วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

รีวิว ASUS ZenBook UX430UQ อัลตร้าบุ๊กสุดบาง มาพร้อมจอใหญ่ในร่างเล็ก

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ASUS ประเทศไทยได้เปิดตัวแล็ปท็อปรุ่นใหม่หลายตัว หนึ่งในนั้นคือ ZenBook UX430UQ อัลตร้าบุ๊กรุ่นรองท็อป ซึ่ง ASUS ได้ส่งมาให้รีวิวด้วยครับ

 

ฮาร์ดแวร์


ASUS ZenBook UX430UQ จัดเป็นอัลตร้าบุ๊กที่มีสเปกค่อนข้างดี ดังนี้
  • ซีพียู Intel Core i7-7500U 2.7GHz บูสต์ได้ถึง 3.5GHz
  • การ์ดจอ NVIDIA GeForce 940MX แรม 2GB และ Intel HD Graphics 620
  • แรม 8GB DDR4
  • SSD จาก SanDisk รุ่น SD8SN8U512G1002 ขนาด 512GB (ไดรฟ์ C:\ เห็น 475GB)
  • หน้าจอแบบด้าน ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1920x1080 มีขอบเขตของสี (color gamut) 100% sRGB
  • ลำโพงสเตอริโอ แปะตรา Harman/Kardon
  • Windows 10 Single Language
  • น้ำหนัก 1.25 กิโลกรัม หนา 1.59 เซนติเมตร

จุดเด่นข้อหนึ่งของ ZenBook UX430UQ คือเป็นแล็ปท็อปขนาด 14 นิ้วในร่าง 13 นิ้ว ทำให้ตัวเครื่องไม่ใหญ่เทอะทะ ขนาดกำลังน่าพก ส่วนฝาหลังเป็นพลาสติกแบบเงา เก็บรอยนิ้วมือและสะท้อนแสงได้ดีมาก (นี่ข้อเสียนะ) ไม่แน่ใจว่าใช้ไปนานๆ แล้วจะมีรอยขนแมวมากน้อยแค่ไหน


คีย์บอร์ดเป็นแบบ full-size มีไฟส่องด้านใต้ ปรับความสว่างได้ 4 ระดับ (ปิด และเปิด 3 ระดับ) วางปุ่มแบบ chiclet การจัดเรียงปุ่มไม่มีอะไรแปลกประหลาด ตามสเปกระบุว่าระยะ key travel อยู่ที่ 1.4 มม. ซึ่งส่วนตัวผมว่าตื้นไปหน่อย แต่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าอยากใช้แล็ปท็อปแบบบางๆ ความรู้สึกตอนพิมพ์ไม่ค่อยหนักแน่น (firm) กดแล้วรู้สึกหลวมๆ ไปนิด เมื่อเทียบกับ Dell Latitude E7440 และ Lenovo ThinkPad X260 ที่ใช้อยู่

ส่วนปุ่ม Page Up, Page Down, Home, End ถูกย้ายไปรวมกับปุ่มลูกศร ซึ่งโปรแกรมเมอร์คงไม่ชอบใจนัก เพราะต้องกด Fn ก่อน


จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ ZenBook UX430UQ คือใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบทาบนิ้วเหมือนในสมาร์ทโฟน ไม่ต้องรูดนิ้วลงแบบแล็ปท็อปรุ่นเก่าๆ ผมลองแล้วทำงานเร็วมาก เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ปลดล็อกเข้าสู่หน้า desktop เลย ถือว่าสะดวกมาก

ส่วนทัชแพดก็ใช้งานได้ดี การลากนิ้วไม่มีหน่วง เคอร์เซอร์ติดนิ้วดีมาก คิดว่าเนียนได้พอๆ กับ MacBook แล้ว แต่ความลื่นของพื้นผิวยังลื่นไม่เท่า หากนิ้วมีน้ำมันก็จะติดๆ หน่อย


ส่วนหน้าจอขอบบาง ความละเอียด Full HD ให้สีที่ดูนุ่มนวล มุมมองกว้าง สีไม่ผิดเพี้ยนเวลามองจากมุมเอียงๆ


ใต้คีย์บอร์ดของ ZenBook UX430UQ มีโลโก้ Harman/Kardon แปะอยู่ ผมลองทดสอบดูหนังฟังเพลง พบว่าเสียงดีพอตัวเลยทีเดียว เปิดดังสุดก็ค่อนข้างดังมาก มีอาการลำโพงแตกนิดๆ เบสน้อยไปหน่อย ถือว่าเสียงดีสำหรับลำโพงแล็ปท็อป


ด้านซ้ายของเครื่องมีรูเสียบสายชาร์จ, พอร์ต USB 3.1 ขนาดเต็ม, Micro HDMI, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB 3.1 Type C


ผมไม่ทราบว่าพอร์ต USB Type C จ่ายไฟเท่าใด แต่ทดลองเสียบ Google Pixel เข้าไป พบว่าหน้าจอแสดงผลว่า Charging rapidly


ส่วนด้านขวาของเครื่องมีไฟ Power, ไฟแสดงสถานะการชาร์จ, ช่องเสียบการ์ด SD (เสียบแล้วท้ายการ์ดโผล่ออกมาเกินครึ่ง) และ USB 2.0 ขนาดเต็ม (ใช่ครับ ยังมี USB 2.0 อยู่อีก)


สุดท้ายในกล่องยังมีซองใส่โน้ตบุ๊กมาให้ด้วย แต่ในเว็บไซต์เขียนว่า Optional เลยไม่แน่ใจว่าตัววางขายจริงจะมีให้ด้วยหรือไม่

 

ประสิทธิภาพ


หลังสำรวจรอบๆ เครื่องไปแล้วก็มาดูด้านประสิทธิภาพกันบ้าง ผมได้ทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องด้วยโปรแกรม PCMark 8 Advanced Editon และ 3DMark

ในส่วนของ PCMark ได้ทดสอบมา 3 ชุดการทดสอบ แบบ Accelerated (เปิดใช้ OpenCL) ดังนี้

Creative Accelerated เป็นชุดการทดสอบที่โฟกัสด้านการทำงานแบบมืออาชีพ เช่นการตัดต่อรูปและวิดีโอ, วิดีโอแชท และมีการเล่นเกมนิดหน่อย ทำคะแนนได้ที่ 4,379 คะแนน

เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/pcm8/21386318


Storage ทดสอบความเร็วในการเขียน/อ่านข้อมูลของไดรฟ์ ได้ 4,897 คะแนน
เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/pcm8/21386357


Home Accelerated (Battery life) เป็นการทดสอบความอึดของแบตเตอรี่บนการใช้งานทั่วไป (หนักสุดน่าจะเป็นการเล่นเกมแบบไม่หนักมาก หรือ casual gaming) โดยผมเริ่มที่แบตเตอรี่ 100% แล้วชักปลั๊กออกตอนกดปุ่มเริ่มการทดสอบ รวมถึงตั้ง Power plan ของ Windows ไว้ที่ Balanced ความสว่างหน้าจอ 50% เปิดจอตลอดเวลา

การทดสอบหยุดเองเมื่อแบตเตอรี่ลดเหลือ 30% โดย ZenBook UX430UQ ทำเวลาออกมาได้ที่ 3 ชั่วโมง 53 นาที จึงอาจอนุมานได้ว่าหากไม่มีการเล่นเกมและการแต่งภาพ อาจใช้งานติดต่อกันได้ราว 5-6 ชั่วโมง (บนเว็บไซต์ของ ASUS เคลมว่าใช้ได้ 9 ชั่วโมง)

เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/pcm8/21386381


มาดูฝั่ง 3DMark กันบ้าง ผมทดสอบมาสองอันคือชุดทดสอบ Time Spy และ Sky Diver

อันแรก Time Spy ซึ่งซอฟต์แวร์บอกว่าเหมาะกับเครื่องนี้มากที่สุด ทำคะแนนได้ 517 คะแนน

เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/spy/2066811 


ต่อมาได้ลองทดสอบชุด Sky Diver ได้ 5,330 คะแนน ความร้อนเฉลี่ยของ CPU อยูู่ที่ 60-70 องศาเซลเซียส ส่วนของการ์ดจออยู่ที่ 75-80 องศาเซลเซียส

เข้าไปดูรายละเอียดคะแนนได้ที่ http://www.3dmark.com/3dm/21386629 


ผมยังได้ทดสอบความเร็วในการเขียน-อ่าน SSD ด้วยซอฟต์แวร์อีกสองตัว คือ AS SSD และ CrystalDiskMark ด้วย ซึ่งถือว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ตามนี้


จากนั้นก็ลองเล่นเกมจริงๆ กันบ้าง โดยผมได้ลองเล่น Battlefield 4 ในแผนที่ Golmud Railway ซึ่งเกมได้ตั้งค่ากราฟิกให้ที่ Medium ความละเอียด 1920 x 1080 พบว่ายังไม่ค่อยลื่นนัก ผมไม่ได้ใช้ซอฟต์แวร์แสดงผลเฟรมเรต แต่น่าจะอยู่ที่ราว 20-25 เฟรมต่อวินาทีครับ หากปรับ Low ถึงจะเล่นได้ลื่นเลย

 

ซอฟต์แวร์ที่ติดมากับเครื่อง


อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นปัญหาเรื้อรังกับผู้ใช้มายาวนาน คือซอฟต์แวร์ที่ผู้ผลิตใส่มากับเครื่องจากโรงงาน หรือ Bloatware นั่นเอง ซึ่ง bloatware ในเครื่องรุ่นนี้มีไม่มากนัก เท่าที่เห็นหลักๆ มี 2 ตัว คือ
  • ASUS Giftbox เป็นซอฟต์แวร์แนะนำให้เราติดตั้งซอฟต์แวร์ตัวอื่น
  • McAfee แอนตี้ไวรัสเวอร์ชันทดลอง 30 วัน
ผมพบว่า McAfee ทำตัวเรียกร้องความสนใจมากถึงมากที่สุด ระหว่างการใช้งานจะเด้งข้อความขึ้นมาให้เราซื้อไลเซนส์บ่อยครั้ง รวมถึงพยายามแจ้งเตือนสแกนไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา เพื่อบอกว่าฉันทำงานอยู่นะ ซึ่งปกติพวกนี้แอนตี้ไวรัสเจ้าอื่นก็ทำงานเงียบๆ อยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว


ASUS ควรพิจารณาการบันเดิล McAfee มาในเครื่อง เนื่องจากสร้างความรำคาญมากครับ

อย่างไรก็ตาม ใน Windows 10 Creators Update ได้มีฟีเจอร์ Fresh Start ที่จะติดตั้ง Windows ให้เราใหม่อัตโนมัติ พร้อมเคลียร์ซอฟต์แวร์ที่ติดมากับเครื่องทิ้งทั้งหมด แต่ยังเก็บไฟล์ส่วนตัวบางอย่างให้อยู่ ผมลองแล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก bloatware หายเรียบ แถมเราก็ไม่ต้องยุ่งยากเสียเวลาติดตั้ง Windows ใหม่เองเหมือนในอดีต


สรุป

ASUS ZenBook UX430UQ เป็นอัลตร้าบุ๊กที่ใช้งานได้ดีมากตัวหนึ่ง ไม่พบอาการอะไรแปลกๆ หรือปัญหาอะไร คีย์บอร์ดน่าจะทำได้ดีกว่านี้ (อันนี้แล้วแต่คน) หน้าจอแสดงผลสวยตามคำโฆษณา จะมีสิ่งที่สร้างความรำคาญอย่าง McAfee เท่านั้น ตัวเครื่องไม่กรอบแกรบ น้ำหนักเบาพกพาสะดวก ลำโพงเสียงดีมาก จำหน่ายที่ราคา 41,990 บาท

ข้อดี
  • บางเบา พกสะดวก
  • ตัวสแกนลายนิ้วมือทำงานเร็วมาก สะดวกกว่าแบบรูด
  • จอด้าน แสดงผลสวยงาม
  • ประสิทธิภาพอยู่ในระดับดี
  • ลำโพงเสียงดี
ข้อเสีย
  • ปุ่มคีย์บอร์ดตื้น
  • ฝาหลังแบบเงา น่าจะเป็นรอยง่าย
  • McAfee สร้างความรำคาญ
  • ใส่ USB 2.0 มาทำไมไม่รู้
  • อะแดปเตอร์เป็นแบบก้อนเสียบติดกับปลั๊ก ไม่ practical แถมขาปลั๊กพับไม่ได้ด้วย

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มาตรฐาน USB 3.2 เพิ่มอัตราส่งข้อมูลเป็นสองเท่า ที่ 10 Gbps แบบ 2 เลน

กลุ่ม USB 3.0 Promoter Group ที่มีสมาชิกอย่างแอปเปิล ไมโครซอฟท์ อินเทล ฯลฯ เตรียมออกสเปกของ USB 3.2 ที่พัฒนาต่อจาก USB 3.1

ของใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ ส่งข้อมูลได้แบบ multi-lane ในสายเคเบิลเส้นเดียว รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 10Gbps x2 เลน (สายเคเบิล USB-C รองรับอยู่แล้ว แต่มาตรฐานการส่งข้อมูลที่ต้นทาง-ปลายทาง ยังไม่รองรับจนกระทั่งเวอร์ชันนี้)

การส่งข้อมูลที่ 10Gbps จำเป็นต้องให้อุปกรณ์ทั้งสองฝั่งเป็น USB 3.2 และใช้สายเคเบิล USB-C ที่ผ่านการรับรอง SuperSpeed USB 10 Gbps ซึ่งเริ่มใช้ใน USB 3.1 Gen 2

เอกสารสเปก USB 3.2 จะเผยแพร่ต่อสาธารณะในงานประชุม USB Developer Days North America ในเดือนกันยายนนี้

ที่มา: Blognone

Facebook Messenger Platform ออกเวอร์ชัน 2.1 เพิ่มความสามารถ NLP ให้กับบ็อต

Facebook เปิดตัว Messenger Platform เวอร์ชัน 2.0 ในงาน f8 เมื่อเดือนเมษายน เพื่อเปิดให้องค์กรภายนอกเข้ามาเชื่อมต่อระบบกับ Messenger ผ่านแชทบ็อตได้


ล่าสุด Facebook ออก Messenger Platform เวอร์ชัน 2.1 ที่มีความสามารถมากขึ้นดังนี้
  • เพิ่มระบบประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) มาให้ในตัว (ก่อนหน้านี้ต้องทำเอง) มันสามารถแยกแยะคำง่ายๆ อย่าง hello, bye, thanks, ตัวเลขที่เป็นวันเวลา หมายเลขโทรศัพท์ ค่าเงิน รวมถึงชื่อสถานที่ได้
  • ระบบโอนถ่ายการแชท (handover) จากการคุยกับบ็อต ไปเป็นคุยกับคนแทน สำหรับการตอบคำถามลูกค้าที่ใช้บ็อตคุยไปก่อน แต่ถ้าต้องการอะไรที่ซับซ้อนก็เปลี่ยนมาเป็นใช้คนคุย
  • ปรับปรุงกระบวนการจ่ายเงินซื้อสินค้าผ่านการแชทให้ง่ายขึ้น กดปุ่ม Buy Now แล้วตัดบัตรเครดิตที่ผูกไว้กับ Facebook ได้ทันที แต่การจ่ายเงินยังใช้ได้เฉพาะในสหรัฐเท่านั้น
  • เพิ่มชนิดของปุ่ม Call to Action ในเพจของแบรนด์ สำหรับกดเพื่อคุยกับบ็อตใน Messenger ให้หลากหลายขึ้น ได้แก่ Shop Now, Get Support, Get Updates, Play Now, Get Started

ที่มา: Blognone

SAP เตรียมหยุดให้บริการ SAP HANA Developer Edition

SAP เตรียมยุติการให้บริการ SAP HANA Developer Edition ในวันที่ 15 กัันยายน 2017 โดยอินสแตนท์เดิมทั้งหมดจะยังคงใช้งานต่อได้แต่ทาง SAP จะไม่เปิดให้สร้างอินสแตนท์ใหม่แล้ว

SAP HANA Developer Edition เป็นเวอร์ชั่นที่เปิดให้นักพัฒนาได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาและทดลองพัฒนาแอพพลิเคชันบน SAP HANA โดยหลังจากนี้ทาง SAP แนะนำให้นักพัฒนาเปลี่ยนไปใช้งาน SAP HANA express edition (HXE) แทน ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งผ่าน SAP Cloud Platform ที่เป็นระบบเว็บ บนคลาวด์ของ Azure, AWS หรือ Google Cloud Platform รวมถึงเวอร์ชันสำหรับดาวน์โหลดมาติดตั้งบนเครื่อง


ที่มา: Blognone

Mercedes-Benz เตรียมเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้า Formula E ฤดูกาล 2019/2020

Mercedes-Benz ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี เตรียมจะเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้า Formula E ในฤดูกาลที่ 6 (ปี 2019/2020) หลังจากที่คู่แข่งคนสำคัญ BMW เพิ่งประกาศเข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ในฤดูกาล 2018/2019 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ทางเมอร์เซเดสยังเตรียมถอนตัวจากการแข่งขันรถยนต์รายการ DTM ซึ่งเป็นรายการที่ค่ายรถยนต์จากเยอรมนีใช้เป็นเวทีสำหรับทดสอบและพัฒนารถยนต์ของตัวเองมาตั้งแต่ปี 2000 หลังจบฤดูกาล 2018

การที่ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งหันมาทุ่มเทให้กับการพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังมุ่งหน้าไปทางนี้


ภาพประกอบจาก Formula E

Formula E เป็นการแข่งขันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบล้อเปิด (เหมือน Formula 1) ที่ทาง FIA จัดการแข่งขันขึ้นครั้งแรกในปี 2014 เพื่อกระตุ้นและยกระดับการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งในด้านเทคโนโลยีและการตลาด รูปแบบการแข่งขันจะเป็นการตระเวนแข่งแบบ Street circuit ไปตามหัวเมืองใหญ่ของโลก โดยขณะนี้กำลังแข่งขันกันอยู่ในฤดูกาลที่ 3 (2016/2017)

นอกจากเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังแล้ว แบตเตอรี่เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการแข่งขัน Formula E โดยในฤดูกาลที่ 5 จะไม่มีการเข้าไปเปลี่ยนรถแล้วเพราะคาดกว่าการชาร์จไฟ 1 ครั้งจะเพียงพอต่อการแข่งขันตลอดทั้งเรซ นอกจากนี้ทางคณะทำงานด้านเทคนิคกำลังศึกษาและเตรียมนำเสนอในเรื่องของ 'charge up' ที่จะให้รถเข้าไปหยุดชาร์จไฟคล้ายๆ กับการเติมน้ำมันของรถ Formula 1 ในอดีต ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาสถานีจ่ายไฟ

ถึงตรงนี้ มีโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ที่กำลังแข่งขันและจะเข้าร่วมแล้วถึง 7 ค่ายได้แก่ Mercedes, BMW, Audi, Renault, Jaguar, DS (Citroen), Mahindra และคาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีค่ายรถยนต์เช่น Porsche, Volvo หรืออื่นๆ เข้ามาร่วมแข่งขันเพิ่ม แม้ตอนนี้การแข่งขัน Formula E อาจจะยังไม่ใช่รายการที่ได้รับความนิยมมากนักเนื่องจากเสียงที่ค่อนข้างเงียบของเครื่องยนต์ไฟฟ้า แต่ Formula E ถือเป็นรายการที่เติบโตค่อนข้างเร็วและน่าจับตามองในอนาคต

ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

บริษัทผลิตอาหารรายใหญ่ใช้ AI จาก TensorFlow คัดแยกคุณภาพวัตถุดิบ

Kewpie Corporation ผู้ผลิตมายองเนส และเครื่องปรุงอาหาร ทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยในการคัดแยกวัตถุดิบที่ไม่ได้มาตรฐานออกไป โดยพัฒนา machine learning บน TensorFlow

Kewpie บอกว่า ในการผลิตสินค้า จำต้องแยกแยะวัตถุดิบเป็นจำนวนมหาศาลกว่า 400 ชนิด รวมแล้วประมาณวันละ 4-5 ตันต่อวัน งานคัดแยกจึงเป็นงานหนักและใช้เวลามาก กระบวนการผลิตทั้งหมดไปจมอยู่กับงานคัดแยกเหมือนคอขวด ทางบริษัทจึงทดลองใช้เทคโนโลยีทุ่นแรงอย่างปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแก้ปัญหา

ในการทดลอง บริษัทเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบที่ยากที่สุดชิ้นหนึ่ง คือมันฝรั่งหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า เนื่องจากเป็นส่วนประกอบในอาหารทารก จึงต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดทั้งในด้านความปลอดภัย ป้อนข้อมูลรูปภาพวัตถุดิบกว่า 18,000 ภาพลงบนแพลตฟอร์ม TensorFlow (ทั้งภาพวัตถุดิบที่ทั้งดีและแย่รวมกัน) เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้และแยกแยะส่วนดีกับส่วนบกพร่องออกจากกันได้ ผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ ปัญญาประดิษฐ์สามารถคัดแยกได้ผลดีและทำเวลาได้รวดเร็วตามที่บริษัทต้องการ


ทางบริษัทระบุในบล็อกว่า ต่อจากทดลองกับมันฝรั่งหั่นลูกเต๋าแล้ว จะนำปัญญาประดิษฐ์มาคัดแยกไข่ และธัญพืชอื่นๆ ด้วย ตั้งใจใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยงานเจ้าหน้าที่ในโรงงาน ไม่ได้นำมาใช้เพื่อแทนที่บุคลากร

ที่มา: Blognone

ไม่ต้องซื้อกุญแจแล้ว GitHub เปิดโครงการ Soft U2F ยืนยันตัวตนสองขั้นตอนบนแมคได้โดยไม่ต้องซื้อกุญแจจริง

โครงการ U2F ที่เริ่มมาจากกูเกิล มีความแข็งแกร่งสำคัญเมื่อเทียบกับการยืนยันตัวตนสองขั้นตอนอื่นคือมันช่วยลดความเสี่ยงจากการปลอมโดเมนได้เป็นอย่างดี แต่ข้อเสียสำคัญอีกเช่นกันคือมันต้องอาศัยกุญแจ USB ที่มีราคาตั้งแต่ 10 ดอลลาร์ขึ้นไป แม้ราคาจะไม่แพงนักแต่ก็อาจจะทำให้หลายคนตัดสินใจไม่ใช้งาน ตอนนี้ GitHub ก็เปิดโครงการ Soft U2F สำหรับแมคแล้ว

Soft U2F จะจำลองตัวเองเป็นอุปกรณ์ USB HID แบบเดียวกับกุญแจ U2F ทั่วไป ทำให้สามารถใช้งานได้กับ Chrome และ Opera ได้ทันที (เพราะเบราว์เซอร์นึกว่ามีกุญแจ USB อยู่) แม้ว่าจะเก็บข้อมูลกุญแจไว้ในคอมพิวเตอร์แต่ Soft U2F ก็อาศัย keychain ของ OS X ช่วยรักษาความลับให้

ในแง่ของความปลอดภัยเมื่อเทียบกับกุญแจ U2F ที่เป็นฮาร์ดแวร์จริงๆ ในกรณีล็อกอินแล้วหากมีมัลแวร์ในเครื่องก็อันตรายไม่ต่างกันเพราะมัลแวร์สามารถอ่านข้อมูลทั้งหมดไปได้ แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดของ Soft U2F มัลแวร์อาจจะขโมยกุญแจลับออกไปจาก keychain ทำให้สามารถล็อกอินได้จากที่อื่นแม้จะถอนมัลแวร์ออกจากเครื่องแล้วก็ตาม ขณะที่การขโมยกุญแจลับออกจากกุญแจแบบฮาร์ดแวร์ทำได้ยากกว่า

แม้จะอ่อนแอกว่า แต่ Soft U2F ก็ช่วยป้องกันอันตรายได้หลายกรณี ตั้งแต่ การตั้งรหัสไม่ปลอดภัย, ผู้ให้บริการเว็บทำรหัสรั่ว, หรือแม้แต่โดน phishing สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ต้องการซื้อฮาร์ดแวร์ Soft U2F ก็เพิ่มความปลอดภัยให้ได้

ตัวซอฟต์แวร์เปิดซอร์สโค้ดแบบสัญญาอนุญาต MIT และโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ GitHub Bug Bounty หากพบช่องโหว่แจ้งเพื่อรับเงินรางวัลได้


ที่มา: Blognone

Veritaseum แพลตฟอร์มระดมทุนผ่าน Ethereum ถูกแฮก ได้โทเค็น VERI ไป 300 ล้านบาท

Veritaseum แพลตฟอร์มระดมทุนผ่านเงินคอยน์ (initial coin offering - ICO) ถูกแฮกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้โทเค็น VERI ถูกโอนออกไปและแลกเปลี่ยนเป็น Ethereum ได้สำเร็จ รวมมูลค่า VERI ที่ถูกขโมยออกไป 8.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 300 ล้านบาท

โทเค็นถูกนำไปแลกเงินผ่าน EtherDelta เงินที่ได้เข้าบัญชี Ethereum สองบัญชี คือ 0x3fff90bF314673194c3A265Ed1c0aA68f59550C4 และ 0x17f96db403e2f8e0461f9d75e1f1a3a0caff3fb5

ทาง Veritaseum ระบุว่าปริมาณโทเค็นที่ถูกขโมยไปเป็นมูลค่าจำนวนน้อย คิดเป็น 0.07% ของ VERI ทั้งหมด โดยยังไม่ระบุช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ขโมยเงินแต่อย่างใด

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว CoidDash ICO ก็ถูกแฮกเว็บไซต์เพื่อเปลี่ยนหมายเลขบัญชี Ethereum ให้กลายเป็นของแฮกเกอร์ ระยะเวลาที่หมายเลขบัญชีถูกเปลี่ยนนานเพียงสามนาทีแต่แฮกเกอร์ก็ได้รับเงินไปถึง 7.8 ล้านดอลลาร์


ที่มา: Blognone

Surface Pro (2017) เปิดให้สั่งจองในไทยแล้ว เผยราคาเริ่มต้น 30,900 บาท

เผยราคาขาย Surface Pro (2017) เริ่มต้นที่ 30,900 บาท ถึง 101,900 บาท พร้อมเปิดให้สั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้ คาดจัดส่งตัวเครื่องกลางเดือนสิงหาคม


เปิดราคา หลัง เปิดตัวเมื่อเดือน พ.ค ที่ผ่านมา ในที่สุดทาง Microsoft ประเทศไทย ก็ประกาศราคา และเปิดให้สั่งจองในไทยแล้ว โดยผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่าง Banana , IT City , Lazada และ Power Buy ส่วนราคาอุปกรณ์เสริมอย่างปากกา (ที่ไม่แถมแล้ว….) กับคีย์บอร์ดก็มีราคาดังนี้

 

ราคา New Surface Pro 2017

  • New Surface Pro รุ่น Intel Core M /4GB DDR4 / SSD 128GB ราคา 30,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i5 /4GB DDR4 /SSD 128GB ราคา 38,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i5 /8GB DDR4 / SSD 256GB ราคา 49,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i7 /8GB DDR4 / SSD 256GB ราคา 59,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i7 /16GB DDR4 / SSD 512GB ราคา 82,900 บาท
  • New Surface Pro รุ่น Intel Core i7 /16GB DDR4 / SSD 1TB ราคา 101,900 บาท

 

ราคาอุปกรณ์เสริม

  • New Surface Pro Type Cover ราคา 5,190 บาท
  • New Surface Pro Signature Type Cover (Alcantara) ราคา 6,390 บาท
  • New Surface Pro Pen ราคา 3,900 บาท

New Surface Pro จะมีเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ตัวเครื่องคาดว่าจัดส่งภายในวันนี้เช่นกัน ส่วนวันวางจำหน่าย คาดเป็นเดือนพฤศจิกายนนี้ครับ หากใครสนใจ ไปสั่งจองกันได้ที่ Microsoft.com

ที่มา: ARiP

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Pokemon Go เริ่มปล่อยโปเกมอนในตำนาน เริ่มจาก Lugia และสามวิหกเทพจากภาคแรก

Niantic Labs ประกาศแผนการปล่อยโปเกมอนในตำนาน (Legendary Pokemon) ให้ผู้เล่นทั่วโลก หลังเริ่มปล่อยในงาน Pokemon Go Fest เมื่อคืนนี้

โปเกมอนในตำนานตัวแรกที่จะปล่อยออกมาคือ Lugia จากภาค Gold & Silver ซึ่งเป็นโปเกมอนชนิดบิน-พลังจิต (psychic/flying) และเปิดให้ผู้เล่นทุกคนมีโอกาสจับเท่าเทียมกัน

นอกจาก Lugia แล้ว ผู้เล่นสังกัดสีฟ้า Team Mystic ที่เป็นทีมชนะในงาน Pokemon Go Fest จะได้สิทธิจับโปเกมอนในตำนานตัวที่สอง Articuno วิหกน้ำแข็งจากเกมภาคแรก (Freezer ในชื่อญี่ปุ่น) ก่อนทีมอื่น จากนั้นอีกสักพักค่อยถึงคิวของสีเหลือง Team Instinct กับวิหกสายฟ้า Zapdos (Thunder ในภาคญี่ปุ่น) และทีมสีแดง Team Valor กับวิหกเพลิง Moltres (Fire ในชื่อญี่ปุ่น) ในลำดับต่อไป (จะประกาศข้อมูลอีกครั้ง)

สำหรับผู้ที่เล่นเกมในช่วงนี้ ยังจะได้ไอเทมแบบดับเบิลและลดระยะทางการเดินฟักไข่/เก็บบัดดี้ด้วย ช่วงเวลาแจกไอเทมนี้จะมีผลถึงวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม ตอน 7.00 น. ตามเวลาประเทศไทย


ที่มา: Blognone

Bluetooth Mesh Network อีกก้าวของการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับอุตสาหกรรม IoT ที่กว้างขึ้น

1 ปีหลังจากเปิดตัว Bluetooth 5 กลุ่ม Bluetooth Special Interest Group (SIG) ประกาศก้าวต่อไปด้วย Bluetooth Mesh Network ซึ่งจะช่วยให้การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ทำได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น และยังครอบคลุมไปถึงการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ IoT, ใช้ภายในออฟฟิศ, บ้าน ไปจนถึงระดับเมืองได้
 
Bluetooth Mesh Network มีพื้นฐานมาจาก Bluetooth LE ได้รับการออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ประเภท IoT เพื่อการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ที่เข้ากันได้และใช้พลังงานต่ำ ประโยชน์ของ Bluetooth Mesh Network จะช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด สามารถส่งสัญญาณ Bluetooth ระหว่างอุปกรณ์สู่อีกอุปกรณ์หนึ่งได้ในระยะที่ไกลขึ้น เช่นว่า หากสัญญาณไม่สามารถส่งไปถึงอุปกรณ์ปลายทางได้ในครั้งแรก อุปกรณ์อื่นที่อยู่ใน Network เดียวกันจะทำการส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ปลายทางย้ำอีกครั้งเพื่อให้อุปกรณ์ปลายทางตอบสนองต่อการสั่งงานในครั้งแรก เป็นต้น เป็นการขยายช่วงสัญญาณให้กว้างและไกลขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นประโยชน์อยางมากสำหรับเทคโนโลยี Smart Home เพราะจะช่วยให้อุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งภายในบ้านสามารถส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ใดก็ได้ที่อยู่ทุกซอกทุกมุมภายในบ้านเพื่อให้ตอบสนองกับการสั่งงาน หรือแม้กระทั่งการใช้งานภายในโรงงานอุตสาหกรรม

สิ่งสำคัญอย่างความปลอดภัย Bluetooth Mesh Network มีการใช้มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยระดับ Network แยกออกจากมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยระดับแอพพลิเคชั่น ซึ่งจะมีชุดการเข้ารหัสลับสำหรับการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์กับอุปกรณ์

ทั้งนี้ Bluetooth Mesh Network มีพื้นฐานจาก Bluetooth LE และ Bluetooth 4.0 นั่นแปลว่าสมาร์ทโฟนที่ใช้ Bluetooth LE หรือ 4.0 จะรองรับ Bluetooth Mesh Network ด้วยในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ใช้ iPhone หรือ Android จึงไม่จำเป็นต้องรอการอัพเดทระบบปฏิบัติการ ส่วนผู้ผลิตอุปกรณ์ IoT จะต้องเป็นฝ่ายอัพเดทแอพและซอฟต์แวร์ให้กับฮาร์ดแวร์ของตนเอง

ที่มา: ARiP

ห้างจีนเปิดโซน “Man Caves” ห้องฝากสามี รอภรรยาซื้อของ

Global Harbor ห้างสรรพสินค้าในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เผยโซน “Man Caves” ห้องฝากสามี พร้อมที่นั่งและเกมแบบส่วนตัว ไว้ฆ่าเวลารอภรรยาไปซื้อของโดยเฉพาะ


ผุดไอเดียแจ่ม? คุณสามีหรือพ่อบ้านใจกล้าท่านใด ที่เคยประสบปัญหา ผบทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) หรือคุณภรรยา ใช้เวลาซื้อของในห้างเป็นเวลานาน ที่ประเทศจีน ณ ห้างสรรพสินค้า Global Harbor นครเซี่ยงไฮ้ ได้มีวิธีแก้ปัญหานี้แล้ว ด้วยการนำตู้หรือ “Man Caves” ห้องเล่นเกมส่วนตัว ไปนั่งฆ่าเวลารอภรรยาซื้อของชั่วคราวได้


ภายในห้องจะมีเครื่องเล่นเกม (คาดเป็น PS1 หรือคอมฯ ลง Emulator) แบบย้อนยุค อย่าง Tekken 3, Street Fighter ฯลฯ มีจอมีที่นั้งให้พร้อม และมีจอยสติ๊กกับจอยโยกให้เลือกเล่นด้วย ทั้งนี้ทางห้างได้เปิดให้ทดลองเล่นฟรีก่อนหนึ่งเดือน จากนั้นจะมีเก็บค่าบริการผ่าน QR Code ภายหลัง


อย่างไรก็ตาม ในห้องแม้จะมีแทบทุกอย่าง แต่ขาดอย่างเดียวคือ “แอร์” เนื่องจากเป็นห้องปิด ทำให้เล่นได้สักพักก็ร้อนแล้ว ทั้งนี้ใน Weibo (เว็บโซเชียลของจีน) ได้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวด้วย ก็พบผลตอบรับที่ดีทีเดียว โดยหลายคนบอกว่า เหมือนย้อนกลับไปวัยเด็กอีกครั้ง ช่วยฆ่าเวลาได้ดี แต่มีคุณภรรยาบางท่านบอกว่า “ถ้าแบบนี้ จะพาสามีไปซื้อของด้วยกันทำไม” ก็…ตัวใครตัวมันนะครับ : b

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ศาลไต้หวันตัดสิน ให้ภรรยามีสิทธิหย่า หลังสามีอ่านข้อความแล้วไม่ตอบ

อ่านพาดหัวแล้วอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าแค่สามีเปิดอ่านข้อความแชทจากภรรยา แล้วทิ้งไว้สองสามชั่วโมงโดยไม่ตอบก็โดนฟ้องหย่าแล้ว เพราะประเด็นนี้ลึกซึ้งกว่านั้น

เรื่องนี้เริ่มขึ้นราว 6 เดือนที่แล้ว ตั้งแต่ภรรยาสกุล Lin ชาวไต้หวันคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุจากรถยนต์ เธอได้ส่งข้อความไปหาสามีเธอหลายข้อความพร้อมระบุด้วยว่าเธอถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ก่อนจะพบว่าสามีอ่านข้อความอย่างเดียวและไม่ตอบ ซึ่งถึงแม้สามีจะเดินทางมาเยี่ยมภรรยาก็ตาม แต่ศาลเห็นว่าการอ่านแล้วไม่ตอบ ไม่สอบถาม ไม่แสดงความเป็นห่วงใดๆ เลย สะท้อนความไม่สนใจใยดีของสามีเท่าที่ควร


อย่างไรก็ตามหลักฐานที่ศาลนำมาพิจารณาไม่ได้มีเพียงข้อความเท่านั้น ข้อมูลที่ศาลเปิดเผยออกมาชี้ว่า ครอบครัวฝ่ายชายทั้งแม่สามี พี่สามีและน้องสามีต่างมีพฤติกรรมไม่เป็นมิตรกับฝ่ายหญิงเท่าไหร่นัก โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและหนี้สินของบ้านฝ่ายชายเสียเกือบหมด รวมถึงถูกแม่สามีบังคับให้ไปกู้เงินเพื่อมาใช้หนี้ให้กับพ่อสามีด้วย เนื่องจากหน้าที่การงานฝ่ายชายไม่มั่นคง

ไม่รวมข้อห้ามต่างๆ นานาภายในบ้าน เช่น จำกัดเวลาอาบน้ำหรือแม้แต่บังคับไม่ให้ปรับอุณหภูมิน้ำสูงเกินระดับหนึ่ง ขณะที่การอ่านข้อความแล้วไม่ตอบเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายสำหรับฝ่ายหญิงและสะท้อนความร้าวฉานระหว่างสามีภรรยาที่เกินเยียวยาแล้ว ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ ทำให้ศาลตัดสินให้ฝ่ายหญิงมีสิทธิหย่ากับฝ่ายชาย และแน่นอนที่ผ่านมาฝ่ายชายก็ไม่เคยมาปรากฎตัวต่อหน้าศาลหรือแม้แต่แสดงความสนใจต่อหมายต่างๆ จากศาลเลย

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ใกล้ดับสูญ ส่วนแบ่งตลาด Windows Phone ลดเหลือระดับ 0.1%

รายงานส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนประจำไตรมาส 1/2017 จากสองสำนักใหญ่คือทั้ง Gartner และ IDC ระบุตรงกันว่า ตอนนี้ส่วนแบ่งตลาดของ Windows Phone ลดลงเหลือเพียง 0.1% แล้ว

ข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องเกินคาดหนัก เพราะ Windows Phone 8.1 เพิ่งหมดระยะซัพพอร์ต และไมโครซอฟท์ก็ไม่ได้วางขายสมาร์ทโฟนฟาก Windows มานานพอสมควรแล้ว

สำหรับส่วนแบ่งตลาดของระบบปฏิบัติการอื่นๆ Android อยู่ที่ 86% และ iOS ประมาณ 14%


ที่มา: Blognone

ฟองสบู่แตกแล้ว? ราคา Bitcoin, Ethereum, Ripple ตกลงมาเกินครึ่งจากจุดสูงสุดแล้ว

นี่อาจหมดสัญญาณของการตื่นสกุลเงิน cryptocurrency (อย่างน้อยก็ในรอบนี้) เมื่อราคา Bitcoin ยังร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 3,000 ดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน ตอนนี้ราคาตกลงมาต่ำกว่าระดับ 2,000 ดอลลาร์แล้ว เทียบเท่ากับขาขึ้นในเดือนพฤษภาคม (ขณะที่เขียนข่าวนี้ ราคาอยู่ที่ 1,994 ดอลลาร์)

ส่วนสกุลเงิน Ethereum ก็ไปในทิศทางเดียวกัน จากที่ขึ้นไปสูงสุด 391 ดอลลาร์ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 164 ดอลลาร์ ตกลงมาเกินครึ่งของมูลค่าสูงสุด

สกุลเงินอันดับสาม XRP (Ripple) ขึ้นไปสูงสุดที่ 0.39 ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 0.14 ดอลลาร์


กราฟแสดงราคา 3 เดือนย้อนหลังของ Bitcoin, Ethereum, Ripple ตามลำดับ

 
ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Facebook Camera เพิ่มคุณสมบัติสร้าง GIF ได้ในตัว

Facebook Camera (ปัดขวาในแอพ Facebook) ได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ โดยผู้ใช้งานสามารถสร้างรูปภาพแบบ GIF ได้แล้วผ่านกล้องของมือถือ โดยแยกแถบหัวข้อเพิ่มด้านบนของแอพ

การใช้งานก็ตรงไปตรงมา โดยให้เราถ่ายภาพช็อตสั้นๆ ประมาณ 2 วินาที แล้วสามารถแต่งเติมสีสันได้ตามชอบ จากนั้นก็เลือกว่าจะแชร์ผ่านหน้า Profile, โพสต์ลง Stories หรือส่งต่อให้เพื่อนก็ตามใจชอบ

ในตอนนี้คุณสมบัติสร้าง GIF พบเฉพาะในแอพ Facebook บน iOS เท่านั้น ยังไม่มีใน Android


ที่มา: Blognone

Google ทดลองใช้ AI ปรับแต่งภาพวิวทิวทัศน์จาก Street View ไม่พึ่งฝีมือมนุษย์

การทดสอบเทคโนโลยี Artificial Intelligence หรือ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ล่าสุดของ Google เป็นการนำภาพวิวทิวทัศน์จาก Street View มาปรับและตกแต่งเพื่อให้มีความสวยงามในระดับมืออาชีพด้วย AI ลดการพึ่งพาฝีมือของมนุษย์ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการใช้ AI ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการลดการทำงานให้กับมนุษย์


หนึ่งในทีมวิศวกรซอฟต์แวร์ภายในโครงการนี้ของ Google ให้ข้อมูลว่า เป็นการใช้เทคนิคของ Machine Learning และการพัฒนา Deep Neural Network ในการสแกนภาพวิวทิวทัศน์จาก Street View นับพันๆ ภาพ ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นจะเลียนแบบขั้นตอนการทำงานของช่างภาพมืออาชีพ เพื่อเปลี่ยนภาพธรรมดาให้กลายเป็นภาพพาโนรามาที่สวยงาม

ทาง Google ยังให้ข้อมูลอีกว่าพวกเขาสามารถพัฒนา Neural Network ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถพิจารณาองค์ประกอบของภาพที่ดีได้ เป็นเทคนิคใหม่ที่ Google เรียกว่า Generative Adversarial Network เป็นเทคนิคใหม่ที่รวมเอา Neural Network สองตัวมารวมกัน  เพื่อให้เกิดผลลัพธ์จากการปรับปรุงโดยรวม หรือจะกล่าวให้ง่ายๆ ว่าระบบของ Google นั้นมี AI ประเภท “Photo Editor” ที่สามารถแก้ไขภาพได้แบบมืออาชีพโดยอัตโนมัติ


นอกจากนี้ทาง Google ยังได้เชิญช่างภาพมืออาชีพมาร่วมให้คะแนนภาพถ่ายที่การประมวลผลโดย AI ซึ่ง 2 ใน 5 ภาพได้รับคะแนนในระดับ Semi-Pro

ทีมงาน Google ทิ้งท้ายไว้ว่า เครื่องมือที่พวกเขาพัฒนาขึ้นสักวันหนึ่งจะช่วยให้ใครก็ตามสามารถถ่ายภาพในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างดีเยี่ยม

ที่มา: ARiP

Apple Store เตรียมเปิดสาขาแรกในไทยปีหน้า กระทบต่อผู้ค้าปลีกอย่างไร

มีข่าวลือแพร่สะพัดบนโลกออนไลน์ในขณะนี้ว่า Apple เตรียมเปิด Apple Store สาขาแรกในประเทศไทย ในปี 2561 พร้อมมีการระบุสถานที่แล้วด้วยว่าจะเป็นที่ ICONSIAM

 ภาพจาก Apple : Apple Store สาขาถนน Orchard ประเทศสิงคโปร์

ตามข้อมูลที่แพร่สะพัดอยู่บนโลกออนไลน์ขณะนี้ ระบุว่า Apple กำหนดให้ ICONSIAM (ไอคอนสยาม) เป็นสถานที่สำหรับ Apple Store สาขาแรกในประเทศไทย โดยลักษณะของร้านจะคล้ายคลึงกับสาขาที่สิงคโปร์ ภายในร้านจะแบ่งออกเป็นโซนสำหรับจัดจำหน่ายสินค้า พร้อมทั้งโซนกิจกรรมและ Workshop ต่างๆ ส่วนกำหนดการณ์เปิดให้บริการยังไม่แน่ชัด โดยคาดกันว่า Apple Store สาขาแรกในประเทศไทย จะเปิดให้บริการในปี 2561 (ข้อมูลจากเว็บไซต์ Siampod)

 

หาก Apple Store บุกไทย กระทบต่อผู้ค้าปลีกอย่างไร?


อย่างที่เราทราบดีว่าในประเทศไทยมี iStudio by SPVI, iStudio by Copperwired และ Studio 7 เป็นดีลเลอร์หรือตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นการเข้ามาเปิดสาขาแรกในประเทศไทยเองของ Apple อาจสร้างกระทบให้กับผู้ค้าปลีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น

– การตั้งสาขาในประเทศไทยครั้งนี้จะทำให้ Apple สามารถให้บริการสินค้าให้กับลูกค้าที่สนใจผ่านช่องทางที่มากขึ้น ทั้งแบบออนไลน์ (เว็บไซต์ Apple Store Online) และออฟไลน์ (ร้าน Apple Store)

– กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ผู้คนหรือแฟนคลับ Apple เดินทางไปเยี่ยมชมหรือซื้อสินค้าอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งอาจส่งผลต่อจำนวนลูกค้าที่เดิมทีซื้อสินค้า Apple ผ่านตัวแทนจำหน่าย

น่าสนใจว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ค้าปลีกจะกินระยะเวลานานแค่ไหน แต่อีกปัจจยัหนึ่งที่ทำให้ผู้ค้าปลีกอาจรู้สึกเบาใจเล็กๆ นั่นคือ สถานที่ตั้ง ICONSIAM ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนเจริญนคร เขตคลองสาน ซึ่งอาจเป็นจุดที่หลายคนไม่สะดวกแก่การเดินทาง และการจะซื้อสินค้า Apple ก็สามารถหาซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน ยกตัวอย่าง iStudio by SPVI สาขาเซ็นทรัล พระราม 9 มีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT คอยให้บริการ ซึ่งก็นับว่าสะดวกมากสำหรับหลายๆ คน และสินค้า Apple ก็คุณภาพเดียวกับ Apple Store ด้วย

สำหรับกำหนดการณ์ที่แน่ชัดในการเปิดให้บริการ Apple Store ยังต้องรอการสรุปอีกครั้ง รวมถึงต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ ICONSIAM จะแล้วเสร็จด้วย ซึ่งเชื่อว่าบรรดาแฟนคลับ Apple ต่างให้ข่าวนี้เกิดขึ้นจริง แต่สำหรับผู้ค้าปลีกหรือตัวแทนจำหน่ายก็ต้องทำการบ้านกันหนักขึ้น เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้

ที่มา: ARiP

รวยฟ้าผ่า ศาสตราจารย์วิทยาการเข้ารหัสลับซื้อ Enigma จากตลาดนัดมา 3,900 บาท ประมูลได้ 1.8 ล้าน

ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการเข้ารหัสลับ (cryptography) เดินตลาดนัดในโรมาเนียและพบแผงขาย "เครื่องพิมพ์ดีด" เก่า จึงซื้อมาในราคา 100 ยูโร หรือประมาณ 3,900 บาท โดยรู้ว่าเครื่องพิมพ์ดีดนี้ที่แท้จริงคือเครื่องเข้ารหัส Enigma จากกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง และยังอยู่ในสภาพใช้งานได้

เครื่อง Enigma ถูกนำออกประมูลโดยห้องประมูลของสะสม Artmark ที่ราคาเริ่มต้น 9,000 ยูโร การประมูลจบลงที่ราคา 45,000 ยูโร โดยห้องประมูลไม่ได้ระบุชื่อศาสตราจารย์ผู้ขายแต่อย่างใด

โรมาเนียเป็นพันธมิตรกับนาซีเยอรมันจนถึงช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เป็นไปได้ว่าจะมีเครื่อง Enigma หลงเหลืออยู่อีก



ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Microsoft ประกาศปลดพนักงานฝ่ายขายออกนับพัน คาดเป็นจำนวนถึง 4 พันคน !!

สื่อนอกเผย Microsoft ประกาศปลดพนักงานฝ่ายขายออก 10% คาดเป็นจำนวน 3 ถึง 4 พันคน !! หลังทางบริษัทปรับโครงสร้างองค์กรให้เน้นบริการ Cloud มากขึ้น


ล้างไพ่ หลังมีข่าวลือไม่นานว่า Microsoft จะปรับโครงสร้างใหม่ ล่าสุดมีการยืนยันแล้ว และสำหรับปรับโครงสร้างใหม่นั้น ก็ส่งผลกระทบทำให้พนักงานในบริษัท ถูกปลดออกเป็นจำนวนไม่น้อยด้วย

มีรายงานว่า Microsoft ปรับโครงสร้างตัวเอง เพื่อเข้ามาดูแลในส่วนของธุรกิจ Cloud (หรือ “Azure”) ได้มากขึ้น แต่การปรับตัวนี้ ก็ทำให้วิธีการขายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนไปด้วย จึงส่งผลกระทบโดยตรงกับเหล่าพนักงานขายในบริษัท สุดท้ายมีการสั่งปลดออก 10% ซึ่งทาง Microsoft ไม่ได้เผยว่าปลดออกกี่คน แต่ทางสำนักข่าว CNN ที่ไปสัมภาษณ์เผยว่า อาจเป็นจำนวน 3 – 4 พันคนกันเลย

ทั้งนี้ Microsoft ยังได้กล่าวเพิ่มเติมกับ CNN ด้วยอีกว่า การปลดครั้งนี้ไม่ใช่การลดค่าใช้จ่ายบริษัท แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีการขายใหม่ โดยจะเน้นให้พนักงานที่มีความรู้ในด้าน Cloud มาขายผลิตภัณฑ์นี้โดยเฉพาะแทน

ส่วนพนักงานที่ถูกปลดออกนั้น ยังไม่มีรายงานว่าได้รับการชดเชยอย่างไรบ้าง แต่จาก “ยุคมืด” ที่ Microsoft เคยปลดพนักงาน (สมัย Nokia) ออกมากกว่านี้ ทางบริษัทก็มีการจ่ายเงินชดเชยให้อย่างดี พร้อมแนะนำบริษัทใหม่ให้ด้วย ส่วนรอบนี้ก็น่าจะเหมือนๆ กันครับ

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Jay Freeman ผู้พัฒนา Cydia กล่าวว่า "การเจลเบรคได้ตายไปแล้ว"

หากใครเคยเจลเบรคอุปกรณ์ iOS มา น่าจะเคยรู้จักกับ Cydia ซึ่ง Motherboard ได้ออกบทสัมภาษณ์ Jay Freeman หรือ Saurik ผู้พัฒนา Cydia ในความเห็นเรื่องการเจลเบรค รวมถึง Nicholas Allegra กับ Michael Wang ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในวงการ โดย Freeman บอกว่าตอนนี้เขาไม่สนับสนุนให้เจลเบรค และการเจลเบรคได้ “ตายไปแล้ว” (officially dead)

ในบทสัมภาษณ์นั้น ให้เหตุผลถึงจุดจบของการเจลเบรคไว้ 4 ข้อ คือ
  1. Apple เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย ทำให้การเจลเบรคยากขึ้น
  2. ถ้าแฮกเกอร์ค้นช่องโหว่พบแล้วเอาไปขายอาจได้เงินสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์ (คุ้มกว่าเอามาทำเจลเบรครอเงินบริจาค)
  3. ผู้เชี่ยวชาญที่ทำเครื่องมือเจลเบรคไปหางานด้านความปลอดภัยที่มีรายได้สูงทำแล้ว
  4. การเจลเบรค iPhone เป็นการเปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยออกมา ซึ่งมีความเสี่ยงสูง
Freeman บอกว่า ทุกวันนี้ Apple นำฟีเจอร์จาก tweak เจ๋งๆ ใน Cydia สมัยก่อนไปใส่ใน iOS แล้ว ทำให้ผู้ใช้ iPhone ทั่วๆ ไปไม่ค่อยอยากจะเจลเบรคอีก เมื่อมีผู้ใช้เจลเบรคน้อยลง นักพัฒนาที่ทำ tweak สำหรับเจลเบรคที่น่าสนใจก็น้อยลงด้วย การเจลเบรคจึงค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ

ปัจจุบัน เจลเบรคของ iOS เวอร์ชันล่าสุดคือ iOS 9.3.3 ซึ่งปล่อยออกมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2016 นับว่าเป็นเวลากว่า 347 วันหรือเกือบปีแล้วที่ไม่มีเจลเบรคเวอร์ชันใหม่ปล่อยออกมา

ที่มา: Blognone

เซี่ยงไฮ้ใช้ระบบจดจำใบหน้าบนทางม้าลาย ป้องกันคนข้ามไม่รอสัญญาณไฟ

ชีวิต jaywalker (คนที่ข้ามถนนอย่างผิดกฎหมาย) จะไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะหน่วยงานจราจรในเซี่ยงไฮ้ใช้ระบบจดจำใบหน้าตามทางม้าลาย ป้องกันไม่ให้คนข้ามถนนโดยไม่รอสัญญาณไฟ จากที่ทดลองระบบนำร่องมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า ทันทีที่ไฟสัญญาณเป็นสีแดง ระบบจะเริ่มบันทึก และจากการทดลองนำร่อง ระบบได้บันทึกใบหน้าและข้อมูลผู้กระทำผิดแล้ว 300 ราย

แค่บันทึกข้อมูลและตามเก็บค่าปรับ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนกลัวการกระทำผิด เจ้าหน้าที่จึงเตรียมปรินท์รูปคนผิด พร้อมระบุชื่อไปติดตามป้ายรถเมล์ และยังมีค่าปรับตามกฎหมายอีก 20 หยวน


ที่มา: Blognone

Daimler ทดสอบนำระบบบล็อคเชนมาใช้งานกับระบบการเงินบริษัท

เราเริ่มเห็นหลายบริษัทในหลายอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีบล็อคเชนมาใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ล่าสุดเป็นกรณีของบริษัท Daimler AG ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน (ผู้ผลิต Mercedes-Benz) ได้ทดลองนำเอาระบบบล็อคเชนจากโครงการ Hyperledger มาใช้งานกับระบบการเงินของบริษัท


จุดประสงค์ของ Daimler คือต้องการนำบล็อคเชนมาเป็นตัวกลางในกระบวนการด้านการเงินระหว่างบริษัทและนักลงทุน ที่ปกติจะเสียเวลาราวๆ 10 สัปดาห์เมื่อผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร ขณะที่การทดสอบระบบบล็อคเชนที่ทุกอย่างทำผ่านระบบดิจิทัล 100% ปรากฎว่าช่วยให้กระบวนการข้างต้นเร็วขึ้นอย่างมาก (considerably faster)

ผู้บริหารของ Daimler ระบุด้วยว่าอยากจะนำบล็อคเชนไปใช้งานในด้านอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยอย่างลูกค้าสัมพันธ์, การขาย, มาร์เก็ตติ้ง, ระบบจัดการซัพพลายเออร์และบริการดิจิทัลต่างๆ

ที่มา: Blognone

Vivo โชว์เทคโนโลยี Fingerprint บนหน้าจอสมาร์ทโฟน

ในช่วงระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2560 ที่ประเทศจีน มีการจัดงาน Mobile World Congress Shanghai 2017 (MWCS 2017) การจัดแสดงเทคโนโลยีทางด้านโทรคมนาคมที่อาจกล่าวได้ว่ามีความคล้ายคลึงกับ Mobile World Congress ที่จัดขึ้นที่ประเทศสเปนเมื่อตอนต้นปี และแน่นอนว่าภายในงานที่จีนครั้งนี้ มีการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟนในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย


Vivo แบรนด์สมาร์ทโฟนสัญชาติจีนที่เข้าร่วมงาน MWCS 2017 ครั้งนี้ นำเสนอต้นแบบสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นสมาร์ทโฟน Vivo Xplay6 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Fingerprint (สแกนลายนิ้วมือ) จาก Qualcomm ที่เรียกว่า “Ultrasonic” ซึ่งจะฝังเซนเซอร์อยู่ใต้จอแสดงผล นั่นหมายความว่าต้นแบบสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะสามารถสแกนลายนิ้วมือได้ด้วยการแตะบนจอแสดงผลเพื่อปลดล็อคจอแสดงผล

ทีมงานของเว็บไซต์ Engadget ได้ทดสอบการใช้งาน ตั้งแต่การลงทะเบียนลายนิ้วมือจนถึงการสแกน ซึ่งทั้งหมดกระทำบนจอแสดงผลเหนือปุ่มโฮมแบบเดิมทั้งสิ้น จากการทำงานทดสอบทีมงาน Engadget ระบุว่าสามารถทำงานได้เหมือนกับการใช้สแกนลายนิ้วมือทั่วไป แต่ความเร็วในการอ่านลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคจอแสดงผลจะช้ากว่าเล็กน้อย

ทีมงาน Engadget ยังได้ระบุว่า จากการสอบถามทีมงานของ Vivo ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเทคโนโลยี Ultrasonic Fingerprint ว่าสามารถติดตั้งเทคโนโลยีได้ทั่วของจอแสดงผล แต่อาจมีผลถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น


นอกจากนี้ Vivo ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยี Ultrasonic Fingerprint ที่ด้านหลังของสมาร์ทโฟน พร้อมทดสอบสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดกล้องได้จากใต้น้ำด้วย อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีสมัยใหม่ดังกล่าวอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้เกิดความเสถียรในการใช้งานมากที่สุด ก่อนจะวางจำหน่ายร่วมกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในอนาคตต่อไป

ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Alibaba ประกาศซื้อหุ้น Lazada เพิ่มอีกมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 83%

Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน ประกาศลงทุนใน Lazada จากเดิมที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่แล้ว โดยลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มีจำนวนหุ้นจากเดิม 51% เป็น 83% โดยเป็นไปตามยุทธศาสตร์เสริมความแข็งแกร่งในการลงทุนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ Alibaba จะใช้วิธีซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม โดยให้มูลค่ากิจการของ Lazada ที่ราว 3,150 ล้านดอลลาร์ ทำให้เงินลงทุนของ Alibaba ใน Lazada รวมเป็น 2 พันล้านดอลลาร์ (ปีที่แล้วซื้อหุ้นไป 1 พันล้านดอลลาร์)

Alibaba ระบุว่า ปัจจุบันประเทศที่ Lazada ดำเนินงานอยู่คือ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม มีการซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์เพียง 3% ทำให้มีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ธ.กรุงเทพเปิดตัวโครงการ Bangkok Bank InnoHub พร้อมสตาร์ทอัพ 8 ทีม คัดจาก 32 ประเทศทั่วโลก

ถนนทุกสายมุ่งสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้เราจะเห็นว่า KBank เปิดตัว Beacon Venture Capital เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพ ตามด้วย SCG ที่ตั้งบริษัท AddVentures เพื่อลงทุนทั่วโลกเช่นกัน ล่าสุดธนาคารกรุงเทพก็เริ่มมารันโครงการสนับสนุนบ้างแล้ว

โดยธนาคารกรุงเทพร่วมกับ เนสท์ พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการลงทุนชั้นนำระดับโลก เปิดตัวโครงการ “Bangkok Bank InnoHub” ค้นหาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพกลุ่มฟินเทคระดับเวิล์ดคลาส ภายใต้แนวคิดหลัก Inspiring Change

Bangkok Bank InnoHub คือโครงการบ่มเพาะ อบรม และพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ หลักสูตรเข้มข้น ระยะเวลา 12 สัปดาห์ เป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรม ด้วยความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงเทพ บัวหลวง เวนเจอร์ส และเนสท์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่


ภาพจากเว็บไซต์ Bangkok Bank InnoHub
  • ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสม
  • สามารถกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
  • จัดหาทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมการเติบโต อาทิ เงินทุน พนักงาน
  • ช่วยเหลือด้านข้อมูลความรู้ ที่ปรึกษา และจัดหาแหล่งระดมทุนที่มีศักยภาพ
โครงการ Bangkok Bank InnoHub ได้เปิดรับผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งไทยและนานาชาติที่เป็นบริษัทจดทะเบียน โดยธนาคารกรุงเทพสนใจกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงิน 3 ด้าน
  • ด้านการชำระเงิน (Payment)
  • การพิสูจน์ตัวตนทางอิเล็กทรนิกส์ (e-KYC)
  • นวัตกรรมใหม่ที่จะนำมาพัฒนาในการบริการลูกค้า เช่น AI และ Machine Learning
บริษัทที่สมัครนั้นได้รับการพิจารณาจากธนาคารกรุงเทพ บัวหลวงเวนเจอ์ และเนสท์ โดยบริษัทสตาร์ทอัพที่ถูกคณะกรรมการคัดเลือก จำนวน 8 ทีม


กลุ่มผู้บริหาร เมนเทอร์ที่เป็นพี่เลี้ยง พาร์ทเนอร์ และสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีม

คุณชาติศิริ โสภณพานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เผย Bangkok Bank InnoHub เป็นโครงการสำคัญที่เปิดรับสมัคร มีผู้เข้าร่วม 119 ทีมจาก 32 ประเทศทั่วโลก เพื่อตอบสนองนโยบายพัฒนา Thailand 4.0 เชื่อว่าโครงการนี้จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ต่อผู้ประกอบการ ลูกค้า และประเทศไทย เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพฟินเทคให้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ยิ่งขึ้น

มร.ลอร์เรนซ์ มอร์แกน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนสท์ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมทางการเงินมีความสำคัญยิ่ง โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จ จากการสนับสนุน 32 ประเทศทั่วโลก และสนับสนุนสภาพแวดล้อม (ecosystem) ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ดร.พนุกร จันทรประภาพ Vice President ฝ่ายการลงทุนธุรกิจ ธนาคารกรุงเทพ เผย โครงการ Bangkok Bank InnoHub เพื่อคัดหาผู้ประกอบกรทางการเงินหรือฟินเทค คณะกรรมการได้คัดเลือก กลั่นกรองเหลือ 8 ทีมสุดท้าย ทุกทีมกล้าคิด กล้าทำ โดยจะใช้เวลาอบรมทั้งสิ้น 12 สัปดาห์

อุตสาหกรรมฟินเทคจะเติบโตต่อไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ช่วยกันพัฒนา Ecosystem ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การดำเนินโครงการนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมฟินเทคก้าวต่อไปในอนาคต


กลุ่มสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีมเข้ารอบ

8 ทีมสุดท้ายที่เป็น Bluefin หรือสุดยอดปลาครีบน้ำเงิน

Wealth Management (สิงคโปร์)
  • Bambu
  • Bento
  • Canopy
Security
  • Covr Security (สวีเดน)
Blockchain
  • EVEREX (ไทย)
Lending
  • First Circle (ฟิลิปปินส์)
P2P Invoice Trading
  • Invoice Interchange (สิงคโปร์)
Mutual Fund Investment
  • FundRadars (ไทย)
ที่มา: Blognone

ครบรอบ 50 ปี ตู้เอทีเอ็มตู้แรกในโลก

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 1967 ธนาคาร Barclays ในอังกฤษเปิดบริการตู้เอทีเอ็มตู้แรกในโลกที่ธนาคารสาขา Enfield นับเป็นจุดเริ่มต้นของการให้บริการธนาคารโดยไม่ต้องใช้พนักงาน

ตู้เอทีเอ็มตู้แรกนี้ไม่ได้มีบัตรเอทีเอ็มเพื่อกดเงินแบบทุกวันนี้ แต่ต้องกดเงินจาก "เช็ค" ที่ออกแบบมาเฉพาะ มันถูกเสนอโดย John Shepherd-Barron ผู้จัดการบริษัทพิมพ์ธนบัตร De La Rue ที่รำคาญกับการที่ไม่สามารถขึ้นเงินจากเช็คได้ในวันเสาร์ Barclays ตกลงที่จะติดตั้งตู้เอทีเอ็มชุดแรก 6 ตู้ และต่อมาขยายเป็น 50 ตู้

Shepherd-Barron เสนอว่ารหัสสำหรับกดเงินควรมีความยาว 6 หลัก แต่เนื่องจากภรรยาของเขาจำรหัสเกินสี่หลักไม่ได้ เขาจึงยอมปรับเป็นสี่หลัก และคนทั่วโลกรวมถึงคนไทยก็ได้ใช้สี่หลักจนกระทั่งเพิ่งปรับเป็นบัตรชิปไม่นานมานี้

ตัว Shepherd-Barron ทำนายไว้ตั้งแต่ปี 2007 ก่อนเขาจะเสียชีวิตในปี 2010 ว่าสุดท้ายคนจะใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน


ที่มา: Blognone