วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2562

5 เหตุผลที่คุณควรลองใช้ React

หลายองค์กรได้เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของตัวเองมาใช้ JavaScript​ Ecosystem มากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกใช้ React เป็น front-end library ทั้งเว็บไซต์ Dek-D ที่เปลี่ยนมาจาก PHP และ Wongnai ที่เปลี่ยนมาจาก Java ด้วยรูปแบบของการพัฒนาซอฟท์แวร์ที่เร็วขึ้นทุกวัน การใช้เทคโนโลยีเก่าอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

หากคุณกำลังสนใจหรือเริ่มศึกษา React เพื่อมาใช้ในงานของตัวเอง ขอเชิญพบกับ 5 เหตุผลดีๆ ที่คุณควรลองใช้ React


1. Reusability แยกส่วนประกอบชัดเจนเพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น

 

แนวคิดของ Component คือการแยกส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ให้เป็นส่วนย่อยๆ เช่น ปุ่มกด กล่องข้อความ ภาพโปรไฟล์ เป็นต้น ซึ่งข้อดีคือ สามารถแบ่งย่อยส่วนงานต่างๆ ให้กับ developer หลายๆ คนเพื่อแบ่งงานกันทำได้ และสามารถ reuse เพื่อใช้ซ้ำในส่วนต่างๆ ของเว็บได้

เช่น modal สำหรับยืนยันการทำรายการ ที่ประกอบไปด้วยข้อความ ปุ่มยืนยัน และปุ่มยกเลิก ซึ่ง modal นี้ต้องใช้ในหลายๆ หน้า เมื่อใช้ React จะมอง modal เป็น component พัฒนาครั้งเดียว และใช้ซ้ำได้ทุกหน้าที่ต้องการ


2. Fast to Learn เริ่มต้นได้รวดเร็ว


React เป็น library ที่จัดการในส่วนของการแสดงผลเท่านั้น กล่าวคือเฉพาะ View ที่อยู่ใน MVC (Model, View, Controller) ทำให้ developer ใช้เวลาศึกษาไม่นานก็สามารถพัฒนาเว็บไซต์ได้


3. Learn Once, Write Anywhere เรียนทีเดียว เขียนได้ทั้ง Stack


เรามักจะคุ้นเคยกับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันแบบดั้งเดิม ที่พัฒนาเว็บไซต์ด้วยภาษา JavaScript โดยมีระบบหลังบ้านด้วยภาษาอื่นๆ ซึ่งในปัจจุบัน JavaScript มี Ecosystem ครอบคลุมทั้งหมด สามารถทำได้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยทีเดียว

ซึ่งถ้าเราพัฒนาบุคลากรเพื่อเรียนรู้ JavaScript ตั้งแต่วันนี้ ก็จะสามารถพัฒนาได้ทั้ง front-end (React), back-end (Node.js) ได้เลยทีเดียว ซึ่งไม่ทำให้ developer ต้องเสียเวลาและเสียพลังในการเรียนรู้หลายภาษา เพื่อจะมาทำได้ทีละอย่างอีกต่อไป


4. React Native


ด้วยความที่ React มีลักษณะการเขียน View โดยไม่ยึดติดกับภาษา HTML ทำให้สามารถใช้โค้ดโครงสร้างเดียวกันแปลงไปเป็น mobile application ด้วย React Native ได้อย่างง่ายและสะดวก ลดเวลาในการพัฒนาแยกในแต่ละ Mobile Platform


5. Redux เครื่องมือทรงพลังในการควบคุม State


หนึ่งใน library ยอดฮิตที่นิยมใช้คู่กับ React เสมอมา นั่นก็คือ Redux ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมสถานะ หรือ state ของ component ต่างๆ ซึ่งทำให้ component แสดงผลข้อมูลได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น และแน่นอนว่าทำให้ชีวิต developer ง่ายขึ้นด้วย

React จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการพัฒนาบุคลากร และพัฒนาความสามารถของเหล่า developer เอง เพราะจะช่วยให้การพัฒนาซอฟท์แวร์ในองค์กรดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานแต่สามารถต่อยอดได้หลายอย่าง และช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาบุคลากรได้มาก

จึงไม่น่าแปลกใจ หาก React จะเป็น JavaScript library ที่คนนิยมใช้กันทั่วโลก ทั้ง Facebook, Airbnb, Spotify, Dropbox — หรือองค์กรในประเทศไทยอย่าง Omise, Kaidee, Dek-D, Wongnai, Lazada เป็นต้น

หากคุณสนใจศึกษา React สามารถศึกษาได้จาก tutorial ทางการของ reactjs.org ได้ เป็น tutorial ที่ทำออกมาดีมากๆ สามารถเรียนแบบ step-by-step ได้ทันที

หรือถ้าไม่อยากเสียเวลาศึกษาเอง ทาง Skooldio เปิด Workshop: Mastering Web Development with React/Redux ในวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม — 1 เมษายนนี้ สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://www.skooldio.com/courses/react-redux-workshop

มาเขียน React กัน!

ที่มา: Skooldio

จีนเตรียมพัฒนาแอพฯ สแกนหา “ลูกหนี้” ในระยะ 500 เมตร ผ่านบริการ WeChat

China Daily เผยรัฐบาลประกาศจีน มีแผนพัฒนาแอพฯ ช่วยสแกนหาบุคคลที่เป็นหนี้ ผ่านบริการหรือแพลตฟอร์ม WeChat ในระยะใกล้ 500 เมตร โดยผู้ใช้สามารถระบุตำแหน่ง และดูข้อมูลส่วนตัวบางส่วนได้ด้วย !!


ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวดังว่า รัฐบาลจีนประกาศใช้โครงการ Social Credit หรือระบบให้คะแนนวัด “ความประพฤติ” ทางสังคมของคนจีนผ่าน Big Data ซึ่งเตรียมใช้จริงทั่วประเทศภายในปี 2020 ล่าสุดเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวของโครงการดังกล่าวแล้ว หลังเร็วๆ นี้ทาง China Daily รายงานว่า ทางรัฐบาลจีนมีแผนพัฒนาแอพฯ ตัวหนึ่ง ช่วยสแกนค้นหาลูกหนี้ในระยะใกล้ !!


“deadbeat debtors” หรือชื่ออย่างไม่เป็นทางการของแอพฯ ดังกล่าว สำหรับตัวแอพฯ สามารถค้นหาลูกหนี้ได้ในระยะ 500 เมตร โดยใช้บริการหรือแพลตฟอร์ม WeChat เป็นหลัก ซึ่งนอกจากจะสแกนหาตำแหน่งได้แล้ว ผู้ใช้แอพฯ ยังสามารถดูข้อมูลส่วนตัวบางส่วนของลูกหนี้ได้อีกด้วย ส่วนจะโชว์ข้อมูลอะไรบ้างนั้น ยังไม่มีการระบุ แต่ที่แน่ๆ คือ มีชื่อของลูกหนี้และตำแหน่งในระยะ 500 เมตร ปรากฎออกมาแน่นอน

ท้ายนี้ตัวแอพฯ จะมีการใช้ในมณฑลเหอเป่ย์ของประเทศจีนก่อน โดยทางด้านโฆษกของศาลมณฑลเหอเป่ยกล่าวว่า “นี้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าเชื่อถือทางสังคม” เมื่ออิงจากโครงการ Social Credit อาจเรียกได้ว่า นี้คงเป็นหนึ่งในตัววัดความประพฤติทางสังคม หากพบว่ามีหนี้แต่ไม่จ่าย คะแนนก็จะลด และเมื่อลดมากๆ ก็อาจจะอยู่ยากขึ้น (อาทิ ทำเรื่องยากขึ้น ซื้อของหรือใช้บริการนั้นๆ ไม่ได้ ฯลฯ) นั้นเองครับ

ที่มา: ARiP

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

อวสาน Windows Mobile ไมโครซอฟท์ประกาศวันหยุดซัพพอร์ต ธ.ค. 2019

ไมโครซอฟท์อัพเดตข้อมูลในเอกสารซัพพอร์ต ระบุวันสิ้นสุดระยะซัพพอร์ตของ Windows Phone/Mobile เวอร์ชันสุดท้ายแล้ว

ระบบปฏิบัติการตัวสุดท้ายในซีรีส์คือ Windows 10 Mobile, version 1709 (Fall Creators Update) ที่ออกในเดือนตุลาคม 2017 ส่วนวันหมดระยะซัพพอร์ตคือ 10 ธันวาคม 2019

หลังจากนั้นไป เราจะไม่ได้เห็นการอัพเดตใดๆ ของ Windows Mobile อีกแล้ว ถือเป็นจุดสิ้นสุดของระบบปฏิบัติการ Windows Phone/Windows Moible อย่างเป็นทางการ

 
ที่มา: Blognone

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

3 แนวโน้มการทำงานของ DevOps ในปี 2019

itportal ได้นำเสนอแนวโน้ม 3 ข้อที่ทีม DevOps ต้องเจอในปีหน้าซึ่งทางเราขอสรุปมาให้อ่านกันอีกทีครับ


1. Machine Learning จะเข้ามาช่วยในเรื่องการวิเคราะห์คุณภาพ

 

Machine Learning และ AI จะสามารถตัดแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วน และทำการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการทำ Pipeline Testing เพราะเราเชื่อว่า 80% ของปัญหานั้นมีรูปแบบ ดังนั้นเราสามารถจัดประเภทของปัญหาเป็นกลุ่มได้เพื่อตอบคำถาม เช่น เกิดจากโค้ดห่วย หรือ มีผลไปถึงเรื่องความมั่นคงปลอดภัยหรือไม่ เป็นต้น อีกทั้ง AI ยังจะเข้ามาช่วยในส่วน Continuous Integration ได้ทั้หมดเช่นกันเพราะสามารถบอกภาพรวมได้ว่า Pipeline ทำงานอย่างไรเมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วจะมีผลอย่างไร ซึ่งช่วยลดเวลาได้อย่างมาก

 

2. MicroService จะมีผลกระทบต่อ DevOps กว่าที่เคย

 

MicroService ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่จะมีบทบาทในกลุ่มของ DevOps มากขึ้น ซึ่งอันที่จริงแล้วคอนเซปต์ของ MicroService คือการแบ่งขั้นตอนการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) ออกเป็นส่วนๆ ดังนั้นการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง อัปเดต แต่ละส่วนจะไม่กระทบกัน จึงสามารถแบ่งหน้าที่การทำงานแต่ละส่วนไปพร้อมกันได้

 

3. Continuous Testing จะหันหน้าสู่ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส

 

เครื่องมือที่เสียเงินแบบเดิมไม่ตอบโจทย์การทำ Continuous Testing ที่ต้องสามารถสเกลได้ตาม Requirement และเรื่อง Shift-Left Testing ที่ผันจาก QA มาเป็นหน้าที่ของ Dev อย่างไรก็ตามเครื่องมือแบบโอเพ่นซอร์สสมัยใหม่ เช่น Appium, Selenium, Nightwatch.js, Angular และ Quantum สามารถตอบความต้องการข้างต้นได้ดีกว่าแถมยังมีบางแพลตฟอร์ม เช่น Expresso และ XCUITTest ที่ออกแบบมาเพื่อ Dev ใช้งานโดยเฉพาะด้วย ดังนั้นไม่แปลกใจที่ทำไมโอเพ่นซอร์สจะกลายเป็นเทรนของ DevOps ในปีหน้า

ที่มา: TechTalk

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

iPad Pro รุ่นใหม่ เปิดให้จองแล้ว สินค้าส่งมอบศุกร์ 16 พ.ย. นี้ ตอนนี้มีเฉพาะรุ่น Wi-Fi

น่าจะเป็นสินค้าแอปเปิลที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ที่หลายคนรอคอย โดย iPad Pro รุ่นใหม่ปี 2018 ได้เริ่มเปิดให้สั่งจองสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ Apple Online Store แล้วในวันนี้ โดยสินค้ามีกำหนดเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป หรือสามารถเลือกรับสินค้าได้ที่ Apple Store สาขา Iconsiam

iPad Pro มีให้เลือกสองขนาดหน้าจอคือ 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว ความจุเริ่มต้นตั้งแต่ 64GB ไปจนถึงสูงสุด 1TB ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 28,900 สำหรับจอ 11 นิ้ว และ 35,900 บาท สำหรับจอ 12.9 นิ้ว

ทั้งนี้ในเว็บ Apple Online Store จะมีตัวเลือกให้สั่งซื้อเฉพาะ iPad Pro รุ่น Wi-Fi เท่านั้น ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular ยังไม่มีจำหน่าย

สำหรับราคาอุปกรณ์เสริมนั้น Apple Pencil รุ่นที่ 2 ราคา 4,490 บาท และ Smart Keyboard Folio เริ่มต้น 6,490 บาท


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Google เผย Dark Mode ช่วยประหยัดแบตได้สูงสุดราว 60%, ขอโทษที่ผลักดันแอปสีขาว

ในงาน Android Developer Summit ที่กำลังจัดขึ้น Google ได้พูดถึงประโยชน์ของ Dark Mode หรือ Dark Theme ในแอปที่ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ลงได้มากถึง 60% พร้อมยอมรับความผิดพลาดที่ผ่านมา ที่ผลักดันการดีไซน์แอปที่เน้นสีขาวเป็นหลัก

ตัวอย่างที่ Google ยกมาคือการเล่น YouTube บน Pixel (หน้าจอ AMOLED) ที่ความสว่าง 50% ในโหมดปกติ (สีขาว) จะใช้พลังงานไฟฟ้า 193mA ส่วนใน Dark Mode ใช้พลังงานที่ 185mA (ลดลง 4%) แต่เมื่อเปิดความสว่างสุด โหมดปกติจะกินพลังงานที่ 343mA ขณะที่ Dark Mode กินพลังงานแค่ 197mA (ลดลง 43%) หรือใน Google Maps ที่ความสว่างสุด โหมดปกติกินพลังงาน 250mA ส่วน Night Mode กินพลังงานแค่ 92mA น้อยลงถึง 63%


ปัจจัยสำคัญก็คือแพแนลของ OLED ที่ไม่มีการปล่อยแสงออกมาเมื่อแสดงผลสีดำ ทำให้ใน Dark Mode ตัวหน้าจอกินพลังงานลดลง รวมถึงน้อยกว่าหน้าจอ LCD ใน iPhone 7 ที่เม็ดพิกเซลยังต้องแสดงผลสีดำ และถูกยกขึ้นมาเทียบว่ากินพลังงานแทบไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะโหมดปกติหรือ Dark Mode

แน่นอน Google ยอมรับผิดในเรื่องนี้หลังไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ผลักดันแนวทางการออกแบบที่เน้นสีขาวเป็นหลัก นับตั้งแต่การเปิดตัว Material Design จึงเป็นไปได้ว่า Google น่าจะทยอยออก Dark Mode ให้กับแอปของตัวเองมากขึ้น รวมถึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการออกแบบแอปในอนาคตด้วย


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Google Kubernetes Engine (GKE) รองรับ Containerd แล้ว

Google Kubernetes Engine (GKE) บริการ Kubernetes ของ Google Cloud Platform ประกาศรองรับ Containerd แล้ว

Containerd คือเดมอน/รันไทม์สำหรับรันคอนเทนเนอร์ เดิมทีมันเป็นส่วนหนึ่งของ Docker Engine แต่ภายหลัง Docker บริจาคโครงการให้กับมูลนิธิ Cloud Native Computing Foundation (CNCF) เพื่อเป็นมาตรฐานกลางของวงการ

ความสำคัญของ Containerd คือ Kubernetes สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมี Docker ตัวเต็ม (เพราะใช้ Containerd ก็พอเพียง), ลดการใช้ทรัพยากรโดยรวมลง รองรับจำนวนคอนเทนเนอร์ได้มากขึ้นบนเครื่องขนาดเดิม ส่วนในแง่การใช้งานคงไม่ต่างจากเดิมนัก เพราะ Kubernetes จัดการผ่าน API ให้หมดแล้ว เพียงแต่ในแง่การจัดการต้องใช้เครื่องมือคอมมานด์ไลน์ตัวใหม่คือ crictl ที่ GKE จะติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน

ตอนนี้ GKE เริ่มรองรับ Containerd แบบเบต้า โดยต้องใช้กับ Kubernetes เวอร์ชัน 1.11 ขึ้นไป (เวอร์ชันล่าสุดในปัจจุบันคือ 1.12) แต่กูเกิลก็ประกาศว่าจะเปลี่ยนจาก Docker มาเป็น Containerd ในระยะยาว โดยยังไม่ระบุช่วงเวลาที่ชัดเจนว่าเมื่อไร


ภาพจาก Docker จะเห็นว่า Containerd เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของ Container Engine ที่มีองค์ประกอบอื่นด้วย

ที่มา: Blognone

ทำได้จริงไม่ได้โม้ AMD โชว์ซีพียู 7 นาโนเมตร EPYC รหัส "Rome" วางขายจริงปี 2019

นอกจาก สถาปัตยกรรม Zen 2 แล้ว AMD ยังโชว์ซีพียูของจริงที่ใช้สถาปัตยกรรมตัวใหม่นี้ พร้อมใช้กระบวนการผลิต 7 นาโนเมตรรุ่นใหม่ล่าสุด นั่นคือซีพียู EPYC รุ่นหน้ารหัส "Rome"

ข้อมูลของ EPYC "Rome" เท่าที่เปิดเผยคือ ใช้สถาปัตยกรรม Zen 2 และมีจำนวนคอร์สูงสุด 64 คอร์, รองรับ PCIe 4.0, เพิ่มแบนด์วิดท์หน่วยความจำอีกเท่าตัว, ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากรุ่นก่อน และประสิทธิภาพด้านการประมวลผลทศนิยมเพิ่มขึ้น 4 เท่า

EPYC "Rome" ยังใช้ซ็อคเก็ตแบบเดียวกับ EPYC รุ่นปัจจุบัน (โค้ดเนม "Naples") และจะรักษาความเข้ากันได้กับ EPYC ตัวถัดไป (โค้ดเนม "Milan")

EYPC "Rome" จะวางขายในปีหน้า 2019 แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาชัดเจน

เส้นกราฟบาดใจคู่แข่ง


ที่มา: Blognone

ธนาคาร HSBC เกิดเหตุ Data Breach ข้อมูลบัญชีลูกค้ารั่วสู่สาธารณะ

วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ธนาคาร HSBC ได้ยื่นแจ้งต่อสำนักอัยการสูงสุด ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ระบุว่าธนาคารถูกผู้ไม่ประสงค์ดีโจมตีจนเกิดเหตุ Data Breach ส่งผลให้ข้อมูลของลูกค้าส่วนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น หมายเลขบัญชี ยอดเงิน ที่อยู่ ประวัติการทำธุรกรรม และอื่นๆ รั่วไหลสู่ภายนอก


ธนาคารระบุในรายงานที่ยื่นต่อสำนักอัยการสูงสุดว่า ตรวจพบผู้ไม่ประสงค์ดีแอบเข้าถึงข้อมูลบัญชีออนไลน์ของลูกค้าอย่างไม่มีสิทธิ์เมื่อช่วงวันที่ 4 – 14 ตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นจึงได้หยุดการให้บริการออนไลน์สำหรับลูกค้าบางรายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อีก รวมไปถึงแจ้งเตือนลูกค้าเหล่านั้นผ่านทางการโทรศัพท์และอีเมลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำแนะนำในการเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่

แหล่งข่าวที่ติดตามเหตุการณ์นี้ระบุว่า Data Breach ที่เกิดขึ้นกับธนาคาร HSBC ส่งผลกระทบต่อบัญชีของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ประมาณ 1% และคาดว่าผู้ไม่ประสงค์ดีได้ข้อมูลล็อกอินสำหรับเข้าถึงระบบของ HSBC มาจากเหตุการณ์ Data Breach อื่นที่เคยเกิดขึ้น ส่งผลให้เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลบัญชีออนไลน์ของลูกค้าเหล่านั้นได้ ได้แก่ ชื่อนามสกุล วันเกิด ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เลขบัญชี ยอดเงิน ประวัติการทำธุรกรรม เป็นต้น ดังนั้นเหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่การโจมตีช่องโหว่ของระบบธนาคารแต่อย่างใด

เพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอย ธนาคาร HSBC ได้เพิ่มความมั่นคงปลอดภัยในการลงชื่อใช้งานระบบออนไลน์และกระบวนการพิสูจน์ตัวตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งแนะนำให้ลูกค้าใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกันสำหรับระบบออนไลน์ที่สำคัญแต่ละระบบ

ที่มา: TechTalk

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รวมรีวิว iPad Pro 2018 แรงแค่ไหนแต่ iPad ก็ยังคงเป็นแค่ iPad

iPad Pro 2018 ที่หลายๆ คนน่าจะว้าว มากกว่า iPhone รุ่นใหม่ เริ่มได้รับการรีวิวจากสื่อต่างประเทศแล้วก่อนวางจำหน่ายจริงวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้

ในภาพรวมคือดีไซน์สวย หน้าจอดีแต่ไม่ได้ดีขึ้นกว่า iPad Pro ปีที่แล้วขนาดเห็นความแตกต่าง Apple Pencil ใหม่คือความดีงามโดยเฉพาะการชาร์จแบบไร้สายเวลาติด Apple Pencil ไว้กับ iPad Pro ทว่าการเพิ่มการควบคุมปากกาด้วยระบบสัมผัส The Verge ระบุให้ความรู้สึกแปลกๆ และไม่เป็นธรรมชาติเท่ากับปุ่มจริง ขณะที่ Face ID ก็ยังคงทำงานได้ดีเหมือน iPhone แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือสามารถสแกนหน้าแบบกลับหัวได้ด้วย กรณีที่ถือ iPad กลับด้าน


การเปลี่ยนไปใช้พอร์ท USB-C เป็นอีกหนึ่งข้อดีของ iPad Pro เพราะสามารถใช้งานกับ USB-C Hub ยี่ห้ออื่นๆ ได้สบายและรองรับทั้ง HDMI, VGA, Card Reader, Ethernet หรือต่อเข้าหน้าจอนอกที่ความละเอียด 5K ได้สบาย รวมถึงรองรับเอ้าพุทออดิโอทั้งดิจิทัลและแอนาล็อคด้วย อย่างไรก็ตามการนำพอร์ท 3.5 มม. ออกก็อาจสร้างปัญหาให้กับกลุ่มผู้ใช้สายงานดนตรีบ้างอยู่เหมือนกัน ไม่นับรวมอุปกรณ์อื่นๆ อาทิ ปริ๊นเตอรหรือไมโครโฟนที่เป็น USB-C กลับไม่สามารถใช้งานกับ iPad ผ่านพอร์ทได้

ในแง่ประสิทธิภาพหรือความแรงจากชิปเซ็ต A12X Bionic ที่แอปเปิลอ้างในคีย์โน้ตเปิดตัวว่าแรงกว่าแล็บท็อปหรือกราฟิคแรงระดับ Xbox One S นั้น จากการรันเบนช์มาร์คหรือทดสอบการเรนเดอร์ผ่าน Lightroom และ Photoshop รวมถึงแปลงไฟล์วิดิโอ 4K เป็น FHD ผ่าน Premier Rush (ที่ไฟล์ออกมาแค่ FHD เพราะ Premier Rush เอ็กซ์พอร์ทได้สูงสุดแค่นั้น) ก็พบว่าแรงและเร็วกว่าแท็บเล็ตหรือแม้แต่แล็บท็อปได้จริง


อย่างไรก็ตามถึงแม้ประสิทธิภาพของ iPad Pro จะแรงแค่ไหน แต่ข้อจำกัดที่ทำให้ iPad Pro ยังคงเป็นแค่ iPad และไม่สามารถใช้งานทดแทนพีซีได้เป็นส่วนใหญ่ ก็คือ iOS และข้อจำกัดของแอปเป็นสำคัญ

ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดคือ iOS ไม่รองรับสตอเรจนอกใดๆ เลยนอกจาก SD Card จากกล้องเท่านั้น ขณะที่การอิมพอร์ทรูปไปยัง Lightroom หรือ Photoshop ก็ไม่สามารถอิมพอร์ทเข้าแอปโดยตรง ต้องผ่าน Camera Roll ก่อนและหากคุณเป็นช่างกล้องที่ต้องอิมพอร์ทไฟล์ RAW เยอะๆ แล้วก็อาจจะเจอปัญหาความจุของ iPad เข้าไปอีกทอด อย่างไรก็ตามแอปเปิลระบุว่าแอปของ Adobe จะมี Siri Shortcut สำหรับอิมพอร์ทรูปจาก Camera Roll ไป Lightroom พร้อมลบรูปให้หลังอิมพอร์ท ทว่ายังไม่เปิดใช้งาน


ส่วนเรื่องของแอปบน iOS ที่เป็นปัญหาเพราะไม่ซัพพอร์ทบางฟีเจอร์เหมือนบนพีซี แอปบน iPad ส่วนใหญ่ยังคงเป็นแอปลูกเมียน้อยที่ถูกตัดฟีเจอร์ลงจากแอปเวอร์ชันเต็ม มีเพียงแอปของแอปเปิลเองเท่านั้นที่รองรับความสามารถของ iPad เต็มๆ อาทิ Keynote ที่จะแสดงสไลด์ต่อไปบน iPad และสไลด์ปัจจุบันบนจอนอก รวมถึงว่าไม่มีเกมบน iOS ที่ดึงความแรงของ iPad ออกมาได้เต็มที่ในระดับเทียบเท่า Xbox One S

สรุปคือถ้ามอง iPad Pro ในฐานะแท็บเล็ต มันคือเบอร์ 1 ไร้คู่แข่ง ทำงานคู่กับ Apple Pencil ได้ลงตัว คนที่เน้นทำงานด้วยปากกาจะตอบโจทย์ตรงนี้ แต่ถ้าใครมีโจทย์คือใช้งานแทนพีซี อาจจะต้องดูในรายละเอียดอีกครั้งว่างานลักษณะไหนที่ทำเป็นส่วนใหญ่ และ iPad Pro ตอบโจทย์ตรงนี้หรือไม่ แน่นอนว่าราคาก็อาจต้องเข้ามาเป็นปัจจัยในการพิจารณาด้วย เมื่อรวมกับค่าเคสคีย์อบร์ดเข้าไป


คะแนนรีวิว
  • The Verge 7.5/10
  • WIRED 8/10
  • TechRadar 4/5
  • LaptopMag (เครือเดียวกับ Tom's Guide) 4.5/5
ที่มา: Blognone

4 สิ่งที่จะเกิดกับ Wi-Fi 6 หรือ 802.11ax ในปี 2019

Wi-Fi 6 หรือที่รู้จักกันในนาม 802.11ax ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นมาตรฐาน Wi-Fi ใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2019 ถัดจาก Wi-Fi 5 หรือ 802.11ac ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน บทความนี้จะมาสรุปให้ได้อ่านกันครับว่า ในปี 2019 ที่จะถึงนี้ Wi-Fi 6 จะหน้าตาเป็นอย่างไร และเหล่า Vendor ผู้ให้บริการ Wi-Fi จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง


1. รองรับเทคโนโลยี MU-MIMO

 

Wi-Fi 6 ถูกออกแบบมาสำหรับสภาวะแวดล้อมที่มีการใช้คลื่นสัญญาณวิทยุอย่างหนาแน่น และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน โดยรองรับเทคโนโลยี Multi-user, Multiple-input, Multiple-output (MU-MIMO) ซึ่งช่วยให้ AP สามารถรับส่งข้อมูลให้กับผู้ใช้ได้สูงสุดถึง 8 คนพร้อมกันด้วยความเร็วที่เท่าๆ กัน

 

2. มาพร้อมกับเทคโนโลยี OFDMA

 

Orthogonal Frequency Division Multiple Access (OFDMA) เป็นเทคโนโลยีการซอยช่องสัญญาณออกเป็นช่องย่อยๆ จำนวนมากเพื่อนำส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ที่แตกต่างกันพร้อมๆ กัน ดังนั้น AP จะสามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้นในคราวเดียว เหมาะสำหรับยุค Internet of Things ที่ทุกอุปกรณ์มีการเชื่อมต่อถึงกัน

 

3. AP เตรียมให้บริการในปี 2019 แต่ Endpoint อาจต้องรอถึงปี 2020

 

AP ระดับใช้งานในองค์กรที่รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6 เริ่มมีให้บริการแล้ว เช่น AP630, AP650 และ AP650X จาก Aerohive โดยมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ $1,200 (40,000 บาท) ในขณะที่ Cisco และ HPE Aruba คาดว่าจะเริ่มให้บริการ AP มาตรฐาน Wi-Fi 6 ในปี 2019 นี้ ส่วน AP ระดับใช้งานทั่วไป ทั้ง D-Link, Asus และ TP-Link ต่างเริ่มให้บริการแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ Endpoint ไม่ว่าจะเป็น PC, โน๊ตบุ๊ก, แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะเริ่มรองรับ Wi-Fi 6 ในปี 2020

 

4. Wi-Fi 6 ยังไม่ได้เป็นมาตรฐานอย่างเป็นทางการ แต่ไม่เกินปี 2019 นี้

 

มาตรฐาน Wi-Fi 6 ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ก่อนหน้านี้ร่างมาตรฐานทั้ง 2 ฉบับต่างถูกคณะกรรมการของ IEEE ตีตกไป แต่คาดว่ามาตรฐานจะเรียบร้อยภายในปี 2019 นี้ หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ร่างมาตรฐานไม่ได้รับการอนุมัติมาจากการที่ Vendor หลายรายต่างพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองออกมาก่อนที่มาตรฐานจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติของโลก Wi-Fi อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มที่หลายๆ Vendor เริ่มให้บริการ AP มาตรฐาน Wi-Fi 6 กันแล้ว อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่เริ่งให้ IEEE อนุมัติมาตรฐานก็เป็นได้

ที่มา: TechTalk

รวม 10+ ลิงค์สอนใช้งาน Kubernetes เบื้องต้นฟรี ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ

Kubernetes นับเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดของปีนี้ สำหรับใช้ในการบริหารจัดการ Container Cluster และมีบทบาทเป็นอย่างมากในระบบ Application สมัยใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบใหม่ ในบทความนี้เราจะขอรวบรวมลิงค์ต่างๆ สำหรับใช้ในการศึกษาและเรียนรู้ Kubernetes ที่สามารถเข้าถึงกันได้ฟรีๆ ดังนี้ครับ

 
ภาษาอังกฤษ

ภาษาไทย
ที่มา: TechTalk

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

SCB ร่วมมือกับ apartmentery ให้ลูกค้าจ่าย QR ตรงเข้าหอพัก แต่แพลตฟอร์มได้ข้อมูลด้วย

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ร่วมมือกับ apartmentery เปิดบริการจ่ายเงินค่าหอพักผ่าน PromptPay QR โดยความพิเศษคือ เมื่อลูกค้าหอพักโอนเงินเข้าไปยังบัญชีเจ้าของหอพักแล้ว ทาง SCB จะยิง callback ไปยัง apartmentery เพื่อสร้างใบเสร็จรับเงินได้ทันที

กระบวนการนี้มีข้อดีสำคัญคือ กระบวนการออกใบเสร็จเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด เจ้าของหอพักไม่ต้องเสียเวลามาตรวจสอบว่าเงินก้อนใดมาจากลูกค้าคนใด แม้ยอดเงินตรงกันหรือกระทั่งบัญชีต้นทางตรงกัน (เช่นฝากกันจ่าย) ก็สามารถแยกใบเสร็จออกจากกันได้

กระบวนการสมัครบริการนี้ยังเป็นระบบแมนนวล โดยผู้สนใจต้องกรอกแบบฟอร์มแสดงความสนใจ และรอธนาคารติดต่อกลับภายหลัง

บริการ Thai QR Payment ที่มี callback กลับไปยังแพลตฟอร์มนั้นมีมาสักระยะแล้ว เช่น SCB ที่ร่วมมือกับ Gourmet ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และ 2C2P เปิดบริการให้ลูกค้ารายใหญ่ การเปิดบริการของ apartmentery ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่เจ้าของกิจการรายย่อยเริ่มใช้บริการได้ด้วย ต่อจาก Wongnai POS แต่ก็ยังไม่มีธนาคารใดเปิดให้นักพัฒนาภายนอกพัฒนา webhook ไปเชื่อมต่อกันได้เองอย่างอิสระ


ที่มา: Blognone

Alibaba เปิดศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ ใช้หุ่นยนต์มากที่สุด รองรับ 11.11 ที่จะมาถึง

Cainiao Network บริษัทจัดการโลจิสติกส์ที่ Alibaba เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด (ร่วมกับบริษัทขนส่งหลายแห่ง) เปิดตัวศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ ตั้งอยู่ในมณฑลเจียงซู โดยบอกว่าเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ใช้หุ่นยนต์ดำเนินงานขนาดใหญ่ที่สุดในจีน มีหุ่นยนต์อัตโนมัติราว 700 ตัว

Ben Wang ประธานของ Cainiao ระบุว่าในเทศกาลวันช้อปปิ้งคนโสด 11 เดือน 11 ที่จะมาถึง ประเมินว่าจำนวนคำสั่งซื้อที่ต้องจัดส่งจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าที่มากและรวดเร็ว ศูนย์กระจายสินค้านี้มีประสิทธิภาพรองรับคำสั่งซื้อได้มากกว่าแบบดั้งเดิม 50%

หุ่นยนต์ในศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ จะเคลื่อนที่เพื่อรอรับสินค้าตามคำสั่งซื้อ แล้วคนมีหน้าเติมสินค้าตามที่กำหนด นอกจากนี้ยังมีระบบวิดีโอดูภาพรวมเพื่อตรวจหาปัญหาการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์และแจ้งเตือนให้คนเข้าไปดูหากจำเป็น (ดูคลิปได้ท้ายข่าว)

ถึงแม้จะใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติมากขึ้น แต่ Wang ก็บอกว่าไม่มีความคิดที่จะทำศูนย์กระจายสินค้า แบบไม่ต้องใช้คนเลย เพียงแต่ใช้คนน้อยลงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ทั้งนี้ Alibaba คาดว่าเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 นี้ จะทำสถิติใหม่อีกครั้ง รวมทั้งเตรียมแผนรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั่วโลกผ่าน AliExpress และ Tmall World ด้วย โดยเตรียมเที่ยวบินเช่าเหมาลำ 51 เที่ยวบิน และเรือขนส่งสินค้ากว่าพันคอนเทนเนอร์


ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Tesla ไตรมาส 3/2018 สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ - Model 3 ทำเงินมากที่สุดในอเมริกา และพลิกมามีกำไรอีกครั้ง


Tesla รายงานผลการดำเนินงานของไตรมาสที่ 3 ปี 2018 ซึ่ง Tesla บอกว่าถือเป็นไตรมาสประวัติศาสตร์ของบริษัท เพราะรถยนต์ Model 3 ได้กลายเป็นรถยนต์ที่ทำรายได้สูงสุดในอเมริกา และเป็นอันดับ 5 ในแง่จำนวนคันที่ขายได้ จากกำลังการผลิตเฉลี่ยสัปดาห์ละ 4,300 คัน

ในด้านตัวเลขทางการเงินก็ออกมาดีเช่นกัน มีรายได้รวม 5,878 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 312 ล้านดอลลาร์ จากที่ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายไตรมาส ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่สามในประวัติศาสตร์บริษัทที่มีกำไร นอกจากนี้ยังมีกระแสเงินสดอิสระเพิ่มขึ้นอีก 881 ล้านดอลลาร์

Tesla บอกว่าสายการผลิต Model 3 ตอนนี้ได้พ้นช่วงยากของ S-Curve แล้ว ซึ่งจะทำให้สามารถผลิตรถยนต์ได้มากขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงท้ายของไตรมาสที่ผ่านมาก็สามารถผลิตได้ 5,300 คันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้จำนวนรถยนต์รอส่งมอบ (คิดจากจำนวนวันก่อนส่งมอบ - Days to sales) ก็ต่ำที่สุดในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหมดในอเมริกา


อีลอน มัสก์ ซีอีโอ และ ดีปัค อฮูจา ซีเอฟโอของ Tesla ได้กล่าวว่า ไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2018 เป็นไตรมาสระดับประวัติศาสตร์ของ Tesla อย่างแท้จริง โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Model 3 เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และเป็นผลิตภัณฑ์กระแสหลักของบริษัทอีกด้วย


ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา Tesla ได้จำหน่าย รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Model 3 ในอเมริกาเหนือได้ 56,065 คัน และจะเริ่มจำหน่ายในยุโรปและประเทศจีนก่อนสิ้นปี 2018 นี้


ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561

SCB Easy ประกาศฟีเจอร์สร้างสลิปโอนเงินใหม่หากเผลอลบ, เปิดบัญชีผ่านแอพได้เลย

ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศแผนการออกฟีเจอร์ใหม่ให้แอพ SCB Easy ในอีก 6 เดือนข้างหน้าหลายอย่าง ที่เด่นๆ มีดังนี้
  • ถอนเงินสดจากตู้ ATM แม้ไม่มีเงินในบัญชี โดยใช้วงเงินจากบัตรเครดิตแทน
  • สมุดบัญชีดิจิทัล (Digital Passbook) ใช้แทนสมุดบัญชีจริงๆ ได้เวลาไปทำธุรกรรมที่สาขา
  • ขอเอกสารทางการเงินจากแอพ (Document Request) โดยเป็นไฟล์ PDF ส่งเข้าอีเมล
  • ขอสลิปการโอนเงินใหม่ (Slip Generator) สำหรับกรณีทำไฟล์สลิปหายหรือลบทิ้ง แล้วต้องการไฟล์สลิปอีกรอบ ก็สามารถเข้าไปดูประวัติการโอนเงิน และสั่งสร้างสลิปใหม่อีกรอบได้
  • ประวัติการชำระสินเชื่อ/เงินกู้ (Loan History) รวมถึงยอดเงินที่ต้องชำระในอนาคต

ฟีเจอร์อื่นๆ ที่เปิดเผย
  • เก็บเงินแบบออโต้ เช่น เงินเดือนเข้าบัญชีแล้วตั้งให้โอนไปเก็บอีกบัญชีทุกเดือน
  • เปิดบัญชีเงินฝากเพิ่มอีกบัญชี (กรณีมีบัญชีกับ SCB อยู่แล้ว) ทำผ่านแอพได้เลย
  • แลกเงินต่างประเทศจากมือถือในช่วงเวลาที่เรตดี แล้วไปรับเมื่อสะดวก
  • โอนเงินต่างประเทศผ่านแอพ
  • จ่ายบิลผ่านบัตรเครดิต โดยได้คะแนนสะสมในบัตรด้วย
  • ซื้อกองทุนจาก บลจ. ต่างๆ ในแอพ
ฟีเจอร์ทั้งหมดจะทยอยเปิดให้บริการภายในไตรมาสที่สองของปี 2019/2562

ที่มา: Blognone

Firefox 63 ออกแล้ว เพิ่มประสิทธิภาพบนแมค, ปรับธีมสี Dark/Light ตามธีมวินโดวส์


Firefox ออกเวอร์ชัน 63 มีของใหม่ดังนี้
  • ปรับธีมสี Dark/Light ตามสีธีมของ Windows 10 ให้อัตโนมัติ
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพบน macOS ให้เร็วขึ้นหลายจุด ทั้งการสลับแท็บ การตอบสนองการคลิก และ WebGL
  • เวอร์ชันลินุกซ์ รันส่วนขยาย WebExtensions แบบแยกโพรเซสของตัวเองแล้ว
  • เพิ่มหน้าจอถามยืนยันก่อน หากจะปิดโปรแกรมเมื่อเปิดหลายหน้าต่างค้างไว้
  • เพิ่มฟีเจอร์ป้องกันการตามรอย สามารถสั่งบล็อคคุกกี้จากผู้ให้บริการรายอื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์นั้น (third-party cookies) ได้
  • Search Shortcuts ปักหมุดเว็บค้นหาที่คนใช้บ่อยๆ ไว้ในหน้า New Tab ตอนนี้ยังมีเฉพาะ Google, Amazon และใช้ได้เฉพาะในสหรัฐ (คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเรื่องรายได้ของ Mozilla) ผู้ใช้สามารถเอาออกเองได้ถ้าไม่ต้องการ
  • Firefox for iOS รองรับ Siri Shortcuts แล้ว

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Atlassian ยกเครื่อง Jira ครั้งใหญ่ ปรับตัวให้เข้ายุคสมัย เปลี่ยนหน้าตาใหม่ ใช้ง่ายขึ้น

Atlassian ประกาศอัพเกรดซอฟต์แวร์ติดตามบั๊ก Jira ครั้งใหญ่ โดยระบุว่าเป็นการยกเครื่องฟีเจอร์ให้เข้ากับยุคสมัย นับจากการเปิดตัว Jira ครั้งแรกเมื่อปี 2002 มาถึงปัจจุบัน รูปแบบการทำงานเป็นทีมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก Jira จึงต้องปรับตัวเองให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าด้วย

ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญของ Jira มี 5 อย่างดังนี้
  • ผู้ใช้แต่ละคนสามารถปรับแต่งบอร์ดของตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอแอดมินทำให้
  • ปรับหน้าจอ issue ใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น
  • เลือกเปิดปิดฟีเจอร์ของทีมได้ตามความต้องการของแต่ละทีม เช่น Backlog, Sprint, Estimations พร้อมผนวกฟีเจอร์ Roadmaps เข้ามาเป็นส่วนหลักของ Jira แล้ว
  • เพิ่มฟีเจอร์ฟิลเตอร์สำหรับกรองข้อมูล โดยไม่ต้องเขียนภาษา JQL เองอีกแล้ว
  • Jira Cloud รองรับการใช้งานผ่านมือถือ เปิดดูข้อมูลบั๊กและตอบคอมเมนต์ได้ตลอดเวลา

Atlassian ยังบอกว่าเปลี่ยน tech stack ของ Jira ใหม่ เปลี่ยนโครงสร้างของซอฟต์แวร์เป็นไมโครเซอร์วิส ปรับระบบสิทธิ (permission) ใหม่ และคิดเรื่อง UX ใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังเพิ่มการเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ตัวอื่นๆ อีกชุดใหญ่ด้วย
ที่มา: Blognone

รู้จัก Container มันคืออะไร แตกต่างจาก Virtualization อย่างไร?

ช่วงหลังเราได้ยินชื่ออย่าง Docker, Container, Kubernetes, Orchestration กันบ่อยขึ้นมาก โดย Blognone เองก็เคยนำเสนอข่าวในหัวข้อเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังมีความสับสนในเรื่องนี้อยู่มาก เพราะเป็นแนวคิดที่ยังค่อนข้างใหม่และมีความแตกต่างจากระบบเซิร์ฟเวอร์แบบเดิมๆ สูง

บทความชุดนี้จึงมีเป้าหมายเพื่ออธิบายและทำความเข้าใจกับแนวคิดเหล่านี้ ใครที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วสามารถข้ามไปได้เลยครับ


Virtualization มีข้อจำกัด


คำว่า "คอนเทนเนอร์" (container) เป็นเทคนิคการจัดการแพ็กเกจซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์กับเทคนิค virtualization ที่อยู่ในโลกองค์กรมานาน ดังนั้นการอธิบายว่าคอนเทนเนอร์คืออะไร จึงมักถูกเปรียบเทียบว่าแตกต่างกับ virtualization อย่างไร

เทคนิค virtualization คือการสร้างคอมพิวเตอร์เสมือน (virtual machine หรือ VM) ที่มีทั้งซีพียู แรม สตอเรจ ระบบปฏิบัติการ ฯลฯ ขึ้นมารันบนคอมพิวเตอร์จริงๆ อีกทีหนึ่ง โดยตัวระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์เสมือน (Guest OS) จะไม่รู้ว่าตัวเองรันอยู่บน VM แต่เข้าใจว่ารันอยู่บนฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์จริงๆ

วิธีการนี้ทำให้เกิดการแยกส่วน (isolation) ระหว่าง VM แต่ละตัวอย่างสมบูรณ์ สามารถรันระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันระหว่าง Guest OS กับ Host OS ได้ แต่ข้อเสียคือใช้ทรัพยากรซ้ำซ้อน ทำงานช้า เปลืองพื้นที่เก็บ OS และซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่มักจะใช้เหมือนกันใน VM ทุกตัว


Container สร้างมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ Virtualization


คอนเทนเนอร์จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาข้างต้น โดยมีฮาร์ดแวร์และ OS เพียงชุดเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อนของการใช้ทรัพยากรลง ส่วนตัวแอพพลิเคชันและซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างกันไปก็จะมี "container" (เทียบได้กับ VM) มาครอบเพื่อแบ่งส่วนทรัพยากรไว้ไม่ให้ยุ่งกัน

จุดเด่นของคอนเทนเนอร์จึงเป็นเรื่องการใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่า virtualization มาก อิมเมจของคอนเทนเนอร์อาจมีขนาดเพียงกี่ไม่กี่สิบ MB ในขณะที่อิมเมจของ VM ต้องใช้พื้นที่ระดับหลาย GB นอกจากนี้ ระยะเวลาที่ใช้บูต, พลังซีพียูและปริมาณแรมที่ต้องใช้ ก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่องสามารถยัดคอนเทนเนอร์จำนวนมากกว่าการรัน VM ที่ให้ผลแบบเดียวกันถึง 2-3 เท่าตัว

บางครั้ง คอนเทนเนอร์ถูกเรียกชื่อในทางเทคนิคว่า Operating-system-level virtualization หรือการสร้าง VM ที่ระดับ OS โดยเราไม่ต้องสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนขึ้นมาทั้งตัว

ข้อเสียของคอนเทนเนอร์ก็ย่อมเป็นความยืดหยุ่นที่น้อยกว่า virtualization แบบดั้งเดิม โดยเฉพาะไม่สามารถใช้ OS ที่แตกต่างกันระหว่าง Guest และ Host ได้ (เพราะจุดเด่นของคอนเทนเนอร์คือการแชร์ OS ก็อปปี้เดียวกัน)


ประวัติย่อของ Container


แนวคิดของคอนเทนเนอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในโลกของยูนิกซ์เกิดแนวคิดนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2000 จากแนวคิด jails ของ FreeBSD จากนั้นในปี 2004 ระบบปฏิบัติการ Solaris ของบริษัท Sun Microsystems ก็มีฟีเจอร์แบบเดียวกันโดยใช้ชื่อว่า Zones (หรือ Solaris Containers) ฝั่งลินุกซ์เองก็นำไอเดียนี้มาสืบสานต่อในโครงการอย่าง OpenVZ หรือ LXC (Linux Containers)

แต่คอนเทนเนอร์กลายมาเป็นเรื่องแพร่หลายในวงกว้างจาก Docker ที่เริ่มต้นในปี 2013 ซึ่งช่วงแรกยังอิงอยู่บนโครงการยุคก่อนหน้าอย่าง LXC หรือ libvirt แต่ภายหลัง Docker ก็พัฒนาส่วนต่างๆ ขึ้นมาเอง (libcontainer) จนสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ทำให้แนวคิดคอนเทนเนอร์ "จุดติด" และได้รับการยอมรับในวงการอย่างรวดเร็ว มีตัวอย่างการใช้งานจากบริษัทใหญ่ๆ อย่างกูเกิลที่พัฒนาฟีเจอร์ของ Google Compute Engine ให้รองรับอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ Docker จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลินุกซ์ แต่ความนิยมของมันทำให้ระบบปฏิบัติการฝั่งวินโดวส์ ทำให้ไมโครซอฟท์เข้ามาร่วมวงตั้งแต่ปี 2014 และสำเร็จลุล่วงใน Windows Server 2016

ความสำเร็จของ Docker ทำให้เกิดคู่แข่งขึ้นบ้าง เช่น Rocket หรือ rkt ของบริษัท CoreOS (ปัจจุบันถูก Red Hat ซื้อไปแล้ว) ทำให้โลกคอนเทนเนอร์แยกออกเป็นสองส่วน แต่ภายหลังก็หาทางออกได้ ด้วยการออกมาตรฐานกลางภายใต้การดูแลของ Open Container Initiative (OCI) (ภายหลังยังพัฒนาต่อมาเป็นโครงการ containerd และ runc ซึ่งจะไม่กล่าวถึงในที่นี้)


ตัวอย่างการใช้งาน Container


รูปแบบการนำคอนเทนเนอร์ไปใช้งานมีหลากหลาย แต่ที่พบบ่อยคือการนำแอพพลิเคชันองค์กรในแบบเดิมๆ (ซึ่งมักเป็นแอพที่เขียนด้วยเทคโนโลยียุคก่อนอย่าง Java, .NET หรือ PHP) มาใส่ไว้ในคอนเทนเนอร์ เพื่อมารันบนโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ที่เป็นคลาวด์ แทนที่การใช้เซิร์ฟเวอร์แบบดั้งเดิมที่เริ่มล้าสมัย ช่วยให้การย้ายขึ้นคลาวด์ราบรื่นกว่าเดิม

นอกจากนี้ เทคโนโลยีคอนเทนเนอร์ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่อง system dependency ระหว่างแอพแต่ละเวอร์ชัน แต่ละสถานะ (เช่น dev/test/production) เพราะทุกอย่างที่จำเป็นถูกรวมมาในอิมเมจให้หมดแล้ว มันจึงมีประโยชน์ในแง่กระบวนการเปลี่ยนโค้ดที่เขียน ไปสู่การดีพลอยใช้งานจริงบนเซิร์ฟเวอร์ปลายทาง หรือที่เราเรียกกันว่า CI/CD อีกด้วย

การใช้งานคอนเทนเนอร์อีกแบบหนึ่งที่พบบ่อยในช่วงหลัง คือการแยกแอพพลิเคชันยุคเดิมที่เขียนมาเป็นก้อนใหญ่ๆ (monolithic) ให้กลายเป็นไมโครเซอร์วิส (microservice) ที่มีขนาดเล็กลง จัดการได้สะดวกขึ้น สามารถสเกลเซอร์วิสบางตัวหากต้องการรับโหลดมากขึ้น

การนำคอนเทนเนอร์ของแอพพลิเคชันที่แยกเป็นไมโครเซอร์วิส ไปรันบนโครงสร้างพื้นฐานยุคคลาวด์ที่สเกลตัวเองได้ง่ายขึ้น จึงมีความซับซ้อนสูงตามไปด้วย และกลายเป็นหน้าที่ของซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า orchestration (เหมือนวาทยากรนำวงออเคสตร้า) อย่าง Kubernetes หรือ Apache Mesos ที่จะกล่าวถึงในบทความตอนต่อไป

ที่มา: Blognone

ทนไม่ทน? Tesla ปล่อยภาพชิ้นส่วนเฟืองของ Model 3 หลังผ่านการทดสอบวิ่งครบ 1 ล้านไมล์

โดยธรรมชาติของรถยนต์ไฟฟ้านั้น มีชื่อเสียงว่าทนทานกว่ารถยนต์เครื่องสันดาปภายใน เนื่องจากมีชิ้นส่วนที่ขยับไปมาน้อยกว่า รวมถึงระบบเกียร์ก็ซับซ้อนน้อยกว่า เพราะมีเพียงเกียร์เดียวจึงลดความสึกหรอไปได้มากเมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไปที่มีหลายเกียร์

ล่าสุด Tesla ปล่อยภาพชิ้นส่วนเฟืองในระบบส่งกำลังของ Tesla Model 3 ออกมาสองภาพ โดยระบุว่าเป็นชิ้นส่วนที่ผ่านการทดสอบวิ่งมาแล้ว 1 ล้านไมล์ หรือ 1.6 ล้านกิโลเมตร และ Elon Musk ก็ออกมาเสริมว่าชิ้นส่วนเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ทนทานมากเป็นพิเศษ

เมื่อปี 2015 Elon Musk เคยบอกสื่อว่า Tesla ต้องการสร้างระบบขับเคลื่อนที่จะไม่สึกหรอเลย และเคยตั้งเป้าว่าจะทำให้ระบบขับเคลื่อนใช้งานได้ 200,000 ไมล์ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป้านั้นเป็น 1 ล้านไมล์ นอกจากนี้ Tesla Semi รถบรรทุกพลังไฟฟ้าที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2017 ก็เคลมว่าสามารถวิ่งได้ 1 ล้านไมล์โดยไม่เสียเลย

สำหรับสภาพของเฟืองที่ผ่านการใช้งานมา 1 ล้านไมล์เป็นอย่างไร ดูได้จากภาพด้านล่างครับ


ที่มา: Blognone

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Boston Dynamics โชว์คลิปหุ่นยนต์ Atlas วิ่งกระโดดขึ้นที่สูงแบบเดียวกับมนุษย์

บริษัทหุ่นยนต์ Boston Dynamics (ปัจจุบันอยู่ในเครือ SoftBank) เผยวิดีโอล่าสุดของหุ่นยนต์มนุษย์ Atlas ที่สามารถวิ่งพร้อมกระโดดด้วยขาทีละข้างแบบเดียวกับมนุษย์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Boston Dynamics เรียกเสียงฮือฮาจากความสามารถของหุ่นยนต์ Atlas เพราะปีที่แล้วก็เคยโชว์คลิป Atlas กระโดดตีลังกากลับหลัง มาก่อนแล้ว

Boston Dynamics ยังไม่เคยเปิดเผยว่าจะผลิตหุ่นยนต์มนุษย์ Atlas มาวางขายจริงเมื่อไร แต่มีแผนจะขายหุ่นยนต์สุนัข SpotMini ในปีหน้า 2019


ที่มา: Blognone

รู้จัก SCB 10X ยูนิตใหม่ของ SCB ฉีกกรอบการทำงานแบงค์แบบเดิม แถมขึ้นตรงกับซีอีโอ

เมื่อนึกถึงงานธนาคาร หลายๆ คนอาจจะนึกถึงงานรูทีน ซ้ำซาก น่าเบื่อ บนวัฒนธรรมองค์กรแบบลำดับขั้น (hierarchy) การตัดสินใจต่างๆ ก็ช้า ไม่เว้นแม้แต่ภาพของงานสำหรับนักพัฒนาในสายธนาคารก็ไม่น่าจะต่างกันมาก

SCB 10X (อ่านว่า เท็นเอกซ์) เป็นฝ่ายใหม่ในธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ถูกตั้งขึ้นมาโดยซีอีโอและขึ้นตรงกับซีอีโอ เพื่อทำลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ ของธนาคาร โดยมีวัฒนธรรมองค์กรเป็นของตัวเอง มีภารกิจใหม่ที่ท้าทายคือสร้างอนาคตใหม่ให้กับ SCB

ตอนนี้ SCB 10X กำลังมองหานักพัฒนาหลายตำแหน่ง เพื่อมาร่วมงานและสร้างองค์กรไปพร้อมกันด้วย


รู้จัก SCB 10X ดีพาร์ทเมนท์ใหม่กับภารกิจที่ใหญ่ยิ่ง

 

SCB 10X เป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้ SCB ที่ตั้งขึ้นมาโดยคุณอาทิตย์ นันทวิทยา ซีอีโอของ SCB ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากแผนก Google X ของ Google ที่ให้พนักงานได้ทดลอง ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่หากทำสำเร็จ จะก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงและสร้างผลเชิงบวกให้กับองค์กร โดยไม่อยู่ภายใต้กรอบคิดเดิมของบริษัท ว่าโปรเจ็คนี้ต้องสำเร็จ ต้องสร้างกำไร ต้องทำรายได้เสมอไป

SCB 10X ถูกตั้งขึ้นมาด้วยวิธีคิดดังกล่าว เป้าหมายคือเป็นหน่วยงานที่จะให้ทีมงานได้บุกเบิก ได้ทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยมีเป้าหมายคือสร้างผลิตภัณฑ์เชิงยุทธศาสตร์ (strategic product) ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกและพลิกโฉม SCB จนกลายเป็น new bank ในอนาคต


SCB 10X ไม่ใช่เพียงหน่วยงานใหม่หรือวิสัยทัศน์ของคุณอาทิตย์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็น 1 ใน 5 ยุทธศาสตร์หลักของ SCB ระบุเอาไว้ในเอกสารรายงานประจำปี ที่บริษัทจะมองหาโมเดลทางธุรกิจใหม่ ที่จะสร้างประสบการณ์และคุณค่าใหม่ให้กับลูกค้าในทุกเซกเมนต์ด้วย ดังนั้นอาจเรียกได้ว่า SCB 10X แบกภารกิจสำคัญขาหนึ่งของ SCB เอาไว้บนบ่าก็ว่าได้

หน่วยงานใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ได้ทดลองอะไรใหม่ๆ


ความแตกต่างและความโดดเด่นของ SCB 10X คือการเป็นหน่วยงานที่แยกตัวออกมาอิสระ (แต่ยังอยู่ภายใต้ SCB ไม่ได้แยกเป็นบริษัทลูกเหมือนกับ Digital Ventures หรือ SCB Abacus) โครงการ SCB10X จะรายงานตรงกับ คุณอาทิตย์ ทำให้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

ปัจจุบัน SCB 10X มี คุณต้อง กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร และคุณหนึ่ง ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล เป็นผู้บริหารในฐานะ Head of SCB 10X Project ที่กำลังมองหาทีมงานนักพัฒนามาร่วมสร้างสรรค์งานด้วยกัน

โครงสร้างนี้ทำให้ SCB 10X มีวัฒนธรรมที่ฉีกกรอบออกจากธนาคารแบบเดิมๆ มีความคล้ายสตาร์ทอัพ การทำงานมีความคล่องตัวสูง สามารถตัดสินใจและจบได้ในตัวเอง


ด้วยเป้าหมายของ SCB 10X คือสร้างผลิตภัณฑ์ที่จะพลิกโฉมการให้บริการของธนาคาร ดังนั้นการทำงานที่ SCB 10X จะเต็มไปด้วยความท้าทาย ได้ลองอะไรใหม่ๆ ได้ลองผิดลองถูก โดยมีทรัพยากร ทุนและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของ SCB หนุนหลังอยู่ สามารถเริ่มงานได้เลยทันที ไม่ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ และด้วยความที่เป็นหน่วยงานใหม่ที่เพิ่งตั้ง พนักงานที่เข้ามาก็จะมาร่วมกันสร้างวัฒนธรรมองค์กรและวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันด้วย

SCB 10X อยากได้คนแบบไหนมาร่วมงานด้วย


SCB 10X อยากได้คนที่มีมายด์เซ็ตที่ยืนอยู่ข้างลูกค้าธนาคาร ที่ต้องการจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา pain point ที่ลูกค้าธนาคารกำลังประสบในขณะนี้ รวมถึงต้องเป็นคนที่อยากทำงานแนวสตาร์ทอัพ อยากทดลองทำของใหม่ๆ ในองค์กรใหญ่ๆ ที่ทรัพยากรพร้อม มีความกล้าจะลองผิดลองถูก ชอบความท้าทาย ที่สำคัญคือมีประสบการณ์ในการทำงานสายนักพัฒนามาก่อนระดับหนึ่ง โดยจะเป็นสายงานไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องธนาคาร


คุณต้อง Head of SCB 10X บอกด้วยว่าการเข้ามาทำงานใน SCB 10X ไม่ใช่การเข้ามาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แต่ให้คิดว่าเป็นเหมือน career jump เพราะค่าตอบแทนค่อนข้างดี โดยสัญญาจะเป็นลักษณะสัญญาจ้างที่ต่อทุกๆ 2 ปี

ที่อยู่ออฟฟิศ

สำนักงานของ SCB 10X จะอยู่ที่เดียวกับสำนักงานใหญ่ของ SCB คืออาคาร SCB Park Plaza รัชโยธิน โดยมีตึกและออฟฟิศแยกเป็นของตัวเอง


ที่มา: Blognone