วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Boston Dynamics เตรียมวางขายหุ่นยนต์สุนัข SpotMini ในปี 2019


Marc Raiber ผู้ก่อตั้งบริษัท Boston Dynamics ได้กล่าวกับทางเว็บไซต์ TechCrunch ว่า หุ่นยนต์ SpotMini ที่มีลักษณะคล้ายสุนัขนั้น กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการผลิต (Pre-Production) และจะพร้อมวางจำหน่ายในปี 2019

“SpotMini เป็นหุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นจากแนวคิดที่จะใช้ในออฟฟิศ ใช้งานในเชิงธุรกิจ และใช้ในบ้านด้วย”


Boston Dynamics ได้กล่าวว่าจะเริ่มผลิต SpotMini ในครั้งแรก จำนวน 100 ตัว ในช่วงปลายปี 2018 และจะเพิ่มจำนวนการผลิตมากขึ้นในปี 2019 แต่ยังไม่มีการเปิดเผยราคาแต่อย่างใด

ทาง Boston Dynamics ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า SpotMini รุ่นต้นแบบล่าสุดนี้นั้นมีต้นทุนถูกกว่ารุ่นที่สร้างมาก่อนหน้านี้ถึง 10 เท่า ซึ่งทางเว็บไซต์ theverge.com ได้คาดการณ์ว่าราคาวางจำหน่าย “น่าจะยังแพงมาก” อยู่เหมือนกัน


บริษัท Boston Dynamics ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1992 ซึ่งแยกตัวออกมาจากห้องแล็บของ MIT (Massachusetts Institute of Technology: สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์) จากนั้นจีงได้เข้าร่วมกับ Alphabet Corp. (บริษัทแม่ของ Google) และถูก SoftBank ซื้อกิจการไปเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา

หุ่นยนต์ที่น่าสนใจของ Boston Dynamics มีดังนี้
  • BigDog : ได้รับทุนวิจัยจาก DARPA (Defense Advanced Research Projects Agency: สำนักโครงการวิจัยขั้นสูงด้านกลาโหม) โดยหวังจะใช้ในการบรรทุกของสำหรับทหาร
  • Cheetah : วิ่งได้เร็ว 28 ไมล์ต่อชั่วโมง (45 กิโลเมตรต่อวินาที)
  • LittleDog : วิจัยให้กับทาง DARPA แต่ยังคงมาตรฐานของ Boston Dynamics ไว้
  • RiSE : สามารถปืนขึ้นพื้นผิวแนวตั้งจากพื้นดินได้
  • SandFlea : หุ่นยนต์ขนาดเล็ก สามารถกระโดดได้สูง 30 ฟุต
  • PETMAN (Protection Ensemble Test Mannequin) : สร้างขึ้นเพื่อทดสอบชุดป้องกันเคมี
  • LS3 (Legged Squad Support System) : หรือ Alphadog เป็นหุ่นยนต์ BigDog เวอร์ชั่นสำหรับใช้ในการทหาร
  • Atlas : มีความสูง 182 ซม. เป็นหุ่นยนต์ Humanoid ที่พัฒนาขึ้นมาจาก PETMAN
  • RHex : หุ่นยนต์ที่สามารถเคลื่อนไหวบนพื้นผิวขรุขระได้
  • SpotMini : หุ่นยนต์สี่ขา ลักษณะคล้ายสุนัข ถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นอื่น
  • Handle : มีความสูง 198 ซม. วิ่งได้ไกล 15 ไมล์ (24 กม.) จากการชาร์จเพียงครั้งเดียว

ที่มา: Beartai

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ยังล้ำได้อีก : หุ่นยนต์ Boston Dynamics โชว์วิ่งกลางแจ้ง และหลบหลีกได้อัตโนมัติ

จากที่สามารถกระโดดตีลังกาหลัง และเปิดประตูให้หุ่นยนต์อีกตัวได้ ล่าสุด Boston Dinamics ได้แสดงทักษะการวิ่งและหลบหลีกสิ่งกีดขวางสำหรับหุ่นยนต์


หุ่นยนต์ Atlas และ SpotMini ของบริษัท Boston Dynamics ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ประกอบกับ AI ที่สามารถเรียนรู้และตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม

ล่าสุด Boston Dynamics ได้โพสต์วิดีโอใหม่ลงบน YouTube ซึ่งแสดงให้เห็นการพัฒนา Machine Learning สำหรับหุ่นยนต์ทั้ง 2 ตัวนี้อย่างชัดเจน


วิดีโอข้างต้นได้แสดงให้เห็นหุ่นยนต์ Humanoid (หุ่นยนต์เสมือนมนุษย์) นามว่า Atlas ที่สามารถวิ่งบนพื้นหญ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ และหยุดเมื่อเจอท่อนไม้ขวางทาง จากนั้นจึงกระโดดข้ามท่อนไม้ไป


ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ทาง Boston Dynamics ได้โพสต์วิดีโอเพื่อแสดงทักษะการกระโดดตีลังกาหลังของ Atlas มาแล้ว


อีกวิดีโอเป็นหุ่นยนต์ลักษณะคล้ายสุนัข นามว่า SpotMini ที่สามารถวิ่งไปรอบๆ ออฟฟิศ และสามารถก้าวขึ้น-ลงบันไดได้อย่างคล่องตัว


ทาง Boston Dynamics กล่าวว่า ต้องขับเคลื่อนหุ่นยนต์ไปทั่วพื้นที่ เพื่อให้มันตรวจจับพื้นที่ได้ และจากวิดีโอนี้ดูเหมือนว่า SpotMini จะสามารถเรียนรู้การเคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ และใช้กล้องหน้าสำหรับหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

ที่มา: Beartai

รัฐ California ออกข้อบังคับ บ้านที่สร้างใหม่ ต้องติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ มีผลปี 2020

รัฐแคลิฟอร์เนีย ของอเมริกาได้ออกกฎระเบียบบังคับ ให้บ้านพักอาศัยที่ก่อสร้างใหม่ จะต้องติดตั้งแผงโซลาร์พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าภายในบ้าน มีผลตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นข้อบังคับหนึ่งตามแผนที่รัฐต้องการลดการปล่อยคาร์บอนลงให้ได้ 40% ภายในปี 2030

นักวิเคราะห์มองว่าประกาศของแคลิฟอร์เนียนี้จะทำให้แผงโซลาร์ ไม่ได้มีสถานะเป็นตัวเลือกในบ้าน แต่กลายมาเป็นของจำเป็นเทียบเท่ากับระบบท่อแก๊สหรือฮีทเตอร์ ซึ่งดีต่ออุตสาหกรรมผู้ผลิตแผงโซลาร์โดยรวม อย่างไรก็ตามมีข้อกังวลว่าประกาศนี้จะทำให้ต้นทุนสร้างบ้านในแคลิฟอร์เนียสูงขึ้นไปอีก


ที่มา: Blognone

Red Hat จับมือไมโครซอฟท์ นำแพลตฟอร์ม OpenShift มาสู่ Azure

Red Hat ประกาศความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ นำแพลตฟอร์มจัดการแอพพลิเคชัน OpenShift ไปให้บริการบนคลาวด์ Azure

OpenShift เป็นแพลตฟอร์มจัดการแอพพลิเคชันสำหรับยุคคลาวด์ ตัวมันเองประกอบด้วย Docker, Kubernetes, Red Hat Atomic และเครื่องมืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การใช้งานสามารถรันได้ทั้งแบบ on premise และบนคลาวด์ของ Red Hat (ในชื่อ OpenShift Online)

ที่ผ่านมา Red Hat มีบริการนำ OpenShift ไปรันบนคลาวด์หลายยี่ห้อ แต่ความร่วมมือครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้ให้บริการคลาวด์อย่างไมโครซอฟท์ เข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมบริหาร OpenShift ร่วมกับ Red Hat ด้วย

ความร่วมมือครั้งนี้ยังส่งผลให้แพลตฟอร์มลินุกซ์และวินโดวส์ใกล้ชิดกันมากขึ้น ฝั่งของไมโครซอฟท์จะนำเครื่องมืออย่าง SQL Server และ Visual Studio เข้ามาต่อเชื่อมกับฝั่งของ Red Hat มากขึ้นด้วย


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

อนาคตใหม่ Grab ในไทย ส่งคน, ส่งของ, ส่งอาหาร, e-wallet และกู้เงินได้ด้วย

Grab ประเทศไทยเผยวิสัยทัศน์หลังบริษัท Grab ประกาศเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของ Uber ในอาเซียน โดยบริษัทระบุว่าจะเดินหน้าสร้าง ecosystem ให้ครบทั้งส่งคน, ส่งของ, ส่งอาหาร รวมถึง E-wallet และมีเป้าหมายจะทำบริการการเงิน ปล่อยกู้เงินได้ ตั้งเป้าคนใช้บริการการเงิน 100 ล้านราย ภายในปี 2020


Grab เปิดตัว Grab Food อย่างเป็นทางการ หลังจากทดลองใช้งานโดยไม่เสียค่าส่งมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2017 โดย ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ประจำ Grab ประเทศไทย ระบุว่า เป้าหมายคือส่งอาหารในระยะเวลาอันรวดเร็ว เน้นส่งระยะ 5 กิโลเมตรรอบตัวผู้ใช้เท่านั้น โดยจะคิดค่าส่งไม่เกินสิบบาท และจะส่งฟรีไปก่อนจนถึงสิ้นเดือน พฤษภาคมนี้

ด้านการควบรวมกับ Uber Eat ธรินทร์ บอกว่าเครือข่ายร้านอาหารเดิม มีอยู่ประมาณ 3,000 ร้านค้า รวมกับเครือข่ายของ Uber Eats อีก 1,000 เป็น 4,000 ร้านค้า และยังบอกเพิ่มเติมด้วยว่า Grab Food มีคนขับมากที่สุด (แต่ไม่บอกจำนวนว่าเท่าไร) และจากครั้งแรกที่ทดลองใช้ จนถึงตอนนี้มียอดส่งอาหารโตขึ้น 4.5 เท่า

ธรินทร์ ระบุเพิ่มเติมว่า Grab กำลังขยายพื้นที่ส่งอาหารให้ครอบคลุมทุกที่ในกรุงเทพฯ และขยายพันธมิตรร้านค้าด้วย

GrabPay ทางบริษัทบอกว่าเป็นบริการที่จะมีขึ้นในอนาคตในไทย ตอนนี้อยู่ระหว่างพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ ยังไม่สามารถใช้จ่ายตามร้านค้าได้ แต่สิ่งที่ทำได้แล้วตอนนี้คือ ตัดเงินผ่านธนาคาร ซึ่งมีพันธมิตรสถาบันการเงินในไทยแล้ว 9 แห่ง นอกจากนี้ GrabPay ก็ใช้เป็น E Wallet จ่ายค่าอาหารสตรีทฟู้ดได้แล้วที่สิงคโปร์


ธรินทร์ ระบุว่า ในอนาคตเมื่อผู้ใช้สามารถใช้ Grab Pay ซื้อของได้อย่างไร้รอยต่อแล้ว ขั้นถัดไปก็จะเป็นการบริการการเงินสร้างโอกาสทางธุรกิจให้คนอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์ร้านอาหาร คนขับรถ และผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการการเงิน สามารถดำเนินธุรกิจได้บนแพลตฟอร์มของ Grab โดยตั้งเป้าจะสามารถให้บริการแก่ผู้ประกอบการรายย่อยในอาเซียนได้ 100 ล้านราย ภายในปี 2020

ย้อนกลับไปเดือนมีนาคม Grab สำนักงานใหญ่สิงคโปร์ประกาศเปิดตัว Grab Financial แพลตฟอร์ม FinTech ให้บริการด้านการเงินและประกัน ซึ่งบริการอื่นๆ ของ Grab ที่เกี่ยวกับการเงินอย่าง GrabPay จะถูกรวมอยู่ภายใต้แพลตฟอร์มนี้ด้วย

ที่มา: Blognone

Microsoft บริการใหม่ๆ ด้าน AI บน Azure AI Platform ในงาน Microsoft Build 2018

ในงาน Microsoft Build 2018 ทาง Microsoft ได้ออกมาประกาศเปิดตัวบริการใหม่ๆ ด้าน AI จำนวนมาก ดังนี้

  • Vision Services เพิ่มความสามารถในการทำ Object Detection ให้กว้างมากขึ้น และปรับแต่งให้ทำการรองรับ Customized Object ได้
  • ปรับปรุงระบบ OCR ให้ดีขึ้น
  • Bing Visual Search มี API ให้ทำการค้นหาข้อมูลด้วยรูปภาพได้แล้ว
  • เปิด Public Preview ให้ Video Indexer สำหรับเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และสร้าง Index ให้ Video Stream
  • เปิดตัว Unified Speech Service ที่รองรับการปรับแต่งการทำ Speech Recognition, Voice Synthesis และ Speech Translator เองได้
  • สามารถ Export Custom Vision Model ออกมาใช้ที่ Edge หรือบนอุปกรณ์ Mobile ได้
  • เปิดตัว Cognitive Search ใช้ AI ทำความเข้าใจเนื้อหา ช่วยให้ผลการค้นหาบน Azure Search แม่นยำยิ่งขึ้นด้วยการรองรับการทำ OCR, Entity Recognition, Key Phrase Extraction, Language Detection, Image Analysis และอื่นๆ
  • ออกอัปเดตใหม่ให้ Azure Bot Service, Bot Builder SDK v4
  • เปิดตัว QnAMaker แบบ Public Preview
  • เปิดตัว 3 โครงการใหม่ Project Gesture, Project Personality Chat, Projtect Conversation Learner
  • เปิดตัว Azure ML SDK for Python แบบ Preview
  • เปิดตัว Azure ML Packages for Computer Vision, Financial Forecasting และ Text Analytics แบบ Preview
  • เปิดตัว ML.NET ระบบ Cross-platform Open Source ML Framework สำหรับ .NET Developer แบบ Preview ที่ https://github.com/dotnet/machinelearning
  • เปิดตัว Azure ML with Project Brainwave แบบ Preview ทำ Deep Neural Net ด้วยการใช้ Hardware Acceleration ช่วยเร่งความเร็วให้สูงขึ้นเป็นพิเศษได้
ที่มา: TechTalk

Ubuntu 18.04 LTS ออกแล้ว เลิกทำรุ่น 32 บิตแล้ว

ยุคนี้เป็นยุคที่จะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วงการ OS แบบ 64 บิตอย่างแท้จริง หลังจากที่ Apple ทำกับ iOS แล้วและจะเตรียมทำกับ macOS ด้วย อีกทั้งเมนบอร์ดที่ใช้ CPU Intel ในปี 2018 ขึ้นไปจะเริ่มตัด Legacy BIOS แบบเดิมทิ้งเหลือแค่ UEFI ที่รองรับแต่ OS แบบ 64 บิตเท่านั้น อ่านข่าว

ล่าสุด Ubuntu Linux ระบบปฏิบัติการฟรีชื่อดัง ก็ประกาศเปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการแล้ว และก็ “เลิกทำรุ่น 32 บิต” ไปแล้วเช่นกัน


โดย Ubuntu ได้เปิดให้ดาวน์โหลด Ubuntu 18.04 LTS อย่างเป็นทางการ โดย LTS นั้นจะเป็นรุ่นที่มีระยะการสนับสนุนยาวนานกว่ารุ่นปกติ มีการอัพเดตความปลอดภัยถึง 5 ปี ใช้ Codename ว่า Bionic Beaver

ซึ่งรุ่นนี้คือ LTS รุ่นแรกที่กลับมาใช้ Desktop แบบ GNOME แทน Unity, มาพร้อมกับ LibreOffice 6.0, OpenJDK 10 ซึ่งเป็น Software ตัวล่าสุด

โดยสามารถดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ https://www.ubuntu.com/download/desktop

ที่มา: Beartai

จีนเพิ่มหลักสูตร AI สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาแล้ว เพื่อผลิตบุคลากรรองรับ ไม่ต้องรอถึงมหาวิทยาลัย

คนที่ติดตามเรื่อง AI คงทราบว่าปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของวงการนี้ในโลกคือการขาดแคลนบุคลากร ล่าสุดจีนมีแผนแก้ปัญหานี้ที่จริงจังขึ้นอีก โดยนำหลักสูตร AI มาใส่เป็นวิชาหนึ่งในระดับมัธยมศึกษาเลย เพื่อสร้างบุคลากรกันตั้งแต่เยาวชน ไม่ต้องรอให้ถึงระดับมหาวิทยาลัย

โดยตำราเรียนวิชานี้ชื่อว่า Fundamentals of Artificial Intelligence มีผู้แต่งหลักคือ Tang Xiaoou ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์สาขาวิศวกรรมสารสนเทศที่ Chinese University of Hong Kong และเป็นประธาน SenseTime สตาร์ทอัพสาย AI ที่มีมูลค่ากิจการสูงสุดในโลก ร่วมกับทีมอาจารย์จาก East China Normal University และอาจารย์จากโรงเรียนมัธยม 5 แห่งในเซี่ยงไฮ้

หลักสูตรนี้เริ่มทำการเรียนการสอนแล้วในโรงเรียนมัธยม 40 แห่งในจีน และมีแผนจะเพิ่มโรงเรียนให้ได้ทั่วประเทศ ปัจจุบันจีนมีความต้องการบุคลากรด้าน AI ราว 5 ล้านคน ซึ่งตอนนี้ยังขาดแคลนมาก

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Samsung เปิดตัว microSD รุ่น Pro Endurance เน้นวิดีโอ ความทนทานสูง

Samsung PRO Endurance การ์ดความจำหรือ microSD สำหรับถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะ มาพร้อมความทนทานสูง และถ่ายวิดีโอ Full HD ได้สูงสุด 43,800 ชั่วโมง !!
ก่อนหน้านี้ WD ก็เพิ่งเปิดตัว Purple microSD ไป มาสายวิดีโอเหมือนกัน แต่รายนั้นเน้นเรื่องความปลอดภัย รอบนี้ทาง Samsung เอาด้วย แต่เน้นเรื่องความทนทานแทน พบกับ Samsung PRO Endurance การ์ดความจำหรือ microSD สำหรับถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะ

Samsung PRO Endurance ในรายงานเผยว่า มาพร้อมความทนทานมากกว่า microSD ทั่วไปถึง 25 เท่า และสามารถกันน้ำ (IEC 60529, IPX7) ใช้งานได้ในอุณหภูมิร้อนสูงสุด 85 องศา และอุณหภูมิหนาวสูงสุด – 25 องศา ทนทานต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและรังสีเอกซ์

สำหรับสเปก PRO Endurance ก็รองรับการถ่ายวิดีโดทั้ง Full HD และ 4K โดยมีความเร็วในการอ่านที่ 100MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนอยู่ที่ 30MB/s มาพร้อมคลาส U1 (Class 10) และ UHS-I มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 32GB, 64GB และ 128GB ส่วนรายละเอียดสเปกและราคามีดังนี้
  • รุ่น 32GB มาพร้อมประกัน 2 ปี บันทึกวิดีโอ Full HD สูงสุด 17,520 ชั่วโมง
  • รุ่น 64GB มาพร้อมประกัน 3 ปี บันทึกวิดีโอ Full HD สูงสุด 26,280 ชั่วโมง
  • รุ่น 128GB มาพร้อมประกัน 5 ปี บันทึกวิดีโอ Full HD สูงสุด 43,800 ชั่วโมง
ส่วนราคาของ Samsung PRO Endurance ก็เริ่มต้นที่ 24.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 800 บาท สำหรับรุ่น 32GB กับ 44.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,500 บาท สำหรับรุ่น 64GB และ 89.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,900 บาท สำหรับรุ่น 128GB เตรียมวางขายเร็วๆ นี้ครับ

ที่มา: ARiP

เปิดตัว Oculus Go แว่น VR ราคาย่อมเยา มาพร้อมซีพียูและหน้าจอในตัว

หลังมีข่าวมาสักพัก ในที่สุดทาง Oculus ก็เผยโฉมตัวแว่น VR ราคาย่อมเยาแล้ว นั้นคือ Oculus Go แว่น VR แบบ Stand Alone สามารถส่วมใส่แล้วใช้งานได้เลย โดยไม่ต้องต่อคอมฯ หรือสมาร์ทโฟน เริ่มต้นที่เพียง 199 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,400 บาทเท่านั้น


มาตามสัญญา Oculus เปิดตัว Oculus Go แว่น VR แบบ Stand Alone พร้อมใช้งานเลย ไม่ต้องใส่สมาร์ทโฟน หรือเชื่อมต่อกับคอมฯ แต่อย่างใด มาพร้อมคุณภาพและราคาที่เกินคาด

สำหรับตัว Oculus Go ภายในก็มีซีพียู Qualcomm Snapdragon 821 เป็นหน่วยประมวลผลหลัก มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว รวมกันเป็นความละเอียด WQHD (2560 x 1440) รองรับ Refresh Rate ตั้งแต่ 60Hz ถึง 72Hz มีลำโพงและไมโครโฟนในตัว และสุดท้ายแบตฯ ที่สามารถดูวิดีโอได้นาน 2 – 2 ชม.ครึ่ง ถ้าเล่นเกมก็ 1 ชม.ครึ่ง – 2 ชม. ทั้งนี้ตัวแว่นยังมาพร้อมจอยควบคุม (Controller) แยกต่างหากด้วย


ส่วนราคาของ Oculus Go ก็เริ่มต้นที่ 199 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,400 บาท สำหรับรุ่น 32GB และ 249 เหรียญฯ หรือประมาณ 7,900 บาท สำหรับรุ่น 64GBปิดให้สั่งจองได้แล้วที่ oculus.com เริ่มส่งของภายในวันที่ 5 – 8 พฤษภาคมนี้ สำหรับ 23 ประเทศแรก (ยังไม่มีไทย…)


ที่มา: ARiP

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ผลสำรวจล่าสุดชี้พนักงานองค์กรเกินครึ่งนิยมใช้ iOS มากกว่า Android

Jamf ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับจัดการอุปกรณ์ Apple ที่ใช้สำหรับองค์กร ได้ออกรายงานผลสำรวจล่าสุดระบุว่า 3 ใน 4 ของกลุ่มพนักงานในองค์กรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ iOS อย่าง iPhone, iPad หรือ Mac ก่อนเป็นอันดับแรก

ทั้งนี้ รายงานของ Jamf ได้ทำการสำรวจจากพนักงานว่า 580 รายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีพนักงานถึง 72% เลือกใช้งาน Mac และอีก 28% เลือกใช้ PC ขณะที่มีถึง 75% ที่เลือก iPhone หรือ iPad ขณะที่มีเพียง 25% ที่เลือกใช้ Android

นอกจากนี้ ยังมีสถิติที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกว่า พนักงานถึง 68% ตอบว่าพวกเขาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากสามารถเลือกอุปกรณ์ใช้ได้เอง รวมทั้งพนักงานอีก 35% ยังระบุว่าหากพวกเขาได้ใช้อุปกรณ์ทำงานที่เลือกเองจะยิ่งส่งผลต่อความภูมิใจเวลาทำงานได้อีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่า อุปกรณ์การทำงานที่เลือกใช้นั้นส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของพนักงานได้ไม่น้อยเลย

ที่มา: Beartai

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

Docker Enterprise Edition ออกเวอร์ชัน 2.0 รองรับ Kubernetes

บริษัท Docker Inc. เปิดตัว Docker Enterprise Edition 2.0 ถือเป็นเวอร์ชันสองต่อจาก Docker EE 1.0 ในปีที่แล้ว

ความแตกต่างสำคัญของ Docker EE กับ Docker รุ่นฟรี (Community Edition) คือบริการซัพพอร์ต, การรับรอง (certified) และฟีเจอร์ชั้นสูงอย่างระบบสแกนความปลอดภัย

ของใหม่ใน Docker EE 2.0 ได้แก่ รองรับ Kubernetes นอกเหนือจาก Swarm, ปรับระบบจัดการคลัสเตอร์ให้ใช้ง่ายขึ้น, รองรับ Layer 7 routing and load balancing (เฉพาะ Swarm), ระบบความปลอดภัย กำหนด policy เจาะจงเฉพาะอิมเมจที่ผ่านการรับรอง เป็นต้น


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

บัตรเครดิตในสหรัฐ ยกเลิกการเซ็นสลิปเมื่อรูดบัตร มีผลแล้ววันนี้

ผู้ให้บริการบัตรเครดิต 4 รายใหญ่ในสหรัฐคือ Visa, Mastercard, American Express, Discover ประกาศนโยบายยกเลิก "การเซ็นสลิป" กับการรูดบัตรในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เริ่มมีผลในวันที่ 13 เมษายน (เมื่อวานนี้)

ก่อนหน้านี้ บัตรเครดิตบางรายยกเลิกการเซ็นสลิปมาก่อนแล้ว แต่เฉพาะธุรกรรมที่จำนวนไม่มากนัก (ในบ้านเราก็เริ่มทำบ้างพอสมควรแล้ว) แต่ภายใต้นโยบายใหม่ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะไม่บังคับให้ลูกค้าต้องเซ็นสลิป รวมถึงร้านค้าไม่จำเป็นต้องเก็บสลิปที่เซ็นแล้ว แต่สุดท้ายการตัดสินใจขึ้นกับร้านค้าแต่ละราย ว่าจะยังต้องการลายเซ็นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การยกเลิกลายเซ็นในสหรัฐ ไม่ได้บังคับให้เปลี่ยนมาใช้ระบบกด PIN เหมือนกับในยุโรป (เสียบบัตร+กดรหัสเพื่อยืนยันตัวตน) ทำให้อาจมีข้อกังวลด้านความปลอดภัยในการรูดบัตรเช่นกัน


ที่มา: Blognone

เปิดตัว JPEG XS มาตรฐานไฟล์รูปภาพแบบใหม่สำหรับ Virtual Reality, Drone และรถยนต์ไร้คนขับ

Joint Photographic Experts Group (JPEG) ได้ออกมาประกาศเปิดตัว JPEG XS ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับไฟล์รูปภาพที่รองรับภาพขนาดใหญ่คุณภาพสูงได้ สำหรับใช้ใน Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR), Drone, ภาพถ่ายจากอวกาศ, ภาพยนตร์ และรถยนต์ไร้คนขับ


JPEG XS นี้ใช้กระบวนการการบีบอัดไฟล์แบบใหม่ที่ขนาดอาจจะไม่เล็กเท่าเดิม แต่ก็ใช้พลังงานน้อยลงและยังได้คุณภาพภาพที่สูงมากอยู่ เพื่อให้สามารถส่งผ่านระบบโครงข่ายอย่าง 5G และ Wi-Fi ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปกติแล้ว JPEG นั้นจะสามารถบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลงได้ประมาณ 10 เท่า แต่ JPEG XS นี้จะบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลงได้ประมาณ 6 เท่าเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ของ JPEG XS นี้แทบจะไม่ต่างจากภาพต้นฉบับเลย

JPEG XS นี้จะยังคงเป็น Open Source เช่นเดิม และเชื่อว่าในอนาคตก็อาจกลายเป็นอีกมาตรฐานไฟล์ภาพแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมได้

ที่มา: TechTalk

Apple กลายเป็นบริษัทที่ใช้พลังงานหมุนเวียนได้ครอบคลุม 100%

ตอนนี้ Apple กลายเป็นบริษัทที่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ครอบคลุมถึง 100% แล้วในส่วนธุรกิจ เช่น ร้านสาขา ออฟฟิศ ดาต้าเซนเตอร์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในอีก 43 ประเทศ เช่น อเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และอินเดีย เป็นต้น

 
จากคำกล่าวของ Apple พวกเขาให้สัญญาที่จะสู้กับภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและสร้างสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ด้วยการสร้างโปรเจ็คการใช้งานพลังงานหมุนเวียนขึ้นมาหลายโครงการเพื่อตอบโจทย์นี้ เช่น แผงโซล่าร์เซลล์ ฟาร์มพลังงานลม เทคโนโลยีแก๊สชีวภาพและระบบสร้าง Micro-hydro  รวมถึงเทคโนโลยีในการกักเก็บพลังงานอีกด้วย

โดยตอนนี้ Apple มีโปรเจ็คพลังงานหมุนเวียนถึง 25 โครงการซึ่งผลิตพลังงานได้กว่า 626 เมกะวัตต์ ตัวอย่างเช่น Headquarter ใหม่ใน Cupertino รัฐแคลิฟอร์เนีย มีการใช้แผงโซลาเซลล์บนดาดฟ้าถึงที่ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 17 เมกะวัตต์ ตามรูปด้านบน

ที่มา: TechTalk

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

Tesla Model 3 รุ่นจำหน่ายจริงราคาเริ่ม 1.16 ล้านบาท พวงมาลัยขวารอ ปี 2019

Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ เผยสเปคและราคาเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงในต่างประเทศอย่างเป็นทางการ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard เริ่มต้น 1.16 ล้านบาท กับ Long Range ราคา 1.46 ล้านบาท ส่วนพวงมาลัยขวาจะเริ่มต้นผลิตในปี 2019


Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ รถไฟฟ้าระดับเริ่มต้น (Entry Level) หรือพูดง่ายๆ ว่าราคาจ่ายได้สบายกว่า Tesla Model S ในเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงที่หลายคนรอคอยนั้นได้รับการเผยโฉมรวมถึงรายละเอียดทางเทคนิคอย่างเป็นทางการแล้ว และถึงแม้ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะดูล้ำเข้ากับยุคสมัยแต่ Tesla ก็ขอย้ำแล้วย้ำอีกว่า Tesla Model 3 ไม่ใช่รถรุ่นใหม่ที่ไฮเทคกว่าที่เคยมี หนำซ้ำยังธรรมดา เล็ก เรียบง่าย และด้อยกว่า Tesla Model S ในทุกด้าน เพื่อให้มีราคาจำหน่ายที่ถูกลงเท่านั้น

แต่เราเชื่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่ก็รับรู้อยู่แล้วว่า Tesla Model 3 ปี 2018 นั้นถูกวางตำแหน่งไว้อย่างไร และไม่ว่า Tesla จะย้ำแค่ไหนก็ไม่น่าทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่พลีชีพจองไปแล้วล้มเลิกความตั้งใจที่จะครอบครอง Tesla Model 3 หรือหันไปซื้อ Tesla Model S ได้มากกว่านี้แน่นอน (อย่างน้อยก็ตอนนี้) เพราะจัดว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ดูดีและมีความคล้ายกับ Tesla Model S มาก แต่ราคาไม่แพงจนเกินไปนัก (สำหรับรถไฟฟ้าและไม่บวกรายการที่เป็นออปชั่น) โดย Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard ราคาเริ่มต้น 35,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.16 ล้านบาท) และ Long Range ราคาเริ่มต้น 44,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.46 ล้านบาท)


สำหรับดีไซน์ภายนอกของ Tesla Model 3 ปี 2018 เวอร์ชั่นผลิตจริงก็ไม่ต่างไปจากภาพก่อนหน้าที่เห็นกันจนชินตานัก ซึ่งหลายคนอาจเผลอคิดไปว่าต่างประเทศมีขับกันเกลื่อนแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ล็อตแรกเพิ่งออกจากสายการผลิตเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2560 และผู้บริหารรวมถึงพนักงานของ Tesla ก็ได้ไปใช้ก่อน ส่วนฝั่งลูกค้านอกจริงๆ ส่งมอบไปได้แค่ 30 คัน เมื่อ 28 กรกฎาคม 2560 จากยอดจองจำนวนมหาศาล

ขณะที่ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จำนวน 100 คัน มีกำหนดส่งมอบได้อีกทีเดือนสิงหาคม และจะเพิ่มเป็น 1,500 คัน ในเดือนกันยายน ทั้งนี้หลังจากเดือนธันวาคม 2560 เป็นต้นไป ถึงจะผลิตได้เต็มกำลังสูงสุดที่ทำได้ อยู่ที่ประมาณ 5,000 คัน/สัปดาห์ ส่วนมิติตัวถังของ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ นั้นก็ไม่ได้เล็กมาก เพราะยาว 4,673 มม. กว้างถึง 1,932 มม. (ยังไม่รวมกระจกมองข้างด้วยซ้ำ) สูง 1,442 มม. ฐานล้อยาว 2,875 มม. และหนัก 1,603 กก. ในรุ่นย่อย Standard ส่วนรุ่นย่อย Long Range หนัก 1,730 กก. มีสีตัวถังมีเพียงสีดำเท่านั้นที่ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หากต้องการสีอื่น เช่น สีเงิน ซิลเวอร์ เมทัลลิก, สีเงิน มิดไนท์ ซิลเวอร์ เมทัลลิก, สีน้ำเงิน ดีพ บลู เมทัลลิก, สีขาวมุก มัลติ-โค๊ต และสีแดง มัลติ-โค๊ต ต้องจ่ายเพิ่ม 1,000 ดอลลาร์ (3.3 หมื่นบาท) เช่นเดียวกับล้ออัลลอยหากขนาดมาตรฐาน 18 นิ้ว ยังเล็กไปต้องการเพิ่มเป็นขนาด 19 นิ้ว ก็จ่ายอีก 1,500 ดอลลาร์ (50,000 บาท)


ทางด้านภายในก็ค่อนข้างเรียบง่ายและแผงหน้าปัดมีเพียงจอแสดงผลขนาด 15 นิ้ว ซึ่งใหญ่มากติดตั้งอยู่บริเวณตรงกลางสำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวรถรวมถึงแผนที่และระบบนำทาง กับพวงมาลัยทรง 3 ก้าน โดยรวมๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ดูฟุ่มเฟือยหรือหรูหรามากมายนัก เบาะก็เป็นเบาะผ้า ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาตรฐานมีเพียง ระบบที่รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้ง Wi-Fi และ LTE, กุญแจ Keyless และความคุมระบบปรับอากาศได้ผ่านแอพพลิเคชั่น (บนสมาร์ทโฟน), ระบบการสั่งงานอุปกรณ์ด้วยเสียง, ระบบปรับอากาศแบบ 2 โซน (Dual Zone Climate Control) และกล้องมองหลัง เป็นต้น

ส่วนที่เหลือเป็นออปชั่นในพรีเมียมแพ็กเกจ ราคา 5,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.67 แสนบาท ก็จะได้ ระบบอุ่นเบาะ, แถบประดับลายไม้แบบโชว์ผิว (open pore wood decor), เบาะและแผงประตูหุ้มหนัง, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง, พวงมาลัยและกระจกมองข้างปรับไฟฟ้าที่สามารถบันทึกตำแหน่งของผู้ขับขี่ได้, ระบบเครื่องเสียงพรีเมียมรอบทิศทาง, หลังคากระจกที่กันแสงยูวีและอินฟาเรด, กระจกมองข้างที่ลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ พับไฟฟ้า และทำความร้อนเพื่อละลายหิมะหรือหยดน้ำได้, ไฟตัดหมอกแบบ LED รวมไปถึงคอนโซลกลางที่มีฝาปิดและช่องวางสมาร์ทโฟน


Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลประมาณ 354 กม. ในรุ่นย่อย Standard และเกือบ 500 กม. ในรุ่นย่อย Long Range ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. นั้นทำได้อยู่ประมาณ 5.1-5.6 วินาที แม้ว่าจะไม่หวือหวาแล้วในยุคนี้แต่ก็ถือว่าเร็วเหลือเฝือ นอกจากนี้ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสำหรับ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ที่ระบุไว้มีแค่ ถุงลมนิรภัย 8 จุด, ระบบเบรก ABS, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติและหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า, ระบบควบคุมการทรงตัว (Electronic Stability) รวมถึงระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) เป็นต้น

ทั้งนี้หากต้องการระบบขับขี่อัตโนมัติ Autopilot ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 5,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ 1.7 แสนบาท ซึ่งช่วยให้ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ เปลี่ยนช่องทางการจราจรและถอยจอดรถได้อัตโนมัติ (แบบ Tesla Model S) รวมไปถึงสามารถดาวน์โหลดความสามารถใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต นอกจากนี้ Tesla ยังยืนยันว่า Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะรองรับระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบได้ แต่อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดประมาณ 3,000 ดอลลาร์ หรือราว 1 แสนบาท


ข่าวร้ายนิดๆ ก็คือหาก Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ ใส่ออปชั่นมาเต็มพิกัดก็จะไม่ได้เป็นรถไฟฟ้าที่ถูกนัก และที่ร้ายยิ่งกว่าคือ Tesla Model 3 รุ่นพวงมาลัยขวาจะเริ่มผลิตกันในปี 2019 ใครที่ยังแอบหวังว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสก็คงต้องนอนรอกันไปยาวๆ เพราะขนาดพวงมาลัยซ้ายถ้าจองตอนนี้ยังต้องรอขั้นต่ำ 1 ปี เลยทีเดียว


ที่มา: K@POOK!

Docker อายุครบ 5 ปี มีผู้ใช้งานโหลด Container ไป 37,000 ล้านครั้งแล้ว

Docker เทคโนโลยีที่ทำให้ Container ก้าวสู่การเป็น Mainstream ในทุกวันนี้ได้อายุครบ 5 ปีในเดือนมีนาคม 2018 นี้แล้ว พร้อมเผยสถิติการใช้งานและประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

  • เริ่มมีลูกค้า Docker EE แบบจ่ายเงินใช้แล้วมากกว่า 450 องค์กร
  • มีการโหลด Container ไปใช้งานมากกว่า 37,000 ล้านครั้ง
  • มีตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ Docker ประกาศอยู่บน LinkedIn มากกว่า 15,000 ตำแหน่ง
  • มี Application ที่ถูกทำ Dockerize แล้ว 3.5 ล้าน Application
  • มี Docker User Group มากกว่า 200 กลุ่มที่ยัง Active อยู่ทั่วโลก
  • ร่วมก่อตั้ง Open Container Initiative (OCI)
  • มอบโครงการ containerd และ Notary ให้กับ Cloud Native Computing Foundation (CNCF)
สำหรับอนาคต Docker เองก็จะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานในฝั่งองค์กรให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมุมของ Security, Automation, Networking, Storage และอื่นๆ

ที่มา: TechTalk

แพตช์ล่าสุดของ Spring Framework อุดช่องโหว่ระดับวิกฤติด้วย ควรเร่งอัพเดต

แพตช์ของ Spring Framework 4.3.14 และ 5.0.4 ออกมาตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา แต่วันนี้ทาง Pivotal ก็ประกาศเพิ่มเติมว่าแพตช์ชุดนี้แก้ช่องโหว่ 3 รายการ โดยมีรายการหนึ่งเป็นช่องโหว่ระดับวิกฤติ เปิดทางให้แฮกเกอร์ส่งโค้ดเข้ามารันได้

ช่องโหว่ CVE-2018-1270 เปิดทางให้แฮกเกอร์ยิงข้อความที่สร้างเฉพาะเข้ามาในโมดูล spring-messaging หากมีกระบวนการยืนยันตัวคน เช่น Spring Security ก็จะจำกัดผู้โจมตีลงไปได้

อีกช่องโหว่ เป็นช่องโหว่ระดับสูง CVE-2018-1271 เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถอ่านไฟล์ได้เกินกว่าที่กำหนดไว้

โครงการที่ใช้ Spring Framework ควรเร่งอัพเดตโดยเร็ว


ที่มา: Blognone

ไมโครซอฟท์เปิดคอร์สวิชา AI ที่ใช้สอนพนักงาน ให้คนทั่วไปเรียนฟรีออนไลน์

ไมโครซอฟท์ประกาศนำคอร์สชุด Microsoft Professional Program for Artificial Intelligence ที่ใช้สอนพนักงานของตัวเองเรื่อง AI และ data มาให้คนทั่วไปเรียนฟรีๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต

คอร์สชุดนี้มีทั้งหมด 10 หัวข้อย่อย เช่น การเขียน Python เพื่อจัดการกับข้อมูล, คณิตศาสตร์และสถิติ ไปจนถึง machine learning และ deep learning แต่ละหัวข้อต้องใช้เวลาเรียน 8-16 ชั่วโมง และถ้าเรียนครบทั้งหมด รวมถึงทำโปรเจคต์ส่งครบ ก็จะได้ใบรับรอง Microsoft Professional Program Certificate in Artificial Intelligence ไว้ยืนยันความสามารถด้วย

การเรียนจะผ่านระบบของ edX ที่ไมโครซอฟท์เป็นพาร์ทเนอร์อยู่แล้ว ที่ผ่านมามีพนักงานของไมโครซอฟท์จบคอร์สนี้ไปแล้วมากกว่า 1,200 คน รายละเอียดของคอร์สดูได้จาก Microsoft Academy


 
ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ให้บริการเป็นรถแท็กซี VIP

BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีน (ทำความรู้จักกับ BYD เพิ่มเติมได้ที่บทความนี้) ได้เยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วยการนำรถยนต์ BYD มาให้บริการรถแท็กซี่จากการนำเข้าของบริษัท Rizen Energy ในฐานะผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

รถยนต์ที่ถูกนำเข้ามาให้บริการแท็กซี่คือ BYD e6 รถไฟฟ้าซีดาน 5 ประตูแบบ Full Electric และถูกวางตัวเป็นแท็กซี่พรีเมียม ทำให้อาจมีการคิดราคาสูงกว่าปกติ โดยรถยนต์ไฟฟ้าชุดแรกจะเริ่มวิ่งให้บริการเร็วๆ นี้ ขณะที่ BYD มีแผนจะนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาในไทยอีกราว 1,000 คันภายใน 2019

BYD e6 และรถไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ของ BYD ถูกนำมาจัดแสดงที่งานมอเตอร์โชว์ที่กำลังจัดอยู่ตอนนี้ด้วย


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

Solomon Hykes ผู้ก่อตั้งซอฟต์แวร์ Docker ลาออกจากบริษัท Docker Inc.

Solomon Hykes ผู้ก่อตั้งซอฟต์แวร์ Docker ชาวฝรั่งเศส ประกาศลาออกจากบริษัท Docker Inc. ที่เขาร่วมก่อตั้งแล้ว

Hykes เป็นผู้เขียน Docker คนแรก และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Dotcloud ในปี 2010 (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Docker Inc.) โดยเขานั่งเป็นซีอีโอคนแรกของบริษัท ก่อนเปลี่ยนบทบาทเป็นซีทีโอในปี 2013 โดยจ้างผู้บริหารคนนอกที่มีประสบการณ์มาทำงานเป็นซีอีโอแทน

Hykes จะยังมีบทบาทเป็นผู้ถือหุ้นและบอร์ดต่อไป แต่ไม่มีตำแหน่งงานในบริษัทอีกแล้ว เขาให้เหตุผลของการลาออกว่าปัจจุบัน Docker Inc. เปลี่ยนจากสตาร์ตอัพมาเป็นบริษัทที่มั่นคง รายได้เติบโตก้าวกระโดด บริษัทจำเป็นต้องมีซีทีโอที่มีประสบการณ์ฝั่งลูกค้าองค์กรมากกว่าตัวเขา เขาจึงลาออกเพื่อเปิดทางให้สรรหาซีทีโอคนใหม่ ส่วนตัวเขาเองจะหาโอกาสใหม่ๆ ช่วยเหลือคนรอบตัวต่อไป


ที่มา: Blognone

เปิดตัว iPad รุ่นใหม่ 9.7 นิ้ว รองรับ Apple Pencil เริ่มต้น 11,500 บาท ขายไทยเมษายน

แอปเปิลเปิดตัว iPad รุ่นใหม่สำหรับตลาดการศึกษาตามข่าวลือ เป็น iPad รุ่น 9.7 นิ้วเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือรองรับ Apple Pencil หน้าจอยังคงเป็น Retina Display ชิปเป็น A10 Fusion มาพร้อม Touch ID และรองรับ AR กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล วิดีโอสูงสุด FHD แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 10 ชั่วโมง

ที่น่าสนใจคือราคา iPad รุ่นใหม่ราคาเริ่มต้นที่ 11,500 บาท ในรุ่น Wi-Fi และ 16,500 บาทในรุ่น Wi-Fi + Cellular ในความจุ 32GB ส่วน 128GB ราคา 14,900 และ 19,900 มีสี Silver, Space Grey และ Gold Finish

ในกลุ่ม 25 ประเทศแรกที่เปิดจองวันนี้เป็นวันแรกและเริ่มส่งมอบภายในสัปดาห์นี้ มีประเทศไทยด้วย โดยตอนนี้หน้าแอปเปิลประเทศไทยขึ้นข้อมูล iPad ใหม่แล้ว และจะวางขายเมษายนนี้ครับ
ที่มา: Blognone

แอพ Uber จะให้บริการในไทยอีกแค่ 2 สัปดาห์, คนขับ Uber ต้องลงทะเบียนกับ Grab ใหม่

จากข่าวดังประจำวัน Grab ประกาศเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของ Uber ใน Southeast Asia ในอีเมลประกาศข่าวของ Uber/Grab ระบุว่าแอพ Uber จะให้บริการต่อไปอีก 2 สัปดาห์ จนถึงแค่วันที่ 8 เมษายน 2561

คนขับในระบบของ Uber จำเป็นต้องลงทะเบียนกับ Grab ใหม่อีกครั้ง โดยข้อมูลในบัญชีของ Uber ของทั้งคนขับและผู้โดยสารจะถูกย้ายมายัง Grab โดยอัตโนมัติ

ส่วนแอพ UberEats จะให้บริการจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 จากนั้นข้อมูลรายชื่อผู้จัดส่งและร้านอาหาร จะถูกโอนไปยังแอพของ Grab (GrabFood) เช่นกัน

Grab ยังประกาศว่าจะขยายบริการ GrabFood ไปยังทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ Grab มีธุรกิจอยู่ ภายในช่วงกลางปีนี้


เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น แกร็บและอูเบอร์จะทำงานร่วมกันในการย้ายฐานข้อมูลรายชื่อคนขับ และผู้โดยสารจากแอพพลิเคชั่นอูเบอร์ รวมไปถึงลูกค้าที่สั่งอาหาร ผู้จัดส่ง และพันธมิตรร้านอาหารจากแอพพลิเคชั่นอูเบอร์อีทส์ ไปยังแพลตฟอร์มของแกร็บ โดยแอพพลิชั่นอูเบอร์จะให้บริการต่อไปอีกเป็นเวลาสองสัปดาห์ เพื่อให้เวลาแก่คนขับในการเข้าไปลงทะเบียนสมัครกับแกร็บทางช่องทางออนไลน์ที่ www.grab.com/th/comingtogether ในส่วนแอพพลิเคชั่นอูเบอร์อีทส์นั้น จะให้บริการต่อไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 และหลังจากนั้นข้อมูลรายชื่อผู้จัดส่งและพันธมิตรร้านอาหารก็จะถูกถ่ายโอนไปยังแอพพลิเคชั่นของแกร็บ
 
ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561

GitLab ซอฟต์แวร์ CI/CD ชื่อดัง เปิดให้เชื่อมต่อกับ GitHub โดยตรงแล้ว

GitLab ซอฟต์แวร์จัดการโครงการชื่อดัง ประกาศออกเวอร์ชันใหม่ 10.6 ที่สามารถทำงานร่วมกับซอร์สโค้ดที่เก็บบน GitHub ได้แล้ว

GitLab เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นจาก Git โดยมีหน้าที่สองส่วนคือเก็บซอร์สโค้ด (repository) และการจัดการโครงการ (CI/CD ย่อมาจาก continuous integration and continuous delivery)

ที่ผ่านมา GitLab ต้องการให้ลูกค้าเก็บซอร์สโค้ดไว้บนโฮสต์ของตัวเอง แต่ในความเป็นจริง ผู้ใช้อาจเก็บซอร์สโค้ดไว้กับผู้ให้บริการรายอื่นๆ อยู่แล้ว และไม่อยากเปลี่ยนมาเก็บบน GitLab ทำให้สุดท้าย GitLab ต้องยอมเปิดกว้าง ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการรายอื่นมากขึ้น

แนวทางของ GitLab จะเริ่มจากโฮสติ้งยอดนิยมอย่าง GitHub ก่อน แต่เปิดกว้างให้เชื่อมกับรายอื่นๆ (เช่น BitBucket) ผ่าน API ได้เช่นกัน


การเปิดกว้างของ GitLab ทำให้โครงการโอเพนซอร์สที่อยู่บน GitHub สามารถใช้บริการ CI/CD เวอร์ชันฟรีของ GitLab ได้ทันที ส่วนลูกค้าองค์กรที่ใช้ GitHub เวอร์ชันเสียเงินก็จะได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อนี้เช่นกัน

ฟีเจอร์อีกอย่างใน GitLab 10.6 คือการเชื่อมต่อกับ Kubernetes ที่แนบแน่นขึ้น ช่วยให้การ deploy โค้ดจาก GitLab ไปยังเครื่องคลัสเตอร์ที่รันด้วย Kubernetes สะดวกมากเพียงแค่คลิกเดียว

ที่มา: Blognone

Google Play เพิ่มฟีเจอร์ Instant Apps ทดลองเล่นเกม ก่อนโหลดแอพฯ

Google เปิดตัวฟีเจอร์ Instant Apps ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทดลองเล่มเกมหรือใช้แอพฯ บน Google Play ได้ทันที โดยไม่ต้องโหลดและติดตั้งให้เสียเวลา


จำนวนแอพฯ ใน Google Play มีมากมายเหลือคณา โดยเฉพาะแอพฯ เกม แต่ปัญหาส่วนมากที่หลายคนเจอคือ “ไม่รู้จัก” พอไม่รู้จัก ก็ไม่รู้ว่าจะโหลดมาดีไหม กลัวจะไม่สนุกแล้วเสียเวลาเปล่า จนในงาน Google Developer Day ประจำปี 2018 ทาง Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ที่มาช่วยแก้ปัญหาโดยเฉพาะคือ

Google Play Instant หรือ Instant Apps เป็นฟีเจอร์ขอทดลองใช้แอพฯ หรือ Play Demo เกมบน Google Play ทันที โดยไม่ต้องรอโหลดและติดตั้งให้เสียเวลา ส่วนลักษณะฟีเจอร์ จะมาเป็นปุ่ม “Try Now” ข้าง ๆ ปุ่มโหลดแอพฯ ให้เรากดเพื่อทดลองใช้แอพฯ หรือเล่นนั้นๆ ก่อนโหลดได้เลย ปัจจุบันเริ่มมีบางแอพฯ บางเกมรองรับฟีเจอร์นี้แล้ว และจะมีมากขึ้นในอนาคต

ส่วนหน้าตาการใช้งาน Instant Apps เป็นไง ลองดูคลิปนี้เลยครับ


ที่มา: ARiP

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

Amazon แซง Alphabet (Google) เป็นบริษัทมูลค่ากิจการสูงสุดในโลกอันดับที่ 2 แล้ว

เมื่อคืนนี้หลังปิดตลาดหุ้นสหรัฐ Amazon ได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการตามราคาหุ้น (Market Capitalization) สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกแล้ว แซงหน้า Alphabet บริษัทแม่กูเกิล

มูลค่ากิจการของ Amazon อยู่ที่ 7.633 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ Alphabet มีมูลค่ากิจการ 7.630 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาหลังรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด หุ้นของ Amazon ก็มีราคาเพิ่มขึ้นตลอด ขณะที่ Alphabet ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมากเท่า

ตอนนี้ Amazon ก็ขึ้นมาเป็นเบอร์สองแล้ว ด่านถัดไปก็คือแอปเปิล ที่เป็นเบอร์หนึ่งของโลกมาตั้งแต่ปี 2011 โดยมูลค่ากิจการล่าสุดของแอปเปิลคือ 8.92 แสนล้านดอลลาร์


ที่มา: Blognone

รถยนต์ไร้คนขับของ Uber ชนคนเดินเท้าเสียชีวิตรายแรก

รถยนต์ไร้คนขับของ Uber ได้ชนคนเดินเท้ารายหนึ่งเสียชีวิตในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ Uber ระงับการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับบนทางสาธารณะทั้งหมดแล้ว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองเทมพี รัฐแอริโซนา ช่วงคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น โดยรายงานของตำรวจระบุว่า ขณะเกิดเหตุ รถยนต์ของ Uber กำลังทำงานในระบบไร้คนขับ แต่ยังมีคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยด้วย ในขณะที่ผู้เสียชีวิตกำลังเดินข้ามถนนนอกทางข้าม

โฆษกของ Uber ได้แสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิต และยืนยันว่าบริษัทกำลังร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนเหตุการณ์นี้

ก่อนหน้านี้ได้มีอุบัติเหตุในการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับบ้าง เช่นอุบัติเหตุรถยนต์ไร้คนขับของ Uber ที่เมืองเดียวกันนี้เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว แต่เหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรกที่มีผู้เสียชีวิตในการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มตัว (หากไม่นับอุบัติเหตุที่เกิดจากระบบ autopilot ของ Tesla ที่ผู้ผลิตเน้นว่าเป็น "ระบบช่วยขับ") การที่มีผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุจากรถยนต์ไร้คนขับ น่าจะชะลอความพยายามผลักดันกฎหมายรองรับรถยนต์ไร้คนขับ และกดดันให้รัฐบาลควบคุมการทดสอบการใช้งานรถยนต์ไร้คนขับอย่างเข้มงวดมากขึ้น

ที่มา: Blognone

รวดเร็วเหลือเกิน Java 10 มาแล้ว จากนี้จะออกรุ่นใหม่ทุก 6 เดือน

รวดเร็วปานจรวด เพียง 6 เดือนหลังจาก Java SE 9 ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว ก็ได้เวลาของ Java SE 10 ครับ


การออก Java 10 อยู่ภายใต้นโยบายใหม่ของ Oracle ที่จะออก Java รุ่นใหม่ทุก 6 เดือน ลักษณะเดียวกับที่เราเห็นในซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สหลายโครงการ โดย Java 10 ถือเป็นรุ่นแรกที่ใช้ระบบออกรุ่นแบบใหม่นี้ และมีเลขเวอร์ชันอีกแบบคือ 18.3 (ปี.เดือน)

ของใหม่ใน Java 10 ย่อมมีน้อยลงจากการเปลี่ยนรุ่นใหญ่ครั้งก่อนๆ แต่ก็มีฟีเจอร์ย่อยๆ รวมทั้งหมด 12 อย่าง โดยเน้นไปที่เรื่องแพลตฟอร์ม ฟีเจอร์ของตัวภาษา และประสิทธิภาพของคอมไพเลอร์ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้จาก JDK 10 ขนาดไฟล์ประมาณ 190MB


อีก 6 เดือนหน้า กันยายน 2018 ก็เตรียมพบกับข่าว Java 11 (18.9) ซึ่งจะเป็นรุ่นซัพพอร์ตระยะยาว (LTS) ด้วย

ที่มา: Blognone

อรรถรสพุ่งพรวด! ชม Street Fighter แบบฟัดกันจริงบนถนน ด้วยการเล่นผ่านระบบ AR

Abhishek Singh เป็นนักพัฒนาที่ชอบทดลองอะไรใหม่ๆ และเทคโนโลยี AR ดูจะเป็นอะไรที่ดึงดูดใจเขาเอามากๆ หนึ่งในงานทดลองทำเล่น (แต่ไม่แน่ว่าอาจจะได้ทำขายกันจริงสักวัน) คือการสร้างเกมที่ใช้ระบบ AR แต่เกมที่ว่าไม่ใช่เกมแนวท่องโลกทำภารกิจแบบ Pokemon Go หากแต่เป็นเกมต่อสู้ Street Fighter

Singh สร้างเกม Street Fighter II ขึ้นมาใหม่ ตัวเกมดั้งเดิมนั้นออกมาตั้งแต่ปี 1991 และได้รับความนิยมไปทั่วโลก Singh เลือกเอาเกมเวอร์ชั่นนี้มาทำใหม่ให้เล่นได้กับ ARKIt ของ Apple โดยนำเอาโมเดลตัวละครแบบ 3 มิติจาก Street Fighter IV มาใช้ในเกม (เพราะ Street Fighter II ไม่มีโมเดล 3 มิติ) แต่ยังใช้เพลงประกอบจาก Street Fighter II เช่นเดิม


Street Fighter เวอร์ชั่น AR นี้สามารถเล่นแข่งกัน 2 คนได้ การควบคุมตัวละครนั้นก็เหมือนเกมต้นฉบับ แต่สิ่งที่แตกต่างคือภาพมุมมองที่ได้รับผ่านหน้าจอของผู้เล่น เพียงแค่เลือกพื้นที่เหมาะๆ อาจจะเป็นลานกว้างกลางแจ้ง, โต๊ะว่างๆ ไร้สิ่งของวางเกะกะ หรือมุมโล่งๆ ภายในบ้าน ก็สามารถจะเปลี่ยนมันเป็นลานประลองของยอดนักสู้ในเกมได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่นี่เป็นแค่การทดลองสาธิตความเป็นไปได้ในการสร้างเกมกับ ARKit เนื่องจากงานนี้ไม่ได้รับสิทธิ์อย่างเป็นทางการจาก Capcom เจ้าของเกมต้นฉบับ Singh เองยังลังเลที่จะทำเกม Street Fighter เวอร์ชั่น AR นี้ให้สมบูรณ์ เพราะ Capcom ก็มีแผนที่จะทำเกมข้ามแพลตฟอร์ม และอาจจะทำเกมแบบ AR ของตัวเองออกมาในอนาคต


อันที่จริงแล้ว Singh เคยสร้างผลงานเกมแบบ AR ที่น่าสนใจ อย่างเมื่อปีที่แล้ว เขาได้สร้างเกม Super Mario Bros แบบเล่นด้วย HoloLens มาครั้งนี้กับการสร้างเกมให้เล่นได้ด้วย iPhone ยิ่งดูน่าสนใจและเท่ากับเปิดประตูแห่งโอกาสในการพัฒนาเกมเพื่อการพาณิชย์ได้จริงจังกว่าที่เคย

ที่มา: Blognone

น่าเศร้า เด็กชายวัย 9 ขวบคว้าปืนยิงพี่สาวเสียชีวิต เหตุแย่งจอยเกม

หลังจากที่ประเด็นเรื่องการควบคุมอาวุธปืนและความรุนแรงจากการเล่นเกมได้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนักในสหรัฐอเมริกา ล่าสุด ได้มีเหตุการณ์ที่น่าจะจุดประเด็นร้อนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสื่อท้องถิ่นของรัฐมิสซิสซิปปี้ ได้รายงานข่าวว่า มีคดีเด็กชายวัย 9 ขวบยิงพี่สาววัย 13 ปีเสียชีวิต ด้วยสาเหตุการทะเลาะกันจากการแย่งจอยเล่นเกม

Cecill Cantrell นายอำเภอของเทศมณฑล Monroe ให้สัมภาษณ์ว่า จากรายงานที่ได้รับเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ผ่านมา เด็กสาวปฏิเสธที่จะให้จอยเกมแก่น้องชาย ทำให้เด็กชายหยิบปืนมายิงเธอจากทางด้านหลัง

กระสุนผ่านทะลุสมองของเธอ เด็กสาวถูกนำส่งโรงพยาบาลในอาการสาหัส ก่อนเสียชีวิตในวันอาทิตย์

การสืบสวนของคดีนี้จะมุ่งเป้าไปที่เด็กชายสามารถเข้าถึงปืนได้อย่างไร และ เขารับรู้ถึงความอันตรายของการใช้ปืนมากขนาดไหน

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

Elon Musk อยากให้แบ่งมนุษย์ไปอยู่ดาวอังคารเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์, ย้ำประเด็นความอันตรายของ AI

Elon Musk ซีอีโอ Tesla และ SpaceX ได้ไปพูดในงานสัมมนา SXSW (South by Southwest) ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยนอกจากจะปล่อยวิดีโอจากภารกิจยิงจรวด Falcon Heavy แล้ว เขายังพูดถึงประเด็นอื่นๆ อีก ดังนี้

Elon เล่าถึงการที่เขาอยากไปตั้งฐานบนดาวอังคารและดวงจันทร์ เพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถคงอยู่ต่อไปได้หากเราเข้าสู่ยุคมืด (dark ages) ซึ่งเขาไม่ได้ทำนายว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ก็มีโอกาส โดยเฉพาะถ้าเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ทำให้การที่มนุษย์ไปตั้งรกรากอยู่ดาวอื่นจะทำให้มี “เมล็ดพันธุ์” ของพวกเรามากพอที่จะดำรงความเจริญอยู่ได้ รวมถึงนำความเจริญกลับมายังโลก หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

เขาระบุว่าในยุคแรกที่มนุษย์ไปอาศัยอยู่บนดาวอังคารจะยากลำบากและอันตรายมาก รวมถึงมีโอกาสสูงที่คนเหล่านั้นจะตายลง นอกจากนี้ยังพูดถึงการปกครองบนดาวอังคารว่าน่าจะเป็นประชาธิปไตยทางตรง (Direct democracy) คือประชาชนโหวตให้ความเห็นในเรื่องใดๆ ก็ตาม แทนที่จะกระทำผ่านรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชน อีกทั้งเขายังแนะนำให้เขียนกฎหมายเพียงสั้นๆ โดยให้ความเห็นว่ากฎหมายที่ยาวนั้นน่าสงสัย


อีกเรื่องหนึ่งที่ Elon แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนมายาวนานคือเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งเขาก็ได้ใช้เวทีในงาน SXSW นี้ย้ำประเด็นเดิมอีกว่าเขามีความใกล้ชิดกับ AI ระดับสุดยอด (cutting edge AI) และมันทำให้เขา “กลัวจนหัวหด” (it scares the hell out of me) และมันมีความสามารถสูงกว่าที่คนส่วนมากรู้ รวมถึงอัตราการพัฒนาก็สูงแบบก้าวกระโดด (exponential) เขาให้ความเห็นว่าเราต้องหาทางทำให้ AI อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ และนี่จะเป็นวิกฤตการณ์ของความอยู่รอด (existential crisis) ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราจะเจอ และสุดท้าย Elon ระบุว่า “จำคำผมไว้เถอะ AI นั้นอันตรายกว่าอาวุธนิวเคลียร์มาก”

ที่มา: Blognone