ถอดความลับ USB
USB หรือชื่อเต็ม Universal Serial Bus ถูกพัฒนา 1994
มีจุดประสงค์เพื่อให้คอมทุกเครื่องมีพอร์ตใช้เหมือนๆ กัน
เพื่อลดความวุ่นวายในการใช้งาน โดยฝั่งที่เสียบกับคอม หน้าตาจะเหลี่ยมๆ
เหมือนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แต่อีกฝั่ง จะแปลงเป็น USB แบบใด
ก็แล้วแต่การใช้งาน
Quote: แผงวงจรตัวตัวแรกที่รองรับการเสียบ USB คือเมนบอร์ดที่ผลิตโดย Intel ถูกสร้างขึ้นในปี 1995
- เริ่มต้นกันที่ USB 1.0 เริ่มใช้งานในปี 1996 ทำความเร็วสูงสุด 12 Megabit/s รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ USB Type A และ Type B
- USB 2.0 เริ่มใช้งานในปี 2001 ทำความเร็วการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 480 Megabit/s รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ USB Type A, Type B, Mini B (Port USB ที่ใช้ชาร์จในมือถือและ MP3 พกพายุคก่อน) และ Micro B
- USB 3.0 เริ่มใช้งานในปี 2011 ทำความเร็วส่งข้อมูลสูงสุดที่ 5 Gigabit/s (1 Gigabit = 1,000 Megabit) รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ USB Type A, Type B และ Micro B (ใช้ในโทรศัพท์ Android รุ่นหลังๆ และหัวที่เสียบกับ External Harddisk
- USB Lightning เริ่มต้นใช้งานในปี 2012 ทำความเร็วการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 500 Megabit/s รองรับการใช้งานแค่ Lightening สำหรับชาร์จใน iPhone และอุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple เท่านั้น
- USB 3.1 เริ่มในงานในปี 2014 ทำความเร็วส่งข้อมูลสูงสุดที่ 10 Gigabit/s รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ USB Type A, Type B, Type C
- USB 3.2 เริ่มใช้งานในปี 2017 ทำความเร็วส่งข้อมูลสูงสุดสที่ 20 Gigabit/s รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ Type C เท่านั้น และรองรับการใช้เทคโนโลยี Power delivery (PD) สำหรับมือถือที่ใช้งาน Fast Charge
- USB 4 เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่พึ่งเริ่มใช้งานในปี 2019 ทำความเร็วส่งข้อมูลสูงสุดที่ 40 Gigabit/s รองรับการใช้งานแค่พอร์ท USB Type C เท่านั้น (ทั้งสองหัวจะเป็นแค่ USB – C เท่านั้น)
อันล่างคือ USB – C เป็นมาตรฐานพอร์ต USB รุ่นล่าสุด
และคาดว่าจะใช้พอร์ตนี้ไปอีกนาน โดยล่าสุด Apple เปลี่ยนสายชาร์จจาก
Lightening มาใช้ Types C ใน iPad Pro แล้ว และคาดว่าในอนาคต
มือถือทุกรุ่นจะต้องใช้พอร์ต USB Types C หมด ตามกฎของยุโรป
ที่มา: techhub
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น