วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Google Trends ปรับโฉมใหม่ แสดงคำค้นยอดฮิตแยกตามหมวด

กูเกิลประกาศปรับปรุง Google Trends เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้มของคำค้นหาเสียใหม่ โดยเพิ่มความสามารถดังนี้
  • Top Charts แยกคำค้นตามหมวดหมู่ เช่น นักกีฬา ภาพยนตร์ บุคคล เมือง (ลักษณะเดียวกับ Google Zeitgeist ที่ประกาศผลทุกปี แต่อันนี้แยกรายเดือน แถมดูย้อนหลังได้ถึงปี 2004) พร้อมแนวโน้มว่าคำไหนฮิตมากขึ้น-น้อยลง
  • Hot Searches เป็นการนำเสนอแนวโน้มของคำค้นที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนั้น โดยใช้เทคนิค visualization แบ่งตามสีเข้าช่วย ลองเล่นได้ที่ Google Trends Hot Searches
  • ปรับปรุงหน้าแรกของเว็บ Google Trends ใหม่ให้แสดงคำค้นยอดฮิตประจำวันนั้นด้วย
ที่มา: Blognone

IBM เปิดตัว Watson Engagement Advisor ในฐานะเครื่องตอบคำถามลูกค้า

IBM ขยายบริการของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Watson ในฐานะ "เครื่องตอบคำถามลูกค้าอัตโนมัติ" ใช้ทดแทนมนุษย์ในระบบ CRM แบบพิมพ์โต้ตอบ

หลักการทำงานจะเหมือนกับ การนำ Watson ไปแข่งรายการเกมโชว์ Jeopardy! นั่นคือป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ Watson เรียนรู้และทำความเข้าใจก่อน จากนั้นลูกค้าสามารถพิมพ์คำถามมายังระบบ Ask Watson และระบบจะคัดกรองข้อมูลที่เกี่ยวข้องตอบกลับไปยังลูกค้าได้อัตโนมัติ

IBM ระบุว่าตอนนี้มีลูกค้าเริ่มใช้ระบบนี้แล้วคือ ANZ, Celcom, IHS, Nielsen, Royal Bank of Canada และน่าจะขยายไปยังตลาดระบบ CRM ได้อีกมากในอนาคต

ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

VMware เปิดตัวแพลตฟอร์ม IaaS ในชื่อ vCloud Hybrid Service

VMware กระโจนลงมาร่วมสมรภูมิกลุ่มเมฆแบบ infrastructure-as-a-service (IaaS) ที่ Amazon Web Services กับ Azure กำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง

บริการ IaaS ของ VMware ใช้ชื่อว่า vCloud Hybrid Service จุดเด่นของมันคือ การทำร่วมกับแพลตฟอร์มของ VMware ในฝั่งองค์กร ทั้ง vSphere (virtualization) และ vCloud (private cloud) ดังนั้น องค์กรที่มี virtual machine ในสายของ VMware อยู่แล้ว (ซึ่งมีอยู่เยอะมาก) สามารถย้าย VM ไปรันบนกลุ่มเมฆ vCloud Hybrid Service ได้ทันทีโดยไม่ต้องแก้ไขอะไรเลย


vCloud Hybrid Service มีเซิร์ฟเวอร์ให้เลือกสองแบบคือ Dedicated Cloud ยกเครื่องให้ใช้คนเดียวไม่ต้องยุ่งกับใคร และ Virtual Private Cloud เครื่องแบบแชร์ทางกายภาพ (แต่แยกด้วยซอฟต์แวร์) ที่ราคาย่อมเยาลงมา

ที่มา: Blognone

GIF ออกเสียงว่า "จิ๊บ" ไม่ใช่ "กิ๊บ"

GIF หรือ Graphics Interchange Format เป็นไฟล์ภาพเคลื่อนไหวที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ซึ่งชื่อไฟล์ GIF ก็ได้เป็นคำแห่งปี (word of the year) ในปี 2012 ผู้สร้างไฟล์ GIF นั้นคือ Steve Wilhite ได้รับรางวัล lifetime achievement award จาก The Webby Awards เมื่อวานนี้ (21 พฤษภาคม 2013)

ขณะที่สร้างไฟล์ GIF นั้น Wilhite ทำงานอยู่ที่ CompuServe (เป็น ISP ของสหรัฐฯ) โดยกำเนิดแล้ว ไฟล์ GIF นั้นสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในบริษัทในการแสดงผลภาพ เช่น สีในแผนที่อุตุนิยมวิทยา โดยไฟล์ GIF ไฟล์แรกนั้น เป็นรูปเครื่องบินกระดาษที่เคลื่อนไหวได้ 10 กว่าปีให้หลังจากที่ Wilhite เกษียณจากการทำงาน เขาก็ยังได้รับคำชื่นชมในการสร้างไฟล์นี้อยู่ แต่เขาก็มีสิ่งหนึ่งที่ต้องอธิบายให้กระจ่างนั่นก็คือการออกเสียงของชื่อไฟล์ เขาจึงใช้เวทีของ The Webby Awards ในการบอกว่า "มันออกเสียงว่า จิ๊บ ไม่ใช่ กิ๊บ"

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Apple เริ่มทดสอบจอโค้งสำหรับ iWatch

เป็นข่าวข้ามปีมาแล้วสำหรับนาฬิกาสุดไฮเทคอย่าง iWatch จากค่าย Apple ที่กระแสข่าวส่วนใหญ่บอกไปในทิศทางเดียวกันว่า อุปกรณ์สวมใส่นี้มีอยู่จริง และมีสิทธิ์เปิดตัวในปีนี้ด้วย

ตามรายงานของบล็อก Macotakara ในประเทศญี่ปุ่น ได้อ้างข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ในไต้หวันว่า Apple ได้เริ่มทดสอบจอทัชสกรีนแบบ OLED ขนาด 1.5 นิ้วสำหรับ iWatch แล้ว พร้อมกับการร่วมทุนกับอีกบริษัทเพื่อจัดหาเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่เหมาะสมที่สุดบนนาฬิกาข้อมือไฮเทค นอกจากนี้ยังมีรายงานต่อเนื่องด้วยว่าโรงงาน Foxconn ในประเทศจีนได้รับคำสั่งให้เริ่มกระบวนการผลิต iWatch ในจำนวน 1,000 ชิ้นแล้ว โดยเชื่อว่าน่าจะเป็นการทดสอบระยะเวลาของการผลิต ตลอดจนส่งไปยังนักพัฒนาและลูกค้าบางรายเพื่อทดสอบการใช้งานต่อไป

ก่อนหน้านี้ Apple ได้ทดสอบจอทัชสกรีน OLED ขนาด 1.8 นิ้วไปแล้ว แต่พบว่าขนาดของมันใหญ่เกินไป และอาจเป็นอุปสรรคต่อการสวมใส่ได้ ดังนั้นจึงลดขนาดจอแสดงผลลงมาที่ 1.5 นิ้ว เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้มูลค่าทางการตลาดของอุปกรณ์สวมใส่บนร่างกายกำลังมีอัตราที่สูงขึ้นต่อเนื่อง หลังการเปิดตัว Google Glass พร้อมกับข่าวลือของ Apple, Samsung, LG, Sony รวมถึง Microsoft ที่กระโดดเข้าร่วมผลิตอุปกรณ์ประเภทสวมใส่บนร่างกายอย่าง SmartWatch

ที่มา: ARiP

หนุ่มจีนอาศัย Google Maps ตามหาพ่อแม่หลังจากถูกลักพาตัวมานานกว่า 23 ปี

ชาวจีนคนหนึ่งนามว่า Luo Gang ได้กลับไปพบหน้าครอบครัวอีกครั้ง หลังจากถูกลักพาตัวมานานกว่า 23 ปี โดยเขาใช้ Google Maps เพื่อค้นหาสถานที่ที่คาดว่าน่าจะเป็นบ้านเกิดของเขา โดยอาศัยเพียงข้อมูลแค่ว่าในบ้านเกิดของเขามีสะพานอยู่ 2 สะพานเท่านั้น


Luo Gang ซึ่งมีชื่อในตอนเด็กว่า Huang Jun ถูกลักพาตัวมาจากมณฑลเสฉวนเมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบ และถูกรับเป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 2,000 กิโลเมตร (อ้างอิง Google Maps) 

Luo ประกาศข้อความบนเว็บไซต์ที่อุทิศให้กับการตามหาครอบครัวของเด็กหายแห่งหนึ่ง ซึ่งก็มีผู้ใช้ตอบกลับมาด้วยข้อมูลของครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเขต Linshui เมือง Guang'an มณฑลเสฉวน เขาใช้ข้อมูลนี้ค้นหาสะพานทั้งสองที่อยู่ในความทรงจำใน Google Maps โดยอาศัยภาพถ่ายจากดาวเทียม และเขาก็ค้นพบบ้านของตัวเองในที่สุด

Luo ได้พบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเอง และได้ทราบว่าเขามีน้องสาวอีกคนหนึ่ง

ในประเทศจีนมีการลักพาตัวเด็กผู้ชายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แค่ปีที่แล้วก็มีกว่า 76,000 ครอบครัวที่ต้องสูญเสียลูกชายไป สำหรับพ่อแม่บุญธรรมของเขานั้นอาจจะถูกดำเนินคดีอาญาอีกด้วย

ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สภาคองเกรสสอบถาม Larry Page ถึงการพิทักษ์ข้อมูลส่วนบุคคลของ Google Glass


สมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาหลายรายได้ร่วมกันลงนามส่งจดหมายถึง Larry Page ซีอีโอของ Google โดยเน้นประเด็นเกี่ยวกับการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน Google Glass พร้อมทั้งขอให้ตอบจดหมายกลับภายในวันที่ 14 มิถุนายนนี้

จดหมายฉบับดังกล่าว มีเนื้อหาแสดงถึงความกังวลว่าจะมีผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Google เพื่อการเก็บรวมรวมข้อมูลอย่างไม่เหมาะสม และนั่นหมายถึงการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอเมริกัน


แว่นตา Google Glass ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีกล้องถ่ายวิดีโอและภาพนิ่งติดมาในตัว และพร้อมทำงานเมื่อได้รับคำสั่งเสียง ได้ถูกจำหน่ายและนำส่งแก่ผู้ซื้อซึ่งเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้ root เครื่องได้สำเร็จ นั่นย่อมแสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ดัดแปลงอุปกรณ์ให้บันทึกภาพและเสียง ได้อย่างอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งคำสั่งเสียง และนั่นหมายถึงการเก็บบันทึกภาพและเสียงดังกล่าวจะทำได้โดยไม่เป็นจุดสังเกต ของผู้คนโดยรอบนั่นเอง

ประเด็นคำถามในจดหมาย มีการถามอย่างตรงไปตรงมาว่า Google Glass จะมีระบบรู้จำใบหน้าที่จะนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลจำเพาะของบุคคลหรือวัตถุ สิ่งของอื่นใดที่เกี่ยวข้องกันหรือไม่, มีการเก็บข้อมูลโดยลัดขั้นตอนการขออนุญาตหรือไม่ และ Google มีมาตรการป้องกันปัญหาในลักษณะนี้อย่างไร

พร้อมกันนี้ในจดหมายได้ยกกรณีที่ Google ถูกตัดสินว่าละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ในระหว่างการเก็บข้อมูลเพื่อทำแผนที่ street view ซึ่งลงเอยโดยการที่ Google ต้องจ่ายเงินชดใช้จำนวน 7 ล้านดอลลาร์ มากล่าวเทียบเคียงเอาไว้ด้วย

นอกเหนือจากความห่วงใยในการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้คนโดยรอบผู้ใช้ Google Glass แล้ว สมาชิกสภาคองเกรสยังมีคำถามที่เกี่ยวกับการรักษาข้อมูลส่วนที่เป็นของผู้ใช้ Google Glass เองด้วย กล่าวคือ ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้จำนวนมากซึ่งย่อมต้องถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำบนแว่นนั้น จะได้รับการปกป้องอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อแว่นดังกล่าวตกอยู่ในมือของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของเดิม

ประเด็นเรื่องความสุ่มเสี่ยงของการใช้งาน Google Glass กับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนั้น ส่อเค้ายุ่งมาตั้งแต่ต้น ดังจะเห็นได้จากข่าวร้านอาหารใน Seattle ประกาศห้ามนำแว่นดังกล่าวเข้าร้าน หรือกรณีกลุ่มนักกฎหมายใน West Virginia เสนอกฏห้ามใช้ Google Glass ขณะขับรถ ซึ่งก็น่าอิจฉาอเมริกันชนที่เหล่าผู้แทนของพวกเขาได้ออกมาแสดงจุดยืนถึงความห่วงใย ในสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และรีบออกมาทำหน้าที่ป้องกันปัญหาเพื่อล้อมคอกตั้งแต่วัวยังไม่ทันหาย

ที่มา: Blognone

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ซัมซุงถือส่วนแบ่งกำไรมือถือ Android ที่ 95% แต่แอปเปิลทำกำไรได้มากกว่า Android ทั้งหมด

จากผลการประเมินกำไรของฮาร์ดแวร์ Android ทั้งหมดในไตรมาสแรกของปีนี้ (ตามเวลาปฏิทินปรกติ) โดย Strategy Analytics พบว่าซัมซุง มีส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 94.7% เป็นมูลค่า 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนบริษัทที่มีส่วนแบ่งกำไรอันดับสองอยู่ที่ LG มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 2.5% เป็นมูลค่า 119 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนของ HTC, Sony, ZTE และผู้ผลิตรายอื่นๆ ทำกำไรได้น้อยมาก เลยถูกรวมอยู่ในกลุ่ม "ผู้ผลิตอื่น ๆ" ที่มีส่วนแบ่งรวมกันทั้งหมดต่ำกว่า 2.7%

หากใครต้องการข้อมูลเปรียบเทียบ แอปเปิลทำกำไรได้ 7.1 พันล้านดอลลาร์ นับเป็น 57% ของกำไรอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนทั้งหมด ส่วนซัมซุงอยู่ที่ 40.8%

เพื่อให้สะดวกต่อการเปรียบเทียบ นี่คือส่วนแบ่งกำไรตลาดมือถือ 2 ปีก่อนครับ

ที่มา: Blognone

Gliffy ออกรุ่น Packaged สำหรับ Chrome ใช้ HTML5

นับแต่ Chrome รองรับ Packaged Apps ก็เริ่มมีแอพพลิเคชั่นรองรับกันมาเรื่อยๆ ตัวก่อนหน้านี้คงเป็น Google Keep และตอนนี้แอพพลิเคชั่นจากภายนอกคือ Gliffy ก็ทดลองใช้งาน Packaged Apps แล้ว

ในรุ่นนี้ Gliffy จะสามารถทำงานออฟไลน์ได้สมบูรณ์โดยไม่ต้องล็อกอินใดๆ (แต่ต้องลงทะเบียนก่อนใช้งาน) เท่าที่ผมลองใช้งานพบว่าภาษาไทยใช้งานได้ดีแต่ยังคงมีบั๊กตัดคำเฉพาะเวลาที่ เซฟเป็นภาพ PNG


ที่มา: Blognone

PayPal ออกโปรโมชั่นให้ร้านค้าเปลี่ยนเครื่องคิดเงินแบบเก่าเป็นระบบ PayPal Here

วันเดียวกับที่ Square เปิดตัว Square Stand ทางค่าย PayPal ในฐานะเจ้าพ่อด้านการจ่ายเงินออนไลน์ ก็เปิดตัวโครงการชื่อ Cash for Registers ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายร้านค้ารายย่อยเหมือนกัน


โครงการของ PayPal จะเปลี่ยนเครื่องคิดเงินรุ่นเก่าที่ร้านค้ามีอยู่แล้ว เป็นเครื่องคิดเงินรุ่นใหม่ที่ใช้จอสัมผัส และรวมซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม PayPal Here รองรับการจ่ายบัตรเครดิต เดบิต เช็ค และระบบจ่ายเงินออนไลน์ของ PayPal ได้ทั้งหมด

ร้านค้าสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ฮาร์ดแวร์เป็น iPad/Android แล้วลงแอพ PayPal Here หรือจะซื้อฮาร์ดแวร์สำเร็จรูปจากผู้ผลิตอย่าง ERPLY, Leaf, Leapset, NCR Silver, ShopKeep, Vend ที่พัฒนาฮาร์ดแวร์ร่วมกับ PayPal ก็ได้ (ดูตัวอย่างเครื่องจากภาพประกอบท้ายข่าว)

ในช่วงโปรโมชั่นที่กระตุ้นให้คนเปลี่ยนมาใช้ระบบของ PayPal ร้านค้าจะได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมของ PayPal ไปจนถึงสิ้นปีนี้

ที่มา: Blognone

Square Stand เปลี่ยน iPad เป็นเครื่องคิดเงินสำหรับร้านค้า

Square บริษัทผู้บุกเบิกการจ่ายเงินด้วยอุปกรณ์พกพา ออกฮาร์ดแวร์ตัวใหม่ชื่อ Square Stand เพื่อจับตลาดเครื่องคิดเงินในร้านค้าหรือจุดขาย (POS) โดยเฉพาะ


Square Stand คือ "ขาตั้ง" สำหรับ iPad แต่พิเศษหน่อยตรงที่ขาตั้งนั้นรวมเครื่องรูดบัตรมาด้วยในตัว เมื่อนำ iPad ไปประกอบและติดตั้งแอพ Square Register เรียบร้อย เจ้าของร้านค้าจะได้ระบบจ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปทันที เงินจะเข้าบัญชีของร้านค้าที่เปิดไว้กับ Square โดยจะโดนหักค่าธรรมเนียม 2.75% จากมูลค่าการขายในแต่ละครั้ง

การเปิดตัว Square Stand ถือเป็นก้าวสำคัญของ Square สู่การเป็นบริษัทระบบจ่ายเงินแบบเดียวกับ Visa หรือ MasterCard เพราะผู้ค้าขายที่ซื้อระบบนี้ไปใช้จะ "ลัด" ขั้นตอนของระบบจ่ายเงินแบบเดิมๆ ไปทั้งหมด

Square Stand ขายราคาเครื่องละ 299 ดอลลาร์ (ไม่รวม iPad และยังใช้ได้เฉพาะ iPad 2/3 ที่ไม่ใช้พอร์ต Lightning) โดยมีอุปกรณ์เสริมอย่างลิ้นชักเก็บเงินสด เครื่องสแกนบาร์โค้ด และเครื่องพิมพ์ใบเสร็จขายแยกต่างหากด้วย

หมายเหตุ: มีวิดีโอแนะนำการใช้งาน ให้คลิกไปได้ที่ Blognone ตามลิงค์ที่มานะครับ ^_^

ที่มา: Blognone

PayPal บอกหมดยุคการล็อกอินด้วยรหัสผ่าน ได้เวลายืนยันตัวตนผ่าน FIDO

Michael Barrett ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความปลอดภัยข้อมูล (information security) ของ PayPal และประธานของกลุ่ม FIDO Alliance (Fast Identity Online - ข่าวเก่า) ไปพูดที่งานสัมมนาด้านความปลอดภัย Interop


Barrett อธิบายเป้าหมายของกลุ่ม FIDO ว่าต้องการกำจัดระบบล็อกอินด้วยรหัสผ่าน และ PIN ออกไปจากโลกนี้ รหัสผ่านเป็นวิธีการที่คิดขึ้นตั้งแต่ปี 1961 แต่ปัจจุบันเรามีเว็บไซต์ที่ต้องใช้รหัสผ่านจำนวนมหาศาล ทำให้ผู้ใช้มักตั้งรหัสผ่านเหมือนๆ กัน แถมการจดจำรหัสผ่านทำให้ผู้ใช้ตั้งรหัสผ่านง่ายๆ ทำให้รหัสผ่านถูกเจาะได้ง่ายมาก

กลุ่ม FIDO Alliance ตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยสร้างระบบการยืนยันตัวตนที่ใช้ง่ายและปลอดภัย แนวทางของ FIDO คือผู้ใช้ล็อกอินเข้าไปยังอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (เช่น โทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ที่มี TPM) ผ่านลายนิ้วมือ-เสียง-ใบหน้า-นัยน์ตา-แฟลชไดรฟ์ จากนั้นซอฟต์แวร์ของ FIDO จะยืนยันตัวตนของอุปกรณ์กับบริการออนไลน์อื่นๆ ให้

Barrett บอกว่า PayPal เตรียมรองรับ FIDO ในเร็วๆ นี้ และต้องรอฝั่งฮาร์ดแวร์สนับสนุนด้วย

ที่มา: Blognone

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ซัมซุงกำลังทดสอบ 5G พร้อมนำมาใช้จริงได้ปี 2020

สำนักข่าว Yonhap จากประเทศเกาหลีใต้รายงานว่า ซัมซุงกำลังทดสอบการใช้งานเครือข่ายมือถือ 5G อยู่ และตอนนี้บริษัทสามารถทำให้เครื่องลูกข่ายสามารถดึงข้อมูลได้ที่ความเร็ว 1Gbps แล้ว โดยตัวเครื่องลูกข่าย จะต้องมีเสาอากาศ (attenna element) มากถึง 64 เสาด้วยกัน ถึงจะทำความเร็วนี้ได้

ซัมซุงบอกว่าเทคโนโลยีดังกล่าว จะพร้อมที่จะนำมาใช้ทำตลาดได้จริง ภายในปี 2020 ซึ่งตรงกับเป้าหมายที่คณะกรรมการบริหารสหภาพยุโรป (European Commission) ตั้งเป้าไว้พอดี


ที่มา: Blognone

กูเกิลเตรียมออกตัวเข้ารหัสวิดีโอรุ่นใหม่ VP9 และใช้กับ YouTube

กูเกิลพยายามอย่างมากกับโครงการ WebM ในการสร้างตัวเข้ารหัสวิดีโอ ที่ไม่ต้องจ่ายค่าใช้งานสิทธิบัตรแบบ MPEG-4


แต่ที่ผ่านมาโครงการ WebM ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เหตุผลหนึ่งก็เพราะตัวเข้ารหัสภาพเคลื่อนไหว (ไม่รวมเสียง) อย่าง VP8 มีคุณภาพไม่สูงมากพอเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ทางออกของกูเกิลคือ พัฒนาตัวเข้ารหัสรุ่นถัดไป VP9 ซึ่งตอนนี้สเปกใกล้เสร็จสมบูรณ์ และจะออกสเปกรุ่นสมบูรณ์ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้

ลูกค้ารายแรกๆ ของ VP9 ย่อมเป็นผลิตภัณฑ์ของกูเกิลเอง ได้แก่ Chrome, Chrome OS และที่สำคัญคือ YouTube ซึ่งจะเริ่มใช้งานหลัง Chrome พร้อมแล้ว

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Office Web Apps เริ่มใช้ได้บน Android

Office Web Apps เป็นบริการซอฟต์แวร์สร้างงานเอกสารแบบออนไลน์ หรือทำงานผ่านเบราว์เซอร์ที่ ไมโครซอฟท์เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งมาถึงปัจจุบัน ไมโครซอฟท์ได้เตรียมผลักดันให้บริการดังกล่าวสามารถใช้งานบนแท็บเล็ตที่เป็น Android ได้แล้ว
จากการเปิดเผยของไมโครซอฟท์ผ่านบล็อค Office 365 ระบุว่า Office Web Apps จะเริ่มสนับสนุนการใช้งานบนแท็บเล็ต Android แต่จำเป็นต้องใช้งานผ่าน Chrome for Android เท่านั้น ซึ่ง Office Web Apps จะเพิ่มฟีเจอร์การแก้ไฟล์เอกสารได้พร้อมกันหลายคนในแบบ real-time ทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นผู้ใช้รายอื่นๆ ที่เข้าใช้งานเอกสารได้โดยไม่ต้องรีเฟรชหน้าแต่อย่างใด โดยในเบื้องต้น ไมโครซอฟท์จะเริ่มให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน PowerPoint Web Apps ก่อน และหลังจากนั้นก็จะทะยอยเปิดการใช้งานซอฟต์แวร์อื่นๆ ในชุด Office ต่อไป นอกจากนี้ทางไมโครซอฟท์ยังได้กล่าวถึงแผนการสำหรับ Office Web Apps ว่าจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้, การใช้ความสามารถทางโซเชี่ยล, การทำงานร่วมกัน และการสนับสนุนการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม

ซึ่งในอนาคตข้างหน้าก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า Office Web Apps จะเป็นบริการออนไลน์ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับชุด Office ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันบนพีซีและโน้ตบุ๊ค

ที่มา: ARiP

น่าสนใจ: ภาพเปรียบเทียบคุณภาพของกล้องไอโฟนทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2007

Camera+ เจ้าของแอพถ่ายภาพที่ใช้ชื่อเดียวกัน ได้โพสต์รูปเปรียบเทียบคุณภาพของภาพถ่ายที่ได้ ตั้งแต่ไอโฟนรุ่นแรก (ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า iPhone Classic) มาจนถึงรุ่นล่าสุด iPhone 5


จากในภาพ จะสังเกตได้ว่าคุณภาพกล้องดีขึ้นมากอย่างก้าวกระโดด ก็คือช่วงจาก iPhone 3G มา iPhone 3GS ซึ่งตอนนั้นแอปเปิล เริ่มเอากล้องถ่ายรูปบนมือถือมาเป็นจุดขายอย่างจริงจัง และได้ใส่คุณสมบัติในการโฟกัสรูปเข้ามา และทั้งหมดนี้อาจจะต้องชมการแข่งขันในตลาด

ที่มา: Blognone

Google Earth Engine เพิ่มชุดภาพถ่ายดาวเทียมผ่านกาลเวลาเกือบ 30 ปี

Google ได้เพิ่มแผนที่ชุดใหม่เข้าสู่โครงการ Google Earth Engine แสดงภาพถ่ายดาวเทียมในบางพื้นที่เปรียบเทียบตามช่วงเวลาต่างๆ โดยใช้ภาพจากดาวเทียมของ NASA ที่เก็บรวบรวมไว้ตั้งแต่ปี 1984


ภาพถ่ายดังกล่าวมาจากดาวเทียม Landsat ซึ่งจากการปฏิบัติงานมายาวนานเกือบ 30 ปี ได้มีการเก็บรวบรวมภาพถ่ายพื้นที่ทั่วทุกมุมบนโลกไว้เป็นจำนวนมาก โดยมีขนาดข้อมูลรวมกันมากถึง 900TB

Google ใช้ข้อมูลภาพถ่ายดังกล่าว โดยคัดเลือกเอาเฉพาะภาพที่มีรายละเอียดชัดเจน มีความสว่างจากแสงอาทิตย์ที่เพียงพอ และไม่มีเมฆบดบังการมอง จากนั้นนำภาพเหล่านั้นมาประกอบกันในแบบเดียวกับ Google Earth โดยความพิเศษของงานนี้คือ ภาพที่ใช้แต่ละจุดบนแผนที่เกิดจากการเอาภาพที่ถ่ายในปีต่างๆ ไล่มาตั้งแต่ปี 1984 จนถึง 2012 มาแสดงผลต่อเนื่องกันแบบ time lapse เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ในภาพถ่ายผ่านช่วงระยะเวลาเกือบ 30 ปี

ในขั้นต้นนี้ Google เลือกเอาภาพถ่ายจาก 8 พื้นที่มาเป็นตัวอย่าง เช่น การขยายตัวของเมืองลาสเวกัส, การแผ้วถางพื้นที่ป่าอเมซอนในบราซิล, การสร้างหมู่เกาะปาล์มที่ชายฝั่งทะเลดูไบ, การหดตัวของธารน้ำแข็งในอลาสก้า, การอพยพตั้งถิ่นฐานกลางทะเลทรายในซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น ซึ่งใครสนใจดูในพื้นที่อื่น ก็สามารถเปิดดูได้ในหน้าเว็บของโครงการ

ที่มา: Blognone

ธนาคาร Barclays เปลี่ยนวิธีตรวจสอบลูกค้าทางโทรศัพท์ มาเป็นการวิเคราะห์เสียงพูด

Barclays Wealth บริการธนาคารส่วนตัวของเครือธนาคาร Barclays ของอังกฤษ เริ่มเปลี่ยนวิธีตรวจสอบตัวตนลูกค้าทางโทรศัพท์ จากเดิมที่ใช้วิธีถามรหัสผ่าน-คำถามข้อมูลส่วนตัว มาเป็นการแยกแยะเสียงพูด (voice recognition) แทน

 
การตรวจสอบเสียง (voiceprint) ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังลูกค้าพูดจบ และกรณีที่ระบบตรวจสอบเสียงผิดพลาด ลูกค้ายังสามารถยืนยันตัวตนด้วยวิธีเดิมได้

ระบบแยกแยะเสียงพูดของ Barclays มาจาก Nuance FreeSpeech ของบริษัท Nuance เจ้าพ่อซอฟต์แวร์ด้านเสียงนั่นเอง

ตอนนี้มีลูกค้าของ Barclays Wealth จำนวน 84% ย้ายมาใช้ระบบใหม่แล้ว และอัตราการยืนยันตัวตนสำเร็จอยู่ที่ 95% ของการทดลองใช้ครั้งแรก ส่วนลูกค้าที่ใช้บริการแบบใหม่แล้วให้คะแนน 9/10 ในเรื่องความเร็ว และ 93% ในเรื่องความง่าย-ความปลอดภัย

Barclays บอกว่าระบบใหม่ใช้ง่ายกว่าเดิม แต่ยังมีความปลอดภัยสูง และมีแผนจะขยายไปยังบริการอื่นๆ ของ Barclays ในอนาคต

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Adobe ยกเลิก Creative Suite ต่อไปนี้จะกลายเป็น Creative Cloud

Adobe ได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกการพัฒนาชุดซอฟต์แวร์ Creative Suite ทั้งหมดแล้ว และจะหันมาพัฒนาชุดซอฟต์แวร์ใหม่ Creative Cloud แทน โดยในตอนนี้ผู้ใช้ Creative Suite 6 ยังจะได้รับอัพเดตต่อไปเรื่อย ๆ แต่จะไม่มี Creative Suite 7 อีกต่อไปแล้ว

Adobe Creative Cloud จะประกอบไปด้วย Photoshop CC, InDesign CC, Illustrator CC, Dreamweaver CC และ Premiere Pro CC โดยแต่ละแอพนั้น จะได้รับการอัพเดตครั้งใหญ่ที่เพิ่มคุณสมบัติใหม่มากมาย

ค่าใช้บริการ Creative Cloud จะอยู่ที่ 49.99 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือถ้าจะใช้เพียงแอพเดียวจะอยู่ที่ 19.99 ดอลลาร์ต่อเดือน เจ้าของ Creative Suite เก่าตั้งแต่เวอร์ชัน 3 สามารถใช้บริการ Creative Cloud ได้ในราคา 29.99 ดอลลาร์ต่อเดือนเฉพาะในปีแรก ส่วนราคาชุดเต็มสำหรับนักเรียนจะอยู่ที่ 19.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

Creative Cloud ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ Creative Suite มาใช้งานระยะสั้นอย่างมาก (ข่าวเก่า: ราคาเปิดตัว Creative Suite 6 ในไทย) แต่อาจจะไม่คุ้มสำหรับคนที่ต้องการใช้งานระยะยาว

ที่มา: Blognone

อินเทลเปิดตัวสถาปัตยกรรม Silvermont: ประมวลผลเร็วขึ้น 3 เท่า แต่ใช้พลังงานลดลง 5 เท่า

เราเคยได้ยินข่าวของ Atom ที่ใช้สถาปัตยกรรม Silvermont มาแล้วครั้งหนึ่ง ในข่าว เอกสารสเปคของ Valleyview หลุดออกมา ล่าสุดอินเทลก็เปิดตัว Silvermont อย่างเป็นทางการเรียบร้อย และพร้อมลุยตลาดอุปกรณ์พกพาในเร็วๆ นี้ครับ


โดยรายละเอียดของ Silvermont คร่าวๆ ก็คือเป็นหน่วยประมวลผลที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 22 นาโนเมตรแบบ Tri-Gate Transistors สามารถประมวลผลงานได้เร็วกว่าเดิม 3 เท่า และใช้พลังงานลดลงถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว และนอกจากนี้ อินเทลยังระบุอีกว่าสถาปัตยกรรม Silvermont จะสามารถรองรับคอร์ได้สูงสุดถึง 8 คอร์อีกด้วย

ตลาดหลักของ Silvermont ก็ยังคงหนีไม่พ้น อัลตร้าบุ๊ค สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้ Atom เช่นเคย แต่ทั้งนี้อินเทลยังไม่ระบุว่า Silvermont จะพร้อมเป็นอุปกรณ์ให้ใช้งานได้เมื่อไหร่ครับ

ที่มา: Blognone

เอเซอร์: Windows RT มัน "ไม่มีค่า"

จากงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของเอเซอร์เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้บริหารของเอเซอร์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า แท้จริงแล้ว Windows 8 นั้น เป็นการเปิดตัวที่ล้มเหลวพอสมควร เพราะความที่ไมโครซอฟท์ก้าวเข้ามาทำ Surface และแย่งชิงส่วนแบ่งฮาร์ดแวร์จากผู้ผลิตรายอื่นๆ นั่นเอง


นอกจากนี้เอเซอร์ยังได้ให้ความเห็นถึง Windows RT ในตอนนี้ว่า มันเป็นของที่ไม่มีค่าสุดๆ แต่ถึงยังไงบริษัทก็ยังคงรอคอยการเปิดตัวของ Windows Blue (Windows RT 8.1) อยู่ และแผนออกแท็บเล็ตที่รัน Windows RT ยังคงดำเนินหน้าต่อไป แต่มันจะไม่ใช่กับ Windows RT ในตอนนี้ครับ เพราะส่วนแบ่งฮาร์ดแวร์ที่รัน Windows RT อยู่ที่ 0.4% จากส่วนแบ่งทั้งหมดในไตรมาสที่ผ่านมา และมันจะไม่กระเตื้องไปมากกว่านี้

ดังนั้นหนทางรอดของบริษัท จึงเป็นแผนการออกฮาร์ดแวร์แบบไฮบริด ลูกผสมโน้ตบุ๊คและแท็บเล็ตมากกว่าการออกแท็บเล็ตแบบเพียวๆ ดังที่เห็นในงานเปิดตัวไปแล้ว และทั้งนี้ เอเซอร์ยังได้เผยว่าในยอดขายไตรมาสแรก 25% เป็นแท็บเล็ตที่รัน Windows 8 ตัวเต็มจากเอเซอร์ (Iconia W500/Iconia W700) ซึ่งมากกว่า Surface ของไมโครซอฟท์หลายเท่าตัวครับ และที่สำคัญสถานการณ์ของ Windows 8 ตัวเต็ม ดูจะไปได้สวยกว่า Windows RT อีกด้วยครับ

ที่มา: Blognone

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วัยรุ่นยุคใหม่ กับชีวิตการทำงาน

ต้องเช็ค ต้องแชต ต้องแชร์ !! พฤติกรรมบนสมาร์ทโฟนสำหรับคนยุคใหม่ ที่เราเห็นกันจนชินตาไปแล้ว กิจวัตรประจำวันเช่นนี้ จะเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตการทำงาน วันนี้ arip ขอหยิบยกงานวิจัยที่น่าสนใจมาให้ชมกันครับ

จากการวิจัยของ Ericsson Consumer Lab ในหัวข้อ Young Professionals at Work เป็นการศึกษาถึงมุมมองการใช้ชีวิตเมื่อก้าวเข้าสู่การทำงานของกลุ่มเจเนอเรชั่นเอ็ม หรือเจนเอ็ม (Generation M) ในช่วงอายุระหว่าง 22-29 ปี ซึ่งอยู่ในซานฟรานซิสโก และซิลิคอน วัลเล่ย์ ที่ถือว่าเป็นผู้ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และมีไฟในการทำงาน และมีมุมมองของตัวเองต่อการก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้บริหารในอนาคต

ผลการวิจัยดังกล่าว เน้นไปที่มุมมองและพฤติกรรมของกลุ่มวัยรุ่นในยุคเจนเอ็ม ระหว่างการใช้ชีวิตส่วนตัวและชีวิตในการทำงาน พบว่าคนกลุ่มนี้ มีความกระตือรือร้นและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย พร้อมๆ ไปกับคำนึงถึงชีวิตส่วนตัว คนเหล่านี้มองว่าการใช้ Facebook ไปจนถึงการแชตในช่วงเวลาทำงานเป็นสิทธิที่พวกเขาควรจะได้รับ


นางแอน ชาร์ลอตต์ คอร์นบาล์ด ที่ปรึกษาอาวุโส Ericsson Consumer Lab ระบุว่า วัยรุ่นกลุ่มนี้มีความต้องการที่จะรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว ดังนั้นพวกเขาจึงมีความคาดหวังต่อหัวหน้าหรือเจ้านายเพื่อยอมรับกับเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้พฤติกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจของวัยรุ่นเจนเอ็ม คือ การทำงานที่สามารถได้ใกล้ชิดกับหัวหน้างาน รวมทั้งการได้รับฟีดแบคอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาจะไม่ชอบการทำงานที่ดูคลุมเครือ และวัดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนไม่ได้อีกด้วย ทั้งนี้ ในกลุ่มวัยรุ่นเจน M  มากกว่า 45% ใช้โทรศัพท์ส่วนตัวเพื่อคุยติดต่อในเรื่องงาน ถึงแม้ 23% ของเด็กกลุ่มนี้จะมีสมาร์ทโฟนโดยที่บริษัทจะเป็นผู้ที่จ่ายทั้งหมด หรือบางส่วนก็ตาม

ขณะเดียวกัน ผอ.ฝ่ายสื่อสารและองค์กรสัมพันธ์ของอีริคสันประเทศไทย ระบุว่า พฤติกรรมของกลุ่มวัยรุ่นเจนเอ็ม จะไม่ค่อยมีความอดทน ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตขึ้นมาในยุคที่มีการใช้ Facebook อย่างแพร่หลาย พร้อมกับความเคยชินที่จะได้รับฟีดแบคต่างๆ ที่รวดเร็ว ส่งผลให้เด็กในยุคนี้ จะไม่ชอบการติดต่อสื่อสารใดๆ ที่ได้รับการตอบกลับที่ช้า หรือการทำอะไรที่ไม่ได้รับการตอบกลับมาในทันที

สำหรับองค์กรในฝันของกลุ่มวัยรุ่นเจนเอ็ม ได้แก่
  • มีความพึงพอใจในงาน สามารถนำเรื่องส่วนตัวเข้ามาในชีวิตการทำงานได้ หรือทำอะไรได้ในหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
  • ทำงานโดยมองไปที่เป้าหมายเป็นหลัก โดยไม่ต้องจำกัดว่าจะทำงานที่ไหนหรือเมื่อไร
  • มีโอกาสที่จะได้ทำงานเป็นทีม และกับคนที่อยู่ในช่วงอายุไล่เลี่ยกัน
  • ชอบองค์กรแนวราบ ไม่มีการจัดแบ่งตำแหน่งฝ่ายที่ยุ่งยากซับซ้อน
  • มีการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมทั้งการได้รับฟีดแบ็กสม่ำเสมอ
  • มีการวัดผลที่เป็นรูปธรรม
  • เคารพต่อการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงาน
  • มีความได้ใกล้ชิดกับหัวหน้างาน
  • มีการอัพเดทในเรื่องของเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้านการติดต่อสื่อสาร
อ้างอิงจาก เดลินิวส์

ที่มา: ARiP

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตำรวจดัตซ์จับแฮกเกอร์ผู้ทำการ DDoS ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกได้แล้ว

ตำรวจเนเธอแลนด์ยืนยันข่าวการเข้าจับกุมชายวัย 35 ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการ DDoS เว็บไซต์ Spamhaus ซึ่งเป็นโปรเจคการติดตามเว็บไซต์สแปมและเก็บข้อมูลของสแปมในเดือนมีนาคม โดยการโจมตีในครั้งนี้นับว่าเป็นการ DDoS ที่ใช้ปริมาณแบนด์วิดท์‎เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์คือ 300Gbps

ในเบื้องต้นเชื่อกันว่าชายคนนี้คือ Sven Kamphuis เจ้าของและผู้ดูแลบริการเว็บโฮสติ้งที่มีบังเกอร์ป้องกันนิวเคลียร์ CyberBunker โดยน่าจะมีเหตุจูงใจจากการที่ Spamhaus ได้เพิ่มเว็บไซต์ของ CyberBunker เข้าสู่แบล็คลิสต์ว่าเป็นสแปม โดยชายคนนี้จะถูกดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

CyberBunker มีชื่อเสียงในด้านการให้บริการแบบนิรนาม ซึ่งมักถูกนำไปใช้โดยผู้ก่อการร้าย หรือใช้เพื่อละเมิดกฎหมายต่างๆ

Note:
Distributed Denial of Service (DDoS) คือลักษณะหรือวิธีการหนึ่งของการโจมตีเครื่องคอมพิวเตอร์เป้าหมาย หรือระบบเป้าหมายบนอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้ระบบเป้าหมายปฏิเสธหรือหยุดการให้บริการ (Denial-of-Service) การโจมตีจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และมีเป้าหมายเดียวกัน โดยเครื่องที่ตกเป็นเหยื่อทั้งหมด (เครื่องที่ติดเชื้อจากการแพร่กระจายตัวของโค้ดร้ายซึ่งเป็นเครื่องมือของแฮกเกอร์สำหรับการควบคุมระบบ) จะสร้างข้อมูลขยะขึ้นมาแล้วส่งไปที่ระบบเป้าหมาย กระแสข้อมูลที่ไหลเข้ามาในปริมาณมหาศาลทำให้ระบบเป้าหมายต้องทำงานหนักขึ้น และช้าลงเรื่อยๆ เมื่อเกินกว่าระดับที่รับได้ก็จะหยุดการทำงานลงในที่สุด อันเป็นเหตุให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้บริการระบบเป้าหมายได้ตามปกติ

ที่มา: Blognone

ยอดข้อความที่ส่งผ่านโปรแกรมแชทสูงกว่าข้อความ SMS แล้ว

บริษัทวิจัย Informa รายงานว่า ข้อความที่ส่งผ่านโปรแกรมแชทอย่าง WhatsApp, iMessage, Line และอื่นๆ รวมกันสูงกว่าจำนวนข้อความ SMS แบบดั้งเดิมแล้ว โดยในปีพ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา มีข้อความเกือบ 19 พันล้านข้อความถูกส่งผ่านโปรแกรมแชทเหล่านี้ เทียบกับยอดข้อความ SMS ที่มีจำนวน 17.6 พันล้านข้อความ

Pamela Clark-Dickson แห่งบริษัทวิจัย Informa ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ให้บริการในบางประเทศอย่างสเปน เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ เริ่มเห็นถึงรายได้จากการส่ง SMS ที่ตกลงแล้ว และคาดเพิ่มเติมว่าการส่งข้อความผ่านโปรแกรมแชทเหล่านี้ จะเติบโตจนถึงระดับ 50 พันล้านข้อความภายในปี 2557 อย่างไรก็ตาม SMS จะยังอยู่ต่อไป เนื่องจากโปรแกรมแชทเหล่านี้ทำงานบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซึ่งยังมีผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจกำลังพัฒนา ที่ยังคงใช้โทรศัพท์ธรรมดาที่ยังพึ่งพิงข้อความ SMS เป็นหลัก ในขณะเดียวกัน บริษัทห้างร้านต่างๆ เริ่มสนใจในการส่ง SMS มากขึ้น เนื่องจากเข้าถึงโทรศัพท์ได้ทุกชนิด ไม่จำกัดอยู่เฉพาะสมาร์ทโฟน

Ovum บริษัทวิจัยอีกแห่งรายงานเพิ่มเติมว่า การเข้ามาของโปรแกรมแชท ทำให้ผู้ให้บริการสูญเสียรายได้ไปมากกว่า 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา

ที่มา: Blognone

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

Mark Zuckerberg รับค่าจ้าง 1 ดอลลาร์ต่อปี และไม่รับโบนัสใดๆ

Mark Zuckerberg กลายเป็นซีอีโอของบริษัทไอทีคนล่าสุด ที่เลือกรับค่าจ้างเพียง 1 ดอลลาร์ต่อปี และปฏิเสธไม่รับโบนัสใดๆ

ธรรมเนียมการรับค่าจ้างเพียง 1 ดอลลาร์ต่อปีเริ่มโดยสตีฟ จ็อบส์ ช่วงกลับเข้ามาแอปเปิลในปี 1998 ส่วนซีอีโอคนอื่นๆ ที่ใช้แนวทางนี้ก็มีทั้งผู้บริหารทั้ง 3 คนของกูเกิล, Larry Ellison แห่งออราเคิล, Meg Whitman แห่ง HP รวมถึงซีอีโอนอกสายไอทีอีกจำนวนหนึ่ง

ผู้บริหารส่วนใหญ่ที่รับค่าจ้าง 1 ดอลลาร์ (ต้องรับค่าจ้างเพราะเหตุผลทางบัญชี) มักมีรายได้จากหุ้นของบริษัทอยู่แล้ว และหลายคนเลือกลดค่าจ้างตัวเองเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสถานะทางการเงินของ บริษัท (ที่อาจย่ำแย่ในช่วงนั้น) หรือแสดงเป็นสัญลักษณ์ของความทุ่มเทต่อบริษัท

ปีที่แล้ว Zuckerberg ได้ค่าจ้างปีละ 500,000 ดอลลาร์ พร้อมโบนัส 266,101 ดอลลาร์ และสิทธิการใช้เครื่องบินเจ็ตของบริษัทในการเดินทางส่วนตัวด้วย

ที่มา: Blognone

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ปลั๊กอินใหม่ใน Chrome ดูไฟล์ Office

เมื่อวันพฤหัสบดี (25 เมษายน 2556) ที่ผ่านมา Google ได้เปิดตัวปลั๊กอินสำหรับ Chrome ในเวอร์ชั่น Beta เพื่อสนับสนุนการเปิดดูไฟล์ Microsoft Office บนหน้าเว็บเบราว์เซอร์ของ Windows และ OS X

ปลั๊กอินสำหรับ Chrome ในเวอร์ชั่น Beta ดังกล่าวมีชื่อว่า Chrome Office Viewer ช่วยในการเปิดดูไฟล์ของ Microsoft Office ได้โดยตรงบนหน้าเว็บเบราว์เซอร์ของ Windows และ OS X ซึ่งการจะใช้ปลั๊กอินนี้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณจำเป็นต้องมี Chrome เวอร์ชั่น 27 Beta ที่ Google ได้ปล่อยอัพเดตไปก่อนหน้านี้ นอกเหนือจากการเปิดไฟล์ Office บนเบราว์เซอร์ได้แล้ว Chrome Office Viewer ยังมีความสามารถในการช่วยป้องกันมัลแวร์ที่แทรกตัวมากับไฟล์ Office ด้วย พร้อมกับฟีเจอร์ Sandbox ที่จะคอยหยุดการแทรกซึมของมัลแวร์ก่อนจะเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว

จากการปล่อยปลั๊กอินตัวดังกล่าว น่าจะมีผลมาจากการที่ Google ซื้อ Quickoffice มาเมื่อปีที่แล้ว เป็นการนำฟีเจอร์บางอย่างมาใช้ใน Chrome Office Viewer ด้วย ทั้งนี้ Google ได้เตรียมแผนต่อกรกับ Microsoft Office ด้วย Quickoffice รุ่น NativeClient ที่สามารถพรีวิวและแก้ไขไฟล์เอกสารได้ ซึ่งจะปล่อยตัวเต็มออกมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยน่าจะได้เห็นการพอร์ตโปรแกรมนี้ลงใน Chromebook Pixel


ที่มา: ARiP

คนไทยติดสมาร์ทโฟนและขาดไม่ได้

คนไทยติดสมาร์ทโฟน 98% และขาดไม่ได้ ... สมาร์ทโฟนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เราอ่านมันแทนหนังสือพิมพ์รายวัน สามารถเช็คอีเมล์ หรือติดตามความเคลื่อนไหวทั้งของเพื่อน บุคคลสำคัญ และดารานักแสดงได้ผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค พฤติกรรมเหล่านี้แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันที่แม้แต่คนไทยก็ขาดมันไม่ได้เสียแล้ว


พฤติกรรมของการใช้สมาร์ทโฟนในปัจจุบันถูกสำรวจโดย InsightExpress บริษัทผู้วิจัยตลาดในสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการว่าจ้างจากบริษัท Cisco เพื่อเก็บข้อมูล แบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่ 1. การสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาและคนทำงานตั้งแต่อายุ 18-30 ปี 2. การสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรฝ่ายไอทีในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งสิ้น 3,600 คนใน 18 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย

ผลการสำรวจในต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าวัยรุ่นยุคใหม่หรือที่เรียกกันว่า คนรุ่น Gen Y มีการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อดูอัพเดตข่าวคราวในอีเมล์ ข้อความ และโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค "ก่อนจะลุกจากเตียง" สูงถึง 90% ขณะที่ประเทศไทยมีอัตราสูงถึง 98% โดยความเห็นของวัยรุ่นส่วนหนึ่งระบุว่า หากไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนก็เหมือนกับว่า "รู้สึกกระวนกระวาย เหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต"

นอกจากผลสำรวจเรื่องการใช้สมาร์ทโฟนก่อนลุกจากเตียงแล้ว ยังมีผลสำรวจในประเทศไทยที่น่าสนใจแบ่งย่อยออกไปอีกดังนี้

- ในวัยรุ่นไทย 9 ใน 10 คนระบุว่า ใน 1 วัน พวกเขาเช็คสมาร์ทโฟนนับครั้งไม่ถ้วน
- 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะ "รู้สึกกระวนกระวาย เหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต" หากไม่เช็คสมาร์ทโฟน
- 100% ของผู้ตอบแบบสอบถามเช็คสมาร์ทโฟนบนเตียงนอน
- 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้สมาร์ทโฟนในห้องน้ำ
- 98% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้สมาร์ทโฟนเพื่อส่งข้อความ เช็คอีเมล์ หรือโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คก่อนและหลังระหว่างรับประทานอาหาร
- 100% ในวัยรุ่นชี้ว่าแอพพลิเคชั่นบนมือถือมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิต
- 98% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า ตนเองใช้เวลาในการติดต่อกับเพื่อนผ่านโลกออนไลน์ มากกว่าการพูดคุยเป็นการส่วนตัว
- 9 ใน 10 ของวัยรุ่นมีการตอบแบบสอบถามและสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
- 87% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ออนไลน์เฟสบุคตลอดเวลา
- 97% ของผู้ตอบแบบสอบถาม อัพเดตสถานะเฟสบุคอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

เห็นผลสำรวจนี้แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่า อัตราการใช้สมาร์ทโฟนของคนไทยจะสูงได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเช็คข่าวสาร การเปิดหน้าเฟสบุค การเล่น Instagram เป็นต้น ซึ่งภาพที่เราเห็นทุกวันนี้ไม่ว่าจะทานข้าว ก่อน-หลังทำกิจกรรมต่างๆ หรือก่อนจะเข้านอน สมาร์ทโฟนล้วนแต่ติดอยู่ในมือแทบจะทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้สมาร์ทโฟนนั้นหากใช้ในทางที่ถูกต้องและพอควร ก็สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเราได้มาก แต่หากใช้มันมากเกินไป หรือใช้จนแทบจะละสายตาจากมันไม่ได้ล่ะก็ สมาร์ทโฟนก็สามารถให้โทษที่มีราคาแพงได้มากกว่าราคาของตัวมันเองเสียอีก

ที่มา: ARiP