วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Waymo ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับเกิน 10 ล้านไมล์ เตรียมปรับปรุงให้รถขับนุ่มขึ้น

Waymo เผยว่าทดสอบรถยนต์ไร้คนขับบนถนนจริงไปแล้ว 10 ล้านไมล์ เพิ่มจาก 8 ล้านไมล์ในเดือนกรกฎาคม ส่วนการทดสอบแบบ simulation จะครบ 7 พันล้านไมล์ภายในเดือนนี้

Waymo ยังทดสอบบริการเรียกรถยนต์ไร้คนขับในเมือง Phoenix รัฐแอริโซนา และระบุว่ามีผู้ร่วมทดสอบแบบ early riders จำนวน 400 คน

Waymo บอกว่าพื้นฐานสำคัญของบริษัทคือ "ความปลอดภัย" (safety) แต่หลังจากผ่านระยะ 10 ล้านไมล์ ก็ได้เวลาไปมองถึงประเด็นอื่นๆ เช่น ขยายความสามารถของระบบรถยนต์ไร้คนขับให้ทำงานในสภาพแวดล้อมยากๆ อย่างฝนตกหนักหรือหิมะตก, ปรับการขับขี่ให้นุ่นนวลขึ้น, ปรับอัลกอริทึมเส้นทางให้ส่งคนแล้วเดินใกล้กว่าของเดิม ที่เน้นความปลอดภัยเหนือความสะดวก

อย่างไรก็ตาม Waymo ไม่ได้ระบุว่าจะเปิดบริการเรียกรถยนต์ไร้คนขับเมื่อใด จากที่เคยประกาศไว้กว้างๆ ว่าภายในปีนี้


ที่มา: Blognone

Google Chromecast 3 มาแล้ว ทำงานได้เร็วขึ้น ในราคาที่ไม่เพิ่มขึ้น!


Google เปิดตัวและวางจำหน่าย Chromecast 3 แล้วโดยมีรูปร่างหน้าตาคล้ายของเดิม แต่เปลี่ยนโลโก้จากโลโก้ของ Google Chrome มาเป็นโลโก้ตัว G ของ Google ชูจุดขายทำงานเร็วขึ้นกว่ารุ่นเก่าถึง 15% ในขณะที่ราคาเท่าเดิม


โดยตัวนี้จะรองรับภาพ HD 1080p แบบ 60fps ด้วย แต่สำหรับผู้ที่ต้องการรองรับ 4K นั้นต้องขออภัยด้วย ยังไม่รองรับ ต้องไปซื้อรุ่น Chromecast Ultra เหมือนเดิม

ปัจจุบัน Chromecast 3 ยังไม่ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยหรือสามารถสั่งซื้อจากไทยได้ แต่คาดว่าอีกไม่นาน AIS ก็น่าจะนำมาขายครับ

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เตรียมนั่งหลับในรถ Volvo จับมือ NVIDIA พัฒนารถอัตโนมัติระดับ 4 คาดวางตลาดได้จริงปี 2021

NVIDIA, Volvo, และ Zenuity ประกาศความร่วมมือในการพัฒนาระบบช่วยขับที่จะทำให้รถเป็นรถอัตโนมัติระดับ 4 และพร้อมวางขายจริงในปี 2021
 
รถอัตโนมัติระดับ 4 เป็นระดับที่คนขับไม่จำเป็นต้องสนใจการขับขี่อีกต่อไป (mind off) โดยระบบอัตโนมัติสามารถทำงานได้จำกัด เช่น บนทางหลวง, พื้นที่ที่กำหนด, หรือสภาพจราจรบางอย่าง เช่น รถติด โดยหากสภาพแวดล้อมไม่ตรงเงื่อนไขตัวรถจะสามารถเรียกคนขับให้กลับมาควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย
 
Zenuity เป็นบริษัทพัฒนาระบบช่วบขับขี่ ที่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาประกาศความร่วมมือกับบริษัทรถ Geely จากจีน เพื่อพัฒนารถอัตโนมัติระดับ 3 (คนขับเตรียมเข้าควบคุมรถในเวลาอันสั้น) โดยเป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง Volvo จะ Autoliv เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับรถอัตโนมัติ
 
การพัฒนาร่วมกับ Volvo ในครั้งนี้จะใช้แพลตฟอร์ม NVIDIA DRIVE PX และใช้โมเดล deep learning เพื่อการจดจำวัตถุรอบตัวรถ ต่อภาพจากกล้องหลายตัวให้กลายเป็นมุมมอง 360 องศารอบตัว ซอฟต์แวร์ในโครงการนี้เมื่อพัฒนาสำเร็จแล้วจะใช้ในรถ Volvo และขายให้กับบริษัทรถอื่นผ่านทาง Autoliv ต่อไป
 
 
ที่มา: Blognone

อย่าแปลกใจ! เพราะเหล่าผู้บริหาร Google ก็เลิกใช้ Google+ กันมาระยะหนึ่งแล้ว

อย่างที่ทราบกันแล้วว่า Google+ บริการโซเชียลของกูเกิล ที่เคยหมายมั่นปั้นมาเป็น Social Network ตัวใหม่ ได้ประกาศปิดตัวในปีหน้า สิ่งน่าสนใจคือหลายคนก็ยังใช้งาน Google+ อยู่ เพียงแต่เมื่อไปดูผู้บริหารระดับสูงของกูเกิล ... พวกเขาเลิกใช้มาระยะหนึ่งแล้ว

Business Insider รวบรวม Google+ ของผู้บริหารระดับสูงในกูเกิล พบว่าทุกคนเลิกใช้ Google+ (โพสต์แบบสาธารณะ) มาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว
  • Larry Page ผู้ก่อตั้งกูเกิล และซีอีโอ Alphabet โพสต์ครั้งสุดท้าย สิงหาคม 2015 ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะตอนนี้เขาเลือกหายไปจากสื่อทั้งหมด
  • Sundar Pichai ซีอีโอกูเกิล โพสต์ครั้งสุดท้าย มีนาคม 2016
  • Eric Schmidt อดีตซีอีโอกูเกิล และประธานบอร์ด โพสต์ครั้งสุดท้าย กุมภาพันธ์ 2017
  • Sergey Brin ผู้ก่อตั้งกูเกิล โพสต์ครั้งสุดท้าย กันยายน 2017
ก็พอสรุปได้ว่า แม้แต่ผู้บริหารกูเกิลเอง ก็ไม่ได้แตะ Google+ กันมาร่วมหนึ่งปีแล้ว

ที่มา: Blognone

AMD เตรียมเปิดตัว CPU สองรุ่นใหม่ของ Threadripper ในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ มาพร้อมกับ 12 และ 24 Core


AMD เตรียมเปิดตัว CPU สองรุ่นใหม่ของ Threadripper อย่างรุ่น 2920X 12-Core และรุ่น 2970WX 24-Core สนนราคาขายอยู่ที่ 649 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 21,000 บาท) และ 1,299 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 42,000 บาท) ตามลำดับ พร้อมยลโฉมแก่ผู้ใช้ทั่วไปในวันที่ 29 ตุลาคมนี้


สำหรับรุ่น 2920X นั้นเป็นรุ่นที่ลดสเปคลงมาจาก 2950X 12-Core เล็กน้อย ซึ่งใช้ความเร็วเท่ากันที่ 3.5GHz, แคช Level 3 ขนาด 32 MB, อัตราการใช้พลังงานสูงสุด 180W แต่ต่างกันตรงที่โหมด Boost นั้นจะมีความเร็วที่ 4.3GHz (ซี่ง 2950X มีความเร็วสูงกว่าที่ 4.4Ghz นั่นเอง) ส่วนรุ่น 2970WX นั้นเป็นรุ่นที่ลดสเปคลงมาจากรุ่นเรือธง 2990WX ขนาด 32-Core ให้ความเร็วที่ 3GHz เร่งสปีดได้สูงสุดถึง 4.2 GHz, แคช Level 3 ขนาด 32 MB, อัตราการใช้พลังงานสูงสุด 250W

นอกจากนี้ AMD เตรียมจะเปิดตัวซอฟต์แวร์อย่าง Dynamic Local Mode เพื่อทำให้การโอนถ่ายข้อมูลจาก Thread หรือ Core ของ CPU ไปยังหน่วยความจำภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใช้ CPU ซีรี่ส์ WX เป็นอย่างยิ่ง พร้อมให้ผู้ใช้อัปเดตได้ภายในเดือนตุลาคมนี้

ที่มา: Beartai 

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561

GitHub ออกเครื่องมือเชื่อมต่อกับ Jira ใหม่ ทำงานข้ามระบบได้สะดวกขึ้น


GitHub ประกาศพัฒนาเครื่องมือเพื่อการเชื่อมต่อกับเครื่องมือติดตามบั๊กและจัดการโครงการ Jira ใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้ที่เก็บโค้ดไว้บนระบบ GitHub สามารถเชื่อมต่อโปรเจคเข้ากับ Jira Software Cloud ได้โดยตรง ทำงานข้ามระบบกันได้สะดวกยิ่งขึ้น

เมื่อเชื่อมต่อ GitHub เข้ากับ Jira แล้ว ก็จะเห็น branch, commit message, pull request และอื่นๆ บน Jira โดยไม่ต้องสลับการใช้งานไปมา ซึ่งระบบเชื่อมต่อกับ Jira แต่เดิมนั้นเป็นระบบที่ค่อนข้างช้า GitHub จึงพัฒนาใหม่ให้เร็วขึ้นและอินทิเกรตกับระบบของ Jira ได้ดีขึ้น ส่วนระบบเชื่อมต่อ GitHub กับ Jira เดิมจะเข้าสู่สถานะ deprecated เพื่อให้ผู้ใช้มาใช้ระบบใหม่นี้

สำหรับระบบเชื่อมต่อ GitHub กับ Jira สามารถเข้าไปดูได้ที่ GitHub Marketplace

ที่มา: Blognone

ไม่ต้องงงแล้ว ชื่อ Wi-Fi เตรียมปรับให้ง่ายขึ้นด้วยตัวเลข ซึ่งมาตรฐานต่อไปคือ Wi-Fi 6 (802.11ax)

หนึ่งในความงงงวยของผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องอยู่ในแวดวงเทคโนโลยีคือเจ้าชื่อมาตรฐาน Wi-Fi นี่แหละครับ 802.11n กับ 802.11ac อะไรมันดีกว่ากัน หรือ Wi-Fi G กับ Wi-Fi N ควรจะใช้อะไรดี ซึ่งในที่สุด Wi-Fi Alliance องค์กรที่กำหนดมาตรฐานไวไฟก็รู้ปัญหานี้ และเตรียมปรับรูปแบบเรียกชื่อไวไฟให้เข้าใจง่ายขึ้นด้วยตัวเลข (สักทีเถอะ)

โดยมาตรฐานไวไฟที่ผ่านจะเทียบเวอร์ชั่นตัวเลขดังต่อไปนี้
  • 802.11b (1999) → Wi-Fi 1
  • 802.11a (1999) → Wi-Fi 2
  • 802.11g (2003) → Wi-Fi 3
  • 802.11n (2009) → Wi-Fi 4
  • 802.11ac (2014) → Wi-Fi 5 (มาตรฐานล่าสุดที่ใช้ตอนนี้)
และมาตรฐานไวไฟในยุคต่อไปคือ 802.11ax จะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Wi-Fi 6 เช่นกัน ซึ่ง 802.11ax จะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นขึ้นแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัดเช่นสนามกีฬา รองรับผู้ใช้งานมาก และที่สำคัญประหยัดไฟยิ่งขึ้น สำหรับการใช้งานในเชิง IoT

ซึ่งการเปลี่ยนชื่อให้กลายเป็นตัวเลขก็ทำให้ผู้ใช้เข้าใจง่ายขึ้น ทั้งการซื้ออุปกรณ์ใหม่ ที่อุปกรณ์ในเลขสูงกว่าย่อมดีกว่าอุปกรณ์ในเลขต่ำกว่าแน่ๆ หรือในการเชื่อมต่อเครือข่าย หากระบบแสดงโลโก้เป็นตัวเลขด้วยเลย ผู้ใช้ก็จะเลือกง่ายขึ้นว่าควรเชื่อมต่อไวไฟวงไหนถึงจะมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน

แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีกำหนดชัดเจนว่าการแสดงมาตรฐานเป็นตัวเลขนั้นจะเริ่มใช้เมื่อไหร่ และโลโก้จริงๆ จะหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนี้เรารู้แค่ว่า Netgear เอาด้วยกับการกำหนดชื่อนี้แล้ว ซึ่งรายอื่นๆ ก็น่าจะตามมาในภายหลังครับ

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

RoV เริ่มทดสอบใช้ระบบสแกนใบหน้าเพื่อเช็คอายุผู้เล่นเกมแล้ว


Tencent เจ้าของ Honour of Kings หรือ RoV เวอร์ชั่นประเทศจีน เกมออนไลน์สุดฮิตแห่งยุค กำลังเริ่มทดสอบระบบจดจำใบหน้าเพื่อมายืนยันตัวตนและตรวจสอบอายุของผู้เล่นแล้ว โดยจะเริ่มทดสอบกับผู้เล่นหน้าใหม่กลุ่มเล็กๆ ที่อาศัยในปักกิ่งและเสินเจิ้น ตามรายงานจาก BBC

ทั้งนี้ Tencent ถูกกดดันจากสื่อท้องถิ่นในประเทศจีน รวมทั้งตกเป็นเป้าโจมตีของสังคมในกรณีที่ถูกมองว่าทำให้เด็กๆ เสพติดการเล่นเกมดังกล่าวอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว ทาง Tencent เองเคยออกนโยบายให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี สามารถเล่นได้ 1 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่วัยรุ่นอายุ 13-18 ปี เล่น RoV ได้สูงสุด 2 ชั่วโมง

ล่าสุด Tencent ต่อยอดนโยบายเข้มงวดดังกล่าวด้วยการเพิ่มระบบการสมัครด้วยการใช้ชื่อจริง รวมทั้งระบบจดจำใบหน้าเพื่อเข้ามาควบคุมเวลาการเล่นของผู้เล่นแต่ละวัยได้แม่นยำมากขึ้น สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลจีนที่รณรงค์ให้ควบคุมการเล่นเกมของเด็กและเยาวชน

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Tesla ผลิตรถยนต์ในไตรมาส 3 ได้มากเป็นประวัติการณ์ที่ 80,142 คัน ส่งมอบรวม 83,500 คัน

วันนี้ Tesla รายงานสถิติการผลิตและส่งมอบรถยนต์ของไตรมาส 3/2018 โดยทำลายสถิติของตัวเองที่ทำไว้ตอนไตรมาส 2/2018 ด้วยการผลิตรถยนต์ทุกรุ่นรวมกันได้ถึง 80,142 คัน แบ่งเป็น Tesla Model 3 ถึง 53,239 คัน และ Model S กับ X รวมกันที่ 26,903 คัน

Tesla ได้ให้รายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการผลิตรถรุ่นสำคัญอย่าง Model 3 ว่าระหว่างไตรมาสที่ 3 นี้ บริษัทได้เปลี่ยนจากการผลิตรถขับเคลื่อนล้อหลังมอเตอร์เดี่ยวอย่างเดียว มาเป็นการผลิตรถรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์คู่ ทำให้โดยรวมของไตรมาส 3 บริษัทผลิตรถรุ่นมอเตอร์คู่มากกว่ารุ่นมอเตอร์เดี่ยวเสียอีก และในสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 3 ได้ผลิตรถรุ่นมอเตอร์คู่อย่างเดียว

ในส่วนของการส่งมอบรถยนต์ Tesla ระบุว่าส่งมอบรถในไตรมาส 3 ไปทั้งสิ้น 83,500 คัน แบ่งเป็น Model 3 55,840 คัน, Model S 14,470 คัน และ Model X 13,190 คัน อย่างไรก็ตามเรายังคงเห็นข่าวกันอยู่เรื่อยๆ ว่า Tesla มีปัญหาด้านการส่งมอบที่ค่อนข้างช้า และ Elon Musk ก็เคยบอกว่ากำลังแก้ปัญหานี้อยู่


ที่มา: Blognone

Apple อาจจัดงานพิเศษเดือนตุลาคมนี้ ต้อนรับ iPad และ Mac รุ่นใหม่


วันที่ 12 เดือนกันยายนที่ผ่านมา Apple เปิดตัวผลิตถัณฑ์ใหม่ทั้งหมดสองไลน์สินค้าได้แก่ Apple Watch Series 4 และ iPhone XS (Max) ซึ่งหลายๆ คนอาจจะผิดหวังเพราะบางคนก็รอทั้ง iPad Pro และ Mac รุ่นใหม่เป็นต้น

ล่าสุดมีรายงานจากสื่อต่างประเทศว่า Apple อาจจัดงานพิเศษขึ้นในเดือนตุลาคม (เดือนนี้) อีกครั้งเพื่ออัปเดทสินค้าตระกูล iPad และ Mac ครับ แล้วจะมีอะไรใหม่บ้าง มาชมกันครับ

iPad Pro ใหม่


สำหรับ iPad Pro นั้นคาดว่าจะมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่หมดจด เน้นหน้าจอไร้ขอบลักษณะเดียวกับ iPhone X ซึ่งคาดว่าจะมีรอยบากและถอดปุ่มโฮมตามรูปแบบการดีไซน์และคุณลักษณการใช้งานของ iOS 12

โดยมีรุ่นใหม่สองรุ่น ได้แก่รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว ซึ่งจะมีขนาดเครื่องเท่ากับ iPad Pro 10.5 ด้วยการขยายขนาดหน้าจอเพิ่มขึ้น แต่คงขนาดของเครื่องไว้เท่าเดิมครับ ส่วน iPad Pro 12.9 นิ้วจะยังคงมีอยู่ แต่ลดขนาดของขอบให้เล็กลงครับ


Mac ใหม่


  • MacBook: มีข่าวว่า Apple เตรียมเปิดตัว MacBook รุ่นใหม่ หน้าจอ 12 นิ้ว และหน้าจอ 13 นิ้ว ซึ่งหน้าจอ 13 นิ้วรุ่นใหม่นั้นมีราคาระหว่าง $1,000 – 1,500 มาแทนที่ MacBook Air แต่มี Touch ID ด้วย เป็นไปได้ยากที่จะถูกวางตำแหน่งไว้ราคาถูก
  • Mac mini: คาดว่า Apple จะเปิดตัว Mac mini รุ่นใหม่ ที่ไม่ได้อัปเกรดฮาร์ดแวร์อะไรเลยมาตั้งแต่ปี 2014 ครับ
  • iMac: iMac เองก็ถึงเวลาได้อัปเกรดกันแล้ว มีรายงานว่า iMac รุ่นใหม่จะเน้นไปที่การพัฒนาหน้าจอเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งน่าจะมี True Tine Display เหมือนที่ MacBook Pro 2018 ได้รับไป

อื่นๆ


งานนี้ยังคงหวังว่า Apple จะไม่ลืมอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่เคยเปิดตัวเอาไว้อย่าง AirPower ที่สามารถชาร์จอุปกรณ์ไร้สายหลายๆ อันได้พร้อมกันหรือ AirPods รุ่นที่ 2 เป็นต้น

ที่มา: Beartai

แอพ K PLUS เตรียมยกเครื่องครั้งใหญ่ 10 ต.ค. นี้ รีแบรนด์ทั้งตัว เปลี่ยนโลโก้ใหม่

ธนาคารกสิกรไทย เตรียมเปิดตัวแอพ K PLUS โฉมใหม่ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ โดยเป็นการรีแบรนด์ทุกส่วน ตั้งแต่โลโก้ไปจนถึงดีไซน์และ UI/UX ของแอพ

ล่าสุดทางธนาคารกสิกรไทยได้เปิดตัวโลโก้ใหม่ของ K PLUS และ UI บางส่วนแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือตัว K เดิมที่เป็นลายพู่กัน เปลี่ยนมาเป็นตัว K แบบใหม่ที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมากขึ้น ส่วน UI กลายเป็นแถบเมนูด้านล่าง มีด้วยกัน 5 ปุ่มคือ หน้าแรก, K+ Market, ธุรกรรม, สแกน และอื่นๆ

หน้าเว็บของธนาคารระบุว่าจำเป็นต้องใช้กับระบบปฏิบัติการ iOS 9.0 หรือ Android 5.0 ขึ้นไป

ปัจจุบัน K PLUS ถือเป็นแอพธนาคารไทยที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุด ตัวเลขบน Play Store อย่างเดียวระบุว่ามีการดาวน์โหลดไปติดตั้งมากกว่า 10 ล้านเครื่อง ในขณะที่ตัวเลขของธนาคารอื่นๆ ทั้ง SCB Easy, Bualuang mBanking, KTB netbank ยังอยู่ที่ระดับมากกว่า 5 ล้านเครื่อง


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Visa เปิดตัว Scan to Pay ในไทย จ่ายบัตรเครดิตผ่าน QR ไม่มีขั้นต่ำ สะสมแต้มได้

Visa ประกาศเปิดการใช้งานชำระเงินด้วย QR Code หรือ Scan to Pay ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีธนาคารพันธมิตรที่สามารถใช้งานได้แล้วในตอนนี้คือ 4 รายคือ ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรี, ธนาคารซิตี้แบงก์ และ ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยช่วงเริ่มต้นนี้ใช้งานได้แล้วในห้างเครือเดอะมอลล์กรุ๊ปบางแห่ง เช่น เอมควอเทียร์, สยามพารากอน ร้านก๋วยเตี๋ยวชายสี่หมี่เกี๊ยว, ร้าน Subway, รถแท็กซี่ที่แขวนป้าย Scan to Pay ของ Visa


เมื่อธนาคารเปิดใช้บริการนี้ในแอพจะมีเมนู Scan to Pay เมื่อผู้ใช้ต้องการจ่ายเงินให้สแกน แล้วยืนยันด้วยการกด PIN หรือสแกนลายนิ้วมืออีกครั้ง

การจ่ายผ่าน Visa QR ต่างจาก QR แอพธนาคารก่อนหน้านี้ เพราะจะได้สิทธิ์ประโยชน์จากบัตรเครดิตที่ใช้ ทางด้านผู้ขายสามารถสร้าง QR Code ของตัวเองผ่านแอพพลิเคชั่นฝั่งผู้ขายที่ธนาคารผู้รับบัตรเปิดให้ใช้งาน แนวทางนี้ช่วยสร้างทางเลือกแก่ลูกค้าในการจ่ายเงิน พร้อมกับช่วยให้ต้นทุนการรับบัตรเครดิตต่ำลงกว่าเดิมมาก ทำให้ร้านค้าสามารถรับบัตรเครดิตโดยไม่มีขั้นต่ำอีกต่อไป เช่นกินก๋วยเตี๋ยวชายสี่หมี่เกี๊ยวก็จ่ายค่ากินด้วยบัตรเครดิตได้ (ทางชายสี่หมี่เกี๊ยวยังไม่ได้ระบุว่าสาขาไหนจ่ายได้บ้างในตอนนี้)


นอกจากธนาคารที่เปิดตัวแล้วในงานนี้ ยังมี ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารธนชาต ที่ระบุว่าจะสามารถใช้งานได้ในอนาคต


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

Google Maps รองรับการใช้งานบน CarPlay แล้ว

Google Maps เวอร์ชัน iOS ออกอัพเดตล่าสุด โดยรองรับการทำงานร่วมกับระบบ CarPlay ของแอปเปิลแล้ว ทำให้ผู้ใช้ CarPlay สามารถเลือกใช้แผนที่ของ Google Maps ได้ จากเดิมที่ต้องใช้ Apple Maps เท่านั้น

กูเกิลบอกว่าคุณสมบัติหลักที่มี Google Maps ถูกนำมาใส่ใน CarPlay ครบถ้วน ทั้งข้อมูลเส้นทางจราจรปัจจุบัน, แนะนำเส้นทาง, ดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์, จดจำสถานที่ซึ่งเดินทางไปกลับประจำ และอื่นๆ

หากต้องการใช้ Google Maps บน CarPlay ตัวแอป Google Maps ต้องอัพเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด 5.0 และใช้ iOS 12 ซึ่งเปิดให้เชื่อมต่อกับแผนที่จากนักพัฒนาภายนอกก่อน


ที่มา: Blognone

แหล่งข่าวเผย แท่นชาร์จไร้สาย AirPower มีปัญหาการออกแบบ ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่มีออกมาขาย

Sonny Dickson บล็อกเกอร์สายข่าวแอปเปิลของออสเตรเลีย อ้างแหล่งข่าวภายในเกี่ยวกับแท่นชาร์จไร้สาย AirPower ที่เปิดตัวตั้งแต่งาน iPhone ปีก่อน แต่ถึงตอนนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะออกมาขาย โดยเขาบอกว่าเอกสารหลายอย่างที่รวบรวมมา บ่งบอกว่า AirPower มีปัญหาในการออกแบบ ทำให้ไม่สามารถผลิตออกมาขายได้

ปัญหาแรกคือความร้อนของแท่นชาร์จขณะทำงาน ซึ่งระบุว่าร้อนเกินไปจนกระทบการทำงานของอุปกรณ์ที่ชาร์จอยู่เสียเอง นอกจากนี้ยังพบปัญหาจากชิปที่ใช้ส่งต่อข้อมูลเปอร์เซ็นต์การชาร์จ เพื่อให้แสดงผลบนแต่ละอุปกรณ์ ว่าทำงานไม่ถูกต้อง และยังแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้

สุดท้ายคือปัญหาด้านการออกแบบ เนื่องจากแท่นชาร์จ AirPower ออกแบบมาให้วางอุปกรณ์ชาร์จได้พร้อมกันสูงสุด 3 อย่าง และวางตำแหน่งใดบนแท่นก็ได้ ขดลวดด้านในจึงออกแบบมาทับซ้อนหลายขนาด เพื่อให้รองรับทุกอุปกรณ์ในทุกตำแหน่ง ผลคือการทำงานจึงไม่เป็นไปตามที่ต้องการ รวมทั้งก่อให้เกิดปัญหาความร้อนข้างต้นด้วย

Dickson บอกว่าข้อมูลที่เขาได้มานั้น แอปเปิลยังต้องการขาย AirPower ให้ทันภายในปีนี้ แต่ทีมวิศวกรของโครงการดังกล่าวบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

การตรวจวัด ECG บน Apple Watch Series 4 …สำคัญอย่างไร?

Apple ได้ชูจุดเด่นของ Apple Watch Series 4 ไปที่ฟีเจอร์ตรวจวัด ECG


Apple Watch Series 4 ได้เปิดตัวพร้อมเทคโนโลยีการตรวจวัดการเต้นของหัวใจที่ล้ำหน้ามากๆ ซึ่งเรียกว่า ECG (Electrocardiogram) หรือ การบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

ECG (Electrocardiogram) หรือ การบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นการตรวจทางการแพทย์เพื่อดูคลื่นไฟฟ้าของหัวใจตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่งด้วยการรับสัญญาณไฟฟ้าผ่านขั้วไฟฟ้าที่ติดบนผิวหนังบริเวณหน้าอก โดยถูกนำมาใช้ในการวัดอัตราและความสม่ำเสมอของการเต้นของหัวใจ, ขนาดและตำแหน่งของห้องหัวใจ, ความเสียหายใดๆ ที่เกิดกับหัวใจ และผลกระทบของยาหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมหัวใจ เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ เป็นต้น


ECG เป็นฟีเจอร์ที่ได้รับการรับรองจาก FDA (US Food and Drug Administration) หรือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหมายความว่า Apple Watch Series 4 สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้

วิธีการใช้ก็ง่ายดาย เพียงแค่แตะบนปุ่ม Digital Crown หรือเม็ดมะยม เพียงแค่ 30 วินาที นาฬิกาก็จะปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังหน้าอก เพื่อวัดสัญญาไฟฟ้าของหัวใจ ซึ่งมีความแม่นยำมากกว่าการวัดด้วยชีพจรเสียอีก


ด้วยความที่ Apple ได้พัฒนาฟีเจอร์ ECG มาอย่างยาวนาน และสามารถนำมาใส่ใน Apple Watch Series 4 ได้สำเร็จนั้น จะส่งผลดีผู้ใช้โดยตรง เนื่องจากการตรวจวัด ECG นั้นสามารถบอกอาการของโรคหัวใจได้

WHO (World Health Organization) หรือ องค์การอนามัยโลก ได้ระบุว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ของโลก


กล่าวคือ ECG เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ Apple ในการผลักดันแบรนด์ Apple Watch ให้เป็นมากกว่าอุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกายนั่นเอง

ที่มา: Beartai

แอปเปิลเปิดตัวชิป Apple A12 Bionic ชิป 7 นาโนเมตรตัวแรก, เร่งความเร็ว ML ขึ้น 9 เท่าตัว

แอปเปิลเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่สามรุ่นวันนี้ พร้อมกับซีพียูรุ่นใหม่ คือ Apple A12 Bionic ซีพียูโทรศัพท์มือถือตัวแรกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร

ภายในชิปมี 6 คอร์แบ่งเป็น คอร์ประสิทธิภาพสูง 2 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงานอีก 4 คอร์ โดยทุกคอร์สามารถทำงานได้พร้อมกัน และคอร์กราฟิก 4 คอร์ประสิทธิภาพสูงกว่า A11 สูงสุด 50%

แต่จุดที่แอปเปิลชูเป็นจุดเด่นที่สุดคือ Neural Engine คอร์สำหรับประมวลผลโมเดล machine learning ที่ขยายจำนวนคอร์ เป็น 8 คอร์ เพิ่มพลังประมวลผลเป็น 5 ล้านล้านรายการต่อวินาที เทียบกับ 6 แสนล้านรายการต่อวินาทีใน A11 โดยรวมทำให้ Core ML ทำงานเร็วขึ้นสูงสุด 9 เท่า

แอปเปิลโชว์ประสิทธิภาพของ A12 โดยด้วยกราฟิกความละเอียดสูง, แอพพลิเคชั่นอย่าง Homecourt ที่สามารถประมวลผลลักษณะการทำแต้มบาสเก็ตบอลได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถประมวลผลว่าทำแต้มได้มากเพียงใด, ทำแต้มจากจุดใดของสนาม, มุมยิงเป็นอย่างไร ฯลฯ

แอปเปิลระบุว่าประสิทธิภาพของ Neural Engine ทำให้การประมวลผลส่วนสำคัญของระบบปฎิบัติการดีขึ้นด้วย เช่น การลบตาแดงในภาพถ่าย, การยืนยันใบหน้า Face ID ได้เร็วขึ้น


ที่มา: Blognone

SCG ประกาศจัดงาน Hackathon เป็นครั้งแรก ตั้งเงินรางวัลรวม 900,000 บาท


SCG ประกาศจัดงาน Hackathon ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเชิญชวนบุคคลทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมและคิดแผนงานเพื่อชิงเงินรางวัลรวม 900,000 บาท พร้อมโอกาสรับการสนับสนุนจาก SCG เพื่อต่อยอดแนวคิดไปสู่การทำเป็นธุรกิจจริง

กิจกรรมจะจัดเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ตั้งแต่วันที่ 26 ถึง 28 ตุลาคม ณ BIG Co-Working Space ย่านพระราม 9 ทั้งนี้มีการตั้งเงินรางวัลสำหรับผลงานต่างๆ แบ่งเป็นหมวดหมู่ 3 ประเภท ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ของงานพัฒนานั้น อันได้แก่
  • การนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพให้คู่ธุรกิจขององค์กร
  • การเสริมศักยภาพและความยั่งยืนให้อุตสาหกรรม
  • การยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้บริโภค
โดยทีมชนะเลิศในแต่ละประเภทจะได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษที่หน่วยธุรกิจของ SCG จะพิจารณามอบให้อีกรางวัลละ 100,000 บาท (สูงสุด 3 รางวัล) ทั้งนี้เมื่อทำกิจกรรม Hackathon เสร็จในวันที่ 28 ตุลาคมก็จะประกาศผลการตัดสินกันในวันนั้นเลย

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมงานได้ที่นี่ (สามารถรวมทีมกันมาก่อน หรือจะสมัครเป็นรายบุคคลแล้วหาเพื่อนร่วมทีมงานก็ได้) โดยจะเปิดรับลงทะเบียนไปจนถึงวันที่ 7 ตุลาคม หลังจากนั้น SCG จะทำการคัดเลือกผุ้สมัครเพียง 100 คน และประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมในวันที่ 11 ตุลาคม

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561

เร็วและปลอดภัย iPhone iPad ครองส่วนแบ่งตลาดกลุ่มองค์กรมากที่สุด!


หากพูดถึงตลาดองค์กรอย่างกลุ่มเดสก์ท็อปแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Windows มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดเหนือแบรนด์อื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วถ้าเกิดเป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่มองค์กรล่ะ แบรนด์ไหนครองมากที่สุดกัน?

สื่อต่างประเทศรายงานข้อมูลจากการเก็บรวบรวมมาทั้งหมด 12 เดือนหรือ 1 ปีว่า ผู้ใช้งานกลุ่มองค์กรเลือกใช้ iPhone ถึง 46% และ iPad ได้ไปสูงถึง 32% รวมเป็น 78% ในขณะที่อีก 22% เลือกใช้ OS อื่นๆ อย่าง Android หรือ Windows 10 mobile เป็นต้น

5 อุปกรณ์ของ Apple ที่ได้รับความนิยมสูงสุด
  1. iPhone 7
  2. iPhone 6s
  3. iPad Air 2
  4. iPhone 7 Plus
  5. iPhone 6
หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าแล้วรุ่นใหม่ๆ อย่าง iPhone 8 หรือ iPad Pro ล่ะ? จริงๆ แล้ว iPhone 8, iPhone X และ iPad Pro ก็มีเช่นกัน แต่ไม่ติด 1 ใน 5 เท่านั้นเองครับ

Apple ถือเป็นบริษัทที่พัฒนา Ecosystem ของตัวเองได้อย่างดี สามารถมอบประสิทธิภาพการใช้งานที่ดี เร็ว และมีความปลอดภัยสูง ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ iOS เป็นที่นิยมในกลุ่มองค์กร แต่เมื่อกลับมาในส่วนแบ่งตลาดระดับเดสก์ท็อปแล้ว กลับมีส่วนแบ่งที่ 9% เท่านั้น

ที่มา: Beartai

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

ครบรอบ 10 ปี Google Chrome ปรับโฉมใหม่ แท็บค้นหาฉลาดขึ้น จัดการพาสเวิร์ดให้ด้วย

ไม่น่าเชื่อว่า Google Chrome เดินทางมาถึงอายุ 10 ปีแล้ว และในโอกาสครบรอบ 10 ปี กูเกิลปรับโฉมและทำฟีเจอร์ใหม่โดยออกเวอร์ชั่น Google Chrome 69 ออกมาใช้ได้ในเวอร์ชั่นเดสก์ทอป แอนดรอยด์, iOS


ดีไซน์

 

สำหรับบนเดสก์ท็อปนั้นจะมีการปรับเรื่องความโค้งมนที่จุดต่างๆ ในเบราเซอร์ เช่น แท็บแสดงผลเว็บไซท์โค้งมนขึ้น ช่อง URL สำหรับใส่ลิงก์โค้งมนขึ้น รวมถึงปรับสีสันและไอคอนใหม่ทำให้ดูเรียบหรูมากขึ้นด้วย เพิ่มปุ่มตั้งค่าด้านล่างขวา สามารถเพิ่มรูปวอลเปเปอร์ได้ และในมือถือ iOS มีปุ่ม toolbar หรือแถบเครื่องมือด้านล่างให้ใช้งานง่ายขึ้น



 

การจัดการพาสเวิร์ด

 

เมื่อเข้าใช้งานเว็บไซต์ใหม่และต้องสร้างบัญชีกับรหัสผ่าน Chrome เวอร์ชั่นใหม่ช่วยจัดการพาสเวิร์ดและแนะนำการตั้งพาสเวิร์ดที่ปลอดภัยได้ด้วยไม่ใช่แค่บันทึกอย่างเดียว โดยจะทำงานเชื่อมกับบัญชีกูเกิลอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้ต้องการจัดการพาสเวิร์ดของตัวเองก็เข้าไปที่ passwords.google.com ได้เลย



ค้นหาเว็บไซต์และคีย์เวิร์ดที่ฉลาดมากขึ้น

 

แท็บค้นหาหรือ Omnibox เวอร์ชั่นใหม่สามารถแนะนำคีย์เวิร์ดที่คนกำลังค้นหาอยู่มาให้มากขึ้น และหากเว็บไหนที่ผู้ใช้ค้นหากำลังใช้งานอยู่ คือเปิดแท็บเว็บนั้นแล้วแต่ลืมไปว่าเปิดไว้แล้ว Google Chrome จะบอกว่าเว็บนี้กำลังเปิดแท็บอยู่ สามารถเปลี่ยนแท็บไปที่เว็บนั้นได้


ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

มูลค่าบริษัท Amazon ทำจุดสูงสุดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์สำเร็จ เป็นรายที่สองต่อจาก Apple

วันนี้ในช่วงเช้าของการเปิดตลาดสหรัฐฯ ราคาหุ้น Amazon ได้ทำจุดสูงสุดในการซื้อขายอยู่ที่ 2,050.50 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งทำให้บริษัท Amazon มีมูลค่าแตะที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราคาต่อหุ้นที่ทำให้ถึงขั้นต่ำที่ทำให้บริษัทมีมูลค่าตามราคาตลาดที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์อยู่ที่ 2,050.27 ดอลลาร์)

การที่ราคาหุ้นของ Amazon แตะมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า Amazon กำลังจะขึ้นเป็นบริษัทมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยแม้จะเป็นจุดสูงสุดครั้งเดียว (เนื่องจากราคาขึ้นลงตามตลาด) แต่ว่าหุ้นของ Amazon ก็มีโอกาสที่จะแตะจุดสูงสุดนี้อีกครั้ง

หุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) สูงสุดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์บริษัทแรกของโลกคือ PetroChina ซึ่งทำได้ในปี 2007 ส่วนบริษัทแรกของอเมริกาคือ Apple ที่ทำได้เมื่อต้นเดือนที่แล้ว

ส่วนบริษัทอันดับถัดจาก Amazon ที่คาดว่าจะขึ้นเป็นบริษัทมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์นั้นก็มี Microsoft และ Alphabet ซึ่งตอนนี้มีมูลค่าอยู่ที่ราว 8.53 และ 8.37 แสนล้านดอลลาร์ตามลำดับ


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

เตรียมเงินไว้รอเลย สรุปผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ Apple จะเปิดตัววันที่ 12 กันยายนนี้!!


อย่างที่หลายๆ คนทราบว่า Apple จะจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่วันที่ 12 กันยายนที่จะถึงนี้ สำหรับใครที่ตั้งหน้าตั้งตารอผลิตภัณฑ์ในปีนี้ มาดูกันครับว่าเราน่าจะได้เห็นอะไรใหม่กันบ้าง

iPhone ใหม่

 

  • iPhone ใหม่ทั้งหมดสามรุ่น ได้แก่ iPhone XS, iPhone XS Plus และ iPhone (หน้าจอ 6.1 นิ้ว) ซึ่งทั้งหมดจะใช้ดีไซน์เหมือน iPhone X รุ่นปัจจุบัน มี Face ID ครับ
  • สีใหม่สีทองตามรายงานของ 9to5Mac

iPad Pro

 

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานที่เชื่อว่าหลายๆ คนต่างรอคอยนั่นก็คือ iPad Pro ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับสเปกมามากนัก แต่คาดว่า iPad Pro รุ่นใหม่จะทิ้งดีไซน์เก่า ไปใช้ดีไซน์ไร้ขอบ รองรับ Face ID ไม่มีปุ่มโฮมครับ

Apple Watch

 

Apple Watch รุ่นใหม่หรือ Series 4 จะเปิดตัวในงานนี้เช่นเดียวกัน โดยเน้นไปที่การขยายขนาดของหน้าจอให้ชิดขอบ เพิ่มการแสดงผลมากขึ้น โดยมีการคำนวนเป็นตัวเลขออกมาพบว่าเนื้อที่การแสดงผลจะเพิ่มขึ้นอีก 15% โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของตัวเรือนเลยแม้แต่นิดเดียว


Mac ใหม่ๆ

 

ถึงแม้ว่า Apple จะอัปเกรด MacBook Pro เป็นรุ่น 2018 ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมี Mac อีกหลายรุ่นที่รออัปเกรดอยู่เช่นเดียวกันครับ
  • MacBook Air รุ่นใหม่ รองรับการแสดงผล Retina Display
  • Mac mini อัปเกรดสเปก จับกลุ่มผู้ใช้งานระดับโปร
  • iMac อัปเดทรองรับ True Tone Display
  • MacBook 12 รุ่นอัปเดท

 

ผลิตภัณฑ์อื่นๆ

 

นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วก็ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่รอเปิดตัวและวางจำหน่ายด้วย ได้แก่ AirPods รุ่นที่สอง, แท่นชาร์จไร้สาย AirPower ที่ดีเลย์มาเป็นปี รวมถึงการปล่อยอัปเดทซอฟท์แวร์ใหม่ๆ อย่าง iOS 12 และ macOS Mojave เป็นต้น

ที่มา: Beartai

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

AMD เผย ข้าม 10 นาโมเมตร มาทำ 7 นาโนเมตรเลย กลายเป็นตอนนี้เหนือกว่าอินเทล

Mark Papermaster ซีทีโอของ AMD ให้สัมภาษณ์กับ CRN ถึงสถานการณ์การแข่งขันในวงการหน่วยประมวลผล ที่ AMD สามารถพลิกฟื้นตัวเองกลับมาต่อกรได้ในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็น Ryzen, Radeon หรือ EPYC

ประเด็นสำคัญคือ แผนการของ AMD ที่พร้อมแล้วสำหรับ 7 นาโนเมตร ในขณะที่คู่แข่งอินเทลยังติดอยู่กับ 14 นาโนเมตร และมีแผนชิป 10 นาโนเมตรได้ในปลายปี 2019 หรือต้นปี 2020

Papermaster เล่าว่า AMD ประเมินว่าอินเทลจะทำ 10 นาโนเมตรได้ในปี 2018 ทำให้บริษัทวางแผนมาตั้งแต่แรกว่าต้องไปให้เหนือกว่า บริษัทจึงตัดสินใจเสี่ยง ข้ามกระบวนการผลิตที่ 10 นาโนเมตรไปเลย เพราะเปลี่ยนแปลงจากเดิมไม่มากนัก มุ่งมาที่ 7 นาโนเมตรตั้งแต่แรก การลดจาก 14 นาโนเมตรมาเหลือ 7 นาโนเมตรช่วยประหยัดพลังงานลงได้ครึ่งหนึ่ง ที่ประสิทธิภาพคงเดิม


เขายังบอกว่าตอนแรก AMD วางแผนจะออก Radeon Vega 7 นาโนเมตรในปี 2019 แต่ซีอีโอ Lisa Su ผลักดันว่าต้องออกภายในปี 2018 ทำให้แผนปรับมาออกเร็วกว่าเดิม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AMD มุ่งมายัง 7 นาโนเมตรได้สำเร็จคือพาร์ทเนอร์อย่าง TSMC ที่พร้อมแล้วสำหรับ 7 นาโนเมตรเช่นกัน

Papermaster บอกว่าตอนนี้ AMD มีอาวุธเด็ดที่ใช้ต่อสู้กับคู่แข่งยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในวงการนี้มานาน (เขาไม่ได้ระบุชื่อแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าคืออินเทล) และบอกว่า AMD ในปัจจุบันแตกต่างจาก AMD ในอดีตมาก

สินค้าอีกตัวที่ AMD ทำได้ดีคือ EPYC ซีพียูสำหรับตลาดเซิร์ฟเวอร์ เป็นการส่งสัญญาณว่า AMD กลับมาในตลาดนี้อีกครั้ง เขายอมรับว่าตลาดเซิร์ฟเวอร์เปลี่ยนรอบซีพียูช้ากว่า ต้องทดสอบความเข้ากันได้กันนาน แต่ยอดขายในปีแรกก็ทำได้ดี และคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาด 5% พร้อมอัตราการเติบโตระดับเลขสองหลักในปีที่สอง

ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Go 1.11 ออกแล้ว สนับสนุน WebAssembly ในตัว

 
ภาษา Go ได้ออกรุ่น 1.11 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเน้นเรื่องของการรองรับ WebAssembly เป็นหลัก

ในอัปเดตครั้งนี้นอกจากจะมีการปรับปรุง Library, Toolchain และ Runtime ให้ดีขึ้นแล้ว Go 1.11 นี้ยังเริ่มต้นรองรับ WebAssembly เพื่อให้สามารถทำงานบน Web Browser ได้ รวมถึงยังรองรับ Module ต่างๆ และ Go Assembler เองก็สนับสนุนการใช้งานชุดคำสั่งกลุ่ม AVX-512 บน CPU x86_64 แล้วด้วย

ใน Go 1.11 นี้ยังปรับปรุงการรองรับ MIPS และ ARM ให้ดีขึ้น ทำให้สามารถ Build ได้ดีขึ้น, Debug ได้ง่ายขึ้น และยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในหลายประเด็นอีกด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://blog.golang.org/go1.11

ที่มา: TechTalk

โลกหมุนไว Apple, Google และหลายบริษัทระดับโลกรับสมัครงานไม่ต้องมีปริญญา!!


เรียกว่าโลกหมุนไวจนอ่านแล้วถึงกับตกใจ ล่าสุดหลายบริษัทชั้นนำทั่วโลกเริ่มรับสมัครพนักงานโดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบปริญญาอีกแล้ว

เว็บไซต์ค้นหางาน Glassdoor เผยว่าปัจจุบันมี 15 บริษัทที่เริ่มรับสมัครงานโดยผู้สมัครไม่จำเป็นต้องมีวุฒิปริญญาอีกต่อไป เช่น Google, Apple, IBM และ Starbucks เป็นต้น

ในปี 2017 ที่ผ่านมา รองประธานฝ่ายความสามารถของ IBM, Joanna Daley กล่าวกับ CNBC ว่า 15% ของพนักงาน IBM ไม่ได้จบมหาวิทยาลัย หรือไม่มีวุฒิปริญญานั่นเอง เธอกล่าวว่า แทนที่บริษัทจะมองหาบุคคลซึ่งจบปริญญา IBM เลือกที่จะรับคนที่ผ่านประสบการณ์จริงผ่านค่ายที่เกี่ยวกับการโค้ดหรือที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมโดยตรงเป็นต้น

ตัวอย่างตำแหน่งที่ไม่ต้องมีใบปริญญา

  • Google: product manager, recruiter, software engineer, product marketing manager
  • Apple: design verification engineer, engineering project manager, iPhone buyer
  • Starbucks: barista, shift supervisor, store manager
  • IBM: financial blockchain engineer, lead recruiter, contract and negotiations professional
  • Bank of America: client service representative, client associate, analyst, executive assistant
นอกจากรายชื่อบริษัทข้างต้นนี้แล้วก็ยังมีอีกถึง 10 บริษัทที่รับสมัครงานได้โดยไม่ต้องมีใบปริญญาเลยล่ะครับ

ที่มา: Beartai

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พบช่องโหว่ความรุนแรงสูงสุดบน Apache Struts 2 เตือนผู้ใช้งานอัปเดตด่วน

มีการค้นพบช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) บน Apache Struts 2 ที่ทาง Apache เองแนะนำให้ผู้ใช้งานทุกรายอัปเดตทันทีโดยด่วน


Semmle Security Research Team ได้ค้นพบช่องโหว่นี้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2018 และได้รายงานไปยังทีมพัฒนาของ Apache จนได้ออก Patch เฉพาะกิจมาในเดือนมิถุนายน และออกเป็น Patch มาตรฐานในตอนนี้ โดยช่องโหว่นี้ได้รับรหัส CVE-2018-11776 และถือว่ามีความร้ายแรงระดับสูงสุด ซึ่งตัวช่องโหว่เองได้ปรากฎอยู่บน Core Code ของระบบเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Plugin ใดๆ ที่ใช้งานทั้งสิ้น

ช่องโหว่นี้จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อ
  • ตั้งค่า alwaysSelectFullNamespace เอาไว้เป็น True
  • มี Configuration File ที่มีแท็ก <action …> ซึ่งไม่ได้ระบุ Optional Namespace Attribute หรือมีการระบุ Wildcard Namespace เอาไว้
ถ้าหากผู้ใช้งานไม่ได้เข้าเงื่อนไขเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีต่ำ แต่ทาง Apache ก็เตือนว่าในอนาคตอันใกล้อาจมีวิธีการโจมตีในช่องทางอื่นๆ ที่อาศัยช่องโหว่นี้ในการโจมตี ดังนั้นการอัปเดต Patch ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด

ก่อนหน้านี้ช่องโหว่บน Apache Struts นี้นำไปสู่กรณีของ Equifax อันโด่งดังที่ทำให้มีผู้เสียหายเกือบ 150 ล้านคน และสร้างความเสียหายให้กับ Equifax ไปมากกว่า 600 ล้านเหรียญ ประเด็นนี้จึงถือว่าใหญ่ไม่น้อยเพราะการโจมตีช่องโหว่นี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหากไม่ทำการอัปเดตอุดช่องโหว่ให้เร็วที่สุด

ที่มา: TechTalk

รู้จัก Red Hat OpenShift: โซลูชัน Docker และ Kubernetes ตอบโจทย์ DevOps และ Multi-Cloud สำหรับองค์กร

แนวโน้มของการใช้งานเทคโนโลยี Container ในการพัฒนา Application ต่างๆ ขององค์กรนั้นได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยข้อดีหลากหลายประการทั้งในเชิงเทคนิคและการลงทุน Red Hat เองก็ถือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมบุกเบิกตลาด Container ในองค์กรรายแรกๆ ด้วยโซลูชัน Red Hat OpenShift ที่ได้นำ Docker และ Kubernetes มาผสานและปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งานภายในองค์กร ก้าวสู่การทำ Platform-as-a-Service (PaaS) ได้ด้วยเทคโนโลยี Enterprise Container เพื่อตอบโจทย์การทำ DevOps และ Multi-Cloud ภายในองค์กร

 

ใช้ Container ในการพัฒนา Application สามารถช่วยประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายขององค์กรได้อย่างไร?

 


สำหรับหลายๆ องค์กรที่ยังไม่ได้เริ่มมีการใช้งาน Container ในการพัฒนาระบบ Application ต่างๆ ขององค์กรนั้นก็อาจยังไม่เห็นภาพประโยชน์ของการใช้งาน Container นัก ซึ่งหากสรุปโดยย่นย่อแล้ว Container จะมีประโยชน์ต่อองค์กรดังนี้
  • ทีมพัฒนาและทดสอบ Application สามารถควบคุม Environment ของระบบที่ใช้ Develop, ระบบ Production และระบบ Test ให้เหมือนกันได้ ทำให้ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และช่วยให้การทำ DevOps มีขั้นตอนที่ชัดเจนมากขึ้น
  • รองรับการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบ Microservices ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาระบบมีความเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น, สามารถอัปเดตเฉพาะส่วนโดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ได้
  • การ Deploy ระบบสามารถทำได้อย่างง่ายดายและไม่ขึ้นกับ Environment ที่ใช้มากนัก รวมถึงสามารถเพิ่มขยายระบบเพื่อรองรับการใช้งานจำนวนมากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
  • สามารถลดปริมาณทรัพยากรที่ต้องใช้ในระบบโดยรวมได้ดีกว่าการใช้ Virtual Machine (VM) เป็นหลัก
  • สามารถออกแบบระบบให้ทำงานทดแทนกันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพิ่มความทนทานให้กับ Application โดยรวม
จะเห็นได้ว่าการนำ Container มาใช้งานนี้จะช่วยลดภาระด้านการดูแลรักษาระบบและลด Downtime ที่จะเกิดขึ้นกับ Application ได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังทำให้การทำ DevOps เป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น และยังช่วยให้การพัฒนา Software ต่างๆ เป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้การนำ Container มาใช้ภายในองค์กรจึงได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับการพัฒนา Cloud-native Application หรือระบบงานขนาดใหญ่

IDC ได้เคยทำการสำรวจเหล่าองค์กรขนาดใหญ่ 9 แห่ง ที่มีพนักงานเฉลี่ย 44,000 คน ซึ่งมีการใช้งานระบบ Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นโซลูชันด้าน Container ของ Red Hat และพบตัวเลขที่น่าสนใจดังนี้
  • Return on Investment (ROI) ของการใช้งาน 5 ปีนั้นจะอยู่ที่ 531%
  • Life Cycle ในการพัฒนา Application นั้นเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 66%
  • พนักงานฝ่าย IT ใช้เวลาในการพัฒนา Application น้อยลงกว่าเดิม 33%
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับระบบ IT Infrastructure ในการพัฒนา Application นั้นน้อยลง 38%
และทั้งหมดนี้ก็นำมาสู่การที่องค์กรสามารถทำการพัฒนา Application ออกมาได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยลง เป็นการเร่งให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ภายในองค์กรได้อย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้นนั่นเอง โดยผู้ที่สนใจรายงานฉบับเต็มสามารถศึกษาได้ที่ https://www.redhat.com/en/engage/application-development-platform-20170713 

 

Red Hat OpenShift: Docker และ Kubernetes ที่ถูกเสริมความสามารถสำหรับตอบโจทย์องค์กรโดยเฉพาะ

 

เพื่อตอบรับต่อกระแสความต้องการในการนำระบบ Container ที่มีทั้งประสิทธิภาพ, ความง่ายในการบริหารจัดการ, ความมั่นคงปลอดภัย และบริการดูแลรักษาจากมืออาชีพโดยตรง ทาง Red Hat จึงได้ทำการพัฒนาโซลูชัน Red Hat OpenShift ขึ้นมาตอบโจทย์เหล่านี้สำหรับตลาดระดับองค์กร ให้สามารถใช้งานโซลูชันระบบ Open Source Software ขนาดใหญ่ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบ Application สำคัญของธุรกิจได้โดยตรง


Red Hat OpenShift นี้คือการรวมเอาเทคโนโลยีจาก Docker และ Kubernetes เข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อให้การใช้งาน Container ในการพัฒนา Application ต่างๆ เป็นไปได้อย่างครบวงจร อีกทั้ง Docker และ Kubernetes นี้ก็ยังเป็นโครงการ Open Source Software ที่เหล่า Developer ใช้งานกันเป็นมาตรฐานทั่วโลกไปแล้ว ดังนั้นการที่เหล่า Software Developer ภายในองค์กรจะหันมาเรียนรู้และปรับใช้งานภายในองค์กรนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก โดยทาง Red Hat เองก็ได้พัฒนาและทดสอบระบบ Red Hat OpenShift จนสามารถให้บริการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
  • การจัดการ Image และ Quickstart Template สำหรับ Application ที่พัฒนาด้วย Java, Node.js, .NET, Ruby, Python, PHP และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้สามารถรองรับภาษาที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมและ Framework ต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม
  • การสร้าง Database Instance สำหรับใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลของ Application ต่างๆ ซึ่งรวมถึง MariaDB, MySQL, PostgreSQL, MongoDB, Redis, SQLite ทำให้องค์กรสามารถเลือกใช้ฐานข้อมูลที่ตนเองต้องการในแต่ละโครงการได้
  • มี Red Hat JBoss Middleware Service Image และ Template ให้ใช้สำหรับรองรับระบบ Application ขนาดใหญ่ขององค์กรได้ ทำให้องค์กรที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีของ Red Hat มาแต่เดิมสามารถก้าวมาสู่การทำ Microservices บนระบบ Enterprise Container ได้อย่างเต็มตัว
  • สามารถเชื่อมต่อไปยัง Container Catalog ของ DockerHub และอื่นๆ ได้ รวมถึงยังมี Red Hat Container Catalog ซึ่งเป็นการรวบรวมเอา Container Image สำหรับการใช้งานภายในองค์กรโดยเฉพาะเอาไว้ให้ใช้งานได้ด้วย
  • มีเครื่องมือ Source-to-Image (S2I) สำหรับใช้สร้าง Docker Container Image ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ช่วยลดภาระของทีมพัฒนาลงไปได้อีกระดับหนึ่ง
  • มีเครื่องมือ Red Hat Container Development Kit, Minishift และ OpenShift Command Line Tool เพื่อให้สามารถสร้าง OpenShift Instance ภายในเครื่อง Local Machine และทำการพัฒนาหรือทดสอบระบบพร้อมทั้ง Deploy ขึ้นไปยังระบบ Production ได้อย่างง่ายดาย
  • สามารถทำการ Deploy ระบบต่างๆ ได้ในการคลิกเพียงครั้งเดียวหรือการใช้ Git Push ทำให้การทำ DevOps เป็นไปได้อย่างราบรื่น
  • รองรับการทำ Port Forwarding ได้ในตัว ทำให้สามารถทำการเชื่อมต่อไปยังแต่ละ Service ภายในแต่ละ Pod ได้อย่างปลอดภัย
  • สามารถทำงานร่วมกับ Jenkins เพื่อทำ Automated Test และ Build ได้
  • ใช้แนวคิดการแบ่งระบบออกเป็น Pods ของ Kubernetes ทำให้สามารถทำ Pods Autoscaling และ High Availability ได้
  • สามารถทำ Container Orchestration ด้วย Kubernetes ได้
  • สามารถทำการ Deploy ระบบไปยัง Physical, Virtual และ Cloud ได้
  • สามารถบริหารจัดการได้ผ่าน Web Console และ CLI
  • มีเครื่องมือ Remote Execute Command และ SSH ไปยัง Container ต่างๆ ในระบบได้
  • มีเครื่องมือในการ Integrate เข้ากับ IDE อย่าง Eclipse, JBoss Developer Studio และ Visual Studio เพื่อให้ Developer ทำงานได้ง่ายขึ้น
  • การพัฒนาระบบให้สามารถนำทรัพยากรต่างๆ อย่าง CPU, GPU, FPGA และอื่นๆ มาใช้งานบน Container ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ Red Hat เองก็ยังได้พัฒนาโซลูชันเสริมต่อยอดขึ้นไปจาก Red Hat OpenShift ด้วยกันอีกถึง 3 โซลูชัน เพื่อตอบโจทย์การสร้างระบบ IT Infrastructure สำหรับรองรับความต้องการที่แตกต่างกันอย่างหลากหลาย ได้แก่
  • Red Hat OpenShift Application Runtimes รวบรวม Runtime และ Framework ที่หลากหลายมาให้พร้อมใช้ในการพัฒนา Application เช่น Red Hat JBoss Enterprise Application Platform (EAP), Eclipse Vert.x, WildFly Swarm, Node.js, Spring Boot, Netflix Ribbon และ Netflix Hystrix เป็นต้น
  • Red Hat Mobile Application Platform รวบรวมเครื่องมือ, SDK และ Framework สำหรับการพัฒนา Mobile Application และบริการต่างๆ ที่จำเป็นในฝั่ง Backend เอาไว้เพื่อรองรับการพัฒนา Mobile Application สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ
  • Red Hat Cloud Suite ระบบ Cloud IT Infrastructure สำหรับรองรับ Application ขนาดใหญ่ที่เพิ่มขยายได้อย่างง่ายดาย ด้วยการนำเทคโนโลยี Red Hat Virtualization, Red Hat OpenStack Platform, Red Hat Satellite และ Red Hat CloudForms เข้ามาใช้ร่วมกับ Red Hat OpenShift ทำให้การบริหารจัดการ, การเพิ่มขยายระบบ และการดูแลรักษาระบบขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นไปได้อย่างครบวงจร

 

ใช้เทคโนโลยี Open Source มาตรฐาน ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ ได้อีกมากมาย

 

ด้วยความที่ Red Hat OpenShift นั้นอาศัยการพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจาก Docker และ Kubernetes ซึ่งต่างก็เป็นโครงการ Open Source Software ชั้นนำที่ได้รับการยอมรับและการใช้งานอย่างกว้างขวาง ทำให้ Red Hat OpenShift นั้นสามารถทำงานร่วมกับโครงการ Open Source Software ชั้นนำอื่นๆ จำนวนมากได้ เช่น
  • CoreOS ระบบปฏิบัติการสำหรับ Container โดยเฉพาะที่ Red Hat ได้เข้าซื้อกิจการมา
  • Cri-O ระบบ Container Runtime ขนาดเล็กสำหรับ Kubernetes
  • Prometheus ระบบ Monitoring ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในระบบ Production ขนาดใหญ่และ DevOps
และหลังจากนี้ทาง Red Hat เองก็ยังมีแผนที่จะนำโครงการ Open Source ชั้นนำอื่นๆ เข้ามาใช้งานใน Red Hat OpenShift ด้วย และโครงการอย่าง Ist.io ซึ่งเป็นระบบสำหรับ Service Mesh ที่มาแรงมากในปีนี้เองก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการนำเข้ามาเสริมให้กับโซลูชันนี้ด้วยเช่นกัน

 

เลือกใช้งานได้ 3 แบบ ตอบโจทย์ IT Infrastructure ได้ยืดหยุ่นตามต้องการ

 


Red Hat OpenShift นี้สามารถเลือกใช้งานได้ด้วยกันถึง 3 รูปแบบ ดังนี้
  • Red Hat OpenShift Online เช่าใช้บริการ Hosted Service สำหรับ OpenShift บน Cloud ของ Red Hat โดยตรง
  • Red Hat OpenShift Dedicate เช่าใช้ Red Hat OpenShift ที่ทำงานอยู่บน AWS และ Google Cloud โดยมีทีมงานของ Red Hat คอยสนับสนุนและดูแลการใช้งาน
  • Red Hat OpenShift Container Platform ติดตั้งและใช้งาน Red Hat OpenShift ภายใน Data Center หรือ Public Cloud ที่ต้องการด้วยตนเอง
ดังนั้นแล้วไม่ว่ากลยุทธ์ทางด้านการพัฒนา Application ใหม่ๆ ขององค์กรจะอยู่ในรูปแบบใด Red Hat OpenShift ก็มีทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับตอบโจทย์ความต้องการได้อยู่เสมอ ไม่ต้องยึดติดกับผู้ผลิต Hardware รายใดหรือผู้ให้บริการ Cloud รายใดเป็นพิเศษ ทำให้องค์กรสามารถลงทุนอย่างคุ้มค่าได้ในระยะยาว ไม่เกิดปัญหา Vendor Lock-in

 

เปิดตัว Red Hat OpenShift Container Storage

 

ล่าสุด Red Hat เองก็ได้ทำการเปิดตัว Red Hat OpenShift Container Storage 3.10 เพื่อทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลสำหรับระบบ Container โดยเฉพาะด้วยประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย ด้วยแนวคิดการทำ Software-Defined Storage สำหรับ Cloud-native Application โดยเฉพาะ รองรับได้ทั้ง Stateful และ Stateless Container ได้อย่างครอบคลุม 

 

ทดลองใช้งาน Red Hat OpenShift ได้ฟรี

 

ผู้ที่สนใจอยากทดสอบเทคโนโลยี Red Hat OpenShift หรือต้องการเรียนรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้าน Container สามารถทดสอบได้ฟรีทันที 2 ช่องทาง ได้แก่
  • สำหรับ Developer สามารถทดการทดลองใช้งาน Red Hat OpenShift บน Cloud ได้ฟรีๆ ทันทีโดยการลงทะเบียนที่ https://www.openshift.com/products/online/ และจะสามารถทำการใช้งานได้ทันที 4 Service โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
  • สำหรับ System Administrator ที่ต้องการทดลองทำแล็บสำหรับ Red Hat OpenShift สามารถลงทะเบียนได้ฟรีๆ ที่ https://www.redhat.com/en/engage/openshift-storage-testdrive-20170718 เพื่อทดลองใช้งานระบบแล็บออนไลน์แบบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพียงใช้ SSH Client และ Web Browser เพื่อทำแล็บเท่านั้น
ส่วนผู้ที่ต้องการทดสอบ Red Hat OpenShift ในเชิงลึกยิ่งขึ้นโดยมีทีมงานของ Red Hat คอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำในเชิงเทคนิค สามารถติดต่อทีมงาน Red Hat ในประเทศไทยได้ทันที

 

ติดต่อทีมงาน Red Hat Thailand

 


สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีต่างๆ ของ Red Hat สามารถติดต่อทีมงาน Red Hat Thailand เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือทดสอบเทคโนโลยีต่างๆ ได้ทันทีที่โทร 02-624-0601 หรืออีเมล์ asaeung@redhat.com

ที่มา: TechTalk

Google เตรียมส่ง Chrome ดีไซน์ใหม่หมดจดเดือนหน้า!


Google เตรียมส่ง Chrome ดีไซน์ใหม่หมดจด “Material Design” ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

สำหรับ Chrome รุ่นใหม่นี้จะมีการแสดงผลของขอบโค้งมนและพื้นที่สีขาวที่มากขึ้นกว่าเดิม แต่สำหรับ iOS นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างมาก Google จะย้ายปุ่มสั่งการหรือ Navigation ไปไว้ที่ด้านล่างของแอปทำให้ใช้งานมือเดียวได้ง่ายขึ้น

สำหรับ Chrome ฉบับ Material Design จะถูกปล่อยอัปเดทในวันที่ 14 กันยายนที่จะถึงนี้ เวอร์ชั่น 69 ครับ

ที่มา: Beartai

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ไฟเบอร์ขาด จอดับ สายไฟเบอร์สนามบินในลอนดอนขาด หน้าจอแสดงเที่ยวบิน 1,200 จอใช้งานไม่ได้ ต้องใช้กระดานอันเดียว

สนามบิน Gatwick ในลอนดอนเปลี่ยนไปใช้หน้าจอแสดงข้อมูลการบิน (Flight Information Display System - FIDS) ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยหน้าจอแสดงข้อมูลการบินทั่วสนามบิน 1,200 หน้าจอ จะดึงข้อมูลจากคลาวด์ทั้งหมด

ระบบ FIDS เปิดให้หน้าจอกลายเป็นเพียงเว็บเบราว์เซอร์ แล้วดึงข้อมูลการบินจากเซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์ โดยรวมแล้วมันต้องการอินเทอร์เน็ต 3 Mbps ทั้งระบบเท่านั้น แต่ปรากฎว่าวันนี้สายไฟเบอร์ของ Vodafone ที่ทางสนามบินใช้งานกลับเสียหายโดยทาง Vodafone ไม่ได้แจ้งสาเหตุ แต่ผลกระทบกลับเป็นความโกลาหลในสนามบินเพราะทางสนามบินต้องเขียนกระดานแจ้งเที่ยวบินและช่องทางออกบนกระดานไวท์บอร์ดกระดานเดียวกลางสนามบิน

FIDS เป็นโครงการเพื่อลดภาระในการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน และได้รางวัลโครงการคลาวด์แห่งปี จาก Real IT แต่บทเรียนครั้งนี้คงทำให้ทางสนามบินได้เรียนรู้ว่าการตัดต้นทุนโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่ตามมา จะสร้างความเสียหายได้มากมาย



ที่มา: Blognone