วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

รีวิว ASUS ZenBook UX430UQ อัลตร้าบุ๊กสุดบาง มาพร้อมจอใหญ่ในร่างเล็ก

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ASUS ประเทศไทยได้เปิดตัวแล็ปท็อปรุ่นใหม่หลายตัว หนึ่งในนั้นคือ ZenBook UX430UQ อัลตร้าบุ๊กรุ่นรองท็อป ซึ่ง ASUS ได้ส่งมาให้รีวิวด้วยครับ

 

ฮาร์ดแวร์


ASUS ZenBook UX430UQ จัดเป็นอัลตร้าบุ๊กที่มีสเปกค่อนข้างดี ดังนี้
  • ซีพียู Intel Core i7-7500U 2.7GHz บูสต์ได้ถึง 3.5GHz
  • การ์ดจอ NVIDIA GeForce 940MX แรม 2GB และ Intel HD Graphics 620
  • แรม 8GB DDR4
  • SSD จาก SanDisk รุ่น SD8SN8U512G1002 ขนาด 512GB (ไดรฟ์ C:\ เห็น 475GB)
  • หน้าจอแบบด้าน ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1920x1080 มีขอบเขตของสี (color gamut) 100% sRGB
  • ลำโพงสเตอริโอ แปะตรา Harman/Kardon
  • Windows 10 Single Language
  • น้ำหนัก 1.25 กิโลกรัม หนา 1.59 เซนติเมตร

จุดเด่นข้อหนึ่งของ ZenBook UX430UQ คือเป็นแล็ปท็อปขนาด 14 นิ้วในร่าง 13 นิ้ว ทำให้ตัวเครื่องไม่ใหญ่เทอะทะ ขนาดกำลังน่าพก ส่วนฝาหลังเป็นพลาสติกแบบเงา เก็บรอยนิ้วมือและสะท้อนแสงได้ดีมาก (นี่ข้อเสียนะ) ไม่แน่ใจว่าใช้ไปนานๆ แล้วจะมีรอยขนแมวมากน้อยแค่ไหน


คีย์บอร์ดเป็นแบบ full-size มีไฟส่องด้านใต้ ปรับความสว่างได้ 4 ระดับ (ปิด และเปิด 3 ระดับ) วางปุ่มแบบ chiclet การจัดเรียงปุ่มไม่มีอะไรแปลกประหลาด ตามสเปกระบุว่าระยะ key travel อยู่ที่ 1.4 มม. ซึ่งส่วนตัวผมว่าตื้นไปหน่อย แต่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าอยากใช้แล็ปท็อปแบบบางๆ ความรู้สึกตอนพิมพ์ไม่ค่อยหนักแน่น (firm) กดแล้วรู้สึกหลวมๆ ไปนิด เมื่อเทียบกับ Dell Latitude E7440 และ Lenovo ThinkPad X260 ที่ใช้อยู่

ส่วนปุ่ม Page Up, Page Down, Home, End ถูกย้ายไปรวมกับปุ่มลูกศร ซึ่งโปรแกรมเมอร์คงไม่ชอบใจนัก เพราะต้องกด Fn ก่อน


จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ ZenBook UX430UQ คือใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบทาบนิ้วเหมือนในสมาร์ทโฟน ไม่ต้องรูดนิ้วลงแบบแล็ปท็อปรุ่นเก่าๆ ผมลองแล้วทำงานเร็วมาก เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ปลดล็อกเข้าสู่หน้า desktop เลย ถือว่าสะดวกมาก

ส่วนทัชแพดก็ใช้งานได้ดี การลากนิ้วไม่มีหน่วง เคอร์เซอร์ติดนิ้วดีมาก คิดว่าเนียนได้พอๆ กับ MacBook แล้ว แต่ความลื่นของพื้นผิวยังลื่นไม่เท่า หากนิ้วมีน้ำมันก็จะติดๆ หน่อย


ส่วนหน้าจอขอบบาง ความละเอียด Full HD ให้สีที่ดูนุ่มนวล มุมมองกว้าง สีไม่ผิดเพี้ยนเวลามองจากมุมเอียงๆ


ใต้คีย์บอร์ดของ ZenBook UX430UQ มีโลโก้ Harman/Kardon แปะอยู่ ผมลองทดสอบดูหนังฟังเพลง พบว่าเสียงดีพอตัวเลยทีเดียว เปิดดังสุดก็ค่อนข้างดังมาก มีอาการลำโพงแตกนิดๆ เบสน้อยไปหน่อย ถือว่าเสียงดีสำหรับลำโพงแล็ปท็อป


ด้านซ้ายของเครื่องมีรูเสียบสายชาร์จ, พอร์ต USB 3.1 ขนาดเต็ม, Micro HDMI, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB 3.1 Type C


ผมไม่ทราบว่าพอร์ต USB Type C จ่ายไฟเท่าใด แต่ทดลองเสียบ Google Pixel เข้าไป พบว่าหน้าจอแสดงผลว่า Charging rapidly


ส่วนด้านขวาของเครื่องมีไฟ Power, ไฟแสดงสถานะการชาร์จ, ช่องเสียบการ์ด SD (เสียบแล้วท้ายการ์ดโผล่ออกมาเกินครึ่ง) และ USB 2.0 ขนาดเต็ม (ใช่ครับ ยังมี USB 2.0 อยู่อีก)


สุดท้ายในกล่องยังมีซองใส่โน้ตบุ๊กมาให้ด้วย แต่ในเว็บไซต์เขียนว่า Optional เลยไม่แน่ใจว่าตัววางขายจริงจะมีให้ด้วยหรือไม่

 

ประสิทธิภาพ


หลังสำรวจรอบๆ เครื่องไปแล้วก็มาดูด้านประสิทธิภาพกันบ้าง ผมได้ทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องด้วยโปรแกรม PCMark 8 Advanced Editon และ 3DMark

ในส่วนของ PCMark ได้ทดสอบมา 3 ชุดการทดสอบ แบบ Accelerated (เปิดใช้ OpenCL) ดังนี้

Creative Accelerated เป็นชุดการทดสอบที่โฟกัสด้านการทำงานแบบมืออาชีพ เช่นการตัดต่อรูปและวิดีโอ, วิดีโอแชท และมีการเล่นเกมนิดหน่อย ทำคะแนนได้ที่ 4,379 คะแนน

เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/pcm8/21386318


Storage ทดสอบความเร็วในการเขียน/อ่านข้อมูลของไดรฟ์ ได้ 4,897 คะแนน
เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/pcm8/21386357


Home Accelerated (Battery life) เป็นการทดสอบความอึดของแบตเตอรี่บนการใช้งานทั่วไป (หนักสุดน่าจะเป็นการเล่นเกมแบบไม่หนักมาก หรือ casual gaming) โดยผมเริ่มที่แบตเตอรี่ 100% แล้วชักปลั๊กออกตอนกดปุ่มเริ่มการทดสอบ รวมถึงตั้ง Power plan ของ Windows ไว้ที่ Balanced ความสว่างหน้าจอ 50% เปิดจอตลอดเวลา

การทดสอบหยุดเองเมื่อแบตเตอรี่ลดเหลือ 30% โดย ZenBook UX430UQ ทำเวลาออกมาได้ที่ 3 ชั่วโมง 53 นาที จึงอาจอนุมานได้ว่าหากไม่มีการเล่นเกมและการแต่งภาพ อาจใช้งานติดต่อกันได้ราว 5-6 ชั่วโมง (บนเว็บไซต์ของ ASUS เคลมว่าใช้ได้ 9 ชั่วโมง)

เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/pcm8/21386381


มาดูฝั่ง 3DMark กันบ้าง ผมทดสอบมาสองอันคือชุดทดสอบ Time Spy และ Sky Diver

อันแรก Time Spy ซึ่งซอฟต์แวร์บอกว่าเหมาะกับเครื่องนี้มากที่สุด ทำคะแนนได้ 517 คะแนน

เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/spy/2066811 


ต่อมาได้ลองทดสอบชุด Sky Diver ได้ 5,330 คะแนน ความร้อนเฉลี่ยของ CPU อยูู่ที่ 60-70 องศาเซลเซียส ส่วนของการ์ดจออยู่ที่ 75-80 องศาเซลเซียส

เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/3dm/21386629 


ผมยังได้ทดสอบความเร็วในการเขียน-อ่าน SSD ด้วยซอฟต์แวร์อีกสองตัว คือ AS SSD และ CrystalDiskMark ด้วย ซึ่งถือว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ตามนี้


จากนั้นก็ลองเล่นเกมจริงๆ กันบ้าง โดยผมได้ลองเล่น Battlefield 4 ในแผนที่ Golmud Railway ซึ่งเกมได้ตั้งค่ากราฟิกให้ที่ Medium ความละเอียด 1920 x 1080 พบว่ายังไม่ค่อยลื่นนัก ผมไม่ได้ใช้ซอฟต์แวร์แสดงผลเฟรมเรต แต่น่าจะอยู่ที่ราว 20-25 เฟรมต่อวินาทีครับ หากปรับ Low ถึงจะเล่นได้ลื่นเลย

 

ซอฟต์แวร์ที่ติดมากับเครื่อง


อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นปัญหาเรื้อรังกับผู้ใช้มายาวนาน คือซอฟต์แวร์ที่ผู้ผลิตใส่มากับเครื่องจากโรงงาน หรือ Bloatware นั่นเอง ซึ่ง bloatware ในเครื่องรุ่นนี้มีไม่มากนัก เท่าที่เห็นหลักๆ มี 2 ตัว คือ
  • ASUS Giftbox เป็นซอฟต์แวร์แนะนำให้เราติดตั้งซอฟต์แวร์ตัวอื่น
  • McAfee แอนตี้ไวรัสเวอร์ชันทดลอง 30 วัน
ผมพบว่า McAfee ทำตัวเรียกร้องความสนใจมากถึงมากที่สุด ระหว่างการใช้งานจะเด้งข้อความขึ้นมาให้เราซื้อไลเซนส์บ่อยครั้ง รวมถึงพยายามแจ้งเตือนสแกนไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา เพื่อบอกว่าฉันทำงานอยู่นะ ซึ่งปกติพวกนี้แอนตี้ไวรัสเจ้าอื่นก็ทำงานเงียบๆ อยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว


ASUS ควรพิจารณาการบันเดิล McAfee มาในเครื่อง เนื่องจากสร้างความรำคาญมากครับ

อย่างไรก็ตาม ใน Windows 10 Creators Update ได้มีฟีเจอร์ Fresh Start ที่จะติดตั้ง Windows ให้เราใหม่อัตโนมัติ พร้อมเคลียร์ซอฟต์แวร์ที่ติดมากับเครื่องทิ้งทั้งหมด แต่ยังเก็บไฟล์ส่วนตัวบางอย่างให้อยู่ ผมลองแล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก bloatware หายเรียบ แถมเราก็ไม่ต้องยุ่งยากเสียเวลาติดตั้ง Windows ใหม่เองเหมือนในอดีต


สรุป

ASUS ZenBook UX430UQ เป็นอัลตร้าบุ๊กที่ใช้งานได้ดีมากตัวหนึ่ง ไม่พบอาการอะไรแปลกๆ หรือปัญหาอะไร คีย์บอร์ดน่าจะทำได้ดีกว่านี้ (อันนี้แล้วแต่คน) หน้าจอแสดงผลสวยตามคำโฆษณา จะมีสิ่งที่สร้างความรำคาญอย่าง McAfee เท่านั้น ตัวเครื่องไม่กรอบแกรบ น้ำหนักเบาพกพาสะดวก ลำโพงเสียงดีมาก จำหน่ายที่ราคา 41,990 บาท

ข้อดี
  • บางเบา พกสะดวก
  • ตัวสแกนลายนิ้วมือทำงานเร็วมาก สะดวกกว่าแบบรูด
  • จอด้าน แสดงผลสวยงาม
  • ประสิทธิภาพอยู่ในระดับดี
  • ลำโพงเสียงดี
ข้อเสีย
  • ปุ่มคีย์บอร์ดตื้น
  • ฝาหลังแบบเงา น่าจะเป็นรอยง่าย
  • McAfee สร้างความรำคาญ
  • ใส่ USB 2.0 มาทำไมไม่รู้
  • อะแดปเตอร์เป็นแบบก้อนเสียบติดกับปลั๊ก ไม่ practical แถมขาปลั๊กพับไม่ได้ด้วย

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มาตรฐาน USB 3.2 เพิ่มอัตราส่งข้อมูลเป็นสองเท่า ที่ 10 Gbps แบบ 2 เลน

กลุ่ม USB 3.0 Promoter Group ที่มีสมาชิกอย่างแอปเปิล ไมโครซอฟท์ อินเทล ฯลฯ เตรียมออกสเปกของ USB 3.2 ที่พัฒนาต่อจาก USB 3.1

ของใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ ส่งข้อมูลได้แบบ multi-lane ในสายเคเบิลเส้นเดียว รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 10Gbps x2 เลน (สายเคเบิล USB-C รองรับอยู่แล้ว แต่มาตรฐานการส่งข้อมูลที่ต้นทาง-ปลายทาง ยังไม่รองรับจนกระทั่งเวอร์ชันนี้)

การส่งข้อมูลที่ 10Gbps จำเป็นต้องให้อุปกรณ์ทั้งสองฝั่งเป็น USB 3.2 และใช้สายเคเบิล USB-C ที่ผ่านการรับรอง SuperSpeed USB 10 Gbps ซึ่งเริ่มใช้ใน USB 3.1 Gen 2

เอกสารสเปก USB 3.2 จะเผยแพร่ต่อสาธารณะในงานประชุม USB Developer Days North America ในเดือนกันยายนนี้

ที่มา: Blognone

Facebook Messenger Platform ออกเวอร์ชัน 2.1 เพิ่มความสามารถ NLP ให้กับบ็อต

Facebook เปิดตัว Messenger Platform เวอร์ชัน 2.0 ในงาน f8 เมื่อเดือนเมษายน เพื่อเปิดให้องค์กรภายนอกเข้ามาเชื่อมต่อระบบกับ Messenger ผ่านแชทบ็อตได้


ล่าสุด Facebook ออก Messenger Platform เวอร์ชัน 2.1 ที่มีความสามารถมากขึ้นดังนี้
  • เพิ่มระบบประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) มาให้ในตัว (ก่อนหน้านี้ต้องทำเอง) มันสามารถแยกแยะคำง่ายๆ อย่าง hello, bye, thanks, ตัวเลขที่เป็นวันเวลา หมายเลขโทรศัพท์ ค่าเงิน รวมถึงชื่อสถานที่ได้
  • ระบบโอนถ่ายการแชท (handover) จากการคุยกับบ็อต ไปเป็นคุยกับคนแทน สำหรับการตอบคำถามลูกค้าที่ใช้บ็อตคุยไปก่อน แต่ถ้าต้องการอะไรที่ซับซ้อนก็เปลี่ยนมาเป็นใช้คนคุย
  • ปรับปรุงกระบวนการจ่ายเงินซื้อสินค้าผ่านการแชทให้ง่ายขึ้น กดปุ่ม Buy Now แล้วตัดบัตรเครดิตที่ผูกไว้กับ Facebook ได้ทันที แต่การจ่ายเงินยังใช้ได้เฉพาะในสหรัฐเท่านั้น
  • เพิ่มชนิดของปุ่ม Call to Action ในเพจของแบรนด์ สำหรับกดเพื่อคุยกับบ็อตใน Messenger ให้หลากหลายขึ้น ได้แก่ Shop Now, Get Support, Get Updates, Play Now, Get Started

ที่มา: Blognone

SAP เตรียมหยุดให้บริการ SAP HANA Developer Edition

SAP เตรียมยุติการให้บริการ SAP HANA Developer Edition ในวันที่ 15 กัันยายน 2017 โดยอินสแตนท์เดิมทั้งหมดจะยังคงใช้งานต่อได้แต่ทาง SAP จะไม่เปิดให้สร้างอินสแตนท์ใหม่แล้ว

SAP HANA Developer Edition เป็นเวอร์ชั่นที่เปิดให้นักพัฒนาได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาและทดลองพัฒนาแอพพลิเคชันบน SAP HANA โดยหลังจากนี้ทาง SAP แนะนำให้นักพัฒนาเปลี่ยนไปใช้งาน SAP HANA express edition (HXE) แทน ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งผ่าน SAP Cloud Platform ที่เป็นระบบเว็บ บนคลาวด์ของ Azure, AWS หรือ Google Cloud Platform รวมถึงเวอร์ชันสำหรับดาวน์โหลดมาติดตั้งบนเครื่อง


ที่มา: Blognone

Mercedes-Benz เตรียมเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้า Formula E ฤดูกาล 2019/2020

Mercedes-Benz ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี เตรียมจะเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้า Formula E ในฤดูกาลที่ 6 (ปี 2019/2020) หลังจากที่คู่แข่งคนสำคัญ BMW เพิ่งประกาศเข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ในฤดูกาล 2018/2019 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ทางเมอร์เซเดสยังเตรียมถอนตัวจากการแข่งขันรถยนต์รายการ DTM ซึ่งเป็นรายการที่ค่ายรถยนต์จากเยอรมนีใช้เป็นเวทีสำหรับทดสอบและพัฒนารถยนต์ของตัวเองมาตั้งแต่ปี 2000 หลังจบฤดูกาล 2018

การที่ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งหันมาทุ่มเทให้กับการพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังมุ่งหน้าไปทางนี้


ภาพประกอบจาก Formula E

Formula E เป็นการแข่งขันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบล้อเปิด (เหมือน Formula 1) ที่ทาง FIA จัดการแข่งขันขึ้นครั้งแรกในปี 2014 เพื่อกระตุ้นและยกระดับการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งในด้านเทคโนโลยีและการตลาด รูปแบบการแข่งขันจะเป็นการตระเวนแข่งแบบ Street circuit ไปตามหัวเมืองใหญ่ของโลก โดยขณะนี้กำลังแข่งขันกันอยู่ในฤดูกาลที่ 3 (2016/2017)

นอกจากเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังแล้ว แบตเตอรี่เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการแข่งขัน Formula E โดยในฤดูกาลที่ 5 จะไม่มีการเข้าไปเปลี่ยนรถแล้วเพราะคาดกว่าการชาร์จไฟ 1 ครั้งจะเพียงพอต่อการแข่งขันตลอดทั้งเรซ นอกจากนี้ทางคณะทำงานด้านเทคนิคกำลังศึกษาและเตรียมนำเสนอในเรื่องของ 'charge up' ที่จะให้รถเข้าไปหยุดชาร์จไฟคล้ายๆ กับการเติมน้ำมันของรถ Formula 1 ในอดีต ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาสถานีจ่ายไฟ

ถึงตรงนี้ มีโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ที่กำลังแข่งขันและจะเข้าร่วมแล้วถึง 7 ค่ายได้แก่ Mercedes, BMW, Audi, Renault, Jaguar, DS (Citroen), Mahindra และคาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีค่ายรถยนต์เช่น Porsche, Volvo หรืออื่นๆ เข้ามาร่วมแข่งขันเพิ่ม แม้ตอนนี้การแข่งขัน Formula E อาจจะยังไม่ใช่รายการที่ได้รับความนิยมมากนักเนื่องจากเสียงที่ค่อนข้างเงียบของเครื่องยนต์ไฟฟ้า แต่ Formula E ถือเป็นรายการที่เติบโตค่อนข้างเร็วและน่าจับตามองในอนาคต

ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

บริษัทผลิตอาหารรายใหญ่ใช้ AI จาก TensorFlow คัดแยกคุณภาพวัตถุดิบ

Kewpie Corporation ผู้ผลิตมายองเนส และเครื่องปรุงอาหาร ทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยในการคัดแยกวัตถุดิบที่ไม่ได้มาตรฐานออกไป โดยพัฒนา machine learning บน TensorFlow

Kewpie บอกว่า ในการผลิตสินค้า จำต้องแยกแยะวัตถุดิบเป็นจำนวนมหาศาลกว่า 400 ชนิด รวมแล้วประมาณวันละ 4-5 ตันต่อวัน งานคัดแยกจึงเป็นงานหนักและใช้เวลามาก กระบวนการผลิตทั้งหมดไปจมอยู่กับงานคัดแยกเหมือนคอขวด ทางบริษัทจึงทดลองใช้เทคโนโลยีทุ่นแรงอย่างปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแก้ปัญหา

ในการทดลอง บริษัทเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบที่ยากที่สุดชิ้นหนึ่ง คือมันฝรั่งหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า เนื่องจากเป็นส่วนประกอบในอาหารทารก จึงต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดทั้งในด้านความปลอดภัย ป้อนข้อมูลรูปภาพวัตถุดิบกว่า 18,000 ภาพลงบนแพลตฟอร์ม TensorFlow (ทั้งภาพวัตถุดิบที่ทั้งดีและแย่รวมกัน) เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้และแยกแยะส่วนดีกับส่วนบกพร่องออกจากกันได้ ผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ ปัญญาประดิษฐ์สามารถคัดแยกได้ผลดีและทำเวลาได้รวดเร็วตามที่บริษัทต้องการ


ทางบริษัทระบุในบล็อกว่า ต่อจากทดลองกับมันฝรั่งหั่นลูกเต๋าแล้ว จะนำปัญญาประดิษฐ์มาคัดแยกไข่ และธัญพืชอื่นๆ ด้วย ตั้งใจใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยงานเจ้าหน้าที่ในโรงงาน ไม่ได้นำมาใช้เพื่อแทนที่บุคลากร

ที่มา: Blognone

ไม่ต้องซื้อกุญแจแล้ว GitHub เปิดโครงการ Soft U2F ยืนยันตัวตนสองขั้นตอนบนแมคได้โดยไม่ต้องซื้อกุญแจจริง

โครงการ U2F ที่เริ่มมาจากกูเกิล มีความแข็งแกร่งสำคัญเมื่อเทียบกับการยืนยันตัวตนสองขั้นตอนอื่นคือมันช่วยลดความเสี่ยงจากการปลอมโดเมนได้เป็นอย่างดี แต่ข้อเสียสำคัญอีกเช่นกันคือมันต้องอาศัยกุญแจ USB ที่มีราคาตั้งแต่ 10 ดอลลาร์ขึ้นไป แม้ราคาจะไม่แพงนักแต่ก็อาจจะทำให้หลายคนตัดสินใจไม่ใช้งาน ตอนนี้ GitHub ก็เปิดโครงการ Soft U2F สำหรับแมคแล้ว

Soft U2F จะจำลองตัวเองเป็นอุปกรณ์ USB HID แบบเดียวกับกุญแจ U2F ทั่วไป ทำให้สามารถใช้งานได้กับ Chrome และ Opera ได้ทันที (เพราะเบราว์เซอร์นึกว่ามีกุญแจ USB อยู่) แม้ว่าจะเก็บข้อมูลกุญแจไว้ในคอมพิวเตอร์แต่ Soft U2F ก็อาศัย keychain ของ OS X ช่วยรักษาความลับให้

ในแง่ของความปลอดภัยเมื่อเทียบกับกุญแจ U2F ที่เป็นฮาร์ดแวร์จริงๆ ในกรณีล็อกอินแล้วหากมีมัลแวร์ในเครื่องก็อันตรายไม่ต่างกันเพราะมัลแวร์สามารถอ่านข้อมูลทั้งหมดไปได้ แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดของ Soft U2F มัลแวร์อาจจะขโมยกุญแจลับออกไปจาก keychain ทำให้สามารถล็อกอินได้จากที่อื่นแม้จะถอนมัลแวร์ออกจากเครื่องแล้วก็ตาม ขณะที่การขโมยกุญแจลับออกจากกุญแจแบบฮาร์ดแวร์ทำได้ยากกว่า

แม้จะอ่อนแอกว่า แต่ Soft U2F ก็ช่วยป้องกันอันตรายได้หลายกรณี ตั้งแต่ การตั้งรหัสไม่ปลอดภัย, ผู้ให้บริการเว็บทำรหัสรั่ว, หรือแม้แต่โดน phishing สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ต้องการซื้อฮาร์ดแวร์ Soft U2F ก็เพิ่มความปลอดภัยให้ได้

ตัวซอฟต์แวร์เปิดซอร์สโค้ดแบบสัญญาอนุญาต MIT และโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ GitHub Bug Bounty หากพบช่องโหว่แจ้งเพื่อรับเงินรางวัลได้


ที่มา: Blognone

Veritaseum แพลตฟอร์มระดมทุนผ่าน Ethereum ถูกแฮก ได้โทเค็น VERI ไป 300 ล้านบาท

Veritaseum แพลตฟอร์มระดมทุนผ่านเงินคอยน์ (initial coin offering - ICO) ถูกแฮกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้โทเค็น VERI ถูกโอนออกไปและแลกเปลี่ยนเป็น Ethereum ได้สำเร็จ รวมมูลค่า VERI ที่ถูกขโมยออกไป 8.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 300 ล้านบาท

โทเค็นถูกนำไปแลกเงินผ่าน EtherDelta เงินที่ได้เข้าบัญชี Ethereum สองบัญชี คือ 0x3fff90bF314673194c3A265Ed1c0aA68f59550C4 และ 0x17f96db403e2f8e0461f9d75e1f1a3a0caff3fb5

ทาง Veritaseum ระบุว่าปริมาณโทเค็นที่ถูกขโมยไปเป็นมูลค่าจำนวนน้อย คิดเป็น 0.07% ของ VERI ทั้งหมด โดยยังไม่ระบุช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ขโมยเงินแต่อย่างใด

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว CoidDash ICO ก็ถูกแฮกเว็บไซต์เพื่อเปลี่ยนหมายเลขบัญชี Ethereum ให้กลายเป็นของแฮกเกอร์ ระยะเวลาที่หมายเลขบัญชีถูกเปลี่ยนนานเพียงสามนาทีแต่แฮกเกอร์ก็ได้รับเงินไปถึง 7.8 ล้านดอลลาร์


ที่มา: Blognone

Surface Pro (2017) เปิดให้สั่งจองในไทยแล้ว เผยราคาเริ่มต้น 30,900 บาท

เผยราคาขาย Surface Pro (2017) เริ่มต้นที่ 30,900 บาท ถึง 101,900 บาท พร้อมเปิดให้สั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้ คาดจัดส่งตัวเครื่องกลางเดือนสิงหาคม


เปิดราคา หลัง เปิดตัวเมื่อเดือน พ.ค ที่ผ่านมา ในที่สุดทาง Microsoft ประเทศไทย ก็ประกาศราคา และเปิดให้สั่งจองในไทยแล้ว โดยผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่าง Banana , IT City , Lazada และ Power Buy ส่วนราคาอุปกรณ์เสริมอย่างปากกา (ที่ไม่แถมแล้ว….) กับคีย์บอร์ดก็มีราคาดังนี้

 

ราคา New Surface Pro 2017

  • New Surface Pro รุ่น Intel Core M /4GB DDR4 / SSD 128GB ราคา 30,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i5 /4GB DDR4 /SSD 128GB ราคา 38,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i5 /8GB DDR4 / SSD 256GB ราคา 49,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i7 /8GB DDR4 / SSD 256GB ราคา 59,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i7 /16GB DDR4 / SSD 512GB ราคา 82,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i7 /16GB DDR4 / SSD 1TB ราคา 101,900 บาท

 

ราคาอุปกรณ์เสริม

  • New Surface Pro Type Cover ราคา 5,190 บาท
  • New Surface Pro Signature Type Cover (Alcantara) ราคา 6,390 บาท
  • New Surface Pro Pen ราคา 3,900 บาท

New Surface Pro จะมีเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ตัวเครื่องคาดว่าจัดส่งภายในวันนี้เช่นกัน ส่วนวันวางจำหน่าย คาดเป็นเดือนพฤศจิกายนนี้ครับ หากใครสนใจ ไปสั่งจองกันได้ที่ Microsoft.com

ที่มา: ARiP

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Pokemon Go เริ่มปล่อยโปเกมอนในตำนาน เริ่มจาก Lugia และสามวิหกเทพจากภาคแรก

Niantic Labs ประกาศแผนการปล่อยโปเกมอนในตำนาน (Legendary Pokemon) ให้ผู้เล่นทั่วโลก หลังเริ่มปล่อยในงาน Pokemon Go Fest เมื่อคืนนี้

โปเกมอนในตำนานตัวแรกที่จะปล่อยออกมาคือ Lugia จากภาค Gold & Silver ซึ่งเป็นโปเกมอนชนิดบิน-พลังจิต (psychic/flying) และเปิดให้ผู้เล่นทุกคนมีโอกาสจับเท่าเทียมกัน

นอกจาก Lugia แล้ว ผู้เล่นสังกัดสีฟ้า Team Mystic ที่เป็นทีมชนะในงาน Pokemon Go Fest จะได้สิทธิจับโปเกมอนในตำนานตัวที่สอง Articuno วิหกน้ำแข็งจากเกมภาคแรก (Freezer ในชื่อญี่ปุ่น) ก่อนทีมอื่น จากนั้นอีกสักพักค่อยถึงคิวของสีเหลือง Team Instinct กับวิหกสายฟ้า Zapdos (Thunder ในภาคญี่ปุ่น) และทีมสีแดง Team Valor กับวิหกเพลิง Moltres (Fire ในชื่อญี่ปุ่น) ในลำดับต่อไป (จะประกาศข้อมูลอีกครั้ง)

สำหรับผู้ที่เล่นเกมในช่วงนี้ ยังจะได้ไอเทมแบบดับเบิลและลดระยะทางการเดินฟักไข่/เก็บบัดดี้ด้วย ช่วงเวลาแจกไอเทมนี้จะมีผลถึงวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม ตอน 7.00 น. ตามเวลาประเทศไทย


ที่มา: Blognone