วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สู่สังคมลดบัตรพลาสติก KT เปิดตัว CLiP CARD รวมบัตรเครดิตและบัตรเงินสดไว้ในใบเดียว

KT เปิดตัวบัตร CLiP CARD สมาร์ตการ์ดสำหรับจ่ายเงินที่สามารถรวมเอาบัตรเครดิตและบัตรเงินสด 21 ใบไว้ในบัตรเดียวกัน
ตัวบัตรมีหน้าจอ 1.3 นิ้วสามารถใช้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นผ่านบาร์โค้ดได้ ส่วนการเก็บข้อมูล สามารถเก็บข้อมูลบัตรสะสมแต้มได้ 10 ใบ, บัตรเงินจ่ายค่าโดยสารสาธารณะได้ 1 ใบ, และข้อมูลบัตรเครดิตได้อีก 10 ใบ รวมทั้งหมดสามารถใช้แทนบัตรได้ 21 ใบ ตัวบัตรจะถามรหัสผ่านก่อนการใช้งานเพิ่มความปลอดภัยในกรณีที่ทำบัตรสูญหาย

ตัวบัตรมีแบตเตอรี่ในตัว แต่สามารถใช้งานได้นาน 3-4 สัปดาห์ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง

ทาง KT ระบุว่ากลุ่มเป้าหมายคือคนทำงานอายุ 30-40 ปีที่ไม่ต้องการพกบัตรจำนวนมาก เป้าหมายรองลงมาคือกลุ่มผู้หญิงอายุ 20 ปลายๆ อีกกลุ่มที่ไม่ชอบพกบัตรอีกเช่นกัน ตัวบัตรขายให้กับลูกค้าที่ได้รับอนุมัติบัตรเครดิตแล้ว โดยราคาปลีกอยู่ที่ 108,000 วอน (ประมาณ 3,250 บาท) หากมียอดค่าใช้จ่ายครบ 100,000 วอนก็จะได้รับเงินคืน ทำให้ลูกค้าเข้าถึงตัวบัตรได้ง่ายขึ้น

แม้ว่าตัวบัตรจะเก็บข้อมูลได้ถึง 21 บัตร แต่ตอนนี้ผู้ออกบัตรที่ตกลงขาย CLiP CARD แล้วมีสามบริษัทได้แก่ BC Card, Lotte Card, และ Hana Card Service คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ใช้รวม 300,000 คนและขยายไปถึงสองล้านคนในปี 2020

ที่มา: Blognone

Bitcoin ไม่เหมาะสำหรับทุกคน: ข้อควรระวังกับการลงทุน Bitcoin และสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ

ช่วงสามเดือนที่ผ่านมาเงินสกุลดิจิตอลจำนวนมากโดยเฉพาะ Bitcoin (บิตคอยน์) และ Ethereum ผมเองแม้จะเขียนบทความเรื่องเงินดิจิตอลเหล่านี้มาหลายบทความ แต่มักเขียนในจากมุมมองวิศวกรรมเป็นหลัก นับแต่การออกแบบของ Satoshi Nakamoto (ที่ไม่มีใครรู้ว่าตัวจริงเป็นใคร) สกุลเงินดิจิตอลเหล่านี้ผ่านการพิสูจน์ว่ามันสามารถรองรับธุรกรรมทางการเงินมูลค่าสูง มีการเปลี่ยนมือวันละนับล้านบาทได้อย่างแม่นยำ

อย่างไรก็ดีความสนใจของคนในวงกว้างในช่วงหลังจากที่บิตคอยน์มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บทความที่ผมเขียนไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วถูกเผยแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง (ดีแล้วนะครับ ก่อนจะเล่นอย่างน้อยก็พยายามรู้สักหน่อยว่ามันคืออะไร) ผมคิดว่าควรเตือนถึงข้อจำกัดสำหรับคนทั่วไปที่คิดจะลงทุนในบิตคอยน์สักหน่อย


1.ชื่อ "Bitcoin" ไม่มีการควบคุมจริงจัง

ตัวบิตคอยน์ต่างจากการเงินหรือธนาคารต่างๆ ที่มักมีองค์กรควบคุมอย่างจริงจังและเข้มแข็ง หากเราพิมพ์ธนบัตรเองและไปอ้างกับคนอื่นว่าเป็นเงินบาทจะมีโทษตามกฎหมาย แม้แต่ชื่อธนาคารต่างๆ หากเรานำชื่อธนาคารไปแอบอ้างก็ถูกดำเนินคดีได้เช่นกัน และมักมีการตรวจตราจากธนาคารอย่างจริงจังด้วยว่ามีคนนำชื่อไปทำเสียหายหรือไม่ แต่ชื่อบิตคอยน์กลับเป็นชื่อสาธารณะ ตัว Satoshi เองระบุชื่อนี้เอาไว้ในเอกสารการออกแบบ มีคนพยายามจดเครื่องหมายการค้ากันอยู่บ้าง แต่จนตอนนี้ยังไม่มีการควบคุมหรือการฟ้องร้ององค์กรใดจากความพยายามแอบอ้างบิตคอยน์

สำหรับคนทั่วไปที่อยากลงทุนบิตคอยน์คำถามแรกคงเป็นว่า "คุณได้ซื้อบิตคอยน์จริงๆ ไหม" สำหรับคนที่เข้าใจกระบวนการทางเทคนิคการพิสูจน์ว่าซื้อ Bitcoin สำเร็จทำได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจกระบวนการดาวน์โหลดฐานข้อมูล การสร้าง Wallet ฯลฯ การตรวจสอบว่าได้ซื้อเงินสำเร็จแล้วจริงหรือไม่อาจจะยากเกินไป การลงทุนที่ถูกชักชวนอาจจะเป็นเพียงการหลอกลวง

2.การสร้างเงิน "คอยน์" ใหม่ๆ ทำได้ไม่ยาก

สิ่งที่ตามมาจากการความนิยมในสกุลเงินดิจิตอล คือการสร้างเงินคอยน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทดลองทางวิศวกรรมหรือการลงทุน สิ่งที่ต้องเตือนคือการสร้างเงินคอยน์เหล่านี้ทำได้ง่ายอย่างยิ่ง ด้วยการรันซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ไม่ซับซ้อนนัก หลายโครงการมีดัดแปลงเงื่อนไขต่างๆ กันไป เช่น การออกแบบให้รองรับธุรกรรมได้มากขึ้นหากได้รับความนิยมสูงในอนาคต หรือการสร้างสัญญาที่ซับซ้อนได้ (Ethereum)

แต่ลำพังการสร้างเงินคอยน์ใหม่ๆ สามารถสร้างได้ในเวลาอันรวดเร็วหาก การลงทุนในเงินคอยน์ใหม่ๆ จึงควรทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและข้อจำกัดของเงินคอยน์เหล่านั้น รวมถึงมันเป็นระบบไร้ศูนย์กลางแบบเดียวกับบิตคอยน์จริงหรือไม่ หรือทีมพัฒนามีความเชี่ยวชาญจริงหรือไม่

3.บิตคอยน์โดนขโมยแล้วเอาคืนไม่ได้

ระบบการเงินไร้ศูนย์กลางเช่นบิตคอยน์ไม่มีหน่วยงานที่สามารถออกมาแสดงความรับผิดชอบได้เหมือนกับธนาคาร ที่แม้จะมีความผิดพลาดจนเงินถูกขโมยออกไปจากบัญชีได้บางกรณี ก็ยังมีหน่วยงานรับผิดชอบ รวมถึงมีหน่วยงานรัฐคุ้มครองเงินฝาก

ทุกวันนี้โดยตัวบิตคอยน์เองยังไม่มีรายงานการขโมยเงินไป แต่บริการรอบข้างเช่นศูนย์รับแลกเงินต่างๆ ตัวแอปที่ผู้พัฒนาไม่เชี่ยวชาญเพียงพอ รวมถึงความไม่เชี่ยวชาญของผู้ถือบิตคอยน์ก็ทำให้เงินถูกขโมยไปได้เรื่อยๆ กรณีคลาสสิกคือผู้ประกาศข่าว Bloomberg เผลอแสดงโค้ด QR ที่เป็นกุญแจสำหรับบัญชีเงินออกทีวี ทำให้เงินถูกขโมยไปในทันที

4.เงินคอยน์หายไปตลอดกาลได้

ระบบเงินไร้ศูนย์กลางเช่นบิตคอยน์ไม่เหมือนกับเงินฝากในธนาคาร ที่แม้เราจะทำสมุดบัญชีสูญหายไป เราก็สามารถแจ้งความและพิสูจน์ตัวตนเพื่อนำเงินกลับออกมาได้ เนื่องจากระบบเช่นบิตคอยน์ไม่มีหน่วยงานที่มาดูแลพิสูจน์ตัวตนของเจ้าของเงิน กุญแจบัญชีเงินฝากเป็นเพียงตัวเลขขนาดใหญ่ หากทำตัวเลขนี้หายไปเงินทั้งหมดก็จะหายไปตลอดกาล

รายงานบิตคอยน์ที่เคยหายไปมากที่สุดคือ 7,500 BTC มูลค่าปัจจุบันคือ 722 ล้านบาทและหากไม่สามารถหากุญแจลับกลับมาได้ก็ไม่สามารถนำเงินกลับมาได้อีกเลย

5.ค่าเงินผันผวน แต่ความยากในการขุดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

คนจำนวนหนึ่งอาจจะไม่ได้ลงทุนบิตคอยน์โดยการซื้อขาย แต่สนใจการขุดบิตคอยน์ด้วยการลงทุนคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ในแง่นี้ควรตระหนักว่าอัตราการแฮชของเงินดิจิตอลที่ได้รับความนิยมเช่นบิตคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แทบไม่มีช่วงเวลาที่ลดลงเลยในระยะยาว ต่างจากค่าเงินที่มีช่วงเวลาที่ซบเซาเป็นเวลานานๆ และเมื่อสกุลเงินได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้ง อัตราการแฮชก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่คนอ่าน Blognone ควรตระหนัก (ถ้ายังไม่ได้ตระหนักมาก่อนหน้านี้) คือข่าวรายงานต่างๆ เกี่ยวกับบิตคอยน์ ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าบิตคอยน์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง เมื่อมูลค่าของมันสูงขึ้นเรื่อยๆ มีธุรกรรมจำนวนมากกระทำผ่านบิตคอยน์มากขึ้นเรื่อยๆ มันคงเป็นเรื่องที่เราต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงของมัน และความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ในอนาคต

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เปิดตัว iPad Pro 10.5 นิ้ว พร้อมตัวอย่างการทำงานที่เสมือนคอมพิวเตอร์ไปทุกทีด้วย iOS 11

Apple เปิดตัว iPad Pro ขนาด 10.5 นิ้ว แทนที่ iPad Pro ขนาด 9.7 นิ้ว เป็นอีกหนึ่งฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่มีการเปิดตัวภายในงาน WWDC 2017 เริ่มเปิดจองแล้ววันนี้


iPad Pro ขนาด 10.5 นิ้ว มีน้ำหนักเพียง 1 ปอนด์, คีย์บอร์แบบ Full-size on-screen, หน้าจอแสดงผลแบบ True Tone, ความสว่าง 600 nits, รองรับ HDR Video, หน้า refresh rate ที่ 120Hz ช่วยให้การแสดงลื่นมากขึ้น, ชิปประมวลผล Apple A10X Fusion แบบ 6 คอร์ ที่ให้ประสิทธิภาพดีขึ้น 30%, GPU แบบ 12 คอร์ ประสิทธิภาพด้านกราฟิกดีขึ้น 40%, แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง มาพร้อม fast charging ผ่าน USB-C


กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ระบบกันสั่น OIS, รูรับแสง f/1.8, แฟลช Quad-LED True Tone, รองรับการบันทึกวีดีโอที่ความละเอียด 4K กล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล FaceTime HD, มีระบบ Auto image stabilization และ Retina Flash


อุปกรณ์คู่ใจอย่าง Apple Pencil พัฒนาให้รองรับการสัมผัสที่ดีขึ้น และ Smart Keyboard ยังเป็นแบบ Full-size มีให้เลือกมากกว่า 30 ภาษา


สำหรับราคา iPad Pro ขนาด 10.5 นิ้ว ในประเทศไทยมีเปิดเผยออกมาแล้วว่า

 

รุ่นที่รองรับเฉพาะ Wi-Fi

– 64GB ราคา 24,500 บาท
– 256GB ราคา 27,900 บาท
– 512GB ราคา 34,700 บาท

 

รุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular

– 64GB ราคา 29,500 บาท
– 256GB ราคา 32,900 บาท
– 512GB ราคา 39,700 บาท

มี 4 สี ได้แก่ Space Grey, Silver, Gold และ Rose Gold เริ่มเปิดจองแล้ววันนี้ ก่อนทยอยจัดส่งสินค้าในสัปดาห์ถัดไป แต่ยังไม่สามารถใช้ iOS 11 ได้ จนกว่าจะถึงเดือนกันยายนนี้


นอกจากนี้บนเวที WWDC 2017 ทาง Apple ยังได้มีการสาธิตให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ iPad Pro หลังจากอัพเกรดเป็น iOS 11 แล้ว แบ่งเป็นดังนี้

– การใช้งานในแนวนอน จะมีแผงแอพพลิเคชันแสดงขึ้นภาพ อารมณ์เหมือนใช้งานบน MacBook


– New App Switcher แบบใหม่


– ฟีเจอร์ใหม่ “Drag and Drop” การลากและวางแอพสำหรับการใช้งานแบบ 2 หน้าจอที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น, สามารถลากและวางภาพได้ทีละหลายๆ ภาพได้


– On-screen คีย์บอร์ด แบบใหม่


– ฟีเจอร์ใหม่ “File” : เสมือนการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างโฟลเดอร์, จัดเก็บไฟล์ที่ชื่นชอบ, แยกประเภทไฟล์, ค้นหาไฟล์ได้, สามารถดูไฟล์หรือข้อมูลที่เปิดไว้ล่าสุด รวมไปถึงสามารถใช้ Drag and Drop เพื่อลากและวางไฟล์ต่างๆ ได้


– ฟีเจอร์ Scanner : ช่วยถ่ายภาพเอกสาร พร้อมการแก้ไขหรือจดโน้ตเพิ่มเติมได้ทันทีด้วย Apple Pencil


ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ยลโฉม Essential PH-1 สมาร์ทโฟนไร้ขอบสุดหรู จากผู้ให้กำเนิด Android

Andy Rubin ผู้ให้กำเนิด Android เปิดตัว Essential Phone หรือ Essential รุ่น PH-1 สมาร์ทโฟนระดับเรือธง มาพร้อมดีไซต์ไร้ขอบหรูหรา ใช้ Titanium เป็นวัสดุหลัก และสเปกจัดเต็ม


กลับสู่วงการ จากที่มีข่าวว่า Andy Rubin ผู้ให้กำเนิด Android มีแผนจะพัฒนาสมาร์ทโฟนของตัวเอง หลังลาออกจาก Google แล้วไปเปิดบริษัทใหม่ในชื่อ Essential Products Inc. รับตำแหน่งเป็น CEO คนปัจจุบัน ล่าสุดมีการเผยโฉมสมาร์ทโฟนดังกล่าวแล้ว โดยมาในชื่อ “Essential Phone” หรือ Essential รุ่น PH-1


Essential PH-1 มาพร้อมหน้าจอแบบไร้ขอบขนาด 5.71 นิ้ว ในสัดส่วน 19 : 10 กว้างขวางสะดุดตาทีเดียว ตัวจอก็ชิดขอบเกือบทุกมุมกันเลย จุดเด่นก็มีกล้องหน้า ที่คั่นกลางอยู่ข้างบนจอ (แอบดูขัดตานิด ๆ นะ) ตัวเครื่องไม่มีสลักโลโก้อะไร โดยรวมๆ ตัวเครื่องถือว่ามีดีไซต์สวยทีเดียว มีจุดเด่นของตัวเองชัดเจนด้วย ส่วนสเปกก็จัดเต็มด้วย Snapdragon 835 แรม 4GB รอมแบบ UFS 2.1 ขนาด 128 GB และกล้องคู่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (มีเทคโนโลยีคล้ายๆ Huawei P10)


ตัวเครื่องใช้วัสดุหลักเป็นไทเทเนียม (ฝาหลังเป็นเซรามิก) ทำให้มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ ทั้งนี้ทางบริษัท มีการโชว์เทส Drop เทียบกับคู่แข่งแบรนด์อื่นๆ (ดังภาพ) ด้วย หลังเทสจะเห็นเลยว่า Essential PH-1 ไร้ริ้วรอย…


ทั้งนี้ Essential PH-1 มีคุณสมบัติเป็น Modular Phone โดยด้านหลังเครื่องจะมีแม่เหล็กยืด พร้อมช่องเชื่อมต่อทองแดงเล็กๆ 2 จุด ซึ่งอุปกรณ์ตัวแรกก็เผยโฉมก่อนคือ กล้อง 360 องศา (มูลค่า 50 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,700 บาท) ที่ใช้เลนส์แบบ Fish-eye สามารถถ่ายวิดีโอ 360 องศา ความละเอียดระดับ 3840×1920 พิกเซลกันเลย ส่วนความละเอียดกล้องก็อยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล


สเปก Essential Phone (Essential PH-1)

Display : หน้าจอ LTPS/CGS ขนาด 5.71 นิ้ว 504 PPI ความละเอียด Quad HD (1312×2560 พิกเซล) ในอัตราส่วน 19 : 10 ครอบด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
CPU : Qualcomm Snapdragon 835
GPU : Adreno 540
RAM : 4 GB
ROM : UFS 2.1 ขนาด 128 GB
Main Camera : กล้องหลังคู่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชคู่, F/1.85, PDAF, Geo-tagging, Touch Focus, Laser Autofocus, Face Detection, HDR, Panorama ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K@30fps,1080p@60fps และ 720p@120fps
Front Camera : กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล F/2.2
Sensors : Fingerprint (ด้านหลังเครื่อง)
Connect : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Bluetooth 5.0, NFC และ USB Type-C 1.0
Battery : 3040 mAh
ขนาดตัวเครื่อง : 141.5 x 71.1 x 7.8 mm
น้ำหนัก : 185 g
ระบบปฏิบัติการ : Android 7.1 (Nougat)
สีให้เลือก : Black Moon (ดำเงา) , Stellar Gray (ดำเทา) , Pure White (ขาว) และ Ocean Depths (เขียวแก่ขอบทอง)


สำหรับราคา Essential PH-1 จะมีโปรโมชั่น Pre-Order หรือสั่งจองที่ 699 เหรียญฯ หรือประมาณ 23,800 บาท ถ้าซื้อพร้อมกล้อง 360 องศา ก็ 749 เหรียญฯ หรือประมาณ 25,500 บาท ส่วนราคาปกติ หลังเลยโปรโมชั่นสั่งจองไปแล้ว ก็พุ่งที่ 898 เหรียญฯ หรือประมาณ 30,600 บาท ตอนนี้ทางบริษัท เปิดให้สั่งจองในอเมริกาแล้ว ส่วนจะเปิดขายทั่วโลกตอนไหนนั้น ยังไม่ระบุครับ

ที่มา: ARiP

Intel ประกาศ Thunderbolt จะมากับซีพียูรุ่นใหม่ในอนาคตด้วย

Intel ประกาศแนวทางใหม่สำหรับการใช้งาน Thunderbolt เริ่มด้วยการยกเลิกเก็บค่า license และพร้อมนำเทคโนโลยีดังกล่าวรวมไว้ในซีพียูรุ่นใหม่ในอนาคตด้วย


ตั้งแต่ปี 2011 Intel เปิดตัวเทคโนโลยี Thunderbolt พอร์ตรับส่งข้อมูลความเร็วสูง แต่ช่วงเวลานั้นยังรองรับแค่ Apple Mac หรือ PC ระดับพรีเมียมเท่านั้น แต่สำหรับแผนการล่าสุดในปี 2017 ของ Intel จะเริ่มพัฒนา Thunderbolt 3 ที่ใช้ได้กับซีพียูรุ่นใหม่ ส่งผลดีต่อผู้ผลิต PC จะสามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม สามารถพัฒนาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และเดสก์ทอปที่มีความบางเบาได้ พร้อมยังช่วยลดความซ้ำซ้อนของพอร์ตต่างๆ บนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและเดสก์ทอป ซึ่ง Intel จะเริ่มเปิดเผยรายละเอียด Thunderbolt 3 ที่ใช้ได้กับซีพียูรุ่นใหม่ในปีหน้า

นอกจากนี้ Intel ยังประกาศว่าในปีหน้าจะยกเลิกการเก็บค่า license ของ Thunderbolt ในอุตสาหกรรมไอที โดยหวังว่ามาตรฐานนี้จะช่วยเพิ่มการยอมรับ Thunderbolt มากขึ้น รวมไปถึงยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิปรายอื่นๆ สามารถพัฒนาชิปที่รองรับกับ Thunderbolt ได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับอุปกรณ์ใหม่ๆ และประสบการณ์ของผู้ใช้

สำหรับ Thunderbolt  ในปัจจุบันสนับสนุนความเร็วในการโอนย้ายข้อมูลได้สูงสุด 40Gbps พร้อมส่งผ่านข้อมูลประเภทเกมระดับ 4K ได้อย่างมีประสิทธิภาพบนอุปกรณ์ Virtual Reality

ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Microsoft เปิดตัว New Surface Pro 2017 แบตอึด 13.5 ชั่วโมง รองรับ LTE

Microsoft เปิดตัว New Surface Pro อย่างเป็นทางการที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เป็นการอัพเกรดประสิทธิภาพของการใช้งานให้ดีขึ้น เริ่มวางขายในบางประเทศ 15 มิถุนายนนี้


ดีไซน์ภายนอกของ New Surface Pro ยังแทบเหมือนเดิมกับ Surface Pro 4 มีการพัฒนา kickstand ให้สามารถพับได้มากถึง 165 องศา มากกว่า Surface Pro 4 ที่พับได้ 150 องศา หน้าจอทัชสกรีน PixelSense ขนาด 12.3 นิ้ว ใช้ซีพียู Intel 7th Gen Kaby Lake มีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Core m3-7Y30, Core i5-7300U (Core m3 กับ Core i5 ใช้กราฟิกการ์ด Intel HD graphics 620) และ Core i7-7660U (ใช้กราฟิกการ์ด Intel Iris Plus Graphics 640) ซึ่งไม่มีพัดลมระบายความร้อน เพื่อให้การทำงานเงียบ แต่สามารถระบายความร้อนได้ดีที่สุด ขณะเดียวกันซีพียูที่ใช้ใน New Surface Pro ยังได้รับปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานให้ดียิ่งขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ช่วยสนับสนุนแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้นานถึง 13.5 ชั่วโมง ดีเพิ่มขึ้นถึง 50%


แรมมีให้เลือกตั้งแต่ 4GB / 8GB และ 16GB 1866MHz LPDDR3, หน่วยความจำ SSD มีตั้งแต่ 128GB / 256GB / 512GB และ 1TB, รองรับการใช้ซิมการ์ดหรือ eSIM สำหรับใช้งาน LTE, พอร์ตที่ให้มาด้วย ได้แก่ USB Type-A, Mini DisplayPort, Headset jack, Surface Connect และ microSDXC card reader ยังไม่เลือกใช้ USB Type-C


อุปกรณ์คู่ใจอย่าง Surface Pen มีการปรับปรุงใหม่เช่นกัน ตอบสนองต่อการสัมผัสบนหน้าจอทัชสกรีน PixelSense ได้ดีขึ้น รองรับแรงกดที่ระดับ 4,096 มากขึ้นจากรุ่นเดิมที่รองรับแรงกด 1,024 ขณะเดียวกัน New Surface Pro 2017 ยังรองรับ Surface Dial อุปกรณ์แบบเดียวที่ใช้ร่วมกับ Surface Studio ได้อีกด้วย


ส่วน Type Cover หรือคีย์บอร์ด มาพร้อมดีไซน์แบบ New Alcantara มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีแดง, สีม่วง, สีน้ำเงิน และสีดำ

New Surface Pro 2017 จะเริ่มวางขายใน 26 ประเทศ ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ ซึ่งในรายชื่อยังไม่มีประเทศไทย ราคาเริ่มต้น 799 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28,000 บาท


ที่มา: ARiP

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใหญ่กว่านี้มีอีกไหม ไมโครซอฟท์ย้ายซอร์สโค้ด Windows ทั้งหมด 300GB มาอยู่บน Git


ไมโครซอฟท์เผยว่าย้ายซอร์สโค้ด Windows ทั้งหมดจากระบบ Source Depot ของตัวเอง มาสู่ Git เรียบร้อยแล้ว ส่งให้ไมโครซอฟท์มี git repository ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในทันที
  • จำนวนไฟล์ 3.5 ล้านไฟล์
  • ขนาดรวม 300GB
  • จำนวนทีมงาน 4,000 คน (ปัจจุบันย้ายมาแล้ว 3,500 คน)
  • จำนวนกิ่ง 440 branch
  • git push เฉลี่ย 8,421 ครั้งต่อวัน
  • pull request 2,500 ครั้งต่อวัน
  • การนำซอร์สโค้ดออกมาคอมไพล์ นับเป็นจำนวน 1,760 build ต่อวัน
กระบวนการย้ายระบบของไมโครซอฟท์เริ่มในเดือนมีนาคม โดยพนักงานกลุ่มแรก 2,000 คนจากทีม Windows OneCore ใช้งาน Source Depot ในวันศุกร์ เมื่อกลับมาเช้าวันจันทร์ก็เจอกับระบบใหม่ที่เป็น Git แทน

เบื้องหลังการย้ายระบบครั้งนี้ ไมโครซอฟท์เตรียมตัวไว้ค่อนข้างดี ปัญหาจึงน้อย แต่ด้วยขนาดของ repository ใหญ่ระดับนี้จึงมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพอยู่บ้างในสัปดาห์แรก

ไมโครซอฟท์เคยประกาศไปแล้วว่าต้องสร้างระบบ Git Virtual File System ขึ้นมาเพื่อรองรับสเกลงานระดับนี้ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาของ Git ลงจากหลัก 30 นาทีถึงหลายชั่วโมง ลงมาอยู่ระดับน้อยกว่า 20 วินาทีได้สำเร็จ

ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Google เปิดขายไวท์บอร์ดอัจฉริยะ Jamboard แล้ว ราคา 4,999 ดอลล่าร์

เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว Google ได้เปิดตัวไวท์บอร์ดอัจฉริยะอย่าง Jamboard ออกมา ล่าสุดได้ขายอย่างเป็นทางการแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาอยู่ที่ 4,999 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 175,000 บาท

ฟีเจอร์การใช้งานมีตามเปิดตัวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนวกเข้ากับ G Suite, ขีดเขียนลงบอร์ดแล้วแปลงเป็นภาพบนจอ, ใช้งาน Hangouts ได้ทันทีและสามารถเชื่อมต่อกับแอพบน iOS และ Android เพื่อร่วมใช้งานบอร์ดได้

สเปคของ Jamboard คร่าวๆ คือ จอ 4K ขนาด 55 นิ้ว รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 16 จุดและนำเข้าข้อมูลแม่นยำถึง 1 มิลลิเมตร, มีส่วนประมวลเป็น Nvidia Jetson TX1 ฝังอยู่ในเครื่อง, Wi-Fi 802.11ac, NFC, Google Cast, HDMI 2 พอร์ท, USB Type-C, USB 3.0 2 พอร์ทและ Gigabit Ethernet

ตอนนี้เปิดให้ผู้ใช้ G Suite ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาสามารถสั่งซื้อ Jambaord ได้แล้วผ่านทาง https://cloud.withgoogle.com/hardware/ มี 3 สีได้แก่ obalt blue, carmine red และ graphite grey อุปกรณ์ประกอบไปด้วยปากกาสไตลัส 2 อัน, แปรงลบกระดานและที่ยึดผนัง หากต้องการขาตั้งจอต้องซื้อแยกในราคา 1,199 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 42,000 บาท นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมในการดูแลหลังการขายรายปีเพิ่มเติมอีกด้วย



ที่มา: Blognone

7-11 ยุคใหม่ ไม่มีพนักงาน เงินสดไม่ใช้ บัตรไม่ต้อง ใช้ฝ่ามืออย่างเดียว

ที่ประเทศเกาหลีใต้ นำร่องเปิด 7-11 โฉมใหม่ ที่ไม่ต้องมีพนักงาน ไม่ต้องใช้เงินสด, บัตร หรือแม้กระทั่ง E-Payment เพื่อชำระเงิน ใช้แค่ฝ่ามือเท่านั้น



ร้านสะดวกซื้อโฉมใหม่นี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง Lotte Card, Lotte Data Communication และ 7-11 เปิดให้บริการ 7-11 ในแบบ “Smart Convenience Store” แห่งแรกภายใน Lotte World Tower ประเทศเกาหลีใต้ โดยภายในร้านมีระบบการชำระเงินแบบใหม่ด้วย “BioPay” เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์สำหรับตรวจสอบลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้ด้วยฝ่ามือ เรียกว่า “HandPay” โดยไม่ต้องพึ่งเงินสด, บัตรเครดิต หรือระบบ E-Payment ผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งการใช้ฝ่ามือสำหรับการชำระค่าสินค้าและบริการ ลูกค้าจำเป็นต้องลงทะเบียนเชื่อมโยงข้อมูลกับ Lotte Card เพื่อใช้ในการระบุตัวตนเมื่อเข้ามาภายใน 7-11 ไปจนถึงการชำระค่าสินค้าและบริการ
เทคโนโลยีอื่นๆ ภายในร้านยังประกอบไปด้วย เครื่องสแกนสินค้าแบบ 360 องศา เพื่อระบุราคา, เซนเซอร์สำหรับเปิดตู้แช่อัตโนมัติเมื่อลูกค้าอยู่ใกล้, มีเทคโนโลยีสแกนหลอดเลือดในกรณีจำหน่ายบุหรี่ เพื่อเป็นการป้องกันเยาวชนที่จะเข้ามาซื้อบุหรี่ และ Smart CCTV ที่ช่วยป้องกันความปลอดภัยระดับพิเศษ

สำหรับเทคโนโลยีภายใน 7-11 โฉมใหม่ ดำเนินการด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่ง Jung Seung-in ประธานของ Korea Seven เปิดเผยว่า 7-Eleven Signature นับเป็นร้านสะดวกซื้อระดับพรีเมียมที่ใช้ระบบไอทีอันทันสมัย เป็นการตอบโจทย์ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และจะเป็นสัญลักษณ์ด้านนวัตกรรมการจำหน่ายสินค้าของเกาหลีใต้

ที่มา: ARiP

กูเกิลแถลงความสำเร็จ AMP มีเว็บเพจใช้งานแล้ว 2 พันล้านเพจ, โหลดเร็วขึ้น 2 เท่า

กูเกิลแถลงความสำเร็จของโครงการ AMP ว่ามีเว็บเพจที่ใช้งาน AMP แล้วเกิน 2 พันล้านเพจ ถ้าคิดตามจำนวนโดเมนคือ 900,000 โดเมน

กูเกิลยังประกาศรายชื่อพันธมิตรร่วมใช้งาน AMP อีกมาก ฝั่งเอเชียมี Tencent Qzone, Weibo, Aliexpress, Rakuten และเว็บสายอีคอมเมิร์ซอีกหลายรายทั่วโลกก็เริ่มใช้ AMP กันแล้ว

นอกจากนี้ กูเกิลยังประกาศความสำเร็จในเชิงเทคนิคว่า การเรียกเพจ AMP จากหน้า Google Search เร็วกว่าการเรียกเพจ HTML ปกติถึง 2 เท่า ด้วยเทคนิคหลายอย่าง เช่น Google AMP Cache, การเรนเดอร์เพจไว้ล่วงหน้าที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์, เทคนิคการลดขนาดไฟล์ และอัลกอริทึมการบีบอัดแบบใหม่ Brotli
ที่มา: Blognone