วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

สิงคโปร์ใช้หุ่น Boston Dynamics เดินเตือนผู้คนในสวนสาธารณะเรื่อง Social Distancing

ทางการสิงคโปร์เริ่มทดสอบนำหุ่นยนต์ Spot ของ Boston Dynamics มาเดินลาดตระเวนในสวนสาธารณะ Bishan-Ang Mo Kio เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พร้อมเปิดเสียงเตือนให้ผู้คนอย่าลืมทำ Social Distancing

มาตรการนี้เป็นความร่วมมือของ National Parks Board และ Smart Nation and Digital Government Group (SNDGG) โดยภาพจากกล้องหน้าของหุ่น Spot จะถูกเก็บนำไปวิเคราะห์บนระบบของ GovTech เพื่อวิเคราะห์และคำนวนปริมาณผู้เข้ามาใช้งานสวนสาธารณะ โดยวิดีโอที่ได้จากกล้องจะไม่มีและไม่สามารถตรวจจับใบหน้าหรือเก็บข้อมูลส่วนตัวใดๆ


ตัวหุ่น Spot สามารถเดินหลบสิ่งกีดขวางเองได้จากกล้องรอบตัว โดนชนเบาๆ แล้วไม่ล้ม กันน้ำกันฝุ่น ขณะที่ GovTech ก็เพิ่มความสามารถให้กับ Spot เข้าไปอย่างการควบคุมจากระยะไกล, ระบบทำแผนที่ 3 มิติและระบบเคลื่อนที่กึ่งอัตโนมัติ และกำลังพัฒนาระบบวิเคราะห์เพื่อให้ Spot ตรวจสอบได้เลยว่าผู้คนในสวนมีการทำ Social Distancing หรือไม่

นอกจากในสวนแล้ว Spot ยังถูกนำไปทดสอบในศูนย์กักกันผู้ป่วยที่ศูนย์ประชุม Changi สำหรับการขนส่งสิ่งของจำเป็นและยาให้ผู้ป่วย ขณะที่ SNDGG กำลังมองหาวิธีการนำหุ่นยนต์มาใช้งานและช่วยเหลือมนุษย์ในสถานการณ์ COVID-19 ระบาดเพิ่มเติมอยู่ด้วย


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

LINE อัพเดตแอป รองรับการแชร์ YouTube / หน้าจอสมาร์ทโฟน ระหว่างคุยเป็นกลุ่ม

LINE ออกอัพเดตแอปเวอร์ชัน 10.6.5 ทั้งบน iOS และ Android เพิ่มคุณสมบัติใหม่สำหรับการโทรคุยเป็นกลุ่มทั้งแบบเสียงและแบบวิดีโอ

โดย 2 ฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่ การคุยเป็นกลุ่มสามารถแชร์ลิงก์ YouTube และรับชมวิดีโอพร้อมกันผ่านการสนทนากลุ่มได้ ส่วนอีกฟีเจอร์ สามารถแชร์หน้าจอสมาร์ทโฟนระหว่างการคุยแบบวิดีโอได้ (ก่อนหน้านี้ทำได้เฉพาะบนคอมพิวเตอร์)


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

Mozilla ออกคู่มือแนะนำแอพประชุมออนไลน์ที่ไว้ใจได้: Zoom ผ่านเกณฑ์, Discord สอบตก

มาถึงตอนนี้ทุกคนคงใช้แอพประชุมออนไลน์กันหมดแล้ว โดยมีผู้เล่นในตลาดมากมายทั้งบริษัทเล็กใหญ่ ซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งที่ดังขึ้นมาในช่วงโรคระบาดคือ Zoom แต่ดังได้ไม่นานก็มีข่าวด้านลบเกี่ยวกับความปลอดภัยของแอพนี้เข้ามาหลายเรื่อง ซึ่ง Zoom ก็ได้รีบจัดการกับประเด็นดังกล่าวและร่วมมือกับหลายบริษัทในการยกเครื่องความปลอดภัย

นอกจากนี้ก็มี Microsoft Teams ที่ตัวเลขผู้ใช้ก้าวกระโดดเช่นกัน โดยการใช้งานประชุมออนไลน์เพิ่มขึ้น 200% ในเวลาเพียงครึ่งเดือน หรือซอฟต์แวร์ตัวอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นกันถ้วนหน้า เช่น Google Meet, BlueJeans, Cisco Webex ฯลฯ

ด้าน Mozilla ผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ Firefox ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวสูงก็มีคู่มือชื่อ *Privacy Not Included อยู่ โดยรีวิวสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งโฟกัสกับประเด็นด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ให้ผู้ใช้ได้ทราบว่าสินค้าที่เราสนใจหรือใช้งานอยู่นั้นปลอดภัยเพียงใด

ภาพโดย Mozilla
ล่าสุด Mozilla ได้รีวิวแอพประชุมออนไลน์หลายยี่ห้อในตลาดว่าเชื่อถือได้หรือไม่ มีประเด็นใดที่น่าเป็นห่วงสำหรับการใช้งาน โดย Zoom ที่มีข่าวด้านลบเยอะกลับทำคะแนนได้ 5 เต็ม ซึ่ง Mozilla เปิดเผยว่าใช้ Zoom อยู่เช่นกัน และ Zoom ออกอัพเดตความปลอดภัยถี่มากในช่วงนี้ รวมถึงใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนในการเข้าประชุม อีกทั้งยังระบุว่า Zoom มีความพยายามแก้ไขประเด็นต่างๆ อย่างหนัก

แอพตัวอื่นที่ได้ 5 คะแนนเต็มก็มากันครบทุกเจ้าใหญ่ๆ เช่น Microsoft Teams, Google Meet, Cisco Webex, BlueJeans, Skype ฯลฯ โดยผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของ Mozilla คือเข้ารหัสการเชื่อมต่อ, มีอัพเดตความปลอดภัย, ใช้รหัสผ่าน, มีโครงการจัดการช่องโหว่ และมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ดี

แอพชื่อดังที่สอบตกคือ Discord ที่นิยมในหมู่เกมเมอร์และช่วงหลังก็ขยายไปกลุ่มอื่นด้วย โดย Discord ไม่ผ่านเกณฑ์เรื่องรหัสผ่าน เพราะ Mozilla ทดลองใช้รหัส 111111 แล้วพบว่าไม่มีการป้องกันการใช้รหัสที่ไม่ปลอดภัย อีกทั้ง Discord ยังเป็นแพลตฟอร์มที่นิยมในการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องไม่ดี, การทำให้อับอาย, การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมอื่นๆ

นอกจากนี้แอพ Houseparty ที่ดังขึ้นมาช่วงนี้ก็สอบตกในเรื่องรหัสผ่านเช่นกัน

อ่านรีวิวแอพประชุมออนไลน์ทุกตัวได้ที่นี่

ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563

SCB ประกาศ iOS ต่ำกว่า 10.3.4 และ Android ต่ำกว่า 6.0 จะใช้ SCB Easy ไม่ได้

ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมาประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป อุปกรณ์ที่รัน iOS เวอร์ชันที่ต่ำกว่า 10.3.4 และ Android ที่ต่ำกว่า 6.0 Marshmallow ลงไป รวมถึงเครื่องที่ผ่านการ Root และ Jailbreak จะไม่สามารถใช้งาน SCB Easy ได้แล้ว

นอกจากนี้แม้จะไม่สามารถใช้งานแอปได้ หากกรณีที่มีการทำรายการล่วงหน้าเอาไว้ในแอป คำสั่งดังกล่าวจะยังถูกดำเนินการต่อไปด้วย ขณะที่ประกาศนี้สอดคล้องกับประกาศของแบงค์ชาติเมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แอปโมบายล์ แบงค์กิ้ง


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2563

Google เตรียมเปิดตัวบัตรเดบิต เพื่อแข่งกับ Apple Card และ Huawei Card


แบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Apple ได้เปิดเปิดตัว Apple Card ไปเมื่อเดือนมีนาคม 2019 โดยเริ่มให้บริการเมื่อเดือนสิงหาคม 2019 ที่ผ่านมา และ Huawei ก็ได้เปิดตัวบัตรเครดิต Huawei Card ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุดเว็บไซต์ TechCrunch ได้รายงานว่า Google เตรียมจะเปิดตัวบัตรของตนเช่นกัน แต่ยังไม่ทราบชื่อบัตรอย่างเป็นทางการ

ในขณะที่ Apple Card เป็นบัตรเครดิตที่ได้ร่วมกับทาง Mastercard และ Goldman Sachs แต่บัตรของทาง Google นั้น จะเป็นบัตรเดบิตที่ร่วมกับธนาคารอื่น เช่น Stanford Federal Credit Union และ Citi เป็นต้น โดยเบื้องต้นจะเป็นบัตร Visa และจะขยายการชำระเงินในรูปแบบของบัตร Mastercard ต่อไป

อีกทั้งจะมีบัตรในรูปแบบดิจิทัลสำหรับชำระเงินผ่าน Bluetooth ด้วย


ทั้งนี้ ผู้ใช้บัตรของ Google จะสามารถตรวจสอบการธุรกรรมการเงินทั้งหมดจากแอป Google Pay, มีตัวเลือกให้ล็อกบัตรในกรณีที่บัตรถูกขโมยไปได้ และถ้าหากมีการเข้าถึงบัญชีโดยที่ผู้ใช้มิได้อนุญาต ผู้ใช้ก็สามารถล็อกการใช้งานได้ด้วยเช่นกัน


ในขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า Google จะเปิตดัวบัตรเดบิตของตนเมื่อไร


ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563

Raspberry Pi 4 ขายดีช่วงคนอยู่บ้าน ผู้ดูแลโครงการชี้คนซื้อไปใช้เป็นพีซีจริงๆ

Raspberry Pi Foundation มูลนิธิผู้พัฒนาคอมพิวเตอร์ Raspberry Pi รายงานยอดขายรวมเดือนมีนาคม ว่าอยู่ที่ 640,000 เครื่อง นับเป็นยอดขายรายเดือนสูงสุดอันดับสองนับแต่เริ่มโครงการมา โดย Eben Upton ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการระบุว่า คนซื้อนั้นนำไปใช้เป็นคอมพิวเตอร์ประจำวันจริงๆ

เขาระบุว่าช่วงเวลาที่หลายคนทำงานที่บ้านทำให้คอมพิวเตอร์ในบ้านไม่เพียงพอ จากเดิมที่หลายบ้านอาจจะมีคอมพิวเตอร์กลางบ้านไว้แบ่งกัน แต่เมื่อทุกคนต้องใช้งานพร้อมกันก็ต้องหาทางออกให้มีคอมพิวเตอร์พอใช้งาน

Upton ระบุว่ายอดขาย Raspberry Pi ฝั่งอุตสาหกรรมนั่นค่อนข้างคงที่ ขณะที่ Raspberry Pi เติบโตขึ้นจนต้องเร่งกำลังผลิตเต็มอัตรา (เขาเทียบว่าเหมือนบิดเร่งจากเบอร์ 4 ไปเบอร์ 10) และระบุว่ายอดขายนี้แสดงให้เห็นว่า Raspberry Pi เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ที่แม้จะเล่นเกมแรงๆ ไม่ได้แต่ก็เพียงพอสำหรับการเช็คอีเมลหรือทำงานเอกสาร


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2563

Qt Company พิจารณาปิดซอร์สเวอร์ชั่นใหม่นาน 12 เดือน, อาจทำให้โครงการถูก fork

Olaf Schmidt-Wischhöfer จาก KDE เล่าถึงสถานะการณ์ของ Qt ไลบรารี GUI ที่เป็นแกนกลางของระบบเดสก์ทอป KDE ว่าบริษัทกำลังพยายามเร่งรายได้ระยะสั้น โดยความเป็นไปได้หนึ่งคือการปิดเวอร์ชั่นล่าสุดทั้งหมดไม่ให้โลกโอเพนซอร์สใช้งานเป็นระยะเวลา 12 เดือน

Qt เป็นไลบรารีที่พัฒนาโดยบริษัท Trolltech และเคยขึ้นถึงสุดสูงสุดคือโนเกียซื้อบริษัทไป เพื่อพัฒนาโทรศัพท์ในระบบปฎิบัติการ MeeGo แต่ก็ล้มเหลวและขายบริษัทแยกออกมา โดยบริษัทพยายามหารายได้จากการขายซัพพอร์ตตัวไลบรารีและเครื่องมือออกแบบ GUI

ก่อนหน้านี้ Qt Company เคยปิดเวอร์ชั่นซัพพอร์ตระยะยาว (LTS) ให้สำหรับลูกค้าที่ซื้อไลเซนส์เท่านั้น การปิดซอร์สเวอร์ชั่นล่าสุดจะทำให้ชุมชนฝั่ง KDE ได้ใช้โค้ดที่แก้ปัญหาช้ากว่าปกติ และอาจจะกลายเป็นการบีบให้ KDE ต้อง fork โครงการออกมาทำเอง

Olaf ระบุว่าสาเหตุที่บริษัทมีแนวโน้มจะตัดสินใจเช่นนี้เพราะเศรษฐกิจที่แย่ลงอย่างรวดเร็วจากโรค COVID-19 ทำให้ต้องเร่งทำรายได้ในระยะสั้น


ที่มา: Blognone

Bootstrap ประกาศแผนยกเลิกการรองรับ IE ในเวอร์ชันใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว

Bootstrap ซึ่งเป็น UI Framework ยอดนิยม ประกาศแผนยกเลิกการรองรับ Internet Explorer ใน Bootstrap 5 ที่จะเปิดตัวออกมาในปีนี้

 
หนึ่งในผู้พัฒนา Bootstrap ได้ออกมากล่าวใน Github ว่ามีแผนจะยกเลิกการรองรับ Internet Explorer ทั้งเวอร์ชัน 10 และ 11 ใน Bootstrap 5 ที่กำลังจะมีการเปิดตัวเร็วๆ นี้ ซึ่งการประกาศในครั้งนี้เป็นหนึ่งใน Milestone ของทาง Bootstrap อยู่แล้ว และการยุติการรองรับ IE นั้นจะทำให้สามารถพัฒนาฟีเจอร์อื่นๆได้เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม Bootstrap 4 จะยังคงรองรับการใช้งาน IE ต่อไป ปัจจุบัน IE นั้นมีส่วนแบ่งในตลาด Web Browser อยู่ที่ประมาณ 1-2% เท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อาจจะกระทบลูกค้าองค์กรเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก Microsoft จะยังคงสนับสนุนการใช้งาน IE11 ไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025

จากการสำรวจของ W3Techs นั้น Bootstrap มีสัดส่วนการใช้งานอยู่ที่ 20.4% เมื่อเทียบกับจำนวนเว็บไซท์ทั้งหมด หรือมากกว่า 20 ล้านเว็บไซท์จากการสำรวจของ BuiltWith

ที่มา: TechTalk

ไม่หวั่นแม้ร้านตัดผมปิด Xiaomi Youpin วางจำหน่ายปัตตาเลียนชาร์จแบตได้!


ช่วงนี้ผู้เขียนก็หัวรุงรัง และคิดว่าใครหลายๆ คนก็คงเป็นไม่แพ้กัน เพราะร้านตัดผมต่างปิดกันหมดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อรับมือการแพร่ระบาดของ Covid-19 แต่ต่อไปนี้คงไม่ต้องกลัวปัญหาร้านตัดผมปิดอีกเพราะ Xiaomi Youpin ก็วางจำหน่ายปัตตาเลียนให้สั่งซื้อแล้วจ้า

ร้านค้า Xiaomi Youpin บน Lazada ได้วางจำหน่ายปัตตาเลียนในชื่อ Xiaomi Enchen Electric Hair Trimmer Clipper


คุณสมบัติ

  • ทำงานด้วยปุ่มปุ่มเดียว สามารถเลือกระดับความยาวผมที่ต้องการได้ ตั้งแต่ 0.7 ถึง 21 มม.
  • หัวตัดเป็นเซรามิก แข็งแรงกว่าสแตนเลสธรรมดา 1.6 เท่า หากใช้โหมดทำงานตัดผมที่เร็วขึ้น จะทำให้เสียงดังและความร้อนสะสมน้อยกว่าแบบสแตนเลส โดยมีเสียงจากการทำงานน้อยกว่า 55 เดซิเบล
  • ความเร็วการทำงานเริ่มต้นอยู่ที่ 4,800 รอบต่อนาที แต่หากเป็นโหมดเทอร์โบจะเร่งรอบการทำงานสูงสุด 5,800 รอบต่อนาที ทำให้ตัดผมที่หนาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
  • หัวตัดใช้เทคโนโลยี ESM (Energy Smart Manager) ป้องกันผมติดใบมีด
  • ด้วยการออกแบบ R Type Rounded Corner Processing หรือฐานปัตตาเลียนแบบโค้งมน ทำให้ไม่เกิดอันตราย ปลอดภัยทุกมุมขณะการใช้งาน
  • มีให้เลือกสองสี ขาว และ ดำ
ที่สำคัญคือปัตตาเลียน Xiaomi Enchen Electric Hair Trimmer Clipper ใช้พอร์ต USB-C สำหรับการจ่ายไฟเข้า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ชื่นชมมาก เพราะสามารถใช้ที่ชาร์จสมาร์ตโฟนชาร์จได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนไปมาหลายสายครับ

สำหรับราคานั้นวางจำหน่ายบน Lazada – Xiaomi Youpin อยู่ที่ 498 บาท เป็นสินค้าจัดส่งจากต่างประเทศ อาจจะต้องรอสักพัก แต่ทั้งนี้บน Lazada และ Shopee ก็มีอีกหลายร้านที่ขายด้วยเช่นเดียวกัน สามารถเลือกหาราคาที่ถูกที่สุดได้ด้วยตัวเองนะครับ
 
ที่มา: Beartai

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2563

เมืองซานฟรานซิสโกออกกฎ ห้ามเดลิเวอรีเก็บคอมมิชชันร้านอาหารเกิน 15%

ประเด็นเรื่องบริการส่งอาหารเดลิเวอรี คิดค่าคอมมิชชันหรือส่วนแบ่งรายได้ (GP) จากร้านอาหาร ไม่ได้มีเฉพาะในไทย บริการแบบเดียวกันในต่างประเทศก็มีโมเดลธุรกิจที่คิดค่าคอมมิชชัน 10-30% เช่นเดียวกัน (ตัวเลขของ Uber Eats คือ 25%)

ล่าสุด นายกเทศมนตรีนครซานฟรานซิสโก ออกมาประกาศบังคับไม่ให้บริการเดลิเวอรีเก็บค่าคอมมิชชันแพงกว่า 15% เพื่อไม่ให้กระทบรายได้ของร้านอาหาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ร้านอาหารต้องปิด และรายได้ส่วนใหญ่ของร้านมาจากการส่งเดลิเวอรีด้วย

ประกาศนี้มีผลในวันนี้ (13 เมษายน ตามเวลาสหรัฐ) และบังคับใช้ไปจนกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินจะสิ้นสุด ร้านอาหารกลับมาเปิดให้นั่งกินในร้านได้

ตัวอย่างบริการเดลิเวอรีในสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากประกาศนี้คือ Uber Eats, Postmates, Grubhub, DoorDash ซึ่งผู้ประกอบการบางรายอย่าง DoorDash ก็ออกมาประกาศลดค่าคอมมิชชันลงครึ่งหนึ่งไปก่อนแล้ว


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2563

AIS ตั้ง Robotic Lab พัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลไทยใช้งาน

AIS ประกาศตั้งศูนย์เฉพาะกิจ AIS Robotic Lab ดึงนักวิจัยมาพัฒนาหุ่นยนต์ด้านการแพทย์, ระบบ 5G Telemedicine, โซลูชันงานบริการทางการแพทย์ ร่วมกับโรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทย

 
ผลลัพธ์ของ AIS Robotic Lab จะขึ้นกับความต้องการของแต่ละโรงพยาบาล ตัวอย่างผลงานที่เสร็จแล้วคือ
  • หุ่นยนต์ Telemedicine ชื่อ Robot for Care ช่วยคัดกรองคนไข้ด้วยการวัดอุณหภูมิ thermoscan ตอนนี้พัฒนาเสร็จแล้ว 21 ตัว จะนำส่งให้โรงพยาบาล 20 แห่งใช้งาน
  • ระบบปรึกษาทางไกลด้วย video call
 ที่มา: Blognone

Nuro เริ่มทดสอบรถขนส่งไร้คนขับในแคลิฟอร์เนียแล้ว


ยานพาหนะขนส่งไร้คนขับของ Nuro ได้รับการอนุญาตจากแผนกยานยนต์ของแคลิฟอร์เนีย หรือที่เรียกโดยย่อว่า DMV ให้สามารถทดสอบรถยนต์ไร้คนขับสำหรับการขนส่งไร้คนขับได้อย่างเต็มที่แล้ว

สำหรับการทดสอบของรถยนต์ไร้คนขับ Nuro จะได้รับการอนุญาตให้ทดสอบได้ในพื้นที่บางส่วนของ Santa Clara และ San Mateo รวมถึงพื้นที่ใน Silicon Valley ได้แก่ Mountain View, Palo Alto และ Sunnyvale โดยเบื้องต้นบริษัทได้จัดส่งของให้ฟรีในบริษัทที่ Nuro เลือกไว้ในพื้นที่ Mountain View

บริษัท Nuro ได้ใบอนุญาตสำหรับทดสอบรถยนต์ส่งของไร้คนขับตั้งแต่ปี 2017 แต่เฉพาะสนามสำหรับทดลองรถเท่านั้น การทดสอบขนส่งรถจริงๆ เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น

Nuro นับเป็นบริษัทที่สองที่ได้รับการอนุญาตทดสอบรถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มตัวถัดจาก Waymo ค่ะ

ที่มา: Beartai

สิ่งที่ไทยควรเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยีสู้ Covid – 19 ของจีน


ในวันที่เริ่มมีการระบาดของ Coronavirus หรือ Covid – 19 ที่อู่ฮั่น จีนได้เร่งสร้างโรงพยาบาลภาคสนามขึ้นภายใน 10 วัน พร้อมกับขนเทคโนโลยีพร้อมกับทีมแพทย์เพื่อเตรียมรับมือกับผู้ป่วยจำนวนมาก

ปัจจุบัน ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างจับมือกันเพื่อต่อสู้กับ COVID-19 แต่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของจีนกำลังใช้ Robot และ Telemedicine และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาด และเป็นกำลังเสริมให้กับเจ้าหน้าที่ช่วยต่อสู้กับวิกฤตนี้

โดยในช่วงที่รัฐบาลจีนสั่งให้ทุกคนอยู่บ้าน จีนใช้โดรนสำรวจเพื่อดูคนที่แอบฝ่าฝืนกฎ พร้อมติดตั้งลำโพงขนาดใหญ่ เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ข่าวสาร

ในพื้นที่โรงพยาบาลสนามอู่ฮั่นมีการใช้หุ่นยนต์เพื่อลดภาระต่างๆ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหุ่นยนต์เพื่อคุยกับแพทย์ และหุ่นยนต์ส่งอาหารและยา หุ่นยนต์เพื่อความบันทเทิง รวมทั้งหุ่นยนต์ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ  โดยได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งจากบริษัท China Mobile และ CloudMinds

นอกจากนี้ จีนใช้อุปกรณ์ IoT อื่นๆ เพื่อคัดกรองผู้ป่วยผ่านเครื่องวัดอุณหภูมิที่เชื่อมต่อเครือข่าย 5G โดยเครื่องจะแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที หากพบคนที่มีอุณภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ

ด้านการรักษา ผู้ป่วยจะสวมสร้อยข้อมือและแหวนอัจฉริยะที่จะซิงค์กับแพลตฟอร์ม AI ของ CloudMinds เพื่อตรวจดูสัญญาณชีพ อุณหภูมิ อัตราการเต้นของหัวใจ และระดับออกซิเจนในเลือด เพื่อเฝ้าระวังและลดภาระให้กับพยาบาลที่ต้องคอยวัดสัญญาณต่างๆ ในแต่ละวัน

โรงพยาบาลภาคสนามเป็นหนึ่งในหลายแห่งในอู่ฮั่น ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ป่วย 20,000 รายหากโรงพยาบาลทั่วไปมีภาระหนัก สถานที่และหุ่นยนต์ก็อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมเพื่อรองรับผู้ป่วยที่จะเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จีนยังได้ใช้หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ที่นำเข้าจากบริษัทในเดนมาร์ค เมื่อเปิดเครื่อง หุ่นยนต์จะเดินไปยังสถานที่ที่ถูกตั้งค่าไว้อัติโนมัติ เพื่อฆ่า Covid – 19  สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ 99.9 เปอร์เซ็น ใช้งานได้ 2.5 ชั่วโมงหรือประมาณ 9-10 ห้อง มีเซนเซอร์ติดที่ตัวหุ่น หากพบเจอคนหุ่นจะหยุดทำงานทันที และจะทำงานต่อเมื่อคนไม่มีคนอยู่


Telemedicine ถูกหยิบใช้งานจริง ไม่ใช่แค่พูดถึง


Telemedicine นั้นเป็นเรื่องที่เราพูดกันมันหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรพัฒนามากขึ้น อาจเป็นเพราะไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา แต่เมื่อ Covid – 19 ระบาด มันบังคับโรงพยาบาลหลายที่ต้องปรับตัว

JD Health บริษัทย่อยของยักษ์ใหญ่ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของ JD.com ได้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบริการสุขภาพออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่านับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโคโรนาไวรัส

ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่ากฎของรัฐบาลกลางจะถูกยกเลิก เพื่อให้แพทย์จำนวนมากสามารถให้การดูแลผู้ป่วยผ่านวิดีโอแชทและวิธีการอื่นๆ ได้

โรงพยาบาล เช่น ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยในชิคาโก และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในวอชิงตันดีซี กำลังใช้ Telemedicine เพื่อช่วยคัดกรองผู้ป่วย Coronavirus

สำหรับไทย อาจจะยังมีเทคโนโลยีนี้ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ อย่างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ใช้หุ่นยนต์ปิ่นโตเพื่อช่วยส่งอาหารและยาให้กับผู้ป่วยในพื้นที่

ส่วน Telemedicine มีใช้งานอย่างจริงจังแค่โรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น อย่างบำรุงราษฐ์ และ กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ทำให้มีแค่คนบางกลุ่มที่พอมีฐานะพอจะเข้าถึงการรักษาได้

ต้องยอมรับว่าไทยมีการปรับตัวรับ Covid – 19 ได้ดีหากเทียบกับประเทศแถบยุโรป แต่น่าเสียดายที่การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือนับว่ามีน้อย ทั้งที่เรามีบุคคลากรด้านวิศวกรที่เก่งมากๆ

ที่มา: TechHub

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

Microsoft Edge มีส่วนแบ่งตลาดแซงหน้า Firefox ขึ้นเป็นเบราว์เซอร์อันดับ 2 แล้ว


Net Applications รายงานสถิติเว็บเบราว์เซอร์ประจำเดือนมีนาคม 2020 มีจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจคือ ส่วนแบ่งตลาดของ Microsoft Edge สามารถแซงหน้า Firefox ได้แล้ว ขึ้นมาเป็นเบราว์เซอร์อันดับสองของโลกเดสก์ท็อปแล้ว
  • เดือนกุมภาพันธ์ 2020 แชมป์เป็น Chrome แบบทิ้งห่างที่ 67.27% ตามด้วย Firefox 7.57% และ Edge 7.38%
  • เดือนมีนาคม 2020 Chrome ส่วนแบ่งเพิ่มอีกเล็กน้อยเป็น 68.50%, Edge แซงขึ้นมาที่ 7.59%, Firefox ตกลงไปเหลือ 7.19%
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Edge มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นคือ Edge ตัวใหม่พลัง Chromium ออกรุ่นเสถียร และไมโครซอฟท์ก็ทยอยปล่อยอัพเดตให้ผู้ใช้ Windows 10 กัน

ส่วนแบ่งตลาดเบราว์เซอร์บนอุปกรณ์พกพา Chrome ก็ทิ้งห่างที่ 63.67% อันดับสองคือ Safari 26.46%, Samsung Browser 4.23% ส่วน Firefox บนมือถือมีส่วนแบ่งแค่ 0.57% เท่านั้น

ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2563

[COVID-19] สตาร์ตอัพสหรัฐปลดพนักงานแล้วเกือบ 4,000 ราย, อาจต้องปิดตัวอีกมาก

สำนักข่าว CNBC รวบรวมข้อมูลสตาร์ตอัพในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จนต้องปลดพนักงาน พบว่ามีกว่า 40 บริษัทแล้ว ส่งผลกระทบต่อพนักงาน 3,800 คนที่ต้องตกงาน

สถานการณ์คนตกงานในสหรัฐอเมริกาล่าสุด มีคนตกงานมากกว่า 3.3 ล้านคนแล้ว และจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

นอกจากนี้ วงการนักลงทุน Venture Capital ก็เริ่มออกมาเตือนบรรดาสตาร์ตอัพแล้วว่า เงินทุนจะหายากมากขึ้น เราจึงจะได้เห็นการปิดกิจการของสตาร์ตอัพตามมาอีกระลอกใหญ่


ที่มา: Blognone

Ford ประกาศจะผลิตเครื่องช่วยหายใจอีก 50,000 เครื่องภายใน 100 วัน

Ford ประกาศจะผลิตเครื่องช่วยหายใจให้ได้ 50,000 เครื่องภายในระยะเวลา 100 วันนับตั้งแต่ 20 เมษายนเป็นต้นไป หลังเป็นพาร์ทเนอร์กับ GE Healthcare เพื่อนำเครื่องช่วยหายใจรุ่น GE/Airon โมเดล A-E มาผลิต โดย Ford ต้องรอการรับรองด้านกฎหมายในการเป็นผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจรุ่นดังกล่าวให้ GE

Ford ระบุว่าจะใช้โรงงานชิ้นส่วนในรัฐมิชิแกน ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตเครื่องช่วยหายใจได้ราว 30,000 เครื่องต่อเดือน โดย GE/Airon โมเดล A-E เป็นเครื่องช่วยหายใจที่ทำงานโดยอาศัยแรงดันลมทำให้ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการใช้งาน ทำให้สามารถใช้งานได้ทุกที่และค่อนข้างเหมาะสมสำหรับการใช้ในช่วงวิกฤติลักษณะนี้


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2563

Zoom จับมือ Canva แอปเครื่องมือกราฟิค ให้ปรับแต่ง Virtual Background ได้เอง

Zoom มีฟีเจอร์ Virtual Background ที่ช่วยบังภาพหลังของบ้านและเปลี่ยนแบ็คกราวด์เป็นรูปหรือวิดีโอ โดยมีภาพดีฟอลต์ให้ส่วนหนึ่งและเปิดให้ผู้ใช้อัพโหลดได้เอง

ล่าสุด Zoom ร่วมมือกับ Canva ผู้ให้บริการเครื่องมือสายกราฟิคเปิดให้ดาวน์โหลดภาพนิ่งไปเป็นแบ็คกราวด์ได้จากเทมเพลทของ Canva และปรับแต่งได้ตามต้องการ โดยจะต้องเข้าไปลงทะเบียนกับ Canva ก่อนเพื่อใช้งานเทมเพลท เลือก ปรับแต่งและดาวน์โหลดรูปดังกล่าวลงเครื่องก่อนจะนำไปเปิดเป็น Virtual Background บน Zoom อีกที

สำหรับวิธีการใช้งาน Virtual Background ดูได้ที่นี่


ที่มา: Blognone

ด่วน!! แนะผู้ใช้ Zoom อัปเดตแอปเป็นเวอร์ชันล่าสุด ปิดช่องโหว่ส่งข้อมูลให้ Facebook แม้ไม่มีบัญชี


Zoom ถือว่าเป็นหนึ่งบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนี้ซึ่งเป็นผลกระทบของ COVID-19 ที่ทำให้หลายๆ บริษัทต้องออกมาตรการ Work from Home หรือทำงานจากที่บ้าน โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เป็นช่องทางการสื่อสารหากัน

แต่เมื่อวันพุธที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่าแอปพลิเคชัน Zoom บน iOS แอบส่งข้อมูลต่างๆ ของตัวเครื่องของผู้ใช้ให้กับ Facebook โดยไม่ได้รับอนุญาต

ทาง Zoom ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ออกอัปเดตเวอร์ชันใหม่ทันที หลังจากได้รับเรื่องมาเพียง 1-2 วัน โดยระบุว่า การส่งข้อมูลดังกล่าว เป็นผลมาจาก Facebook SDK ที่จะดึงข้อมูลต่างๆ ของตัวเครื่องเพื่อไปวิเคราะห์ แต่ในการดึงข้อมูลไปนี้จะไม่มีการดึงข้อมูล และกิจกรรมภายในแอปไปด้วย

เมื่อรู้ถึงต้นตอของปัญหาแล้ว Zoom ได้ทำการนำ Facebook SDK ออกไปและทำการตั้งค่าใหม่เพื่อให้ผู้ใช้ยังสามารถล็อกอินด้วย Facebook ได้เช่นเดิม

โดยทาง Zoom แนะนำให้ผู้ใช้แอปพลิเคชัน Zoom บน iOS อัปเดตแอปเป็นเวอร์ชันล่าสุด เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย

ที่มา: Beartai

Microsoft Teams เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลังได้

เมื่อปีที่แล้ว Microsoft ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Background Blur ใน Microsoft Teams ในงาน Build 2019 ที่จะใช้ AI มาเบลอพื้นหลังที่ไม่พึงประสงค์ออกไปอย่างง่ายดาย

มีผู้ใช้ออกมาเสนอไอเดียให้ Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ที่จะให้ผู้ใช้เปลี่ยนภาพพื้นหลังได้ด้วยตัวเอง ผ่าน User Voice และได้รับโหวตและเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ใช้ทั่วโลกที่มาสนับสนุนไอเดียนี้


จนทาง Alex วิศวกรจากทาง Microsoft Teams ออกมาเผยว่ากำลังพัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าวอยู่ และคาดว่าจะปล่อยให้ผู้ใช้ได้ใช้งานกันภายใน 1 ไตรมาส หรือภายใน 3 เดือน

ที่มา: Beartai

Ring Fit Adventure เพิ่มโหมดใหม่ Rhythm Game ขยับตัวพร้อมเสียงเพลง

Ring Fit Adventure เกมออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์บน Nintendo Switch ออกอัพเดตเวอร์ชัน 1.2.0 โดยมีไฮไลท์คือโหมดการเล่นแบบใหม่เรียกว่า Rhythm Game เป็นเกมย่อยให้ขยับไปพร้อมกับเสียงดนตรีเหมือนเกมเต้น แต่คราวนี้ต้องใช้อุปกรณ์ Ring Fit ด้วย

เพลงที่มีให้เลือกตอนนี้เป็นเพลงจากเกมของนินเทนโดเอง อาทิ Super Mario Odyssey, Splatoon 2 ไปจนถึง The Legend of Zelda: Breath of the Wild

ในอัพเดตนี้ยังเพิ่มตัวเลือกเสียงคำแนะนำขณะออกกำลังกาย เป็นเสียงผู้หญิง และเพิ่มโหมดออกกำลังกายแบบ Jogging ด้วย


ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563

ฉันจะแจ้ง! ZOOM แอปประชุมออนไลน์จะฟ้องหัวหน้าห้องหากเห็นผู้ใช้คนอื่นมี “พฤติกรรมอู้”


สำหรับใครที่กำลังคิดว่า Work from Home คือการเปิดทางสู่การอู้แล้วละก็ ต้องมาลองเจอเข้ากับ ZOOM แอปพลิเคชันประชุมออนไลน์ดู เพราะเจ้านี่ “สามารถฟ้องหัวหน้าของคุณในกลุ่มประชุมได้ หากเรามีพฤติกรรมส่อแว่วว่ากำลังอู้ขณะที่อยู่ในกลุ่มสายการคุย”

ฟีเจอร์ดังกล่าวในแอปพลิเคชัน ZOOM นั้นมีชื่อว่า attention tracking หรือแปลตรงตัวว่าการตรวจจับความสนใจ โดยเจ้าของห้องสามารถเห็นข้อบ่งชี้ได้ว่า ผู้ใช้ในห้องประชุมออนไลน์ของเรามีแนวโน้มกำลังอู้งานอยู่ หากเขาคนนั้น ไม่ได้มีการปฎิสัมพันธ์ในแอปฯ (การพิมพ์, เลื่อนเมาส์ ฯลฯ) เป็นระยะเวลากว่า 30 วินาที


แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ เพราะผู้ใช้งานอย่างเราๆ ยังสามารถปิดฟีเจอร์ดังกล่าวได้อยู่ ผ่านการตั้งค่าบัญชีส่วนตัว แต่ผู้ดูแลระบบยังสามารถกำหนดให้การตั้งค่านี้บังคับสำหรับผู้ใช้ทั้งหมดโดยคลิกที่ไอคอนล็อก

ที่มา: Beartai

WHO จับมือ Mark Zuckerberg จัด Hackathon ระดับโลกแก้ปัญหา COVID-19

องค์การอนามัยโลก (WHO) ร่วมกับมูลนิธิ Chan Zuckerberg และบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Facebook, Giphy, Microsoft, Pinterest, Slack, TikTok, Twitter, WeChat ประกาศจัดงาน COVID-19 Global Hackathon (ชื่อแท็ก #BuildForCOVID19) แฮคกาธอนระดับโลกเพื่อเชิญชวนคนไอทีมาแก้ปัญหา COVID-19 ในแง่มุมต่างๆ

งานทั้งหมดจะแข่งขันผ่านออนไลน์ โดยส่งข้อเสนอภายใต้ธีม 7 หัวข้อ เช่น สุขภาพ ประชากร ธุรกิจ ชุมชน การศึกษา บันเทิง ฯลฯ การลงทะเบียนจะเปิดรับตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 มีนาคมนี้ จากนั้นกรรมการจะคัดเลือกโครงการและให้ความเห็นต่อไป รายละเอียดและเงื่อนไขดูได้จากหน้าเว็บของโครงการ

โครงการนี้ได้รับการผลักดันจาก Mark Zuckerberg โดยตรง ปัจจุบันขณะที่เขียนข่าว มีคนเข้าไปร่วมลงชื่อเตรียมเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 7 พันราย (ยังไม่เปิดรับโครงการ เลยยังไม่เห็นจำนวนโครงการ)


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563

Nintendo Switch หมดเกลี้ยงทั่วอเมริกา ราคาออนไลน์พุ่งกระฉูด มือสองเกือบเท่ามือหนึ่ง

ช่วงนี้ซัพพลายเชนทั่วโลกถูกรบกวนด้วย COVID-19 ทำให้การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆ ชนิดเกิดล่าช้าและขาดตลาด

Nintendo Switch ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ประกอบกับการวางจำหน่ายเกม Animal Crossing: New Horizons ที่ทำให้หลายๆ คนคิดจะซื้อ Nintendo Switch ในช่วงนี้ ทำให้ตัวเครื่อง Nintendo Switch ที่ปกติมีราคาขายอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 300 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 9,900 บาท) พุ่งขึ้นไปสูงถึง 439 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 14,400 บาท) สำหรับเครื่องที่ต้องรอการจัดส่ง และ 480 ดอลลาร์ (ประมาณ 15,800 บาท) สำหรับเครื่องที่พร้อมจัดส่งทันทีบนเว็บไซต์ Amazon

ในขณะที่ Nintendo Switch Lite ยังพอมีของอยู่บนเว็บไซต์ออนไลน์บ้าง ก็ราคาพุ่งจาก 200 ดอลลาร์ (ราว 6,600 บาท) ขึ้นไปถึง 230 ดอลลาร์ (ประมาณ 7,550 บาท) สำหรับราคาเครื่องที่รอจัดส่ง และ 299 ดอลลาร์ (ประมาณ 9,800 บาท) สำหรับเครื่องที่พร้อมส่งทันทีบนเว็บไซต์ Amazon เช่นเดียวกัน


ส่วนเครื่องมือสองบนเว็บไซต์ eBay ก็ราคาพุ่งขึ้นไปจนเกือบจะเท่ามือหนึ่ง โดย Nintendo Switch อยู่ที่ราคาประมาณ 400 ดอลลาร์ (ประมาณ 13,120 บาท) และ Nintendo Switch Lite ที่ราคาไม่ต่ำกว่า 250 ดอลลาร์ (ประมาณ 8,200 บาท)

เมื่อไม่มีใครทราบว่าวิกฤต COVID-19 จะจบลงเมื่อไร ก็เป็นการยากที่จะคาดเดาว่าสต็อกของ Nintendo Switch จะกลับมาเป็นปกติเมื่อไรเช่นกัน

ที่มา: Blognone

Red Hat เปิดตัว JBoss Enterprise 7.3 รองรับ Jakarta EE และ SQL Server บนลินุกซ์

Red Hat เปิดตัว JBoss Enterprise Application Platform เวอร์ชันเสถียร 7.3 (ช่วงหลังออกเวอร์ชันเสถียรประมาณปีละ 1 รอบ)

ของใหม่ที่สำคัญในเวอร์ชันนี้คือ รองรับการใช้งานบน Jarkarta EE 8 จาก โครงการโอเพนซอร์สของ Java EE ที่ไปอยู่กับ Eclipse Foundation ผู้ใช้งานจึงเลือกได้ว่าจะรันบน Java EE 8 หรือ Jakarta EE 8 (ซึ่งตอนนี้ยังเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นชื่อ)

ของใหม่ที่สำคัญอีกอย่างคือ รองรับ Microsoft SQL Server 2017 บน Red Hat Enterprise Linux (RHEL) นอกเหนือจากบนวินโดวส์ ซึ่งมาจากความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์กับ Red Hat ก่อนหน้านี้

ฟีเจอร์อื่นๆ ในเวอร์ชันนี้ได้แก่ ปรับปรุงเรื่องความปลอดภัย รองรับ Server Name Indication (SNI) และ Online Certificate Status Protocol (OCSP), ปรับปรุงเรื่องการส่งข้อความ รองรับ Message-Driven Beans (MDBs) ส่งทีเดียวหลายกลุ่ม, ปรับปรุงการทำงานกับคอนเทนเนอร์บน Red Hat OpenShift เป็นต้น


ที่มา: Blognone

สุขภาพจิตก็สำคัญ ผู้อำนวยการ WHO แนะนำ ช่วงอยู่บ้านให้ “เล่นเกม”

Tedros Adhanom ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ออกแถลงการแนะนำถึงการดูแลสุขภาพในช่วงกักตัว โดยกล่าวว่าสุขภาพจิตของคุณก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกับสุขภาพกาย และหนึ่งในคำแนะนำของ WHO ก็คือคุณควร “เล่นเกม”

Adhanom กล่าวว่าผู้ที่กักตัวเองอยู่กับบ้านช่วงนี้ “ควรดูแลสุขภาพจิตของตัวเองด้วย เพราะเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกอึดอัด สับสน หรือหวาดกลัว การพูดคุยกับคนที่รู้จักหรือไว้ใจ และการช่วยเหลือคนอื่นในชุมชนก็จะเป็นผลดีทั้งต่อคุณและต่อคนอื่นเช่นกัน” และการทำกิจกรรม เช่น “การฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือเล่นเกม” ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้


ส่วนในด้านสุขภาพกาย WHO แนะนำว่าผู้ที่กักตัวอยู่ ควรกินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน จำกัดการบริโภคน้ำตาลและแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็เป็นคำแนะนำเหมือนกับการดูแลสุขภาพในสภาวะปกติ

ส่วนเกมที่ออกใหม่ในช่วงนี้ มีทั้ง Animal Crossing: New Horizons สำหรับสายพักผ่อนเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิตบนเกาะกับผองเพื่อน หรือถ้าเป็นสายฮาร์ดคอร์ Doom: Eternal ก็รอคุณอยู่บน Steam


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563

ปูพื้นฐานการพัฒนา Web Application ภาษา Python ด้วย Django Framework

Django Framework (อ่านว่าจังโก้ หรือแจงโก้ โดยไม่ออกเสียงตัว D) คือ Framework สำหรับสร้าง Web Application ฝั่ง Back End ที่พัฒนาด้วยภาษา Python ฉะนั้นท่านที่สนใจศึกษาในหัวข้อนี้จำเป็นต้องมีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Python มาก่อน!


สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนลุยเนื้อหา:
  1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง Python
  2. ติดตั้ง pip (ติดมากับ Python) pip คือ package manager ที่ใช้สำหรับติดตั้ง package ต่างๆ ที่ใช้ในโปรเจค
  3. Visual Studio Code (VSCode TextEditor) & Python Extension
  4. จำลอง Environment ของ Python ด้วย Virtualenv

Virtualenv มีไว้ในกรณีที่มี Python ติดเครื่องแล้วลง Library เยอะหรือแม้แต่ลง Python หลายๆ version ลงไปที่เครื่อง (Python 2, Python 3) อาจจะเกิดเหตุการณ์การตีกันของ library หรือสับสนว่าโปรเจคใดใช้ Python version ใดมี Library อะไรบ้าง สำหรับพัฒนาระบบและการ Deployment โปรเจค

ตัว Virtualenv แยก Environment งานออกจากกันได้โดยการจำลอง และช่วยในเรื่องการจัดการไลบรารี่ทำให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น

การติดตั้ง
pip install virtualenv

เรียกใช้ virtualenv ด้วย virtualenvwrapper
For Linux :
  • pip install virtualenvwrapper
For Windows :
  • pip install virtualenvwrapper-win

สร้าง virtualenv ใหม่
  • mkvirtualenv <ชื่อ>

เลือก/เปลี่ยนการใช้ virtualenv
  • workon <ชื่อ>

ติดตั้ง Django Framework & สร้างโปรเจค
  1. pip install django
  2. django-admin startproject <ชื่อโปรเจค>
  3. cd <ชื่อโปรเจค>
โครงสร้างโปรเจค Django Framework

  1. manage.py คือไฟล์ script สำหรับรันคำสั่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Django เช่น Run Server, Collectstatic, Model & Migration เป็นต้น
  2. __init__.py คือ initial ไฟล์หรือไฟล์เปล่าๆ มีไว้เก็บ Python Package เราสามารถเพิ่ม Script การทำงานเข้าไปในไฟล์นี้ได้
  3. settings.py คือไฟล์ที่ใช้สำหรับการตั้งค่าโปรเจคเช่น การตั้งค่าแอพ, เวลา, Path, ฐานข้อมูลที่ใช้ เป็นต้น
  4. urls.py คือไฟล์ที่ใช้เก็บการ routing ของ HTTP request หรือเรียกอีกอย่างว่าการกำหนด url pattern ของ django project
  5. wsgi.py คือไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูลโปรเจคสำหรับการ Deployment (Production)
MVT (Model-View -Template)


  • Model คือส่วนที่เก็บข้อมูลของ Application
  • View สำหรับประมวลผลคำสั่งหรือข้อมูลต่างๆ (เหมือนกับ Controller) แล้วโยนไปแสดงผลตรงส่วนของ Template
  • Template คือหน้าตา Application เป็นส่วนที่ไว้ใช้แสดงผลข้อมูลผลลัพธ์จากการประมวลผลใน View มาแสดงผลในหน้าเว็บร่วมกับ HTML
ที่มา: Medium

โม้แล้วทำเลย Musk ส่งมอบเครื่องช่วยหายใจให้โรงพยาบาลในแคลิฟอร์เนียแล้ว

ก่อนหน้านี้ Elon Musk ออกมาบอกว่าถ้าเครื่องช่วยหายใจในสหรัฐขาดแคลน จะใช้โรงงาน Fremont ช่วยผลิต หลังทวีตโจมตีว่าคนที่ตื่นตระหนกกับไวรัสโคโรน่านั้นไร้สาระ จนมีคนมาทักท้วงว่าให้จริงจังกับเรื่องนี้หน่อย ทำให้ภาพลักษณ์ของ Musk เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนแค่เศรษฐีขี้โม้ที่ไม่แคร์โลก

อย่างไรก็ตามล่าสุด Elon Musk ทำอย่างที่เค้าโม้เอาจริงๆ เมื่อ Gavin Newsom เทศมนตรีของแคลิฟอร์เนียออกมายืนยันว่า ได้รับเครื่องช่วยหายใจจาก Musk แล้วราว 1,000 เครื่อง และนำไปแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลในมลรัฐที่กำลังขาดแคลนแล้ว โดยนอกจาก Tesla ก็มี Ford และ GM ที่จะช่วยผลิตเครื่องช่วยหายใจป้อนให้กับโรงพยาบาลเหมือนกัน


ที่มา: Blognone

ถอดความลับ USB แต่ละแบบ ความแตกต่าง ความเร็ว การใช้งาน และการเชื่อมต่อ


ถอดความลับ USB

USB หรือชื่อเต็ม Universal Serial Bus ถูกพัฒนา 1994 มีจุดประสงค์เพื่อให้คอมทุกเครื่องมีพอร์ตใช้เหมือนๆ กัน  เพื่อลดความวุ่นวายในการใช้งาน โดยฝั่งที่เสียบกับคอม หน้าตาจะเหลี่ยมๆ เหมือนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แต่อีกฝั่ง จะแปลงเป็น USB แบบใด ก็แล้วแต่การใช้งาน

Quote: แผงวงจรตัวตัวแรกที่รองรับการเสียบ USB คือเมนบอร์ดที่ผลิตโดย Intel ถูกสร้างขึ้นในปี 1995 


  1. เริ่มต้นกันที่ USB 1.0 เริ่มใช้งานในปี 1996 ทำความเร็วสูงสุด 12 Megabit/s รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ USB Type A และ Type B
  2. USB 2.0 เริ่มใช้งานในปี 2001 ทำความเร็วการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 480 Megabit/s รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ USB Type A, Type B, Mini B (Port USB ที่ใช้ชาร์จในมือถือและ MP3 พกพายุคก่อน) และ Micro B
  3. USB 3.0 เริ่มใช้งานในปี 2011 ทำความเร็วส่งข้อมูลสูงสุดที่ 5 Gigabit/s (1 Gigabit = 1,000 Megabit) รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ USB Type A, Type B และ Micro B (ใช้ในโทรศัพท์ Android รุ่นหลังๆ และหัวที่เสียบกับ External Harddisk
  4. USB Lightning เริ่มต้นใช้งานในปี 2012  ทำความเร็วการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 500 Megabit/s รองรับการใช้งานแค่ Lightening สำหรับชาร์จใน iPhone และอุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple เท่านั้น
  5. USB 3.1 เริ่มในงานในปี 2014 ทำความเร็วส่งข้อมูลสูงสุดที่ 10 Gigabit/s รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ USB Type A, Type B, Type C
  6. USB 3.2 เริ่มใช้งานในปี 2017 ทำความเร็วส่งข้อมูลสูงสุดสที่ 20 Gigabit/s รองรับการแปลงเป็นหัวแบบ Type C เท่านั้น และรองรับการใช้เทคโนโลยี Power delivery (PD) สำหรับมือถือที่ใช้งาน Fast Charge
  7. USB 4 เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่พึ่งเริ่มใช้งานในปี 2019 ทำความเร็วส่งข้อมูลสูงสุดที่ 40 Gigabit/s รองรับการใช้งานแค่พอร์ท USB Type C เท่านั้น (ทั้งสองหัวจะเป็นแค่  USB – C เท่านั้น)

อันล่างคือ USB – C เป็นมาตรฐานพอร์ต USB รุ่นล่าสุด และคาดว่าจะใช้พอร์ตนี้ไปอีกนาน โดยล่าสุด Apple เปลี่ยนสายชาร์จจาก Lightening มาใช้ Types C ใน iPad Pro แล้ว และคาดว่าในอนาคต มือถือทุกรุ่นจะต้องใช้พอร์ต USB Types C หมด ตามกฎของยุโรป


ที่มา: techhub

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563

เปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ ปะทะ PC ด้วยขุมพลังชิป A12Z พร้อมใส่ Trackpad และ USB-C ลงเมจิกคีย์บอร์ด ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท


หลังจากที่เป็นข่าวเลื่องลือมามากมาย เกี่ยวกับ iPad Pro ที่จะเปิดตัวใหม่ในปีนี้ ล่าสุด Apple แอบเซอร์ไพรส์แบบเงียบๆ เปิดตัว iPad Pro รุ่นปี 2020 บนเว็บไซต์ หลังจากเปิดตัวรุ่นก่อนไปเมื่อปลายปี 2018

วันนี้ Apple ได้เปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ ปี 2020 พร้อมปะทะ Windows บนคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ด้วยชิป A12Z Bionic ที่รับประกันว่าเร็วและแรงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ พร้อม Magic Keyboard ที่ออกแบบใหม่ ใส่ Track Pad และช่อง USB-C เสริมมาให้ด้วย

iPad รุ่นใหม่ มีอะไรบ้าง??


  • จอภาพ Liquid Retina เพื่อให้ผู้ใช้งานได้เห็นสีได้คมชัดมากยิ่งขึ้น พร้อมเทคโนโลยี ProMotion ปรับ Refresh Rate สูงสุดถึง 120 Hz เพื่อความนุ่มนวลของภาพเคลื่อนไหว

  • กล้องหลัง 2 ตัว
    • กล้อง Wide 12 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพและวีดีโอได้คมชัดระดับ 4K กล้อง
    • Ultra Wide 10 ล้านพิกเซล ซูมได้ถึง 2 เท่า และสามารถใช้พร้อมกันได้ถึง 2 ตัวเลย

  • ไมค์ความคมชัดระดับสตูดิโอ 5 ตัว และลำโพง 4 ตัว

  • LiDAR Scanner เสริม ARKit ให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้น

  • ใช้ Apple Pencil รุ่น 2 เหมือนเดิม
 
นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว Magic Keyboard ที่เป็นคีย์บอร์ดแบบ Backlit ที่มาพร้อมกับ Trackpad เปิดขายพฤษภาคมนี้

 

ราคา

  • iPad Pro 11 นิ้ว Wi-Fi
    • 128 GB – 27,900 บาท
    • 256 GB – 31,400 บาท
    • 512 GB – 38,400 บาท
    • 1 TB – 45,400 บาท
  • iPad Pro 11 นิ้ว Wi-Fi + Cellular
    • 128 GB – 32,900 บาท
    • 256 GB – 36,400 บาท
    • 512 GB – 43,400 บาท
    • 1 TB – 50,400 บาท
  • iPad Pro 12.9 นิ้ว Wi-Fi
    • 128 GB – 34,900 บาท
    • 256 GB – 38,400 บาท
    • 512 GB – 45,400 บาท
    • 1 TB – 52,400 บาท
  • iPad Pro 12.9 นิ้ว Wi-Fi + Cellular
    • 128 GB – 39,900 บาท
    • 256 GB – 43,400 บาท
    • 512 GB – 50,400 บาท
    • 1 TB – 57,400 บาท
  • Magic Keyboard – เริ่มต้นที่ 9,900 บาท (วางขายในเดือน พ.ค.)
  • AppleCare+ – 4,500 บาท
ในตอนนี้ iPad Pro ยังไม่เปิดให้จองในไทย แต่คาดว่าอีกไม่นานเกินรอ


ที่มา: Beartai