วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สิ้นสุดการรอคอย Google เปิดตัว Android 9.0 กับชื่อเล่นว่า “Pie” อย่างเป็นทางการแล้ว

หลังเกริ่นให้อยากเจอตั้งแต่งาน Google I/O 2018 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในที่สุดทาง Google ก็เผยโฉมระบบปฏิบัติการหุ่นเขียวตัวใหม่แล้วอย่าง Android 9.0 Pie พร้อมประกาศอัพเดตใน Pixel กับ Essential Phone ให้ใช้งานกันก่อนเรียบร้อย


ไม่รู้ว่าเดากันถูกไหม สำหรับชื่อใหม่ของ Android รุ่นล่าสุดนี้ จากที่เคยใช้ชื่อ Android P มานาน กระทั้งวันนี้เราได้ทราบกันทั่วหน้าแล้วว่า ระบบปฏิบัติการ Android รุ่นถัดไปของ Android O หรือ 8.0 Oreo จะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Android 9.0 Pie นี้เอง

สำหรับ Android 9.0 Pie ก็มาพร้อมระบบ AI ช่วยประมวลผลฟีเจอรต่างๆ เป็นหลัก และการออกแบบใหม่ที่เน้นความเรียบง่ายกับความสะดวกในการใช้งานโดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ในงาน Google I/O 2018 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทาง Google ก็ได้เผยฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ Android P ไว้พอสมควร แน่นอนว่าใน Android 9.0 Pie ก็มีเช่นกัน ใครอยากรู้ว่า Android รุ่นใหม่นี้มีฟีเจอร์อะไรเด็ดๆ บ้าง ลองไปดูกันได้ที่ GoogleBlog หรือ

Adaptive Battery

ฟีเจอร์ช่วยลดภาระการใช้พลังงาน ด้วยการจัดลำดับความสำคัญของแอพฯ และระบบ ที่จะมีการแยกส่วนใช้พลังงานแตกต่างกันไป เช่นแอพฯ ไหนใช้บ่อย ก็จะได้สิทธิใช้พลังงานตามสมควร แอพฯ ไหนแทบไม่ได้ใช้ ก็จะโดนลดพลังงานลงไป ทั้งหมดก็ทำให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าเดิมถึง 30% กันเลย 

Adaptive Brightness

เป็นฟีเจอร์ที่ทำงานร่วมกับ Adaptive Battery ช่วยลดการใช้พลังงานจากหน้าจอแสดงผล ด้วยการปรับความสว่างของหน้าจอ ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมภายนอก ตรงนี้หลายคนคงคุ้นเคยกันอยู่แล้ว หากแต่ Google ได้นำ AI มาช่วยเรียนรู้และควบคุมการทำงานโดยตรง ทำให้มันมีความฉลาดกว่านั้นเอง

App Action

หากแอพฯ ไหนมีการเรียกใช้งานบ่อยๆ ฟีเจอร์นี้ก็จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของเรา เพื่อนำไปแนะนำเป็น “ทางลัด” ใช้งานแบบอื่นได้ ฟังดูงงนิดๆ ก็ลองดูตามภาพตัวอย่างเลยครับ เช่น ถ้าเราค้นหาคำว่า “Infinity” ในแอพฯ Google มันก็จะมีตัวเลือกแนะนำเล็กๆ ใต้ล่างว่า จะให้จองตั๋วผ่านแอพฯ นี้เลยไหม หรือไปดูตัวอย่างหนังได้ทาง Youtube ซึ่งทั้งหมดก็มาจากพฤติกรรมการใช้งานที่เราทำอยู่บ่อยๆ นั้นเอง


Slices

ก็เป็นอีกฟีเจอร์ที่คล้ายๆ กับ App Action คือช่วยแสดงทางลัดอื่นๆ แต่ส่วนนี้จะเป็นการลดขึ้นตอนการใช้งานแอพฯ นั้นๆ แทน เช่นกำลังค้นหาชื่อ “hawaii” มันก็จะแสดงตัวอย่างภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องจากแอพฯ Google Photos เหมือนเตือนว่า เราเคยมีทริปนี้นะ ลองไปสำรวจหน่อยไหม (แอบน่ากลัวนิดๆ)


New System Navigation

เป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์ Simplicity หรือความสะดวกที่ Google ชูใน Android P คือการจัดหน้า UI แบบใหม่ สามารถเลื่อนขึ้นเพื่อเข้าถึงหน้าแอพฯ ในเครื่อง หรือเลื่อนดูประวัติการใช้งานแอพฯ ที่ค้างไว้ได้ในรวดเดียวเลย ประมาณว่า มีแค่นิ้วเดียว ก็สามารถเข้าถึงได้เกือบทุกอย่างได้ยังไงยังงั้น


อีกหนึ่ง Gimmick เล็กๆ แต่ได้ใจมาก คือเวลาตั้งสมาร์ทโฟนเป็นแนวนอน มันจะมีไอคอนแจ้งเตือนตรงหัวมุมว่า ให้ปรับเป็นแนวนอนเลยไหม? ถ้าต้องการก็กดจิ้มเข้าไปเลย ตรงนี้ก็ช่วยลดความรำคาญตอนเผลอถือสมาร์ทโฟนในแนวนอน แต่ไม่ได้อยากชมภาพแนวนอนตามนั้นเอง
  

Dashboard

แสดงหน้าข้อมูลสถิติหรือการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวัน เช่น เราใช้เวลาไปกับแอพฯ ไหนมากสุด ปลดล็อคหน้าจอกี่ครั้งแล้ว ฟีเจอร์นี้ก็เหมือนเป็นตัวช่วยให้เรา ไปปรับพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนใหม่ คือออกแนวฟีเจอร์เพื่อสุขภาพ เพราะมันจะต่อยอดไปยังฟีเจอร์ช่วยถนอมร่างกายของผู้ใช้ตัวอื่น ๆ ด้วย เช่น App Timer กำหนดเวลาการใช้แอพฯ และ Wind down ปรับสีหน้าจอให้เป็นขาวดำเมื่ออยู่ในที่มืดโดยอัตโนมัติหรือตามที่ตั้งไว้ ช่วยถนอมสายตาของเรา

  
Wind down

ต่อจาก Dashboard สำหรับหน้าตาเวลาปรับสีเป็นขาวดำ ก็ตามภาพนี้เลย ทั้งนี้เราสามารถสั่งงานผ่านเสียง ตั้งเวลาการเปลี่ยนหน้าจอเองโดยตรงก็ได้

  
Do Not Disturb

โหมดห้ามรบกวนแบบเด็ดขาด คือเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยซ่อนการแจ้งเตือนที่เราคิดว่าไม่จำเป็นลงได้ เหมาะสำหรับเล่นเกมหรือดูหนัง แต่ไม่ต้องการให้การแจ้งเตือนมาขัดจังหวะ 


Shush

สำหรับฟีเจอร์ “Shush” ก็เป็นอีกชื่อของ Do Not Disturb คือเวลาเราคว่ำจอสมาร์ทโฟน มันจะปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดเลย ไม่ดังให้เราสะดุ้งหรือรู้สึกรำคาญอีกต่อไป

 
Starred Contacts

อีกฟีเจอร์ที่ทำงานคู่กับ Do Not Disturb คือถึงแม้เราจะปิดการแจ้งเตือนไปเกือบหมดแล้ว แต่หากมีคนสำคัญของเราส่งข้อความหรือโทรมา มันก็จะช่วยแจ้งเตือนแม้อยู่ในโหมด Do Not Disturb ก็ตาม


ท้ายนี้ Google ได้เริ่มทยอยปล่อย Android 9.0 Pie แก่ Pixel กับ Essential Phone ได้ใช้งานกันก่อนเรียบร้อยแล้ว ส่วนอุปกรณ์ Android แบรนด์อื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการ Android Beta อาทิ Sony, Xiami, HMD Global (Nokia), Oppo, Vivo และ OnePlus กับกลุ่มอุปกรณ์ Android One จะได้รับอัพเดตในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ครับ

ที่มา: ARiP

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น