วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Alibaba ประกาศซื้อหุ้น Lazada เพิ่มอีกมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 83%

Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน ประกาศลงทุนใน Lazada จากเดิมที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่แล้ว โดยลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มีจำนวนหุ้นจากเดิม 51% เป็น 83% โดยเป็นไปตามยุทธศาสตร์เสริมความแข็งแกร่งในการลงทุนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ Alibaba จะใช้วิธีซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม โดยให้มูลค่ากิจการของ Lazada ที่ราว 3,150 ล้านดอลลาร์ ทำให้เงินลงทุนของ Alibaba ใน Lazada รวมเป็น 2 พันล้านดอลลาร์ (ปีที่แล้วซื้อหุ้นไป 1 พันล้านดอลลาร์)

Alibaba ระบุว่า ปัจจุบันประเทศที่ Lazada ดำเนินงานอยู่คือ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม มีการซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์เพียง 3% ทำให้มีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ธ.กรุงเทพเปิดตัวโครงการ Bangkok Bank InnoHub พร้อมสตาร์ทอัพ 8 ทีม คัดจาก 32 ประเทศทั่วโลก

ถนนทุกสายมุ่งสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้เราจะเห็นว่า KBank เปิดตัว Beacon Venture Capital เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพ ตามด้วย SCG ที่ตั้งบริษัท AddVentures เพื่อลงทุนทั่วโลกเช่นกัน ล่าสุดธนาคารกรุงเทพก็เริ่มมารันโครงการสนับสนุนบ้างแล้ว

โดยธนาคารกรุงเทพร่วมกับ เนสท์ พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการลงทุนชั้นนำระดับโลก เปิดตัวโครงการ “Bangkok Bank InnoHub” ค้นหาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพกลุ่มฟินเทคระดับเวิล์ดคลาส ภายใต้แนวคิดหลัก Inspiring Change

Bangkok Bank InnoHub คือโครงการบ่มเพาะ อบรม และพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ หลักสูตรเข้มข้น ระยะเวลา 12 สัปดาห์ เป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรม ด้วยความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงเทพ บัวหลวง เวนเจอร์ส และเนสท์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่


ภาพจากเว็บไซต์ Bangkok Bank InnoHub
  • ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสม
  • สามารถกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
  • จัดหาทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมการเติบโต อาทิ เงินทุน พนักงาน
  • ช่วยเหลือด้านข้อมูลความรู้ ที่ปรึกษา และจัดหาแหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ
โครงการ Bangkok Bank InnoHub ได้เปิดรับผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งไทยและนานาชาติที่เป็นบริษัทจดทะเบียน โดยธนาคารกรุงเทพสนใจกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงิน 3 ด้าน
  • ด้านการชำระเงิน (Payment)
  • การพิสูจน์ตัวตนทางอิเล็กทรนิกส์ (e-KYC)
  • นวัตกรรมใหม่ที่จะนำมาพัฒนาในการบริการลูกค้า เช่น AI และ Machine Learning
บริษัทที่สมัครนั้นได้รับการพิจารณาจากธนาคารกรุงเทพ บัวหลวงเวนเจอ์ และเนสท์ โดยบริษัทสตาร์ทอัพที่ถูกคณะกรรมการคัดเลือก จำนวน 8 ทีม


กลุ่มผู้บริหาร เมนเทอร์ที่เป็นพี่เลี้ยง พาร์ทเนอร์ และสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีม

คุณชาติศิริ โสภณพานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เผย Bangkok Bank InnoHub เป็นโครงการสำคัญที่เปิดรับสมัคร มีผู้เข้าร่วม 119 ทีมจาก 32 ประเทศทั่วโลก เพื่อตอบสนองนโยบายพัฒนา Thailand 4.0 เชื่อว่าโครงการนี้จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ต่อผู้ประกอบการ ลูกค้า และประเทศไทย เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพฟินเทคให้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ยิ่งขึ้น

มร.ลอร์เรนซ์ มอร์แกน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนสท์ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมทางการเงินมีความสำคัญยิ่ง โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จ จากการสนับสนุน 32 ประเทศทั่วโลก และสนับสนุนสภาพแวดล้อม (ecosystem) ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ดร.พนุกร จันทรประภาพ Vice President ฝ่ายการลงทุนธุรกิจ ธนาคารกรุงเทพ เผย โครงการ Bangkok Bank InnoHub เพื่อคัดหาผู้ประกอบกรทางการเงินหรือฟินเทค คณะกรรมการได้คัดเลือก กลั่นกรองเหลือ 8 ทีมสุดท้าย ทุกทีมกล้าคิด กล้าทำ โดยจะใช้เวลาอบรมทั้งสิ้น 12 สัปดาห์

อุตสาหกรรมฟินเทคจะเติบโตต่อไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ช่วยกันพัฒนา Ecosystem ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การดำเนินโครงการนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมฟินเทคก้าวต่อไปในอนาคต


กลุ่มสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีมเข้ารอบ

8 ทีมสุดท้ายที่เป็น Bluefin หรือสุดยอดปลาครีบน้ำเงิน

Wealth Management (สิงคโปร์)
  • Bambu
  • Bento
  • Canopy
Security
  • Covr Security (สวีเดน)
Blockchain
  • EVEREX (ไทย)
Lending
  • First Circle (ฟิลิปปินส์)
P2P Invoice Trading
  • Invoice Interchange (สิงคโปร์)
Mutual Fund Investment
  • FundRadars (ไทย)
ที่มา: Blognone

ครบรอบ 50 ปี ตู้เอทีเอ็มตู้แรกในโลก

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 1967 ธนาคาร Barclays ในอังกฤษเปิดบริการตู้เอทีเอ็มตู้แรกในโลกที่ธนาคารสาขา Enfield นับเป็นจุดเริ่มต้นของการให้บริการธนาคารโดยไม่ต้องใช้พนักงาน

ตู้เอทีเอ็มตู้แรกนี้ไม่ได้มีบัตรเอทีเอ็มเพื่อกดเงินแบบทุกวันนี้ แต่ต้องกดเงินจาก "เช็ค" ที่ออกแบบมาเฉพาะ มันถูกเสนอโดย John Shepherd-Barron ผู้จัดการบริษัทพิมพ์ธนบัตร De La Rue ที่รำคาญกับการที่ไม่สามารถขึ้นเงินจากเช็คได้ในวันเสาร์ Barclays ตกลงที่จะติดตั้งตู้เอทีเอ็มชุดแรก 6 ตู้ และต่อมาขยายเป็น 50 ตู้

Shepherd-Barron เสนอว่ารหัสสำหรับกดเงินควรมีความยาว 6 หลัก แต่เนื่องจากภรรยาของเขาจำรหัสเกินสี่หลักไม่ได้ เขาจึงยอมปรับเป็นสี่หลัก และคนทั่วโลกรวมถึงคนไทยก็ได้ใช้สี่หลักจนกระทั่งเพิ่งปรับเป็นบัตรชิปไม่นานมานี้

ตัว Shepherd-Barron ทำนายไว้ตั้งแต่ปี 2007 ก่อนเขาจะเสียชีวิตในปี 2010 ว่าสุดท้ายคนจะใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

New Surface Pro 2017 เตรียมวางจำหน่ายในไทยเร็วๆ นี้

เมื่อเร็วๆ นี้ ไมโครซอฟท์เพิ่งประกาศขยายตลาดสำหรับการวางจำหน่าย Surface Laptop และ New Surface Pro 2017 ในหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสสูงที่จะได้สัมผัสกับ New Surface Pro 2017 ในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน


สำหรับ Surface Laptop นอกจากวางจำหน่ายในสหรับอเมริกาแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร แต่ในตอนนี้ยังมีเพียงรุ่น Core i5 ที่วางจำหน่ายเท่านั้น ส่วนรุ่น Core i7 ต้องรอจนกว่าจะถึงช่วงซัมเมอร์ของต่างประเทศ เช่นเดียวกับสีที่วางจำหน่าย จะมีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่มีครบทั้ง 4 สี ซึ่งในหลายประเทศจะมีเพียงแค่บางสี อย่างน้อย 2 สีเท่านั้น

ขณะที่ New Surface Pro 2017 มีการเปิดในหลายประเทศนอกจากสหรัฐอเมริกา อาทิ ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, แคนาดา, จีน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน และอังกฤษ


ส่วนอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าประเทศไทยมีโอกาสสูงในการวางจำหน่าย New Surface Pro 2017 เนื่องจากตอนนี้หน้าเว็บไซต์ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย มีการแสดงคุณสมบัติต่างๆ เป็นเวอร์ชั่นภาษาไทยด้วย พร้อมกับข่าววงในที่แอบกระซิบมาว่าคนไทยเตรียมยลโฉมและเป็นเจ้าของได้แน่นอน

สำหรับ New Surface Pro 2017 ดีไซน์ยังแทบเหมือนเดิมกับ Surface Pro 4 มีการพัฒนา kickstand ให้สามารถพับได้มากถึง 165 องศา มากกว่า Surface Pro 4 ที่พับได้ 150 องศา หน้าจอทัชสกรีน PixelSense ขนาด 12.3 นิ้ว ใช้ซีพียู Intel 7th Gen Kaby Lake มีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Core m3-7Y30, Core i5-7300U (Core m3 กับ Core i5 ใช้กราฟิกการ์ด Intel HD graphics 620) และ Core i7-7660U (ใช้กราฟิกการ์ด Intel Iris Plus Graphics 640) ไม่มีพัดลมระบายความร้อน เพื่อให้การทำงานเงียบ แต่สามารถระบายความร้อนได้ดีที่สุด ขณะเดียวกันซีพียูที่ใช้ใน New Surface Pro ยังได้รับปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานให้ดียิ่งขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ช่วยสนับสนุนแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้นานถึง 13.5 ชั่วโมง ดีเพิ่มขึ้นถึง 50%

แรมมีให้เลือกตั้งแต่ 4GB / 8GB และ 16GB 1866MHz LPDDR3, หน่วยความจำ SSD มีตั้งแต่ 128GB / 256GB / 512GB และ 1TB, รองรับการใช้ซิมการ์ดหรือ eSIM สำหรับใช้งาน LTE, พอร์ตที่ให้มาด้วย ได้แก่ USB Type-A, Mini DisplayPort, Headset jack, Surface Connect และ microSDXC card reader ยังไม่เลือกใช้ USB Type-C

อุปกรณ์คู่ใจอย่าง Surface Pen มีการปรับปรุงใหม่เช่นกัน ตอบสนองต่อการสัมผัสบนหน้าจอทัชสกรีน PixelSense ได้ดีขึ้น รองรับแรงกดที่ระดับ 4,096 มากขึ้นจากรุ่นเดิมที่รองรับแรงกด 1,024 ขณะเดียวกัน New Surface Pro 2017 ยังรองรับ Surface Dial อุปกรณ์แบบเดียวที่ใช้ร่วมกับ Surface Studio ได้อีกด้วย

ส่วน Type Cover หรือคีย์บอร์ด มาพร้อมดีไซน์แบบ New Alcantara มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีแดง, สีม่วง, สีน้ำเงิน และสีดำ

ที่มา: ARiP

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Line เปิดตัว Champ ลำโพงอัจฉริยะสุดน่ารัก ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ Clova

เปิดตัวลำโพงอัจฉริยะ 3 รุ่น อาทิ Smart Speaker Wave, Face และ Champ ในงาน LINE Conference 2017 โดย Champ มาพร้อมดีไซน์จากคาแรคเตอร์ชื่อดังที่คุ้นเคย


AI นำเทรน หลังเผยโฉมระบบ AI ของตัวเองที่ชื่อ “Clova” ช่วงต้นปี ล่าสุดในงาน LINE Conference 2017 ก็ได้ประกาศเปิดตัวอุปกรณ์ที่รองรับ AI ดังกล่าวถึง 3 ตัว โดยหนึ่งในนั้น ที่ดูสะดุดตามากสุดคือ Wave ลำโพงอัจฉริยะสุดน่ารัก ที่ได้เอาดีไซน์จากคาแรคเตอร์ดังจาก Line มาออกแบบ


สำหรับตัว Clova (Cloud Virtual Assistant) เป็นปัญญาประดิษฐ์หรือ AI โดยจะคล้าย ๆ กับระบบผู้ช่วยอย่าง Siri, Google Assistant และ Alexa นี้เอง ส่วนความสามารถ ก็มีหลากหลายมาก (ดูรายละเอียดได้ที่นี้) หลักๆ คือ ศึกษาพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เพื่อทำการสนับสนุนอย่างเหมาะสมภายหลัง เชื่อมต่อบริการต่างๆ ของ LINE ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้สะดวกรวดเร็ว และพูดสื่อสารหรือสั่งงานด้วยเสียง เพื่อให้มันทำหน้าที่แทนเราได้บางบทบาท

อุปกรณ์ที่รองรับ Clova ที่ทาง Line เปิดตัวมา 3 รุ่น มีดังนี้


Champ ลำโพงอัจฉริยะ ที่ใช้ดีไซน์จาก 2 คาแรคเตอร์ที่ดังของ Line อย่าง Sally (น้องเป็ด) กับ Brown (เฮียหมี) โดยออกแบบให้พกพาได้ง่าย เพื่อใช้เป็นลำโพงไร้สาย หรือใช้เป็นลำโพงอัจฉริยะอย่าง สั่งงานด้วยเสียง กับ สอบถามข้อมูลหรือสิ่งที่ต้องทำเป็นต้น


Smart Speaker Wave เป็นลำโพงอัจฉริยะสำหรับตั้งอยู่บ้าน โดยความสามารถจะครอบคลุมยิ่งกว่ารุ่น Champ เยอะ เพราะสามารถเอาไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ อย่าง หลอดไฟ ตู้เย็น ทีวี แอร์ หรืออะไรก็ได้ ขอแค่ให้มันเป็น IoT จะได้สามารถสั่งงานระยะไกลได้เช่น ปิดไฟ เปิดทีวี เปิดแอร์รอ ฯลฯ นอกจากนี้ยังพูดคุยเพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พยากรณ์สภาพอากาศวันนี้ ข่าวเด่น รายการต้องทำ หรือสอบถามข้อมูลทั่วไป


Face ลำโพงอัจฉริยะตัวสุดท้าย ที่ได้เพิ่มหน้าจอแสดงผลให้สังเกตการทำงานได้ง่ายๆ แต่ยังไม่มีข้อมูลมากนัก เพราะกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา

สำหรับ Smart Speaker Wave จะมีจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ส่วน Champ จะเป็นช่วงฤดูหนาวครับ

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

โซนี่ทำหุ่นยนต์ของเล่นขนาดเล็ก จับคู่กับเลโก้และหุ่นยนต์กระดาษ


โซนี่ทำหุ่นยนต์ทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์หรือ Toio cube จับคู่กับตัวต่อเลโก้หรือกระดาษเปเปอร์คราฟอื่นๆ ให้เด็กๆ เล่นของเล่นเดิมที่มีได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น ตัวหุ่นยนต์กว้าง 1.25 นิ้ว สูง ไม่ถึง 1 นิ้ว มาพร้อมล้อเล็กเคลื่อนที่ไปมาได้

Toio ยังมาพร้อมระบบ Bluetooth ทำให้แต่ละตัวสามารถสื่อสารกันได้ และสามารถรับคำสั่งจากรีโมทคอนโทรลได้ด้วย ด้านบนของหุ่นยนต์ยังมีพื้นที่ให้สามารถวางตัวต่อเลโก้ หุ่นกระดาษหรือของเล่นน้ำหนักเบาอื่นๆ การสั่งการเคลื่อนไหวทำได้หลายแบบ เช่น เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ข้างหลัง เป็นวงกลม เป็นต้น ดูตัวอย่างการใช้งานได้จากวิดีโอด้านล่าง

ราคา Toio ชุดละ 30,000 เยน หรือประมาณ 275 ดอลลาร์ (9,200 บาทโดยประมาณ)


ที่มา: Blognone

ไมโครซอฟท์ร่วมเป็นสมาชิก Cloud Foundry แพลตฟอร์มสร้างแอพ PaaS บนคลาวด์

Cloud Foundry เป็นแพลตฟอร์มการพัฒนาแอพพลิเคชันแบบ PaaS บนคลาวด์ ที่ริเริ่มโดย VMware แต่ขยับเป็นโครงการโอเพนซอร์ส พร้อมตั้งมูลนิธิ Cloud Foundry Foundation มาดูแลแทนในปี 2014

ซอฟต์แวร์ของ Cloud Foundry เปรียบเป็นมิดเดิลแวร์ให้พัฒนาแอพพลิเคชันบนคลาวด์ข้ามค่าย รองรับภาษาโปรแกรมมิ่งหลากหลาย (ช่วงแรกเน้น Ruby, Java, Go) และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาหลายตัว

ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศร่วมเป็นสมาชิก Cloud Foundry Foundation พร้อมขนผลิตภัณฑ์ในเครือมาร่วมด้วยมากมาย
  • Azure Cloud Shell ระบบคอมมานด์ไลน์ของ Azure รองรับคำสั่งของ Cloud Foundry
  • Visual Studio Team Services ออกปลั๊กอินสำหรับ Cloud Foundry
  • Azure Cloud Provider Interface (Azure CPI), Azure Meta Service Broker, Microsoft Operations Management Suite Log Analytics รองรับแอพพลิเคชัน Cloud Foundry
ท่าทีของไมโครซอฟท์ในช่วงหลังชัดเจนว่า ต้องการกระจายไปยังโครงการโอเพนซอร์สใหญ่ๆ ทุกโครงการ อย่างในปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ก็ร่วมเป็นสมาชิก Linux Foundation ที่สร้างเสียงฮือฮาอย่างมาก

แผนผังสถาปัตยกรรม Cloud Foundry


ที่มา: Blognone

Firefox 54 ออกแล้ว เริ่มแยกโพรเซสของแท็บ (สักที) คุยว่าเป็นเบราว์เซอร์กินแรมน้อยที่สุด

Mozilla ออก Firefox 54 ของใหม่ที่สำคัญคือการแยกโพรเซสของแท็บออกจากกันแล้ว

การเปลี่ยนแปลงของ Firefox 54 เป็นผลจากโครงการ Electrolysis (e10s) ที่ทำกันมายาวนาน และเริ่มต้นใน Firefox 48 ที่แยกโพรเซสของเบราว์เซอร์กับเว็บเพจออกจากกัน คราวนี้ถึงเวลาดำเนินตามแผนขั้นที่สองคือ แยกโพรเซสของแต่ละเว็บเพจออกจากกัน โดย Firefox ยังกำหนดไว้สูงสุดที่ 4 โพรเซส

ผลคือประสิทธิภาพของ Firefox จะดีขึ้นมาก เพราะเว็บเพจที่โหลดหนักๆ จะไม่ดึงทรัพยากรจากเว็บเพจอื่น ใครที่ทนกับปัญหา Firefox อืดตอบสนองล่าช้ามานาน น่าจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

Mozilla ยังประกาศว่า Firefox เป็นเบราว์เซอร์ที่ใช้แรมน้อยที่สุดบนทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นบนวินโดวส์ แมค หรือลินุกซ์ก็ตาม (Chrome ยังเป็นแชมป์กินแรมเยอะเช่นเดิม)
ของใหม่อย่างอื่นใน Firefox 54 คือปรับหน้าตาของปุ่มดาวน์โหลดและแถบแสดงสถานะดาวน์โหลด, รองรับ locale ภาษาพม่า

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สู่สังคมลดบัตรพลาสติก KT เปิดตัว CLiP CARD รวมบัตรเครดิตและบัตรเงินสดไว้ในใบเดียว

KT เปิดตัวบัตร CLiP CARD สมาร์ตการ์ดสำหรับจ่ายเงินที่สามารถรวมเอาบัตรเครดิตและบัตรเงินสด 21 ใบไว้ในบัตรเดียวกัน
ตัวบัตรมีหน้าจอ 1.3 นิ้วสามารถใช้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นผ่านบาร์โค้ดได้ ส่วนการเก็บข้อมูล สามารถเก็บข้อมูลบัตรสะสมแต้มได้ 10 ใบ, บัตรเงินจ่ายค่าโดยสารสาธารณะได้ 1 ใบ, และข้อมูลบัตรเครดิตได้อีก 10 ใบ รวมทั้งหมดสามารถใช้แทนบัตรได้ 21 ใบ ตัวบัตรจะถามรหัสผ่านก่อนการใช้งานเพิ่มความปลอดภัยในกรณีที่ทำบัตรสูญหาย

ตัวบัตรมีแบตเตอรี่ในตัว แต่สามารถใช้งานได้นาน 3-4 สัปดาห์ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง

ทาง KT ระบุว่ากลุ่มเป้าหมายคือคนทำงานอายุ 30-40 ปีที่ไม่ต้องการพกบัตรจำนวนมาก เป้าหมายรองลงมาคือกลุ่มผู้หญิงอายุ 20 ปลายๆ อีกกลุ่มที่ไม่ชอบพกบัตรอีกเช่นกัน ตัวบัตรขายให้กับลูกค้าที่ได้รับอนุมัติบัตรเครดิตแล้ว โดยราคาปลีกอยู่ที่ 108,000 วอน (ประมาณ 3,250 บาท) หากมียอดค่าใช้จ่ายครบ 100,000 วอนก็จะได้รับเงินคืน ทำให้ลูกค้าเข้าถึงตัวบัตรได้ง่ายขึ้น

แม้ว่าตัวบัตรจะเก็บข้อมูลได้ถึง 21 บัตร แต่ตอนนี้ผู้ออกบัตรที่ตกลงขาย CLiP CARD แล้วมีสามบริษัทได้แก่ BC Card, Lotte Card, และ Hana Card Service คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ใช้รวม 300,000 คนและขยายไปถึงสองล้านคนในปี 2020

ที่มา: Blognone

Bitcoin ไม่เหมาะสำหรับทุกคน: ข้อควรระวังกับการลงทุน Bitcoin และสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ

ช่วงสามเดือนที่ผ่านมาเงินสกุลดิจิตอลจำนวนมากโดยเฉพาะ Bitcoin (บิตคอยน์) และ Ethereum ผมเองแม้จะเขียนบทความเรื่องเงินดิจิตอลเหล่านี้มาหลายบทความ แต่มักเขียนในจากมุมมองวิศวกรรมเป็นหลัก นับแต่การออกแบบของ Satoshi Nakamoto (ที่ไม่มีใครรู้ว่าตัวจริงเป็นใคร) สกุลเงินดิจิตอลเหล่านี้ผ่านการพิสูจน์ว่ามันสามารถรองรับธุรกรรมทางการเงินมูลค่าสูง มีการเปลี่ยนมือวันละนับล้านบาทได้อย่างแม่นยำ

อย่างไรก็ดีความสนใจของคนในวงกว้างในช่วงหลังจากที่บิตคอยน์มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บทความที่ผมเขียนไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วถูกเผยแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง (ดีแล้วนะครับ ก่อนจะเล่นอย่างน้อยก็พยายามรู้สักหน่อยว่ามันคืออะไร) ผมคิดว่าควรเตือนถึงข้อจำกัดสำหรับคนทั่วไปที่คิดจะลงทุนในบิตคอยน์สักหน่อย


1.ชื่อ "Bitcoin" ไม่มีการควบคุมจริงจัง

ตัวบิตคอยน์ต่างจากการเงินหรือธนาคารต่างๆ ที่มักมีองค์กรควบคุมอย่างจริงจังและเข้มแข็ง หากเราพิมพ์ธนบัตรเองและไปอ้างกับคนอื่นว่าเป็นเงินบาทจะมีโทษตามกฎหมาย แม้แต่ชื่อธนาคารต่างๆ หากเรานำชื่อธนาคารไปแอบอ้างก็ถูกดำเนินคดีได้เช่นกัน และมักมีการตรวจตราจากธนาคารอย่างจริงจังด้วยว่ามีคนนำชื่อไปทำเสียหายหรือไม่ แต่ชื่อบิตคอยน์กลับเป็นชื่อสาธารณะ ตัว Satoshi เองระบุชื่อนี้เอาไว้ในเอกสารการออกแบบ มีคนพยายามจดเครื่องหมายการค้ากันอยู่บ้าง แต่จนตอนนี้ยังไม่มีการควบคุมหรือการฟ้องร้ององค์กรใดจากความพยายามแอบอ้างบิตคอยน์

สำหรับคนทั่วไปที่อยากลงทุนบิตคอยน์คำถามแรกคงเป็นว่า "คุณได้ซื้อบิตคอยน์จริงๆ ไหม" สำหรับคนที่เข้าใจกระบวนการทางเทคนิคการพิสูจน์ว่าซื้อ Bitcoin สำเร็จทำได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจกระบวนการดาวน์โหลดฐานข้อมูล การสร้าง Wallet ฯลฯ การตรวจสอบว่าได้ซื้อเงินสำเร็จแล้วจริงหรือไม่อาจจะยากเกินไป การลงทุนที่ถูกชักชวนอาจจะเป็นเพียงการหลอกลวง

2.การสร้างเงิน "คอยน์" ใหม่ๆ ทำได้ไม่ยาก

สิ่งที่ตามมาจากการความนิยมในสกุลเงินดิจิตอล คือการสร้างเงินคอยน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทดลองทางวิศวกรรมหรือการลงทุน สิ่งที่ต้องเตือนคือการสร้างเงินคอยน์เหล่านี้ทำได้ง่ายอย่างยิ่ง ด้วยการรันซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ไม่ซับซ้อนนัก หลายโครงการมีดัดแปลงเงื่อนไขต่างๆ กันไป เช่น การออกแบบให้รองรับธุรกรรมได้มากขึ้นหากได้รับความนิยมสูงในอนาคต หรือการสร้างสัญญาที่ซับซ้อนได้ (Ethereum)

แต่ลำพังการสร้างเงินคอยน์ใหม่ๆ สามารถสร้างได้ในเวลาอันรวดเร็วหาก การลงทุนในเงินคอยน์ใหม่ๆ จึงควรทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและข้อจำกัดของเงินคอยน์เหล่านั้น รวมถึงมันเป็นระบบไร้ศูนย์กลางแบบเดียวกับบิตคอยน์จริงหรือไม่ หรือทีมพัฒนามีความเชี่ยวชาญจริงหรือไม่

3.บิตคอยน์โดนขโมยแล้วเอาคืนไม่ได้

ระบบการเงินไร้ศูนย์กลางเช่นบิตคอยน์ไม่มีหน่วยงานที่สามารถออกมาแสดงความรับผิดชอบได้เหมือนกับธนาคาร ที่แม้จะมีความผิดพลาดจนเงินถูกขโมยออกไปจากบัญชีได้บางกรณี ก็ยังมีหน่วยงานรับผิดชอบ รวมถึงมีหน่วยงานรัฐคุ้มครองเงินฝาก

ทุกวันนี้โดยตัวบิตคอยน์เองยังไม่มีรายงานการขโมยเงินไป แต่บริการรอบข้างเช่นศูนย์รับแลกเงินต่างๆ ตัวแอปที่ผู้พัฒนาไม่เชี่ยวชาญเพียงพอ รวมถึงความไม่เชี่ยวชาญของผู้ถือบิตคอยน์ก็ทำให้เงินถูกขโมยไปได้เรื่อยๆ กรณีคลาสสิกคือผู้ประกาศข่าว Bloomberg เผลอแสดงโค้ด QR ที่เป็นกุญแจสำหรับบัญชีเงินออกทีวี ทำให้เงินถูกขโมยไปในทันที

4.เงินคอยน์หายไปตลอดกาลได้

ระบบเงินไร้ศูนย์กลางเช่นบิตคอยน์ไม่เหมือนกับเงินฝากในธนาคาร ที่แม้เราจะทำสมุดบัญชีสูญหายไป เราก็สามารถแจ้งความและพิสูจน์ตัวตนเพื่อนำเงินกลับออกมาได้ เนื่องจากระบบเช่นบิตคอยน์ไม่มีหน่วยงานที่มาดูแลพิสูจน์ตัวตนของเจ้าของเงิน กุญแจบัญชีเงินฝากเป็นเพียงตัวเลขขนาดใหญ่ หากทำตัวเลขนี้หายไปเงินทั้งหมดก็จะหายไปตลอดกาล

รายงานบิตคอยน์ที่เคยหายไปมากที่สุดคือ 7,500 BTC มูลค่าปัจจุบันคือ 722 ล้านบาทและหากไม่สามารถหากุญแจลับกลับมาได้ก็ไม่สามารถนำเงินกลับมาได้อีกเลย

5.ค่าเงินผันผวน แต่ความยากในการขุดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

คนจำนวนหนึ่งอาจจะไม่ได้ลงทุนบิตคอยน์โดยการซื้อขาย แต่สนใจการขุดบิตคอยน์ด้วยการลงทุนคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ในแง่นี้ควรตระหนักว่าอัตราการแฮชของเงินดิจิตอลที่ได้รับความนิยมเช่นบิตคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แทบไม่มีช่วงเวลาที่ลดลงเลยในระยะยาว ต่างจากค่าเงินที่มีช่วงเวลาที่ซบเซาเป็นเวลานานๆ และเมื่อสกุลเงินได้รับความนิยมขึ้นมาอีกครั้ง อัตราการแฮชก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่คนอ่าน Blognone ควรตระหนัก (ถ้ายังไม่ได้ตระหนักมาก่อนหน้านี้) คือข่าวรายงานต่างๆ เกี่ยวกับบิตคอยน์ ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าบิตคอยน์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง เมื่อมูลค่าของมันสูงขึ้นเรื่อยๆ มีธุรกรรมจำนวนมากกระทำผ่านบิตคอยน์มากขึ้นเรื่อยๆ มันคงเป็นเรื่องที่เราต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงของมัน และความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ในอนาคต

ที่มา: Blognone