดยวันนี้เป็นโปรแกรมตระกูล Office

โดย Office ที่มีให้ใช้งานตอนนี้คือ 3 โปรแกรมหลัก Word, Excel และ PowerPoint รองรับแผนใช้งานแบบ basic ฉะนั้นจึงใช้งานได้ทุกคนรวมทั้งแผนฟรี ต้องล็อกอินเข้าบัญชีไมโครซอฟท์เพื่อใช้งาน และโปรแกรมทั้งหมดทำงานบนคลาวด์

Android Central ทดสอบการใช้งาน สามารถทำงานร่วมกับคีย์บอร์ดและเมาส์บลูทูธได้ด้วย จึงทำให้การใช้งานไม่ลำบากมากเกินไป ดูวิดีโอได้ท้ายข่าว

ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Apple Vision รุ่นลดสเปก อาจมีราคาอยู่ประมาณ 50,000 บาท

Apple เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่แบบ VR หรือ Apple Vision Pro ด้วยราคา 3,500 เหรียญ หรือประมาณ 127,000 บาท การตั้งชื่อก็ฟ้องว่านี่เป็นรุ่นท็อป (ไม่มี Max มั้ง) จึงเป็นไปได้ที่ Apple จะทำรุ่นสเปกรองลงมาออกมาจำหน่ายด้วย

มาร์ก เกอร์แมน (Mark Gurman) จาก Bloomberg รวมถึงข้อมูลจาก The Information บอกว่า Apple กำลังพัฒนา Apple Vision รุ่นรองลงมา เนื่องจากตัว Vision Pro สเปกจัดเต็ม ราคา 3,500 เหรียญนั้นก็ถือว่าสูงมาก ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงราคาระดับนี้ได้ง่ายนัก

เกอร์แมนบอกว่า Apple กำลังพัฒนา Apple Vision รุ่นราคาถูกลง ลดสเปกหลายๆ ส่วน เช่น ชิปประมวลผลระดับ iPhone แทนที่ชิปสำหรับ Mac ถอดฟีเจอร์ Eyesight ลดความละเอียดหน้าจอลง รวมถึงลดจำนวนเซนเซอร์ที่ใช้งานลงด้วย

สำหรับค่าตัวของ Apple Vision รุ่นราคาถูกลงมาจะอยู่ที่ 1,500-2,500 เหรียญ หรือรประมาณ 54,000-90,000 บาท ยังไม่มีการยืนยันราคาแน่ชัด

ที่มา: Beartai

ผู้บริหาร RISC-V International ชี้การจำกัดการเผยแพร่มาตรฐาน RISC-V จะขวางการพัฒนาเทคโนโลยีโลก


คาลิสตา เรดมอนด์ (Calista Redmond) ผู้บริหาร RISC-V International ซึ่งกำกับดูแลเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมชิปแบบโอเพนซอร์ส RISC-V ชี้ว่าความพยายามจำกัดการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว อาจชะลอการพัฒนาชิปที่ดีขึ้น และจะฉุดรั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก

ก่อนหน้านี้ สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกาดาหน้ากันออกมากดดันให้รัฐบาลออกมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ RISC-V เป็นฐาน เพื่อเตะสกัดการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน

สำหรับเทคโนโลยี RISC-V สามารถนำไปใช้ต่อยอดในการพัฒนาชิปสำหรับสมาร์ตโฟนหรือ AI ก็ได้ ซึ่งบริษัททั้งในจีนอย่าง Huawei และสหรัฐฯ อย่าง Qualcomm และ Google ก็หันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีนี้

ซึ่งเรดมอนด์อธิบายว่าทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย ต่างก็มีส่วนร่วมในการนำ RISC-V ไปต่อยอดในการพัฒนาเทคโนโลยีไม่น้อยไปกว่ากัน พร้อมย้ำว่ามาตรฐาน RISC-V ที่องค์กรเผยแพร่ไม่ใช่พิมพ์เขียวในการพัฒนาชิปที่สมบูรณ์ และไม่ได้มีการให้ข้อมูลกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่าอีกฝ่าย แต่ใครก็สามารถนำไปพัฒนาต่อได้โดยอิสระ

เรดมอนด์ชี้ว่าการจำกัดการใช้งาน RISC-V จะส่งผลในการลดทอนความสามารถในการเข้าสู่ตลาดโลกของผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และผู้มีความสามารถ อีกทั้ง การแบ่งแยกมาตรฐานทางเทคโนโลยีระหว่างประเทศอาจทำให้เกิดเทคโนโลยีที่ไม่สามารถนำมาใช้ร่วมกัน เป็นการปิดตลาด และสร้างภาระโดยไม่จำเป็น

เป้าหมายของ RISC-V คือการเปิดกว้างมาตรฐานเทคโนโลยีโดยไม่มีบริษัทใดครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

ที่มา: Beartai

เปิดตัว Meta Quest 3 จอชัดขึ้น ใช้ชิป Snapdragon XR2 Gen 2 ราคาเริ่มต้นเกือบ 20,000 บาท

Meta Quest 3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเป็นอุปกรณ์ mixed reality (MR) headset ที่ในครั้งนี้มีหน้าจอ (เลนส์) ที่บางเบาลง มีความละเอียด 2208 x 2064 พิกเซล อัตรารีเฟรช 90 Hz และโหมดทดลอง 120 Hz โดยให้มุมมอง 110 องศาในแกนนอน และ 96 องศาในแกนตั้ง

Meta Quest 3 ใช้เลนส์ดีไซน์แบบแพนเค้กที่บางลงจากเดิม 40% แต่น้ำหนักของ Quest 3 จะอยู่ที่ 515 กรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก Quest 2 เล็กน้อยประมาณ 12 กรัม

อุปกรณ์รุ่นนี้มาพร้อมตัวประมวลผลกราฟิกถึง 2 ตัว ได้แก่ชิป Snapdragon XR2 Gen 2 ของ Qualcomm คู่กับ DRAM 8GB นอกจากนี้ Quest 3 ยังติดตั้งกล้อง RGB มาถึง 2 ตัว และ depth projector ที่ให้ความละเอียดมากกว่าของ Quest 2 ถึง 10 เท่า

มีการติดตั้งลำโพงที่รองรับระบบ 3D spatial audio, สายรัดที่ปรับระยะได้, ตัวคอนโทรลเลอร์ Touch Plus พร้อม TruTouch haptics และผู้ใช้จะได้เซนเซอร์ติดตามการเคลื่อนไหวของมือจากกล้อง IR 4 ตัว

ทั้งนี้ Meta ระบุว่า Quest 3 จะสามารถใช้งานได้นานเฉลี่ย 2.2 ชั่วโมง ในขณะที่การชาร์จต้องใช้เวลา 2.3 ชั่วโมงถึงจะชาร์จจนเต็มได้

สำหรับราคาของ Meta Quest 3 นั้นอยู่ที่ 500 เหรียญ (ราว 18,300 บาท) สำหรับรุ่น 128GB และ 650 เหรียญ (ราว 23,800 บาท) สำหรับรุ่น 512GB

ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Microsoft Teams เปิดตัวฟีเจอร์ Town Halls จัดประชุมขนาดใหญ่ ผู้ฟังสูงสุด 20,000 คน

ไมโครซอฟท์เปิดตัวฟีเจอร์การประชุมขนาดใหญ่ Town Halls ให้กับ Microsoft Teams โดยจะมาแทนฟีเจอร์การประชุมของเดิม Teams Live Events ที่จะเลิกใช้งานในเดือนกันยายน 2024

Town Halls รองรับการประชุมแบบพร้อมหน้ากันทั้งบริษัท เข้าฟังได้สูงสุด 20,000 คน มีอีเวนต์แยกรันขนานกันได้สูงสุด 50 งาน, ระยะเวลาถ่ายทอดสดนานสูงสุด 30 ชั่วโมง

ฟีเจอร์อื่นๆ ถูกพัฒนามารองรับการประชุมขนาดใหญ่แบบครบถ้วน เช่น Green Room ห้องให้ผู้พูดเตรียมตัวกับผู้จัดงานก่อนขึ้นพูด, ระบบ Q&A ถามตอบ, การบันทึกวิดีโอ, การสื่อสารว่าจะมีงานถ่ายทอดผ่านอีเมล, ระบบเก็บสถิติและวิเคราะห์ผู้ชม เป็นต้น

Town Halls จะเริ่มเปิดใช้งานวันที่ 5 ตุลาคม 2023

ที่มา: Blognone