วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2564

Domino เริ่มใช้รถยนต์ส่งพิซซาอัตโนมัติ


Domino แฟรนไชส์ร้านพิซซาชื่อดังในสหรัฐฯ ได้นำเทคโนโลยีมาผสานเข้ากับการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มใช้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับสำหรับส่งพิซซาในเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส ภายในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ได้ประกาศพัฒนาโปรเจกต์นี้มาตั้งแต่ปี 2019

รถยนต์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า R2 ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาของบริษัท Nuro ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบสำหรับขนส่งสินค้าเต็มรูปแบบที่วิ่งบนท้องถนน และได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งแล้วด้วย


ทั้งนี้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขต วูดแลนด์ ไฮต์ (Woodland Heights) ของเมืองฮิวสตัน ที่สั่งพิซซาจากทาง Domino สามารถเลือกที่จะใช้รถยนต์ R2 ในการส่งพิซซาได้ และเมื่อ R2 วิ่งมาถึงที่หมาย ผู้ที่สั่งพิซซาจะต้องกด PIN ที่ Domino ส่งมาให้ เพื่อเป็นการยืนยันคำสั่งซื้อ แล้วจึงรับพิซซาไปได้

เดนิส มาโลนีย์ (Denis Maloney) รองประธานอาวุโสของ Domino ได้กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยให้บริษัทเข้าใจวิธีการตอบสนองต่อการจัดส่งพิซซาให้แก่ลูกค้าได้ดีขึ้น และยังได้เรียนรู้ว่าเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างไรด้วย

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2564

สรุปคำแนะนำและแนวทางปฏิบัติด้าน Password ล่าสุดจาก NIST

บทความนี้ได้สรุปคำแนะนำและแนวทางปฏิบัติด้าน Password จากเอกสาร NIST Special Publication 800-63B Rev3 ของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NIST ได้แก่ การสร้างรหัสผ่านใหม่ การพิสูจน์ตัวตนด้วยรหัสผ่าน และการจัดเก็บรหัสผ่าน รวมไปถึงสาเหตุว่าทำไม เพื่อให้องค์กรเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้กับการออกนโยบายด้านรหัสผ่านของตนเองได้ ดังนี้


คำแนะนำในการสร้างรหัสผ่านใหม่

การรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับรหัสผ่านเริ่มต้นด้วยการสร้างรหัสผ่านให้แข็งแกร่ง นี่ไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบของผู้ใช้ฝ่ายเดียว แต่องค์กรจำเป็นต้องกำหนดนโยบายรหัสผ่านที่แข็งแกร่งเพียงพอ แล้วนำไปบังคับใช้กับผู้ใช้ด้วย โดยคำแนะนำในการสร้างรหัสผ่านใหม่มี 2 ข้อ คือ

1. ความยาวสำคัญกว่าความยาก

แนวคิดสมัยก่อนเชื่อว่ายิ่งรหัสผ่านซับซ้อนเท่าไหร่ ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่ที่จริงแล้ว ปัจจัยสำคัญของความแข็งแกร่งของรหัสผ่านขึ้นกับความยาวมากกว่า เนื่องจากยิ่งรหัสผ่านยาว ยิ่งเดารหัสผ่านได้ยาก นอกจากนี้ จากการวิจัยเพิ่มเติมพบว่า การบังคับให้รหัสผ่านใหม่มีความยากกลับยิ่งทำให้ความมั่นคงปลอดภัยลดลง เนื่องจากผู้ใช้หลายคนมักเพิ่มความยากให้รหัสผ่านตัวเองแบบง่ายๆ เช่น เพิ่ม “1” ไว้ด้านหน้าหรือ “!” ไว้ตอนท้าย แม้ในทางทฤษฎีจะทำให้รหัสผ่านแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่เมื่อเหล่าแฮ็กเกอร์ทราบรูปแบบตรงนี้แล้ว กลับเป็นการช่วยลดเวลาในการเดารหัสผ่านให้แฮ็กเกอร์แทน ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ ยิ่งรหัสผ่านซับซ้อนเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผู้ใช้ใช้รหัสผ่านเดิมซ้ำๆ กับหลายๆ บัญชี ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการถูกโจมตีแบบ Credential Stuffing Attacks มากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ NIST จึงไม่บังคับเรื่องความยากของรหัสผ่าน แต่กลับบังคับเรื่องความยาวที่ต้องมีขั้นต่ำ 8 ตัวอักษรแทน

2. ตัดการรีเซ็ตรหัสผ่านใหม่ทุก 3 เดือนหรือ 6 เดือนทิ้งไป

หลายองค์กรยังคงยึดติดกับการบังคับให้ผู้ใช้รีเซ็ตรหัสผ่านบ่อยๆ เช่น ทุก 3 เดือนหรือทุก 6 เดือน โดยเข้าใจว่าเป็นการป้องกันเผื่อกรณีที่รหัสผ่านหลุดออกไป จะได้ไม่สามารถล็อกอินเข้ามาได้อีก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยๆ กลับเป็นการทำให้ความมั่นคงปลอดภัยแย่ลง เนื่องจาก ในชีวิตจริง การจดจำรหัสผ่านดีๆ สักอันไปทั้งปีถือเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว เมื่อต้องมีหลายๆ รหัสผ่านที่จำเป็นต้องจำ ผู้ใช้จึงมักเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นรูปแบบที่คาดเดาได้ไม่ยาก เช่น เพิ่มตัวอักษรอีก 1 ตัวต่อท้ายรหัสผ่านล่าสุดที่ใช้ หรือแทนที่ตัวอักษรบางตัวด้วยสระ เช่น “$” แทน “S” เป็นต้น เมื่อแฮ็กเกอร์รู้รหัสผ่านก่อนหน้านี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเดารหัสผ่านใหม่ NIST จึงแนะนำให้ตัดการรีเซ็ตรหัสผ่านใหม่เมื่อเวลาผ่านไปออกจากนโยบายขององค์กร


คำแนะนำในการพิสูจน์ตัวตนด้วยรหัสผ่าน

วิธีที่องค์กรใช้พิสูจน์ตัวตนด้วยรหัสผ่านเมื่อผู้ใช้ทำการล็อกอินส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับความมั่นคงปลอดภัยของรหัสผ่าน ซึ่ง NIST ได้ให้คำแนะนำในส่วนนี้ดังนี้

1. เปิดใช้งาน “แสดงรหัสผ่านขณะพิมพ์”

การพิมพ์รหัสผ่านผิดถือเป็นเรื่องปกติที่เราพบเจอ เนื่องจากสิ่งที่เราพิมพ์จะแสดงผลเป็นจุดดำ หรือเครื่องหมายดอกจันทร์ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะระบุได้ว่าพิมพ์ผิดตรงไหน นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผู้ใช้หลายรายเลือกใช้รหัสผ่านสั้นๆ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเว็บไซต์ที่ยอมให้ใส่รหัสผ่านได้ไม่กี่ครั้ง ดังนั้น ควรเปิดให้มีฟีเจอร์ “แสดงรหัสผ่านขณะพิมพ์” เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้พิมพ์รหัสผ่านยาวๆ ได้ถูกต้องในทีเดียว

2. เปิดให้ “วาง” รหัสผ่านในช่องที่ต้องกรอกได้

ยิ่งการใส่รหัสผ่านทำได้ง่ายเท่าไหร่ ผู้ใช้ยิ่งมีแนวโน้มที่จะตั้งรหัสผ่านยาวๆ และมีความยากมากยิ่งขึ้น การเปิดให้ “คัดลอก” และ “วาง” รหัสผ่านในช่องที่ต้องกรอกได้จึงเป็นผลดีมากกว่า โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีรหัสผ่านเป็นจำนวนมาก และเริ่มหันไปใช้เครื่องมือจำพวก Password Manager มากขึ้น

3. ใช้การป้องกันรหัสผ่านรั่วไหล

คำแนะนำด้านรหัสผ่านล่าสุดของ NIST ระบุว่า ต้องมีการตรวจสอบรหัสผ่านใหม่กับรายการแบล็กลิสต์ เช่น คำในพจนานุกรม, คำที่ใช้ตัวอักษรเรียงกัน, คำที่ใช้เป็นชื่อต่างๆ, ข้อความที่มักใช้บ่อย หรือรหัสผ่านที่เคยหลุดออกมาสู่สาธารณะ การใช้เครื่องมือสำหรับตรวจสอบรหัสผ่านที่เคยรั่วไหลก็เป็นทางเลือกที่ช่วยให้การตั้งรหัสผ่านใหม่มีความมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

4. ห้ามใช้ “Password Hints”

บางองค์กรพยายามช่วยให้ผู้ใช้จำรหัสผ่านยากๆ ได้ผ่านทางการใช้ “Password Hints” หรือให้ตอบคำถามส่วนบุคคลบางอย่าง อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของโซเชียลมีเดียในปัจจุบันทำให้แฮ็กเกอร์สามารถใช้ Social Engineering เพื่อหาคำตอบของข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้นได้ไม่ยาก NIST จึงไม่แนะนำให้มีฟีเจอร์นี้ในการพิสูจน์ตัวตน

5. จำกัดจำนวนครั้งในการใส่รหัสผ่าน

แฮ็กเกอร์หลายรายใช้วิธีลองเดารหัสผ่านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเดาถูก (Brute-force Attack) วิธีป้องกันแบบง่ายๆ คือ การจำกัดจำนวนครั้งในการพยายามล็อกอิน และล็อกบัญชีไม่ให้ล็อกอินอีกเมื่อใส่รหัสผ่านผิดครบจำนวนครั้งที่กำหนด

6. ใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบ 2FA

2-Factor Authentication (2FA) จะใช้การยืนยันตัวตน 2 จาก 3 วิธีดังต่อไปนี้เพื่อทำการพิสูจน์ตัวตน

  • สิ่งที่คุณรู้ เช่น รหัสผ่าน
  • สิ่งที่คุณมี เช่น มือถือ
  • สิ่งที่คุณเป็น เช่น ลายนิ้วมือ

NIST แนะนำให้ใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบ 2FA เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถเข้าถึงได้แบบออนไลน์


คำแนะนำในการจัดเก็บรหัสผ่าน

สำหรับการจัดเก็บรหัสผ่านให้มั่นคงปลอดภัย NIST มีคำแนะนำดังนี้

1. ปกป้องฐานข้อมูลให้มั่นคงปลอดภัย

รหัสผ่านของผู้ใช้มักถูกเก็บในฐานข้อมูล วิธีการที่ง่ายที่สุดในการปกป้องฐานข้อมูลนี้คือ การจำกัดสิทธิ์ให้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ รวมไปถึงทำให้มั่นใจว่าฐานข้อมูลสามารถป้องกันการโจมตีที่พบทั่วไปอย่าง SQL Injection หรือ Buffer Overflow ได้

2. แฮชรหัสผ่านของผู้ใช้

การแฮชรหัสผ่านก่อนจัดเก็บลงในฐานข้อมูล เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญสามารถป้องกันรหัสผ่านรั่วไหลสู่สาธารณะได้ แม้แฮ็กเกอร์จะสามารถเจาะเข้ามาขโมยรหัสผ่านที่แฮชในฐานข้อมูลได้ แต่ก็ไม่สามารถถอดรหัสกลับไปเป็นรหัสผ่านปกติที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อได้

NIST แนะนำให้ Salt รหัสผ่านเป็น 32 bits และแฮชโดยใช้ 1-way Key Derivation Function เช่น PBKDF2 หรือ Balloon รวมไปถึงมีจำนวน Iteration มากที่สุดที่เป็นไปได้ (อย่างต่ำ 10,000 ครั้ง) โดยต้องไม่ส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษา Password Guideline จาก NIST ได้ที่เอกสาร NIST Special Publication 800-63B Rev3

ที่มา: TechTalk

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2564

เอาจริง Apple ประกาศจับมือโรงงานกว่า 110 แห่ง หวังใช้พลังงานหมุนเวียนแบบ 100%

วันนี้ Apple ประกาศจับมือโรงงานผลิตกว่า 110 แห่งสู่การใช้งานพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% โดยในปี 2018 นั้น Apple ระบุว่า การจัดการภายในบริษัทเองไม่มีการปล่อยคาร์บอนแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการขยายโครงการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างสมบูรณ์กับโรงงานทั้ง 110 แห่งในปี 2030

การประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้ทำให้เแผนดังกล่าวดูใกล้กับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทพันธมิตรทั้ง 110 แห่งที่ร่วมมือกับ Apple จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่ากับการเอารถออกจากถนนเป็นจำนวนมากถึง 3.4 ล้านคันในแต่ละปี หรือลดค่า CO2e ถึง 15 ล้านตันต่อปี

แม้ว่าตอนนี้จะยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ แต่แผนลดการปล่อยคาร์บอนอย่างสมบูรณ์จะเสร็จสิ้นในปี 2030 ครับ

นอกจากบริษัทที่กล่าวมาทั้ง 110 แห่งแล้ว Apple ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ในการสร้างพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ โดยมีการเปิดตัวโครงการสร้าง/จัดเก็บพลังงานใหม่ที่มีชื่อว่า California Flats ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเก็บพลังงานแบตเตอรีขนาดใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย โดยมีกำลังในการผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 240 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง อยู่ในระดับที่สามารถจ่ายไฟได้มากกว่า 7,000 หลังคาเรือนต่อวัน

พลังงานส่วนเกินที่มาจากโครงการโซลาเซลล์ของ Apple ในแคลิฟอร์เนียจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรีที่ California Flats

อันที่จริง Apple ก็ขึ้นชื่อเรื่องการจัดการพลังงานและผลจากการใช้พลังงานอยู่แล้ว ในปีที่ผ่านมาช่วงเปิดตัว iPhone 12 บริษัทก็ได้พูดถึงแนวทางการรักษ์โลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการไม่แถมที่ชาร์จใน iPhone เพื่อลดกระบวนการผลิตที่จะทำให้เกิดคาร์บอนมากขึ้นด้วย… แต่เหมือนจะไม่ดีสำหรับผู้ซื้ออย่างเราๆ เท่าไหร่นัก

ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2564

ยิ่งคนใช้มาก ยิ่งมีมาก นักวิจัยพบมัลแวร์บน macOS เพิ่มขึ้นถึง 1,000%


นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก AV-TEST พบมัลแวร์ใหม่มากถึง 674,273 ตัวในปี 2020 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ที่พบมัลแวร์ 56,556 ตัว ซึ่งมัลแวร์ที่พบในปี 2020 นั้นเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ถึง 10 เท่าเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ในปี 2012 จนถึงปี 2019 นั้น ทางนักวิจัยค้นพบมัลแวร์เพียง 219,257 ทำให้ปี 2020 เป็นปีที่พบมัลแวร์บน macOS มากที่สุดไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ถึงแม้ว่ามัลแวร์บน macOS จะมีจำนวนที่มากขึ้นจนน่าตกใจก็ตาม แต่ถ้าหากเทียบกับมัลแวร์ของฝั่ง Windows แล้ว ตัวเลขของ macOS ก็ยังตาม Windows อยู่มากเลยล่ะครับ

AV-TEST กล่าวว่ามีการค้นพบมัลแวร์ของฝั่ง Windows มากถึง 91 ล้านตัวในปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเยอะกว่า macOS หลายเท่านัก และเป็นตัวเลขที่ทุบสถิติมัลแวร์ของฝั่ง Windows ด้วยเช่นเดียวกัน

อ้างอิงจากข้อมูลระบุว่านักพัฒนาหรือแฮกเกอร์สามารถเขียนโค้ดมัลแวร์ได้มากถึง 250,000 ตัวต่อวัน ในขณะที่ฝั่ง macOS นั้นเขียนเพียง 2,000 ตัวต่อวันเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ใช่นักพัฒนาขี้เกียจเขียนโค้ดสำหรับฝั่ง macOS แต่เพราะ Windows ยังคงเป็นปฏิบัติการที่ถูกใช้งานมากที่สุดของโลกใบนี้ด้วยอัตราส่วน Windows ทั้งหมด 9 เครื่องต่อ Mac เพียง 1 เครื่องเท่านั้น ถือว่าห่างไกลกันพอสมควร

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2564

เฟซบุ๊กรองรับการล็อกอินด้วยกุญแจ FIDO บนโทรศัพท์มือถือ

เฟซบุ๊กประกาศรองรับการล็อกอินขั้นตอนที่สองด้วยกุญแจ FIDO บนโทรศัพท์มือถือ จากเดิมที่ใช้งานบนเว็บมาตั้งแต่ปี 2017

เฟซบุ๊กรองรับการล็อกอินขั้นตอนที่สองต่อจากรหัสผ่านทั้งหมด 4 วิธี ได้แก่ แอปล็อกอิน (เช่น Google Authenticator, Microsoft Authenticator), กุญแจ FIDO หรือ Security Key, ข้อความ SMS, รหัสผ่านกู้คืนบัญชี เป็นรหัสตายตัวจดใส่กระดาษไว้ใช้งานภายหลัง แต่ที่ผ่านมาการล็อกอินบนโทรศัพท์มือถือนั้นไม่รองรับกุญแจ FIDO

การใช้กุญแจ FIDO บนโทรศัพท์มือถือมีหลายรูปแบบทั้งการเสียบ USB เหมือนเดสก์ทอป, แตะ NFC, และเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth โดยแอปเฟซบุ๊กรองรับทั้งหมดทั้งบน iOS และแอนดรอยด์

ที่มา: Blognone

PowerPoint โหมด Presenter Coach ใช้ AI ช่วยซ้อมพรีเซนต์ เพิ่มการจับภาษากาย แก้ไขคำที่ออกเสียงผิด

ไมโครซอฟท์ออกฟีเจอร์ใหม่ใน PowerPoint หรือ Presenter Coach ใช้ AI ช่วยให้คะแนนการซ้อมพรีเซนต์มาได้สักระยะแล้ว โดยเปิดใช้งานในเวอร์ชั่นเว็บ ล่าสุด ขยายการใช้งานไปยังแอปพลิเคชั่นทั้งบนเดสก์ทอป และมือถือแล้ว ทั้ง Mac, Windows, iOS, Android

Presenter Coach จะสามารถบอกเราได้ว่า เราพูดช้า หรือเร็ว หรือใช้คำซ้ำมากแค่ไหนในการนำเสนองาน พร้อมบอกคะแนนเสนองานให้เราตอนพูดจบด้วย โหมด Presenter Coach มีการอัพเดตใหม่ๆ เพิ่มเติมคือ ช่วยดูภาษากายของเราว่าเราสบตาผู้พูดมากขนาดไหน (ต้องเปิดกล้องตอนซ้อมเสนองาน)

เพิ่มฟังก์ชั่นเตือนให้เราแก้ไขให้ถูกหากออกเสียงผิด พร้อมกดฟังเพื่อฟังเสียงที่ถูกต้องได้ และมีแดชบอร์ดแสดงคำอื่นให้ หากเราใช้คำซ้ำเยอะเกินไป

ที่มา: Blognone

7-Zip ออกเวอร์ชันลินุกซ์เป็นครั้งแรก เพราะ 22 ปีที่ผ่านมามีแต่บนวินโดวส์

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า 7-Zip โปรแกรม Zip ยอดนิยมบนวินโดวส์ที่ออกครั้งแรกในปี 1999 ไม่เคยออกบนแพลตฟอร์มอื่นมาก่อน (เคยมี p7zip เป็นโครงการพอร์ตลงลินุกซ์ แต่เลิกทำไปแล้ว)

ล่าสุด Igor Pavlov ผู้สร้าง 7-Zip ได้ออกเวอร์ชันลินุกซ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 22 ปีของโปรแกรมนี้ ตอนนี้ยังมีเฉพาะเวอร์ชันคอนโซล (ไม่มี GUI) โดยมีไบนารีใช้งานได้หลากหลายสถาปัตยกรรม ทั้ง x86, x86-64, ARM64

บนลินุกซ์มีโปรแกรมบีบอัดข้อมูลอยู่หลายตัว แต่การมาถึงของ 7-Zip ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่ายินดีเช่นกัน

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2564

ไม่มีนาย ไม่มีทาส GitLab เตรียมเปลี่ยนชื่อ branch เริ่มต้นเป็น main

GitLab ประกาศเปลี่ยนชื่อ branch เริ่มต้นจาก master เป็น main หลังจาก GitHub เปลี่ยนชื่อเริ่มต้นไปเมื่อปีที่แล้ว

ชื่อ branch ของ Git นั้นเลียนแบบมาจาก BitKeeper ต้นกำเนิด Git ที่เคยใช้ดูแลซอร์สโค้ดลินุกซ์ (และทำให้ชุมชนทะเลาะกันเนื่องจาก BitKeeper ไม่ใช่โอเพนซอร์ส จนไลนัสรำคาญและเขียน Git มาใช้แทน) โดย BitKeeper เรียก branch หลักว่า master branch และเรียก branch อื่นๆ ว่า slave ตามแนวทางตั้งชื่อ master/slave ที่ใช้กันมานานในวงการคอมพิวเตอร์

GitLab เตรียมเปลี่ยนชื่อเป็นสองขั้น เริ่มจาก GitLab 13.11 ที่จะออกเดือนเมษายนนี้ จะมี flag สำหรับเปลี่ยนชื่อ branch เริ่มต้นเป็น main หลังจากนั้นมีเวอร์ชั่น 14.0 ที่ออกเดือนพฤษภาคมนี้จะไม่มี flag อีกต่อไป แต่เปลี่ยนชื่อเริ่มต้นในโครงการใหม่เป็น main ทั้งหมด

นอกจากการเปลี่ยนชื่อสำหรับโครงการสร้างใหม่แล้ว ตัวโครงการ GitLab เองก็จะเปลี่ยนชื่อ branch หลักไปด้วย ทำให้นักพัฒนาภายนอกที่ดึงโค้ด GitLab ไปใช้งานต้อง rebase ไปยัง main

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2564

Microsoft Teams เพิ่ม Presenter mode มองเห็นตัวคนพรีเซนต์งานบนสไลด์ PowerPoint

Microsoft Teams เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานชุดใหญ่สำหรับคนจัดประชุม เริ่มจาก Presenter mode ที่ผู้เข้าร่วมประชุมจะมองเห็นตัวคนพรีเซนต์ได้ระหว่างที่ดูสไลด์ไปด้วย (ให้ความรู้สึกเหมือนดูแคสต์เกม) ส่วนในมุมมองของผู้พรีเซนต์ก็สามารถมองเห็นตัวเองและคำบรรยายที่จะพูดไปด้วยพร้อมๆ กัน ฟังก์ชั่นนี้จะเริ่มเปิดตัวให้แก่กลุ่มลูกค้าในระยะถัดไป

Presenter mode มี 3 แบบ คือ Standout แสดงฟีดวิดีโอของตัวผู้พูดเป็นภาพเงาด้านหน้าเนื้อหาที่แชร์ตามภาพด้านล่าง กับโหมด Reporter ที่สไลด์จะอยู่เหนือไหล่ผู้พูด เหมือนเวลาดูรายการข่าว และโหมด Side-by-side แสดงเนื้อหาคู่กับตัวคนพูด

นอกจากนี้ยังมี PowerPoint Live ที่ให้ผู้จัดประชุม สามารถหยิบไฟล์ PowerPoint ได้จากเมนู Share content เลย โดยจะมองเห็นไฟล์ PowerPoint ต่างๆ ปรากฏอยู่ในเซกชั่น PowerPoint Live นี้ ผู้จัดประชุมกดเลือกไฟล์มาพรีเซนต์ได้ทันที

PowerPoint Live ยังให้ผู้จัดประชุมสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ ในขณะที่ผู้เข้าร่วมกำลังจดจ่ออยู่กับสไลด์พรีเซนเทชั่น ผู้จัดประชุมสามารถกดดูได้ว่าสไลด์ถัดไปเกี่ยวกับเรื่องอะไร มองเห็นคำบรรยายที่จะพูดเกี่ยวกับสไลด์นั้นๆ และกดดูแชทระหว่างพรีเซนต์งานได้ เพื่อให้การพรีเซนต์ลื่นไหล

ในกรณีที่มีคนพรีเซนต์งานหลายคน ผู้จัดประชุมสามารถกดปุ่ม Take control ให้กลายเป็น Stop presenting ได้ เพื่อส่งต่อให้คนถัดไปเข้ามาเสนองานในสไลด์ที่คนๆ นั้นเตรียมมา ลดความกระอักกระอ่วนเวลาเปลี่ยนผู้นำเสนองาน

เพิ่มโหมด high-contrast ปรับสไลด์ให้ตัวอักษรเด่นชัด สำหรับผู้มีปัญหาในการมองเห็นได้ ฟังก์ชั่นนี้จะตามมาในเร็วๆ นี้


ที่มา: Blognone

ภาษา Go มาแรงในหมู่อาชญากรไซเบอร์ เหตุผลเพราะใช้เขียนมัลแวร์ง่าย ตรวจจับยาก

บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ Intezer ออกรายงานว่า Go กลายเป็นภาษายอดนิยมของอาชญากรไซเบอร์ โดยมัลแวร์ที่เขียนด้วย Go เติบโตขึ้นถึง 2,000% ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

มัลแวร์ Go ตัวแรกถูกค้นพบในปี 2012 แต่ก็ใช้เวลาอีกนานกว่าความนิยมจะเพิ่มขึ้น จนมาพุ่งแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลว่า Go เป็นภาษาที่เขียนง่าย เขียนทีเดียวทำงานได้ข้ามแพลตฟอร์ม ทำให้ผู้สร้างมัลแวร์เริ่มย้ายภาษาจาก C/C++ มาเป็น Go แทน

อีกปัจจัยที่มีผลไม่น้อยคือ นักวิจัยความปลอดภัยและแอนตี้ไวรัสในท้องตลาด ยังไม่คุ้นเคยกับแพทเทิร์นของไบนารี Go มากนัก ทำให้มัลแวร์ Go ตรวจจับได้ยากกว่า ตัวอย่างมัลแวร์ที่เขียนด้วย Go มีทั้งกลุ่มที่เขียนโดยกลุ่มอาชญากรที่ได้รับการหนุนจากรัฐ (เช่น รัสเซีย จีน), กลุ่มอาชญากรอิสระ และ ransomware

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Huawei หันมาทำ AI ให้ฟาร์มหมูและเหมือง! หลังยอดขายสมาร์ตโฟนตกฮวบ

Huawei แบรนด์สมาร์ตโฟนดัง แห่งจีนแผ่นดินใหญ่ หันมาพัฒนา Artificial Intelligence (AI) สำหรับอุตสาหกรรมเพื่อการเลี้ยงหมู และทำเหมืองถ่านหิน หลังโดนมาตรการคว่ำบาตรไม่หยุดจาก สหรัฐฯ และยอดขายสมาร์ตโฟนที่ตกฮวบ จนมีข่าวลือถึงขนาดจ่อจะขายแบรนด์สมาร์ตโฟนซีรีส์ P และ Mate แต่ก็ปฏิเสธไป

แน่นอนว่า หัวเว่ย เองก็ไม่นิ่งเฉยต่อสภาวะที่เกิดขึ้น โดยเริ่มขยับตัวเพื่อแหล่งรายได้อื่นๆ ที่ไม่ใช่การขายอุปกรณ์สมาร์ตโฟนเพียงอย่างเดียว เช่น การให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing), พาหนะอัจฉริยะ (Smart Vehicles), และอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices)

ไม่เพียงแค่นี้ เนื่องจากจีนมีอุตสาหกรรมสำหรับการเลี้ยงหมูที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของหมูกว่าครึ่งหนึ่งของโลก หัวเว่ยไม่รอช้าที่จะบุกอุตสาหกรรมนี้โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นจุดเด็น หลังจากการค้นคว้าอย่างหนักจนสามารถขึ้นไปเป็นบริษัทที่มียอดขายมากที่สุดในโลก

หัวเว่ย ใช้ระบบการจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ช่วยให้ผู้เลี้ยงหมูสามารถแบ่งแยก และจําแนกหน้าตาเพื่อติดตาม การกิน, น้ำหนัก, และการออกกำลังกาย ของหมูแต่ละตัวได้ นอกจากนี้ยังใช้ AI เพื่อไว้สำหรับการป้องกันและตรวจหาโรค

ล่าสุดโฆษกของ หัวเว่ย ยังออกมากล่าวกับ BBC News ว่า การใช้เทคโนโลยี ICT (เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) สำหรับการเลี้ยงหมูเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า เราไม่ลืมที่จะผลักดันอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเพิ่มมูลค่าที่ยั่งยืนในยุค 5G

นอกจากนี้ Ren Zhengfei ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารระดับสูงในปัจจุบันของหัวเว่ย ออกมาประกาศเปิดตัว ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมการทำเหมืองในมณฑลชานซีทางตอนเหนือของจีน เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

โดยมีเป้าหมายว่าต้องการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับเหมืองถ่านหิน เพื่อการเปลี่ยนแปลงในการใช้แรงงานที่น้อยลง ความปลอดภัยที่มากขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ถึงขนาดตั้งเป้าว่าต้องสามารถให้แรงงานเหล่านี้ใส่สูทผูกไทไปทำงานได้

"เราไม่มีวันหายไปไหน และเรายังคงอยู่รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งการขายสมาร์ตโฟนเพียงอย่างเดียว"

Ren Zhengfei ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารระดับสูงในปัจจุบันของหัวเว่ย

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

กูเกิลปล่อย TensorFlow 3D ปัญญาประดิษฐ์ตรวจจับวัตถุจากภาพสามมิติ

ทีม Google Research ปล่อยโครงการ TensorFlow 3D (TF 3D) โมเดลปัญญาประดิษฐ์สำหรับตรวจจับวัตถุสามมิติโดยเฉพาะ สำหรับใช้งานจากข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์สามมิติ ไม่ว่าจะเป็นโมดูล LIDAR หรือกล้องสามมิติก็ตาม

TF 3D มีโมเดลสำหรับแยกส่วนวัตถุจากข้อมูลสามมิติ (segmentation) และตรวจจับวัตถุ (object detection) การตรวจจับวัตถุจะได้เอาต์พุตเป็นกล่องสามมิติ สามารถบอกจุดศูนย์กลางและทิศทางที่วัตถุหันอยู่ได้

ตัวโครงการพัฒนาบน TensorFlow 2 รองรับชุดข้อมูล Waymo Open (สแกนถนน), ScanNet (ในอาคาร), และ Rio สำหรับการฝึก

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

แฮกเกอร์เจาะ TeamViewer เข้าคอมพิวเตอร์โรงกรองน้ำในฟลอริด้า แล้วเพิ่มสัดส่วนสารเคมีอันตราย, ผู้ดูแลแก้ไขทัน

แฮกเกอร์เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบกรองน้ำของโรงกรองน้ำ Oldsmar ในเมือง Pinellas County รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนพยายามเพิ่มสารโซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโซดาไฟในน้ำ แต่โชคดีที่ผู้ดูแลระบบเห็นทัน และเปลี่ยนค่ากลับเหมือนเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่อคุณภาพน้ำประปา ที่เป็นแหล่งน้ำดื่มหลักของเมือง

Bob Gualtieri นายอำเภอ Pinellas County เล่าว่าผู้ดูแลระบบเห็นเคอร์เซอร์เม้าส์ของเขาเคลื่อนไหวไปเปลี่ยนระดับโซเดียมไฮดรอกไซด์ในน้ำประปา จาก 100 ต่อล้านส่วน (100 ppm) เป็น 11,100 ต่อล้านส่วน (11,100 ppm) ก่อนออกจากระบบไป เขาจึงล็อกระบบ และแก้ไขค่ากลับคืนทัน โชคดีที่การเปลี่ยนแปลงนี้ปกติต้องใช้เวลาหนึ่งวันถึงจะส่งผล

ก่อนหน้าที่แฮกเกอร์จะเปลี่ยนค่าในระบบครั้งนี้ Gualtieri ระบุว่าเห็นหน้าจอถูกควบคุมอยู่ก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่ได้ผิดสังเกตุ เนื่องจากในสำนักงานก็ใช้ TeamViewer เพื่อซัพพอร์ตปัญหาด้านไอทีอยู่เรื่อยๆ หรือแม้แต่หัวหน้าของเขาเองก็เข้ามาดูแลระบบจากระยะไกล

Gualtieri ยังยืนยันว่าถึงผู้ดูแลจะไม่เข้ามาเห็น ระบบก็ยังมีการป้องกันอื่นในการตรวจสอบคุณภาพและค่าความเป็นกรดของน้ำอยู่ ปัจจุบันทางการเมือง Pinellas County, FBI และหน่วย Secret Service ของสหรัฐ กำลังร่วมกันสืบหาผู้กระทำการครั้งนี้

ที่มา: Blognone

Tesla สิงคโปร์เปิดให้สั่งซื้อ Model 3 ได้แล้ว ราคารวมภาษีกว่า 2.5 ล้านบาท ไม่รวมใบ COE

เรียกว่าเข้าใกล้ไทยเข้ามาอีกนิด กับ Tesla ที่ขณะนี้เปิดให้สั่งซื้อผ่านหน้าเว็บของประเทศสิงคโปร์แล้ว โดยรถรุ่นเดียวที่ให้สั่งซื้อตอนนี้คือ Model 3 มีให้เลือกสองรุ่นย่อยคือ Standard Range Plus และ Performance

สำหรับ Tesla Model 3 Standard Range Plus มีราคาหน้าเว็บอยู่ที่ 77,990 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 1.76 ล้านบาท แต่หากรวมภาษีต่างๆ และค่าจดทะเบียนรถแล้วราคาพุ่งไปอยู่ที่ประมาณ 113,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 2.54 ล้านบาท โดยวิ่งได้ไกล 448 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ความเร็วสูงสุดที่ 225 กม./ชม. เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.6 วินาที

ส่วนรุ่น Performance ตั้งราคาไว้ที่ 94,990 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 2.14 ล้านบาท แต่หากรวมภาษีต่างๆ และค่าจดทะเบียนรถแล้วราคาอยู่ที่ประมาณ 155,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 3.5 ล้านบาท โดยวิ่งได้ไกล 567 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ความเร็วสูงสุดที่ 261 กม./ชม. เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.3 วินาที

ทั้งนี้ ราคาด้านบนไม่รวมค่าประมูลใบรับรองการเป็นเจ้าของรถยนต์ (Certificate of Entitlement - COE) ที่สิงคโปร์บังคับใช้เป็นกฎหมายมาตั้งแต่ปี 1990 เพื่อจำกัดปริมาณรถยนต์ในประเทศ โดยราคาใบ COE นี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามความต้องการรถในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งบางครั้งมีราคาสูงกว่าตัวรถด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะดูสูงสำหรับคนไทย แต่นี่คือราคาปกติของรถยนต์ในสิงคโปร์ โดยมีการคาดการณ์ว่าราคารถ Tesla Model 3 Standard Range Plus พร้อมใบ COE จะถูกกว่า Toyota Camry เสียอีก เป็นผลมาจากที่รัฐบาลสิงคโปร์มีส่วนลดทางภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง

หากกดสั่งซื้อตอนนี้ ต้องรอรถนาน 12-14 สัปดาห์ทั้งสองรุ่นย่อย ส่วนฟีเจอร์ขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving) ก็สามารถซื้อเพิ่มได้เช่นกัน ที่ราคา 11,500 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือราว 260,000 บาท ซึ่งถูกกว่าราคาในสหรัฐอเมริกา

ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

SCB 10X กับ Digital Health Venture ของสมิติเวช ทำ SkinX แอปพบหมอรักษาผิวหนังและสิว

SCB 10X ร่วมกับ Digital Health Venture บริษัทในเครือโรงพยาบาลสมิติเวช เปิดตัว SkinX แพลตฟอร์มพบแพทย์ผิวหนังออนไลน์ ตั้งแต่ปัญหาสิว ผิวหนัง และหนังศรีษะ รวมแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางกว่า 50 คน จาก 17 โรงพยาบาลและคลินิกผิวหนัง เช่น รพ.สมิติเวช, เมโกะ คลินิก, ผิวดีคลินิก, Iskyคลินิก, Smith prive' aesthetique และ Thera คลินิก เป็นต้น ดาวน์โหลดได้แล้วทั้ง iOS และ Android

นายกวีวุฒิ เต็มภูวภัทร Head of Venture Builder ของ SCB 10X กล่าวว่า จากการเปิดทดลองใช้งานช่วงต้นเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา SkinX มีผู้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานมากกว่า 19,400 ราย ตั้งเป้ามียอด 40,000 ดาวน์โหลด ยอดผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม SkinX เพื่อปรึกษาแพทย์ออนไลน์กว่า 3,000 ครั้ง มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังคอยให้คำปรึกษากว่า 150 คน ภายในไตรมาสแรกปี 2564


พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์ม SkinX กล่าวว่า “เทรนด์ในช่วงโควิด-19 ระบาด พบว่า 35% ของคนไทย มองว่าการดูแลความสวยความงามในบ้าน คือ ไลฟ์สไตล์ใหม่ของพวกเขา และเกือบ 50% ของผู้ป่วยมีความต้องการในการใช้ digital health tool ในการพบหมอ

ผู้ใช้งานสามารถใช้ SkinX เพื่อพบแพทย์ผ่านวิดิโอคอล สั่งยา และติดตามผลได้ นอกจากนี้ยังมีบริการจัดส่งยาตามใบสั่งแพทย์โดยเภสัชกรถึงบ้านฟรีจนถึง 31 มีนาคมนี้ เมื่อสั่งยา150 บาท ขึ้นไป

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ย้อนประวัติความสำเร็จ VS Code เกิดจากโครงการ Editor บนเว็บที่ล้มเหลวมาก่อน

Erich Gamma หนึ่งในผู้นำทีมพัฒนา Visual Studio Code เล่าความหลัง 10 ปีว่าความสำเร็จของ VS Code ที่เราเห็นในปัจจุบัน เกิดจากความล้มเหลวของโครงการก่อนหน้านี้คือ Visual Studio Online ที่เป็น code editor บนเบราว์เซอร์

ตัวของ Gamma เองเป็นหนึ่งในผู้เขียนหนังสือ Design Patterns เคยเป็นพนักงานของ IBM ที่ดูแลโครงการ Eclipse ก่อนย้ายมาอยู่ไมโครซอฟท์ในปี 2011 เขาเล่าว่าเป้าหมายตอนแรกคือสร้าง code editor บนเว็บเบราว์เซอร์ในชื่อโค้ดเนม "Monaco" เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือชื่อ Visual Studio Online ที่เปิดตัวในปี 2013 (ปัจจุบันถูกรีแบรนด์เป็น Azure DevOps)

ภาพการเปิดตัว VS Code ต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2015

ไอเดียที่น่าสนใจและกลายมาเป็นจุดเด่นของ VS Code ในภายหลังคือ Monaco เลือกไม่ใช้ UI Framework ใดๆ เลย เขียนเองทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่าเน้นประสิทธิภาพมาตั้งแต่ต้น จึงต้องการกำหนดชีวิตเอง ไม่พึ่งพา UI Framework เพราะควบคุมประสิทธิภาพโดยตรงไม่ได้

Visual Studio Online ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง มีผู้ใช้ต่อเดือนจำนวนหลายพันคน แต่ตัวเลขแค่นี้ถือว่าน้อยมากสำหรับบริษัทขนาดไมโครซอฟท์ ที่ต้องการยอดผู้ใช้เยอะกว่านี้ระดับ 10 เท่าตัว

ในปี 2014 ทางทีมของ Gamma จึงปรับทิศทางโครงการใหม่ (pivot) มาเป็น Project Ticino (โค้ดเนมในตอนนั้น) เป็นเครื่องมือพัฒนาแบบข้ามแพลตฟอร์ม ทำงานบน OSX และ Linux ได้ เน้นการแก้โค้ด Node.js และ .NET เป็นสำคัญ

VS Code ถูกวางตัวอยู่ตรงกลางระหว่าง editor แบบดั้งเดิม และ IDE เต็มรูปแบบ ช่วงนั้นมีกระแส Electron เกิดขึ้นพอดี การที่ Monaco เขียนขึ้นเป็นเว็บอยู่แล้ว นำมารันบน Electron ได้ไม่ยาก

ทีมของ Gamma ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี พัฒนา Monaco มาเป็น Ticino และเปิดตัวในงาน Build 2015 โดยโชว์เดโมการเขียน .NET บนลินุกซ์ เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากในตอนนั้น

ก้าวถัดมาของ VS Code เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2015 มีตั้งแต่การโอเพนซอร์สบน GitHub และการรองรับส่วนขยาย (extension)

Gamma เล่าว่าเขามีประสบการณ์จาก Eclipse ที่มีส่วนขยายจำนวนมาก แต่แนวคิดของ VS Code คือ "ต้องเซฟงานได้เสมอ" ถ้าส่วนขยายมีผลต่อโปรแกรมหลักจนแครช เสียงานที่ยังไม่ได้เซฟไป ก็ถือว่าไม่ดี ดังนั้น VS Code จึงออกแบบส่วนขยายให้รันคนละโพรเซสกับโปรแกรมหลัก และคุยกันผ่าน RPC แทน

อีกปัจจัยที่ทำให้ VS Code ประสบความสำเร็จคือโครงการ TypeScript ที่ไมโครซอฟท์เริ่มพัฒนาในช่วงไล่เลี่ยกัน (เริ่มปี 2010) ทำให้การพัฒนา VS Code ง่ายขึ้นมาก ช่วงแรก VS Code ยังสร้างด้วย JavaScript เป็นหลัก แต่พอถึงปี 2013 โค้ดทั้งหมดกลายเป็น TypeScript เรียบร้อยแล้ว

ปี 2016 เป็นจุดเริ่มต้นของฟีเจอร์สำคัญอีกอย่างคือ Language Server Protocol (LSP) ที่ช่วยให้ VS Code รองรับภาษาโปรแกรมได้เป็นจำนวนมาก ผ่านการสร้าง Language Server โดยชุมชน ไมโครซอฟท์ไม่ต้องทำเองทั้งหมด แค่ดีไซน์ตัวโพรโทคอล LSP ขึ้นมาให้เป็นมาตรฐานเท่านั้น

ทีมของ Gamma ที่เริ่มพัฒนา VS Code อยู่ที่เมืองซูริกในสวิตเซอร์แลนด์ แต่เมื่อกระแส VS Code เริ่มจุดติดในปี 2016 ไมโครซอฟท์ก็เพิ่มอีกทีมที่สำนักงานใหญ่ใน Redmond โดยผลงานแรกของทีมนี้คือการสร้าง terminal ขึ้นมาภายในตัว VS Code เอง (xterm.js)

ช่วงปี 2017-2019 เป็นความพยายามผลักดัน VS Code ให้ทำงานได้ทุกที่ เริ่มมีแนวคิดของการทำงานรีโมทเข้ามา (เขียนบนเครื่อง รันบนอีกเครื่อง) แนวคิดนี้เริ่มได้รับความนิยมเมื่อเกิดกระแส container และไมโครซอฟท์เองมีลินุกซ์ WSL รันอยู่ในวินโดวส์

ปี 2020 เป็นการนำ VS Code กลับมาสู่รากเหง้าคือเว็บอีกครั้ง เป้าหมายคือการใช้งานกับ GitHub Codespaces ที่สามารถกดแก้โค้ดได้จากหน้าเว็บ GitHub แล้วสั่งคอมไพล์ได้เลย

Gamma เล่าว่าการที่ VS Code รันบน Electron อยู่ก่อน ต่างจากเบราว์เซอร์อยู่บ้าง จึงต้องปรับโค้ดข้างใต้ใหม่ให้เป็นเวอร์ชันเดียวที่รันได้ทั้งบน Electron และเบราว์เซอร์

ปัจจุบัน VS Code มีผู้ใช้ 14 ล้านคนต่อเดือน ส่วนขยาย 28,000 ตัว, รองรับ LSP 138 ตัว และมี Debug Adaptor Protocol (DAP) สำหรับเชื่อมต่อ debugger ลักษณะเดียวกับการเปิด LSP ให้เชื่อมต่อภาษาด้วย

แนวทางการพัฒนา VS Code คือออกรุ่นใหม่ทุกเดือน ประกาศแผนต่อสาธารณะบน GitHub การออกรุ่นใหม่ทุกเดือนทำให้ทีมงานต้องขยันปรับแก้โค้ดให้ดี ช่วยลดหนี้ทางเทคนิค (technical debt) ลงได้ตลอดเวลา ฟังเสียงของผู้ใช้ และยังคงแนวคิดดั้งเดิม "โฟกัสที่ประสิทธิภาพ"

แผนการในอนาคตของ VS Code จะทำ 3 เรื่องคือ

  • testing หลังจากรองรับ debugging แล้ว ขั้นต่อไปคือรองรับการรันเทสต์ในตัว (หน้าจอตามภาพ)
  • รองรับ Jupyter Notebooks ในตัว editor ของ VS Code
  • ปรับปรุงการทำงานบน Codespaces ต่อไป

แผนการทั้งหมดสามารถดูได้จาก Roadmap บน GitHub

Gamme สรุปบทเรียนความสำเร็จของ VS Code ว่าต้องอดทน สม่ำเสมอ พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน

ใครเป็นผู้ใช้ VS Code แนะนำให้ชมคลิปเต็ม ความยาวประมาณ 30 นาที (แต่ Gamma พูดเร็ว เข้าประเด็น ไม่ยืดเยื้อ)

ที่มา: Blognone

Glassdoor จัดอันดับงานประจำปี 2020 Java เป็นที่ต้องการและรายได้สูงสุดในสหรัฐ

Glassdoor เว็บไซต์แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างพนักงานบริษัท จัดอันดับสายงานยอดนิยมโดยใช้เรตติ้งจากกลุ่มผู้ใช้โดยชั่งน้ำหนักปัจจัย 3 อย่าง คือ ศักยภาพในการสร้างรายได้, คะแนนความพึงพอใจในงานโดยรวม และจำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับ พบว่า คนทำ Java ได้อันดับดีที่สุด ด้วยรายได้ 90,830 ดอลลาร์ คะแนนความพึงพอใจในงานที่ 4.2 จาก 5 และจำนวนตำแหน่งที่เปิดรับมากที่สุดคือ 10,103 ตำแหน่ง

การที่ Java ได้รับความนิยมสูงสุดนั้นไม่น่าแปลกใจนัก เพราะ Java เป็นภาษาที่ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม และเป็นภาษาในโครงสร้างพื้นฐานของหลายๆ บริษัท

Glassdoor จัดอันดับไว้ถึง 50 รายการ ซึ่งใน 25 อันดับแรก เป็นงานไอทีโดยตรงถึง 15 งาน โดยอันดับที่ 2 คือ Data Scientist ตามมาด้วย Product Manager, Enterprise Architect, DevOps Engineer, Information Security Engineer, Business Development Manager, Mobile Engineer, Software Engineer และอันดับ 10 คือ หมอฟัน

ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Your Phone อัปเกรด สามารถรันแอป Android ได้พร้อมกันหลายตัวบน Windows

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Microsoft ได้ปล่อยอัปเดตแอป Your Phone ใน Microsoft Store บน Windows 10 โดยเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ใช้สามารถรันแอป Android ได้หลายแอปพร้อมๆ กัน เมื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่รองรับ หลังจากที่เปิดใช้งานไปเมื่อปีที่แล้ว พร้อมกับการรองรับการใช้งานแอปเพียงทีละ 1 แอป เท่านั้น


ในการใช้งาน ผู้ใช้ต้องใช้งาน Windows 10 เวอร์ชันอัปเดตเดือนพฤษภาคม 2020 และแอป Your Phone เวอร์ชัน 1.20102.132 พร้อมเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานที่ติดตั้งแอป Link to Windows เวอร์ชัน 1.20102.133.0 โดยส่วนใหญ่จะเป็นสมาร์ตโฟน Samsung Galaxy สามารถดูรายชื่ออุปกรณ์รองรับได้ที่นี่

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ใช้อุปกรณ์รุ่นอื่นๆ ก็คงต้องฝากความหวังไว้กับ Microsoft ที่ได้เกริ่นมาก่อนหน้านี้ว่ากำลังพัฒนา “Project Latte” ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอป Android ลงบน Windows 10 ได้โดยตรง

ที่มา: Beartai

Motorola โชว์ของชาร์จไร้สายทางไกลให้ดูตัวจริงเสียงจริง แท่นชาร์จไม่ต้อง

เมื่อวานนี้ Xiaomi ได้โชว์ถึงคอนเซ็ปต์ Mi Air Charge เทคโนโลยีที่จะมาช่วยผู้ใช้ในด้านการชาร์จอุปกรณ์ให้สามารถชาร์จได้โดยไม่ต้องแตะหรือวางตัวเครื่องไว้กับแท่นชาร์จ เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ใช้งานสามารถชาร์จผ่านอากาศได้เลยโดยตรง แต่ล่าสุด Motorola ก็ขอโชว์ของเช่นกัน โพสต์คลิปเดโมการใช้งานการชาร์จไร้สายทางไกล Motorola Edge


จากในคลิปวิดีโอจะเป็นการสาธิตการใช้งานของฟีเจอร์การชาร์จไร้สายทางไกลนี้บน Motorola Edge โดยสามารถชาร์จ 2 เครื่องใน 2 ระยะทาง 80 ซม. และ 1 เมตร ได้ แต่จะสังเกตได้ว่าเมื่อนำมือไปบังเซนเซอร์หรือเสาปล่อยสัญญาณด้านหลังนั้นจะหยุดชาร์จทันที


ทั้งนี้ Chen Jin ผู้จัดการทั่วไปของ Lenovo ประเทศจีนได้ให้เหตุผลว่า “เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพของผู้ใช้งาน ระบบจะหยุดชาร์จทันทีเมื่อตรวจสอบได้ว่ามีส่วนของร่างกายมนุษย์มาบังเซนเซอร์” ต่างจากของ Xiaomi Mi Air Charge ที่ระบุว่าถึงจะมีสิ่งกีดขวางมากั้นก็ยังสามารถทำงานได้เช่นเดิม

อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีเหล่านี้ยังคงเป็นเพียงคอนเซ็ปต์เท่านั้น ยังไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยมาเมื่อไร แต่ก็ต้องติดตามกันต่อไป เทคโนโลยีชาร์จไร้สายทางไกลนี้ เราจะได้เห็นบนอุปกรณ์อะไรบ้าง และจะเปิดตัวและวางจำหน่ายหรือไม่

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2564

Tesla เปิดตัว Model S และ X ใหม่ มีรุ่นย่อย Plaid ทะยาน 0-100 กม./ชม. ใน 2 วินาที ออกแบบภายในใหม่หมด

วันนี้ Tesla ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model S และ Model X รุ่นใหม่ ที่หน้าตาภายนอกยังคงคล้ายเดิมอยู่มาก แต่ภายในถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมดจนไม่เหลือเค้าเดิม รวมถึงเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Plaid และ Plaid+ ที่โฆษณาว่าเป็นรถที่มีผลิตขายจริงรุ่นแรกที่ทำความเร็ว 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ใน 2 วินาที

เริ่มที่ Model S กันก่อน ขณะนี้ Tesla มี Model S จำหน่ายเพียง 3 รุ่นย่อยเท่านั้น คือ Long Range, Plaid และ Plaid+ เพื่อให้ผลิตง่ายที่สุด โดย Long Range ราคาเริ่มต้น 79,990 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.4 ล้านบาท เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ใน 3.1 วินาที วิ่งได้ระยะทาง 663 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.

ในขณะที่รุ่น Plaid (แปลว่าลายตาราง แต่ Tesla น่าจะหมายถึงธงลายหมากรุกที่ใช้ในสนามแข่ง) มีพละกำลังถึง 1,020 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. ได้ใน 1.99 วินาที หรือหากเป็น 0-100 กม./ชม. ก็คงอยู่ราว 2 วินาที ความเร็วสูงสุด 321 กม./ชม. วิ่งได้ระยะทาง 627 กิโลเมตร โดยสิ่งที่ทำให้ทำความเร็วได้หลุดโลกขนาดนี้คงมาจากการเพิ่มมอเตอร์จาก 2 ตัวในรุ่นธรรมดา เป็น 3 ตัว ราคาเริ่มต้น 119,990 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.6 ล้านบาท

สุดท้ายคือรุ่น Plaid+ ที่ถือว่าสเปกสุดโต่งมาก มาพร้อมพละกำลังมากกว่า 1,100 แรงม้า เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ "น้อยกว่า" 1.99 วินาที แต่กลับทำระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้งได้มากกว่า 836 กิโลเมตร สูงกว่ารุ่น Long Range เสียด้วยซ้ำ จึงน่าสังเกตว่า Tesla ได้ปรับปรุงแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงพิเศษสำหรับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะหรือไม่ วางจำหน่ายที่ราคาเริ่มต้น 4.2 ล้านบาท

นอกจากเรื่องประสิทธิภาพ Tesla ยังออกแบบภายในของ Model S ใหม่หมด โดยรวมดูหรูหราและเป็นมิตรมากขึ้น ลดเส้นสายฉูดฉาดลง มินิมอลคล้ายๆ Model 3 หน้าจอขนาด 17 นิ้วถูกปรับจากแนวตั้งเป็นแนวนอน


ส่วนที่เปลี่ยนมากที่สุดคือพวงมาลัย เพราะกลายเป็นพวงมาลัยแบบไม่เต็มวง หรือ Yoke Steering คล้ายรถแข่ง F1 อย่างไรก็ตามมีสื่อต่างประเทศบางสำนักตั้งข้อสังเกตว่า Tesla ไม่น่าจะใช้พวงมาลัยแบบนี้จริงๆ เพราะไม่ค่อยถนัดในการใช้งานจริง

สำหรับผู้โดยสารตอนหลังก็มีจอขนาด 8 นิ้วไว้เพื่อความบันเทิง โดย Tesla ระบุว่าชิปประมวลผลขนาด 10 เทราฟลอปส์สามารถเล่นเกม The Witcher 3 และ Cyberpunk 2077 ได้ด้วย (รถ Tesla สามารถต่อจอยไร้สายเล่นเกมได้อยู่แล้ว)

รถที่ถูกปรับปรุงใหม่อีกรุ่นคือ Model X โดยมีรุ่นย่อย 2 รุ่นคือ Long Range กับ Plaid (ไม่มี Plaid+) ซึ่งรุ่น Plaid ของ Model X นั้นทำความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 2.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 262 กม./ชม. และวิ่งได้ระยะทาง 547 กิโลเมตร ราคาเริ่มต้น 119,990 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.6 ล้านบาท เท่ากับ Model S

ส่วนภายในของ Model X ก็เหมือน Model S แทบทุกจุด เพียงแต่สามารถเลือกที่นั่งแบบ 5, 6 หรือ 7 ที่นั่งก็ได้

Tesla Model S รุ่น Long Range และ Plaid จะเริ่มส่งมอบในเดือนมีนาคม และ Plaid+ จะมาช่วงปลายปีนี้ ส่วน Model X ทั้งสองรุ่นย่อยจะเริ่มส่งมอบในเดือนเมษายน

ที่มา: Blognone