วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Wilson เปิดตัวลูกบาสเก็ตบอลแบบไร้อากาศใช้เทคโนโลยีพิมพ์ 3 มิติเป็นครั้งแรก

Wilson ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาสัญชาติอเมริกันชื่อดัง ได้เปิดตัวลูกบาสเก็ตบอลแบบไร้อากาศที่ใช้เทคโนโลยีพิมพ์ 3 มิติเป็นครั้งแรก

Wilson Airless Prototype ถือว่าเป็นก้าวสำคัญครั้งแรกในประเภทเดียวกันของลูกบาสเก็ตบอลที่จะมาลดความจำเป็นในการเติมลมลูกบอล แต่จะอาศัยโครงสร้างที่พิมพ์ด้วยเทคโนโลยี 3 มิติ และวัสดุเกรดวิจัยเพื่อเลียนแบบการกระดอนของลูกบาสเก็ตบอลแบบดั้งเดิม พื้นผิวของลูกบอลประกอบไปด้วยรูเล็กๆ หกเหลี่ยมที่ช่วยให้อากาศไหลผ่านได้อิสระ ลูกบาสเก็ตบอลนี้โดดเด่นไปด้วยลูกกลมแปดแฉก และโครงสร้างตะเข็บที่คุ้นเคย

ทาง Wilson ได้กล่าวไว้ว่า “นี่คือลูกบอลที่ไม่เหมือนใครที่เราเคยเห็น ออกแบบมาให้เล่นเหมือนลูกบาสเก็ตบอลที่เรารู้จักมาตลอด”

จึงเห็นได้ว่าลูกบาสเก็ตบอลดังกล่าวสามารถเล่นได้ ซึ่งก็ตรงกับข้อกำหนดของด้านประสิทธิภาพของลูกบาสเก็ตบอลตามกฎเกณฑ์ในแง่ของน้ำหนัก, ขนาด และการกระดอน แต่ Wilson Airless ก็ยังอยู่ในต้นแบบ และต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติมก่อนที่จะพร้อมใช้งานสำหรับสนามทั่วโลกในอนาคต


ในการพัฒนาต้นแบบของ Wilson Airless ทีมงาน Wilson Labs ได้มีการทำงานร่วมกับ General Lacttice สำหรับบริการการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์, DyeMansion สำหรับสี และการตกแต่ง และ EOS สำหรับการผลิตแบบเพิ่มเนื้อ

ที่มา: Beartai

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Tesla ให้เจ้าของรถ 3.62 แสนคันอัพเดตซอฟต์แวร์ แก้ปัญหา FSD มีความเสี่ยงอุบัติเหตุ

Tesla ประกาศว่ารถยนต์จำนวน 3.62 แสนคันในสหรัฐ ได้รับผลกระทบจากซอฟต์แวร์ Full Self-Driving (FSD) Beta อาจก่อให้เกิดอันตรายเวลาข้ามแยกในบางสถานการณ์ โดยขอให้เจ้าของรถยนต์อัพเดตซอฟต์แวร์ผ่าน OTA

รถยนต์ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ Model S (2016-2023), Model X, Model 3 (2017-2023), Model Y (2020-2023) โดยลูกค้าในสหรัฐจะได้รับจดหมายแจ้งภายในวันที่ 15 เมษายน 2023

ประกาศของ Tesla ผ่านกระบวนการเรียกคืนรถยนต์ที่มีปัญหา (recall) ของหน่วยงานดูแลความปลอดภัยทางหลวงของสหรัฐ (National Highway Traffic Safety Administration) แต่ในทางปฏิบัติแล้วก็สามารถอัพเดต OTA ด้วยตัวเองได้ ซึ่ง Elon Musk ก็วิจารณ์ผ่านทวิตเตอร์ว่าคำว่า recall สร้างความสับสนให้กับผู้ใช้งาน


ที่มา: Blognone

Hyundai และ Kia ต้องอัพเดตรถ บังคับสตาร์ตด้วยกุญแจ หลังคลิปขโมยรถนิยมใน TikTok

บริษัทรถยนต์ Hyundai และ Kia (ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Hyundai มาตั้งแต่ปี 1998) ในสหรัฐ ออกอัพเดตเฟิร์มแวร์บังคับให้ต้องใช้กุญแจในการสตาร์ตรถยนต์ หลังพบปัญหาโจรกรรมรถยนต์มากขึ้นในช่วงหลัง โดยเฉพาะเมื่อมีวิดีโอไวรัล "Kia Challenge" สอนขโมยรถยนต์ Kia ฮิตใน TikTok

วิธีการขโมยที่สอนในคลิปคือให้ทุบกระจกเพื่อไม่ให้สัญญาณกันขโมยดัง แล้วเสียบสาย USB-A ในช่องใต้พวงมาลัย จากนั้นสามารถสตาร์ตรถได้เลย เพราะรถไม่ได้บังคับให้ต้องมีกุญแจตอนสตาร์ตเครื่อง ตามข่าวบอกว่าทริคนี้ใช้ได้กับ Kia รุ่นปี 2010-2021 และ Hyundai รุ่นปี 2015-2021

ความนิยมของวิดีโอนี้ทำให้เกิดการขโมยรถยนต์ Kia มากขึ้น เฉพาะในเมือง Buffalo แห่งเดียว ปริมาณการขโมยแบรนด์ Kia เพิ่มจาก 55 ครั้งในปี 2020 เป็น 275 ครั้งในปี 2022 ปัญหานี้ทำให้หน่วยงานด้านขนส่งทางบกของสหรัฐเข้ามาจับตา และบริษัทประกันรถยนต์บางแห่งก็เริ่มปฏิเสธการขายกรมธรรม์ใหม่หากเป็นรถยนต์สองแบรนด์นี้

สิ่งที่ Hyundai และ Kia ทำคือออกอัพเดตให้ต้องมีกุญแจตอนสตาร์ตเครื่อง และเพิ่มระยะเวลาสัญญาณกันขโมยดัง (กรณีไม่มีกุญแจ) จาก 30 วินาทีเป็น 1 นาที การอัพเดตต้องทำผ่านศูนย์บริการซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง


ภาพรถยนต์รุ่นใหม่ของ Kia จาก @Kia


ที่มา: Blognone

Zoox บริษัทแท็กซี่ไร้คนขับของ Amazon เริ่มให้บริการแท็กซี่บนถนนจริงแล้ว

Zoox บริษัทรถยนต์ไร้คนขับที่ Amazon ซื้อกิจการไปเมื่อปี 2020 เริ่มให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ (robotaxi) บนถนนจริงเป็นครั้งแรก

ความแตกต่างของ Zoox กับบริษัทรถยนต์ไร้คนขับอื่นๆ อย่าง Waymo/Cruise คือรถของ Zoox ออกแบบมาใหม่ทั้งหมด หน้าตาเป็นทรงกล่อง ไม่มีพวงมาลัย ไม่มีคันเร่งหรือเบรก เป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อการโดยสารล้วนๆ ไม่มีที่นั่งคนขับเลย

รถแท็กซี่ของ Zoox จะเริ่มใช้บริการเป็นรถชัทเทิลขนส่งพนักงานของ Zoox ในพื้นที่สำนักงานที่เมือง Foster City รัฐแคลิฟอร์เนีย (ทางใต้ของซานฟรานซิสโก)



ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Pico บริษัทเฮดเซต VR ของ ByteDance ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 แล้ว

มีรายงานส่วนแบ่งการตลาดของเฮดเซต VR ทั่วโลกจาก IDC พบว่า Meta ซึ่งเดิมมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 90% ในปี 2021 ตัวเลขล่าสุดเมื่อไตรมาสที่ 3 ปี 2022 ลดลงมาที่ 75% โดยมีอันดับ 2 ที่กำลังมาแรงคือ Pica ส่วนอันดับอื่นส่วนแบ่งต่ำกว่า 3%

Pico เป็นแบรนด์เฮดเซต VR ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทของ ByteDance เจ้าของ TikTok ที่น่าสนใจคือภาพรวมตลาดเฮดเซตนั้น ผู้ผลิตทุกรายมีจำนวนส่งมอบที่ลดลง มีเพียง Pico ที่จำนวนส่งมอบเพิ่มขึ้น

Pico ทำตลาดเฮดเซต VR ขายกับลูกค้าทั่วไป และมีขายเฉพาะในยุโรปและเอเชีย ยังไม่ได้ทำตลาดในอเมริกา

ที่มา: Blognone

กลุ่มต่อต้าน Tesla Full Self-Driving ไปไกล ซื้อโฆษณา Super Bowl บอกว่าระบบอัตโนมัติอันตราย

ในสหรัฐอเมริกามีกลุ่มรณรงค์ชื่อ The Dawn Project นำโดย Dan O’Dowd เศรษฐีเจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์ Green Hills Software ทำด้านระบบปฏิบัติการฝังตัว

กลุ่ม The Dawn Project รณรงค์ต่อต้านการใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติ Full Self-Driving ของ Tesla ว่ายังไม่มีความปลอดภัยมากพอสำหรับการใช้บนถนนจริง และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อคนเดินถนนได้ (เป้าหมายคือระบบคอมพิวเตอร์ในภาพรวมควรปลอดภัย แต่สนใจ Tesla มากเป็นพิเศษ)

แคมเปญรณรงค์ของกลุ่มมีหลายทาง มีทั้งการซื้อหน้าโฆษณาหนังสือพิมพ์ เข้าชื่อกดดันนักการเมือง แต่ล่าสุดแคมเปญกำลังไปไกลถึงการซื้อสล็อตโฆษณาในช่วงพักครึ่ง Super Bowl ซึ่งมีราคาแพงมหาศาล เพื่อเผยแพร่คลิปโฆษณาว่า Full Self-Driving เป็นภัยต่อสังคม (จะออนแอร์ในการแข่งขันวันพรุ่งนี้ 13 กุมภาพันธ์ ตอนเช้า ตามเวลาประเทศไทย)


คลิปโฆษณาของ The Dawn Project ถูกวิจารณ์มาตลอดว่าตั้งใจโจมตี Tesla และนำเคสสุดโต่งมานำเสนอ โดยไม่มี methodology การทดลองที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งไม่ได้พูดถึงระบบช่วยขับขี่ของรถยนต์แบรนด์อื่นๆ รวมถึงรถยนต์ไร้คนขับของ Waymo/Cruise ด้วย ในขณะที่ฝั่งของ The Dawn Project ก็พยายามยืนยันว่าเผยแพร่ฟุตเตจวิดีโอทั้งหมดอยู่แล้ว ตรวจสอบวิธีการทดลองย้อนกลับได้

ที่มา: Blognone

พนักงาน Google ไม่พอใจที่บริษัทเร่งเปิดตัว Bard ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไม่พร้อม

มีรายงานจากสื่อต่างประเทศว่าพนักงานของ Google เองก็ไม่พอใจที่บริษัทรีบเปิดตัวบอตลักษณะเดียวกับ ChatGPT เนื่องจากรู้ๆ อยู่ว่าไม่พร้อม แต่ก็ยังรีบเข็นออกมา

ทาง CNBC รายงานว่าพนักงานของ Google บอกว่าเป็นความผิดพลาดของ ศุนทัร ปิจไช (Sundar Pichai) หรือ CEO ของ Google ที่เร่งเปิดตัว Bard หรือแชตบอตลักษณะแบบเดียวกันกับ ChatGPT ออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พร้อมดี รวมถึงวิจารณ์เรื่องการปลดพนักงานออกจากบริษัทด้วย โดยเป็นการกระทำที่ไม่ได้มองเรื่องผลระยะยาวของบริษัท

 "พนักงานของ Google มองว่านี่เป็นการกระทำที่ไม่มีความเป็น Google เลย"

ก่อนหน้านี้ Google ได้โปรโมต Bard ผ่าน Twitter โดยการโชว์ทักษะการสรุปข้อมูลเกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์เจมส์ เว็บบ์ (หรือ JWST) ให้เด็กอายุ 9 ขวบเข้าใจง่ายๆ โดย Bard ดันให้ข้อมูลผิด โดยกล้องโทรทรรศน์เจมส์ เว็บบ์ หรือ JWST ไม่ใช่กล้องโทรทรรศน์ตัวแรกของโลกที่สามารถถ่ายภาพดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ หรือดาวเคราะห์นอกระบบเป็นครั้งแรก แต่เป็น Very Large Telescope หรือ VLT จากหอดูดาวทางตอนใต้ของยุโรป

ที่มา: Beartai

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Lawson เริ่มให้บริการร้านสะดวกซื้อไร้แคชเชียร์แบบเดียวกับ Amazon Go

Lawson เครือร้านสะดวกซื้อชื่อดังของญี่ปุ่นเตรียมเปิด Lawson Go ร้านสะดวกซื้อแบบไม่มีพนักงานคิดเงิน โดยใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับ Amazon Go

ที่ว่าใช้เทคโนโลยีเดียวกันนี้หมายถึงการใช้ระบบ computer vision ในการตรวจสอบการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าภายในร้าน โดยในการใช้บริการลูกค้าจะต้องติดตั้งแอป Lawson Go ในสมาร์ทโฟนและผูกบัญขีบัตรเครดิตกับแอป เมื่อเดินเข้าไปภายในร้านก็เปิดแอปเพื่อสร้างรหัส QR แล้วนำไปสแกนตรงทางเข้าร้าน หลังจากนั้นก็เพียงแต่เดินเลือกซื้อสินค้าภายในร้านแล้วเดินออกจากร้านได้เลย

ร้าน Lawson Go ให้บริการแบบไม่มีแคชเชียร์

ระบบ computer vision และเซ็นเซอร์วัดน้ำหนักสินค้าบนชั้นวางจะทำงานร่วมกันเพื่อตรวจสอบว่าลูกค้าผู้ใช้บริการแต่ละคนได้เลือกซื้อหยิบสินค้าอะไรไปบ้าง เมื่อลูกค้าคนดังกล่าวเดินออกจากร้านระบบก็จะรวมข้อมูลสินค้าทั้งหมดเพื่อคิดเงินโดยการตัดเงินผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับแอป Lawson Go ไว้ โดยใบเสร็จค่าสินค้าจะถูกส่งไปยังลูกค้าผ่านทางแอป

แอป Lawson Go ที่ใช้ยืนยันตัวตนโดยสร้างรหัส QR ไปสแกนที่ทางเข้าร้าน และเป็นช่องทางรับใบเสร็จดิจิทัลค่าสินค้า

Lawson Go เปิดให้บริการสาขาแรกที่อาคาร Mitsubishi Shokuhin ใน Tokyo เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ภายในร้านจะยังมีพนักงานทำงานอยู่ แต่จะทำหน้าที่หลักเพื่อเติมสินค้าและดูแลความเรียบร้อยภายในร้านเท่านั้นโดยไม่ได้ให้บริการคิดเงิน Lawson ระบุว่าในอนาคตจะขยายสาขา Lawson Go และจะเพิ่มเคาน์เตอร์คิดเงินด้วยตนเองเป็นทางเลือกการจ่ายเงินค่าสินค้าให้แก่ผู้มาใช้บริการอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2565

Cloudflare เลิกใช้ Elasticsearch เก็บ log หันไปใช้ ClickHouse แทน

Cloudflare รายงานถึงการเปลี่ยนฐานข้อมูลสำหรับเก็บ log จากเดิมที่ใช้ Elasticsearch หันมาใช้ฐานข้อมูลแบบคอลัมน์ ClickHouse หลังจากพบข้อจำกัดของ Elasticsearch หลายอย่าง ได้แก่
  • Mapping Explosion: เนื่องจากข้อมูล log มักมีฟิลด์เปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ แต่ Elasticsearch พยายาม index ทุกฟิลด์แยกจากกัน ทำให้เมื่อถังข้อมูลมีฟิลด์จำนวนมากเข้าก็จะกินหน่วยความจำมาก ทางแก้ปัญหาของ Elasticsearch คือจำกัดฟิลด์ที่ใช้งานแต่ก็จะทำให้ไม่สามารถค้นหาฟิลด์ที่ไม่ได้ระบุไว้
  • Multi-tenancy: ตอนนี้ Elasticsearch ไม่สามารถจำกัดจำนวนเอกสารที่ผู้ใช้ต้องสแกนในการคิวรีแต่ละครั้ง ส่งผลให้ผู้ใช้คนใดคนหนึ่งส่งคำสั่งคิวรีหนักๆ ก็จะทำทั้งคลัสเตอร์ช้าไปได้
  • การจัดการยาก: หากคลัสเตอร์ Elasticsearch ทำงานผิดพลาดจนกลายเป็น degrade แล้วกระบวนการกู้คืนจะใช้เวลานาน การ index ฐานข้อมูลใหม่กินเวลานาน และกระบวนการย้ายข้อมูลจากฐานข้อมูล hot ไป cold กระทบประสิทธิภาพคลัสเตอร์
  • การจัดการหน่วยความจำจาวา: เนื่องจาก Elasticsearch ใช้จาวาจึงมีช่วงเวลาที่ garbage collector ทำงาน ทำให้เสียประสิทธิภาพในช่วงนั้น ทาง Cloudflare พยายามเปลี่ยนตัว garbage collector แล้วแต่ก็ไม่ดีขึ้นนัก

การเปลี่ยนไปใช้ ClickHouse ได้เปรียบหลายอย่าง เช่น การเพิ่ม index ในฟิลด์ใดๆ สามารถทำได้ทันที, ตัวฐานข้อมูลบีบอัดเป็นค่าเริ่มต้นและคอนฟิกแยกกระบวนการบีบอัดรายฟิลด์ได้, และการขยายคลัสเตอร์ได้ประสิทธิภาพตามขนาดคลัสเตอร์ที่ขยาย (linearly scalable)

ในบทความนี้ Cloudflare ยังแนะนำถึงการใช้ ClickHouse ว่าควรเลือกรูปแบบการเก็บข้อมูลว่าจากเก็บแยกฟิลด์แบบ SQL ปกติที่ต้อง ALTER TABLE ทุกครั้งเพื่อเพิ่มฟิลด์ หรือจะใช้ JSON เพื่อเก็บฟิลด์ที่ไม่แน่นอน แต่มีข้อจำกัดว่าไม่ควรมีข้อมูลเกิน 1,000 ฟิลด์ สำหรับ Cloudflare ที่มีฟิลด์จำนวนมากก็เลือกเก็บข้อมูลเป็น array ของฟิลด์อื่นๆ ทั้งหมด

ผลที่ได้จากการเปลี่ยนไช้ ClickHouse ทำให้ Cloudflare ลดการใช้ซีพียูและหน่วยความจำจากการเขียนลง 8 เท่า ขนาดข้อมูลลดลง 10 เท่า ทำให้ Cloudflare สามารถเก็บข้อมูลเต็มรูปแบบไม่ต้อง sampling บางส่วน, และการคิวรีเกือบทั้งหมดประสิทธิภาพดีขึ้นมาก

แม้จะชม ClickHouse ค่อนข้างมากแต่ทาง Cloudflare ก็ระบุว่า Elasticsearch เป็นตัวค้นหาแบบ full text ที่ดี และการใช้งานของแต่ละที่ก็อาจจะต่างกันจึงควรพิจารณาการใช้งานจริงด้วย

ที่มา: Blognone

O.MG Cable สาย USB แฮคได้ที่ทำให้ทุกคนต้องระวังการเสียบมั่วซั่ว

เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับแฮคเกอร์ในปัจจุบันนี้ มีความก้าวหน้าไปมากจนถึงขนาดที่หลายอย่างดูเผินๆ ก็เหมือนเป็นข้าวของเครื่องใช้ธรรมดาที่ไม่น่าจะมีฟังก์ชันอันตรายแอบแฝง แต่สาย USB ที่ชื่อ O.MG Cable นี้อาจต้องทำให้เปลี่ยนความคิดใหม่และระวังมากขึ้นก่อนจะคว้าสาย USB ของใครมาเสียบคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ

O.MG Cable คือสาย USB ที่ผลิตด้วยมือซึ่งดูหน้าตาธรรมดาแทบไม่ต่างจากสายชาร์จหรือสายถ่ายโอนข้อมูลทั่วไป แต่ความไม่ธรรมดาของมันคือสิ่งที่แฝงอยู่ภายในซึ่งมีทั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์, การเชื่อมต่อ USB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่ทำได้ทั้งรับส่งข้อมูลที่มันแฮคได้ไปยังเซิร์ฟเวอร์และรับคำสั่งโจมตีจากเซิร์ฟเวอร์มาก็ได้ โดยร่นนี้เป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดจากสายที่ผลิตออกมาเมื่อปีก่อน เพิ่มความสามารถในการรับข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์เพื่อการโจมตี (จากแต่เดิมที่ทำได้เพียงดักจับข้อมูล)

หน้าตาสาย O.MG Cable กับเว็บที่ใช้งานคู่กับมัน

สิ่งที่มันทำได้ไม่เพียงแต่การดักจับอ่านข้อมูลการใช้แป้นพิมพ์ แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือมันทำการโจมตีแบบ keystroke injection ได้ด้วย ว่าง่ายๆ คือผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลผ่านทาง Wi-Fi ไปให้สาย O.MG Cable เพื่อหลอกให้อุปกรณ์ที่มันเสียบอยู่กับสายนั้นเข้าใจว่ามีข้อมูลถูกคีย์ส่งมาจริง และการโจมตีนี้ยังทำกับอุปกรณ์ที่อยู่ในโซน air gap ได้ด้วย (อุปกรณ์ที่โดน air gap หรืออยู่ในโซน air gap หมายถึงอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นในช่องทางใดเลย ซึ่งเป็นวิธีการออกแบบระบบเครือข่ายที่ใช้กับอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมาก เพื่อยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ให้กับอุปกรณ์นั้น)

ภาพเอกซเรย์แสดงให้เห็นว่ามีอะไรอยู่ในสาย O.MG Cable

ตัวสาย O.MG Cable นั้นมีทั้งแบบหัว Lightning, micro USB และ USB-C โดยมีแบ่งขายเป็น 3 รุ่น คือ Basic, Plus และ Elite ซึ่งราคารุ่น Elite ที่แพงที่สุดนั้นตั้งไว้ที่เส้นละ 179.99 เหรียญ ทั้งนี้ MG ซึ่งเป็นผู้พัฒนาสาย O.MG Cable นี้บอกว่าอุปกรณ์แฮคที่มีอยู่ในก่อนในท้องตลาดที่ทำงานได้ระดับเดียวกันนี้ปกติขายกันอยู่ที่ราคาราวๆ 20,000 เหรียญ

ที่มา: Blognone