ผู้ติดตาม Tesla ช่วงหลังอาจไม่ทราบว่าในยุคแรก Elon Musk ได้เขียน "Master
Plan" หรือแผนระยะยาวของบริษัท Tesla ไว้ 2 ตอน ซึ่งตอนแรกเขียนไว้เกือบ
20 ปีแล้ว ส่วนตอนที่สองเขียนเมื่อกลางปี 2016 และล่าสุดที่งาน Investor
Day เช้าวันนี้ได้กล่าวถึงตอนที่สาม
ผมจะสรุปแผนตอนที่หนึ่งและสองให้คร่าวๆ ดังนี้
แผนตอนที่ 1
- ผลิตรถยนต์จำนวนน้อยๆ และขายแพง (Tesla Roadster รุ่นแรกสุดปี 2008)
- ใช้เงินที่ได้จากข้อ 1 มาพัฒนารถยนต์ที่จะขายได้มากขึ้น และราคาถูกลง (Tesla Model S, Model X)
- ใช้เงินที่ได้จากข้อ 2 มาพัฒนารถยนต์ที่จะผลิตได้จำนวนมาก และคนส่วนใหญ่สามารถซื้อได้ (Tesla Model 3)
- ให้บริการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (SolarCity)
แผนตอนที่ 2
- รวมบริษัท Tesla และ SolarCity เข้าด้วยกันเพื่อให้บริการด้านการผลิตและจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ครบวงจร
- ขยายบริษัทไปทำรถภาคอุตสาหกรรม (Tesla Semi)
- ทำรถยนต์ไร้คนขับ (Autopilot/Full-Self Driving)
- ปล่อยรถยนต์ออกไปวิ่งรับงานเพื่อสร้างรายได้ให้เจ้าของตอนที่ไม่ได้ใช้รถ (Robotaxi)
หากสนใจอ่านรายละเอียดเต็มๆ เราเคยลงบทความอธิบายแผนทั้ง 2 ตอนไว้แล้ว (แผนตอนที่ 1, แผนตอนที่ 2)
สำหรับแผนตอนที่ 3 Elon ได้ขึ้นเวทีร่วมกับ Drew Baglino
ผู้บริหารด้านระบบขับเคลื่อนและวิศวกรรมพลังงานของ Tesla (เขาอยู่ที่ Tesla
มานานถึง 17 ปีแล้ว) อธิบายว่าปัจจุบันพลังงานที่ใช้ในโลก 80%
มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และเชื้อเพลิงก็เปลี่ยนเป็นพลังงานที่ใช้งานได้เพียง
1 ใน 3 นอกนั้นกลายเป็นความร้อนทิ้งไป
ซึ่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วเปลี่ยนไปสู่ยุคพลังงานที่ยั่งยืนนั้นทำได้จริง
และ Elon ย้ำว่าเศรษฐกิจพลังงานไฟฟ้า (Electrified Economy)
จะต้องทำเหมืองน้อยกว่าปัจจุบัน ไม่ใช่มากกว่า โดยแผนนี้แบ่งออกเป็น 5
ขั้นดังนี้
1. เปลี่ยนการจ่ายไฟฟ้ามาใช้แหล่งพลังงานยั่งยืน
การเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานยั่งยืนคือการใช้ระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าราว 24
ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง (24 TWh)
รวมไปถึงการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และลมให้ได้ราว 10 ล้านล้านวัตต์ (10
TW) ใช้เงินลงทุนราว 0.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งหากทำได้
จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปได้ราว 35% เลยทีเดียว
2. เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องผลิตแบตเตอรี่และระบบจัดเก็บพลังงานให้ได้ราว
115 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง, ต้องผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลมให้ได้ 4
ล้านล้านวัตต์ ใช้เงินลงทุนราว 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีก 21%
นอกจากนี้ยังประเมินว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าของทั้งโลกจะมีรถยนต์ราคาแพง (แบบ
Model S, X) ราว 40 ล้านคัน, รถยนต์กลางๆ (Model 3, Y) 380 ล้านคัน,
หัวลากรถบรรทุก 20 ล้านคัน, รถอเนกประสงค์ (Cybertruck) 300 ล้านคัน
และรถในยุคถัดไปอีก 700 ล้านคัน
ทั้งสองคนเปรียบเทียบให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla Model 3
ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า Toyota Corolla ถึง 4 เท่า
หรือยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อน Model 3 ให้ได้ 1
ไมล์นั้นเท่าๆ กับพลังงานที่ใช้ต้มน้ำ 1 หม้อเท่านั้นเอง
3. บ้านเรือน, ธุรกิจ และอุตสาหกรรม ต้องเปลี่ยนไปใช้ฮีทปั๊ม
บ้านเรือนในเมืองหนาวต้องมีฮีทเตอร์ที่ปกติมักจะใช้ก๊าซในการเปลี่ยนเป็นความร้อน
รวมไปถึงโรงงานต่างๆ ที่ต้องใช้ความร้อนในการผลิต
ต้องเปลี่ยนมาใช้ฮีทปั๊มหรือปั๊มความร้อนแทน
เนื่องจากมันใช้ไฟฟ้าและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
รวมถึงฮีทปั๊มไม่ได้เปลี่ยนพลังงานเป็นความร้อนโดยตรง
แต่ใช้การนำอากาศภายนอกเข้ามาแยกความร้อนออก
จากนั้นก็ผ่านคอมเพรสเซอร์ให้ร้อนยิ่งขึ้นก่อนจะนำไปใช้งานต่อ
เช่นให้ความอบอุ่น หรือต้มน้ำ
ส่วนอากาศเย็นที่แยกออกก็นำไปใช้งานอื่นได้อีก
หากทำขั้นนี้ได้ โลกจะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีก 22%
4. เปลี่ยนเครื่องจักรที่สร้างความร้อนสูงไปใช้ไฟฟ้า และใช้ไฮโดรเจนแทนถ่านหิน
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรผลิตความร้อนสูงมากๆ (มากกว่า 400
องศาเซลเซียส)
ก็ต้องหาวิธีเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้า แต่ปัญหาคือลมและแสงอาทิตย์ไม่ได้มีตลอดจึงต้องทำระบบกักเก็บความร้อนไว้ด้วย เพื่อให้มีพลังงานใช้ตลอดเวลา
ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กก็สามารถใช้ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ซึ่งเป็นไฮโดรเจนที่สร้างจากพลังงานหมุนเวียนอีกที มาแทนถ่านหินในขั้นตอนการถลุงเหล็กในสภาพของแข็ง (Direct Reduction Process)
หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 17%
5. เปลี่ยนเรือและเครื่องบินไปใช้พลังงานยั่งยืน
Elon Musk กล่าวว่าการเปลี่ยนเรือและเครื่องบินไปใช้ไฟฟ้านั้นทำได้
แต่ไม่ใช่แค่เอาเครื่องออกแล้วยัดแบตเตอรี่เข้าไป แต่ต้องออกแบบใหม่หมด
เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องออกแบบใหม่ให้แบตเตอรี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรถ
ไม่ใช่แค่สลับเอาเครื่องออก
ส่วนเครื่องบินระยะสั้นก็แน่นอนว่าทำได้ง่ายกว่า
แต่เครื่องบินทางไกลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 5%
เมื่อรวมตัวเลขของทั้ง 5 ขั้นเข้าด้วยกัน
โลกเราจะสามารถเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ทั้งหมด
กล่าวคือต้องผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์กับลมให้ได้มากขึ้น 3 เท่าจากปัจจุบัน,
ผลิตแบตเตอรี่มากขึ้น 29 เท่าจากปัจจุบัน และผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น 11
เท่าจากปัจจุบัน หากทำได้ตามนี้ภายในปี 2030
โลกเราจะอยู่ด้วยพลังงานยั่งยืนได้ภายในปี 2050
ส่วนการทำเหมืองปัจจุบันมีการขุดแร่ออกมาปีละ 68,000 ตัน
ใช้ไปในการเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลราว 18,000 ตัน
แต่หากเราอยู่ในยุคเศรษฐกิจพลังงานไฟฟ้าจะเหลือส่วนนี้เพียง 4,000
ตันต่อปีเท่านั้น
|
ภาพแสดงการขุดแร่ออกมาจากโลกในปัจจุบัน |
|
ภาพแสดงการขุดแร่ออกมาจากโลก เพื่อไปใช้เป็นพลังงานยั่งยืน |
สรุปคือ Tesla พยายามบอกว่าการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานยั่งยืน
ไม่ใช่เพียงแค่ทำได้ แต่ยังถูกกว่าการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลอีกด้วย
โดยใช้เงินลงทุนราว 10% ของมูลค่า GDP ของทั้งโลก
และใช้พื้นที่ตั้งโซลาร์ฟาร์มและฟาร์มกังหันลมน้อยกว่า 0.2%
ของพื้นดินในโลก สำหรับใครที่คิดว่าข้อมูลนี้ดูเป็นภาพกว้างมากๆ
ก็รออีกสักนิด เพราะ Elon Musk บอกว่าจะปล่อย whitepaper
ออกมาให้อ่านกันอย่างละเอียดหลังจากนี้
สุดท้าย Elon Musk
กล่าวสรุปว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดเกิดจากการคำนวณและหลักการทางฟิสิกส์
ไม่ได้มโนขึ้นมาเอง และโลกนี้จะเปลี่ยนไปสู่ยุคพลังงานยั่งยืนอย่างแน่นอน
และจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราด้วย
ที่มา: Blognone